เพราะความผิดพลาดในคืนนั้นทำให้ความสัมพันธ์ของเราเปลี่ยนไป จากคนที่เคยสนิทเป็นเพียงคนห่างไกลจะโทษความเผลอไผล จะโทษเพราะความไม่ตั้งใจ หรือจะโทษใจข้า...ที่เรียกร้องหาเจ้าดี “ข้าไม่ได้คิดอะไรกับเจ้า ข้าเห็นเจ้าเป็นเพียงสหาย” “เพราะข้าไม่ใช่แบบที่เจ้าคิด!” จินเฟยหลงพูดจบจึงหันกลับไปมองสหายสนิทเพียงคนเดียวของเขา “อืม” เหรินเหยียนชิงมองคนตรงหน้าเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหลังแล้วเดินออกมาจากตรงนั้นทันที จินเฟยหลงทำเพียงมองอีกฝ่ายเดินจากไป...จนลับสายตา
ดูเพิ่มเติมหมู่บ้านหยางเซินเป็นหมู่บ้านแถบแนวชายแดนแคว้นตง ซึ่งอยู่ติดกับแนวชายแดนแคว้นฉิน จึงทำให้หมู่บ้านแห่งนี้มักจะได้รับผลกระทบจากการทำศึกสงครามอยู่บ่อยครั้ง แต่หลังจากการทำศึกระหว่างสองแคว้นครั้งล่าสุด ที่ได้แผนล่อข้าศึกให้จนมุมของคุณชายรองจิน ทำให้แคว้นฉิน...ที่พ่ายแพ้จากการทำศึกสงครามในครั้งนั้น ได้รับผลกระทบมากกว่าในทุกครั้งที่ผ่านมา จึงส่งผลให้แคว้นฉินยังไม่กล้ากลับเข้ามารุกรานแคว้นตง มาจนถึงทุกวันนี้...
จินเฟยหลงแม่ทัพใหญ่แคว้นตงหรือคุณชายรองจิน ด้วยความพยายามและความสามารถที่เขามี จึงทำให้เขาได้รับสืบทอดตำแหน่งนี้มาจากผู้เป็นบิดาด้วยวัยเพียงแค่สิบแปดหนาว และก็เพราะการขึ้นรับตำแหน่งด้วยวัยเพียงเท่านี้ จึงทำให้เขาต้องคอยแบกรับทั้งแรงกดดัน และความคาดหวังจากผู้คนรอบข้าง ซึ่งตอนนี้ก็ได้ผ่านล่วงเลยมาแล้วถึงสองปี
และในยามนี้บิดาของเขาก็ยังต้องการให้เขาขึ้นเป็นผู้นำตระกูลจินต่อจากอีกฝ่ายแล้วด้วย และก็ด้วยเพราะคำว่า ‘ผู้นำตระกูลในภายภาคหน้า’ ของผู้เป็นบิดาที่เคยบอกกับจินเฟยหลงไว้ตั้งแต่ในวัยเยาว์ มันได้ทำให้เขาต้องคอยยึดถือและต้องคอยปฏิบัติตัวตาม ‘หน้าที่’ ให้สมกับสิ่งที่ทุกคนคาดหวังในตัวเขาเรื่อยมา
จวนแม่ทัพใหญ่ในเมืองหลวงตอนนี้ มีเพียงครอบครัวสายหลักของตระกูลจิน นั่นก็คือครอบครัวของจินเฟยหลงอาศัยอยู่ในจวนเพียงเท่านั้น และส่วนใหญ่ทุกคนในครอบครัวก็มักจะพากันเดินทางไปพักอยู่ที่เรือนพักรับรอง ในค่ายทหารแถบแนวชายแดนซึ่งอยู่ใกล้กับหมู่บ้านหยางเซิน เหตุด้วยเพราะคุณชายใหญ่จินเฟยเทียนหลังจากเข้าพิธีมงคลสมรส เจ้าตัวได้มาสร้างโรงหมออยู่กับคนรักในหมู่บ้านแห่งนี้ จึงทำให้ทั้งผู้เป็นบิดา น้องสาวของเขาหรือแม้แต่ตัวจินเฟยหลงเอง หากมีเวลาว่างก็มักจะพาตนเองมาอยู่ใกล้กับผู้เป็นพี่ชายที่นี่
จินเฟยหลงที่ได้เดินทางเข้ามาตรวจงานในค่ายทหารแถวหมู่บ้านหยางเซิน หลังจากที่ตัวเขาจัดการงานในค่ายเสร็จแล้ว วันนี้เขาจึงตั้งใจจะเข้าไปหาผู้เป็นพี่ชาย แต่เมื่อเขาเดินทางมาถึงหน้าโรงหมอ เขาก็เจอกับเจียงเสียนเดินออกมาจากที่นั่นด้วยท่าทางที่ดูเหมือนจะผิดหวัง
“ท่านแม่ทัพมาหาคุณชายใหญ่จินกับอาหยางหรือขอรับ?” เจียนเสียนเอ่ยทักจินเฟยหลง
“ใช่ขอรับ ท่านลุงเจียงเป็นอะไรหรือไม่ขอรับ?” จินเฟยหลงเอ่ยถามเพราะเขาสงสัยในท่าทางแปลก ๆ ของอีกฝ่าย
“เอ่อ...พอดีข้าน้อยตั้งใจเข้ามารับยากับอาหยางน่ะขอรับ แต่อาเล่อบอกว่าวันนี้โรงหมอปิดแล้ว และตอนนี้อาหยางก็ได้พาคุณชายใหญ่จินกลับไปพักที่เรือนแล้วขอรับ” เจียนเสียนพูดจบก็เห็นอีกฝ่ายยังคงมองมาที่เขาอยู่ ก็คงจะด้วยเพราะความที่เรือนของเขาอยู่ติดกับเรือนของหยางหมิงเซียน ดังนั้นการที่เขาเดินทางเข้ามารับยาถึงที่นี่จึงทำให้อีกฝ่ายสงสัยในการกระทำของเขาเป็นแน่
“คือข้าน้อยแอบให้อาหยางช่วยปรุงยาเพิ่มความกำหนัดให้น่ะขอรับ แต่ข้าน้อยไม่ได้คิดจะเอาไปทำเรื่องไม่ดีนะขอรับ พอดีข้าน้อยกับฮูหยินอยากจะมีบุตรเพิ่มกันอีกสักคนสองคน แต่เพราะข้าน้อยอายุมากแล้ว มันก็เลย...เออ... เดี๋ยวพรุ่งนี้ช่วงเช้าข้าน้อยค่อยแวะเข้ามาหาอาหยางใหม่อีกครั้งน่าจะดีกว่าขอรับ เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวเลยนะขอรับ” เจียนเสียนรู้สึกว่ายิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกกระดากอาย เขาจึงรีบเอ่ยลาคนตรงหน้าทันที
จินเฟยหลงทำเพียงพยักหน้ารับคำของอีกฝ่าย ก่อนจะเดินแยกกลับไปยังเรือนพักของตนเองในค่ายทหาร
แล้วเมื่อจินเฟยหลงเข้ามาในห้องพัก เขาก็เดินตรงไปยังเตียงก่อนจะล้มตัวลงนอน จากนั้นเขาก็หลับตาของตนเองลงอย่างช้า ๆ พร้อมกับคิดไปถึงชื่อยาที่ได้ยินมาจากเจียนเสียนเมื่อครู่
‘ยากำหนัดอย่างนั้นหรือ...หึ!’
ย้อนกลับไปในช่วงหลังจากจบศึกครั้งล่าสุดระหว่างแคว้นตงกับแคว้นฉิน...
ยามนั้นจินเฟยหลงอยู่ในวัยสิบห้าย่างสิบหกหนาว แต่ด้วยฝีมือการสู้รบที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้เป็นบิดา จึงทำให้เขาจะได้รับพระราชทานแต่งตั้งขึ้นเป็นรองแม่ทัพฝ่ายยุทธการทันที เมื่อเขาเดินทางกลับเข้าไปถึงเมืองหลวง
ซึ่งขบวนทัพของท่านแม่ทัพใหญ่จินเฟยหมิง ได้เดินทางกลับมาถึงเร็วกว่ากำหนดที่เจ้าตัวได้แจ้งไว้กับผู้คนในเมืองหลวง จินเฟยหมิงจึงต้องจัดหาที่พักนอกเมือง เพื่อที่จะได้เคลื่อนขบวนทัพได้ตามกำหนดเดิม แล้วเมื่อจินเฟยหลงได้รับรู้ถึงการตัดสินใจของผู้เป็นบิดา เขาจึงขอแยกตัวออกมาจากขบวน เพื่อกลับเข้าไปนอนพักที่สำนักศึกษาหลวงทันที เพราะเขาไม่อยากอยู่ร่วมกับผู้เป็นบิดาเพิ่มอีกหนึ่งวัน
“เฟยหลงเจ้ากลับมาแล้วหรือ?” เหรินเหยียนชิงเดินออกมาจากห้องพักก็เจอเข้ากับสหายร่วมเรือนที่ไม่ได้เห็นหน้ากันมาเกือบครึ่งปี กำลังเดินกลับเข้ามายังเรือนพักของพวกเขา
“อืม” จินเฟยหลงตอบกลับคนตรงหน้า ก่อนจะเดินเข้าไปยังห้องพักของตนเอง
สำนักศึกษาหลวงแห่งนี้มีเรือนพักภายในให้สำหรับผู้เข้าศึกษา ที่มีจวนหรือมีเรือนอยู่ไกลจากสำนักศึกษาสามารถทำเรื่องขอเข้าพักได้ แต่ด้วยเพราะจำนวนเรือนที่มีไม่มากนัก หนึ่งเรือนพักจึงจะต้องมีผู้พักอาศัยอยู่ร่วมกันเรือนละสองถึงสี่คน และเรือนที่จินเฟยหลงได้เข้าพักอาศัยอยู่นั้นเป็นเรือนที่มีขนาดเล็ก จึงทำให้เขามีผู้ร่วมอาศัยอยู่เพียงแค่หนึ่งคน และคนผู้นั้นก็ยังเป็นสหายสนิทเพียงหนึ่งเดียวของเขาด้วย
“ข้าก็นึกว่าหลังจากจบศึก เจ้าจะกลับไปอยู่ที่จวนแม่ทัพใหญ่สักพักเสียอีก แล้วนี่...” เหรินเหยียนชิงพูดพร้อมกับเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในห้อง แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าสหายของเขาปกติก็ไม่ค่อยจะกลับจวนอยู่แล้ว เขาจึงรีบเงียบปากของตนเองลง
จินเฟยหลงที่กำลังก้มลงไปเก็บสัมภาระของตนเอง จึงทำเพียงแค่รับฟังสิ่งที่สหายพูดแบบผ่าน ๆ เท่านั้น เพราะตอนนี้เขารู้สึกเหนื่อยล้าจากการเดินทาง และก็ด้วยเพราะยามที่เขาเข้ามาพักอยู่ในสำนักศึกษาหลวง เขาไม่ได้ให้บ่าวคนสนิทตามเข้ามาคอยดูแลเขาที่นี่ ดังนั้นเรื่องทุกอย่างเขาจะต้องเป็นคนจัดการด้วยตัวเอง
แล้วหลังจากที่เขาจัดเก็บสัมภาระเสร็จ เขาก็เริ่มจัดเตรียมของที่จะใช้สำหรับการไปอาบน้ำต่อ...
“อย่างนั้นข้าไม่กวนเจ้าล่ะดีกว่า เจ้าจะได้รีบไปจัดการดูแลตัวเองแล้วกลับมาพักผ่อน แต่เย็นนี้เจ้าจะไปรับสำรับกับพวกข้าหรือไม่? พอดีข้ามีนัดกับอาเจี้ยนและอาจางไว้ว่าจะไปรับสำรับด้วยกันที่โรงเตี๊ยม”
“อืม”
“ได้ เช่นนั้นเดี๋ยวข้า...เฮ้อ! เฟยหลงเจ้าก็เป็นแบบนี้ทุกที ข้ายังพูดไม่ทันจบเลยนะ”
จินเฟยหลงเมื่อจัดเตรียมของเสร็จเขาก็เดินออกจากห้องพักทันที โดยไม่รอให้สหายร่วมเรือนพูดจบ ถึงแม้ว่าเขาจะได้ยินที่อีกฝ่ายบ่นตามหลัง แต่เขาก็ไม่คิดที่จะเดินกลับไปต่อว่าหรือโต้ตอบ เพราะเดี๋ยวคนพูดมากก็คงจะหยุดพูดไปเอง
เช้าวันรุ่งขึ้นจินเฟยหลงต้องรีบออกไปทำข้อสอบอีกหนึ่งวิชาที่เหลืออยู่ แต่ก่อนที่เขาจะเดินออกไปจากเรือน เขาได้แวะเข้าไปดูเหรินเหยียนชิงในห้องพักของเจ้าตัว แล้วเขาก็ได้เห็นว่าตอนนี้อีกฝ่ายยังคงนอนหลับอยู่บนเตียง สงสัยว่าเมื่อคืนคนตรงหน้าคงนอนไม่หลับเหมือนกันกับเขา เพราะเขาเองก็ไม่คิดว่าจิงเสี่ยวจางจะเข้ามาเห็นในสิ่งที่เขาทำเมื่อคืน หลังจากที่จินเฟยหลงทำข้อสอบวิชาสุดท้ายเสร็จ เขาก็รีบตรงไปยังบริเวณที่กลุ่มของพวกเขาได้นัดหมายเอาไว้ว่าจะมากล่าวลากัน ก่อนที่พวกเขาทั้งสี่คนจะต้องแยกย้ายกันไปในวันนี้ แล้วเมื่อจินเฟยหลงเดินมาถึงบริเวณที่นัดหมาย เขาก็เห็นเหรินเหยียนชิงกำลังถูกคู่แฝดสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอยู่ และก็ดูเหมือนว่าจิงเสี่ยวจางน่าจะเล่าเรื่องที่ได้เห็นให้กับแฝดผู้พี่ของเจ้าตัวฟังหมดแล้ว “เหยียนชิง เรื่องเมื่อคืน...” จิงเสี่ยวจางที่คิดจะถามเรื่องเมื่อคืนกับสหายตรงหน้า แต่เขาก็ยังไม่ทันได้เอ่ยคำถามจนจบประโยค อีกฝ่ายก็ชิงตอบคำถามของเขากลับมาเสียก่อน “ที่เจ้าเห็นมันไม่ใช่แบบที่พวกเจ้าคิด คือ...เมื่อคืนพวกเจ้าก็เห็นว่าเฟยหลงค่อนข้างที่จะเมาหนัก” “อืม...
“โอ้ย...ถึงสักที” เหรินเหยียนชิงเอ่ยออกมาอย่างโล่งอก เมื่อเขาแบกสหายตัวโตกลับมาถึงเรือนพักของพวกเขาได้สำเร็จ จินเฟยหลงไม่รู้ว่าด้วยเพราะฤทธิ์สุราที่เขากินเข้าไปหรือด้วยเพราะอะไร ยามนี้เขาถึงได้อยากกอดคนตรงหน้าเหลือเกิน และก็อาจจะเพราะความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นในตอนนี้ มันทำให้เขาคิดไปถึงความรู้สึกในคืนนั้น...คืนที่เขาพยายามจะลืม แต่ทำอย่างไรเขาก็ไม่สามารถลืมมันได้สักที ถึงแม้ว่าในยามนั้นจินเฟยหลงจะทำมันลงไปเพราะไม่สามารถคุมสติของตัวเองเอาไว้ได้ก็ตาม และหากในคืนนั้นเขาจะเรียกมันว่าความผิดพลาด เขาก็คงจะพลาด...ที่เลือกทำตามใจของตัวเอง แล้วก็เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนนั้น มันได้ทำให้เขารู้ว่าที่จริงแล้วเขารู้สึกกับคนตรงหน้าเช่นไร ตั้งแต่จำความได้คนที่จินเฟยหลงเคยกอดมีเพียงแค่สองคนเท่านั้น นั่นก็คือท่านแม่ใหญ่และพี่ใหญ่ของเขา นอกเหนือจากนั้นเขาไม่เคยคิดอยากจะกอดหรือไม่เคยคิดอยากจะสัมผัส แม้แต่กับสตรีที่เข้ามาวนเวียนอยู่ในชีวิตเขาตอนนี้ก็ตาม และในยามนี้จินเฟยหลงได้รู้แล้วว่ากลิ่นที่เขาชื่นชอบก็คือกลิ่นกระดาษและกลิ่นน้ำหมึกที่มักจะติดมากับตัวของเหรินเหยียนชิง หาใช่กลิ
จินเฟยหลงเมื่อเดินทางมาถึงบริเวณงานเลี้ยง เขาก็เห็นจิงเสี่ยวเจี้ยนและจิงเสี่ยวจางที่ยามนี้คนทั้งสองได้เริ่มร่ำสุรากันไปบ้างแล้ว เนื่องจากงานนี้ท่านอาจารย์ใหญ่อนุญาตให้พวกเขาสามารถนำสุราเข้ามาดื่มร่วมกันได้ เมื่อเห็นสหายจินเฟยหลงจึงเดินตรงเข้าไปนั่งร่วมโต๊ะกับคนทั้งสองทันที จากนั้นเขาจึงมองหาเหรินเหยียนชิง แต่เขากลับไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในบริเวณงาน “มาแล้วหรือ?” จิงเสี่ยวเจี้ยนเอ่ยทักสหายที่เพิ่งมาถึง จินเฟยหลงพยักหน้าตอบคำถามของอีกฝ่าย ก่อนจะถามหาคนที่เขากำลังมองหาอยู่ “เหยียนชิงไม่อยู่กับพวกเจ้าหรือ?” “ตอนแรกก็นั่งอยู่กับพวกข้านี่ล่ะ แต่พอดีมีศิษย์น้องเข้ามาขอคุยด้วย เหยียนชิงจึงพาศิษย์น้องเดินออกไปคุยกันที่ศาลาข้างสระบัว แต่ก็คุยกันมาได้สักพักแล้วนะ” จิงเสี่ยวจางตอบพร้อมกับชี้ไปยังศาลาที่เหรินเหยียนชิงกำลังยืนคุยอยู่กับศิษย์น้อง จินเฟยหลงมองไปทางศาลาที่จิงเสี่ยวจางบอก ก่อนจะยกจอกสุราที่จิงเสี่ยวเจี้ยนรินวางเอาไว้ให้เขาขึ้นมาดื่ม “หิวหรือ?” จิงเสี่ยวเจี้ยนเอ่ยทักจินเฟยหลงเมื่อเห็นอีกฝ่ายยกจอกสุราติดต่อกันไปแล้วถึงห้าจอก “อืม” จินเฟยหลงตอบรับค
“พวกเราพักค้างแรมกันที่นี่ดีหรือไม่?” จิงเสี่ยวจางเอ่ยชวนสหายเพราะตอนนี้ได้เข้าต้นยามโหย่วแล้ว (ยามโหย่ว เวลา 17.00 – 18.59 น.) ดังนั้นพวกเขาควรต้องหยุดการเดินทาง เพื่อพักเอาแรงกันเสียก่อน และด้วยเพราะจิงเสี่ยวจางได้ยินเหมือนเสียงน้ำไหล ซึ่งแสดงว่าไม่ไกลจากบริเวณนี้น่าจะมีลำธารหรือแม่น้ำ ดังนั้นพวกเขาควรหาที่พักแถวนี้ เหรินเหยียนชิงเมื่อได้ยินที่จิงเสี่ยวจางถาม เขาจึงหันไปพยักหน้าตอบรับคำชวนของสหาย เมื่อได้รับคำตอบจิงเสี่ยวจางก็ขี่ม้าไปยังบริเวณที่พวกเขาน่าจะพอใช้พักค้างแรมในคืนนี้ได้ จากนั้นเขาจึงลงมาจากหลังม้าเพื่อเข้าไปช่วยทุกคนจัดเตรียมที่พัก ก่อนจะขอแยกตัวเพื่อออกไปยังบริเวณที่เขาได้ยินเสียงน้ำไหลพร้อมกับเพ่ยฉีและจินเฟยหลงที่ตามออกไปด้วย เพื่อไปตรวจดูความปลอดภัยบริเวณโดยรอบให้กับทุกคน “เหยียนชิงหลังต้นไม้ใหญ่ตรงนั้นมีลำธารด้วยนะ เจ้าไปล้างหน้าสักหน่อยดีหรือไม่ เดี๋ยวข้าจะช่วยเตรียมของต่อให้เอง” จิงเสี่ยวจางบอกกับสหาย หลังจากที่เขากลับมาจากการเดินสำรวจ “ได้ขอบใจเจ้ามากนะอาจาง” จากนั้นเหรินเหยียนชิงจึงเดินออกไปยังลำธารที่จิงเสี่ยวจางบอก “พี่เหยียน
“ท่านแม่ทัพกำลังรอผู้ใดอยู่หรือขอรับ?” หยงหมินเอ่ยถามผู้เป็นนายเพราะอีกฝ่ายพาเขาควบม้าออกมาจากจวน เพื่อเดินทางไปตรวจงานที่ค่ายทหารในเมืองหลิ่งจู แต่พอมาถึงประตูเมืองหลวงผู้เป็นนายกลับไม่ยอมเดินทางต่อ ทำเพียงเดินไปดูรายชื่อของผู้ผ่านทาง จากนั้นก็กลับมายืนอยู่ที่เดิม “อ้าว! เฟยหลง อาหมินพวกเจ้ากำลังจะเดินทางไปที่ใดกันหรือ?” จิงเสี่ยวจางเอ่ยทักพร้อมกับขี่ม้าเข้าไปหาจินเฟยหลงกับหยงหมิน หลังจากที่เขาเห็นคนทั้งคู่ยืนอยู่หน้าประตูเมือง “พวกข้ากำลังจะไปตรวจงานที่ค่ายทหารในเมืองหลิ่งจูน่ะ” จินเฟยหลงตอบกลับสหายพร้อมกับมองหาคนที่เขากำลังรออยู่ “แล้วคุณชายรองจิงกำลังจะเดินทางไปที่ใดหรือขอรับ?” “ข้ากำลังจะเดินทางไปตรวจโรงเตี๊ยมที่ไปเปิดในเมืองซือโฉวน่ะ” เมื่อตอบคำถามของหยงหมินจบ จิงเสี่ยวจางก็หันไปมองทางเหรินเหยียนชิงที่กำลังขี่ม้าเข้ามาหาเขา พร้อมกับรถม้าอีกหนึ่งคันที่มีเพ่ยฉีเป็นผู้ขับ จินเฟยหลงเมื่อเห็นเหรินเหยียนชิงที่กำลังขี่ม้าตรงมาทางพวกเขา มันก็ทำให้เขาอดที่จะรู้สึกแปลกใจขึ้นมาไม่ได้ เพราะเมื่อก่อนอีกฝ่ายแทบจะไม่ยอมขึ้นไปนั่งบนหลังม้าเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นสิ่งที่เ
“เหยียนชิงทำไมเจ้าถึงหายหน้าไปเลย ไม่ยอมติดต่อกลับมาหาพวกข้าบ้างเลยล่ะ” จิงเสี่ยวจางเอ่ยขึ้นหลังจากที่พวกเขาทั้งสี่คนมานั่งร่ำสุราอยู่ที่สวนท้ายจวนคหบดีจิง โดยมีคนของเหรินเหยียนชิงมาร่วมวงกับพวกเขาด้วย “ข้ายุ่งน่ะพอดีต้องรับช่วงต่อจากท่านตา” เหรินเหยียนชิงตอบคำถามจิงเสี่ยวจาง จากนั้นเขาจึงแนะนำคนที่มากับเขาให้สหายได้รู้จัก “เออ...จริงด้วยข้ายังไม่ได้แนะนำให้พวกเจ้ารู้จักกับสองคนนี้เลย บุรุษผู้นี้มีนามว่าเพ่ยฉี ส่วนสตรีนางนี้มีนามว่าเพ่ยหยี ทั้งสองคนเป็นคนของสำนักคุ้มภัยที่อยู่ติดกับจวนข้า” “และก็เป็นว่าที่ฮูหยินของพี่เหยียนชิงด้วยเจ้าค่ะ” เพ่ยหยีเด็กสาววัยสิบสามหนาวเอ่ยขึ้นมาอย่างมาดมั่น “ขออภัยแทนน้องสาวของข้าด้วยนะขอรับ นางค่อนข้างจะแก่แดดไปหน่อยน่ะขอรับ” เพ่ยฉีชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดหนาวเอ่ยแก้ตัวแทนน้องสาวผู้ไม่รู้ความของตัวเอง เป็นเพราะนางเห็นเหรินเหยียนชิงใจดี ไม่เคยถือตัวและยังให้ความสนิทสนมกับพวกเขาราวกับพี่น้อง จึงทำให้น้องสาวของเขามักหลงลืมตัวเอาแต่ใจกับคนตรงหน้าอยู่บ่อยครั้ง “ก็ข้าชอบพี่เหยียนชิงนี่เจ้าคะ ข้าเลยขอจองเอาไว้ก่อนเจ้าค่ะ” เพ่ยหยีเอ่ยอย่
ความคิดเห็น