หลังจากจิณณ์ถอยรถเข้าเก็บในโรงรถเรียบร้อยแล้ว เขาก็รีบลงจากรถเพื่อไปช่วยมนตกานต์ยกกระเป๋าใส่เสื้อผ้า ที่รีบเพราะอยากช่วย และก็เพราะอยากกลบเกลื่อนความอายของตัวเองที่ดันคิดเรื่อยเปื่อยจนขับรถเลยบ้าน แต่มนตกานต์กลับมีกระเป๋าเสื้อผ้าใบน้อยมาเพียงใบเดียว
“อ้าว... ลูกเจี๊ยบมีกระเป๋าแค่นี้เหรอ” ถามแก้เก้อทั้งที่เห็นอยู่แล้ว
“ใช่ค่ะ พรุ่งนี้หลังเลิกงาน ลูกเจี๊ยบว่าจะไปซื้อเสื้อผ้าน่ะค่ะ เสื้อผ้าที่ลูกเจี๊ยบมีอยู่มันไม่เหมาะสำหรับไปทำงานหรอกค่ะอาจิ๋ว ซื้อใหม่ดีกว่า”
มนตกานต์พูดพลางเดินนำจิณณ์เข้าสู่ตัวบ้าน เพราะนี่เป็นบ้านของเธอ ทุกพื้นที่เธอจึงรู้จักและคุ้นเคยดีอยู่แล้ว แม้พ่อจะให้ทีมงานของจิณณ์เข้ามาปรับปรุงใหม่ แต่แบบที่จิณณ์ส่งให้ เธอดูแล้วไม่ได้เปลี่ยนแปลงสัดส่วนของตัวบ้าน เพียงแต่เปลี่ยนวัสดุที่ชำรุดเท่านั้น
“ไม่เห็นต้องซื้อใหม่เลยนะ ที่ออฟฟิศอา ใส่อะไรก็ได้ มีแค่น้องนักศึกษาฝึกงานเท่านั้นแหละที่ต้องใส่ชุดนักศึกษา นอกนั้นก็ฟรีสไตล์ ลูกเจี๊ยบไม่น่าต้องเปลืองเงิน เราน่ะเพิ่งทำงาน ประหยัดไว้ก็ดีนะ เดี๋ยวจะหารายได้ไม่พอรายจ่าย”
จิณณ์ตีหน้าเข้มเริ่มบทบาทเป็นคุณอาผู้แสนดี นั่นก็เพื่อกันตัวเขาเองออกจากสิ่งที่เป็นอยู่นี้ เพราะจังหวะหัวใจที่เต้นถี่ยามเดินตามหลังมนตกานต์ มันทำให้เขาทรมาน และกลัวเหลือเกินว่าคนที่เดินอยู่ด้านหน้าจะจับสังเกตได้ แต่ยิ่งมองเห็นเรือนร่างสมส่วน เขาก็ยิ่งถอนสายตาออกได้ยาก
และเมื่อเจ้าตัวช้อนฝ่ามือเข้าไปที่ท้ายทอย พร้อมสลัดเรือนผมเบาๆ ก็ทำให้กลิ่นหอมกำจายยิ่งขึ้น และนั่นทำให้เขารู้ได้ทันทีว่า กลิ่นหอมที่กรุ่นอยู่รอบกายของมนตกานต์ตลอดทั้งวันนั้นน่าจะมีที่มาจากเส้นผมยาวสยาย
“แหม... อาจิ๋วนี่ทำหน้าที่เหมือนพ่อเลยนะคะ แค่วันแรกก็บ่นเรื่องการใช้เงินของลูกเจี๊ยบซะแล้ว อาจิ๋วน่ะไม่รู้อะไร ลูกเจี๊ยบน่ะขี้เหนียวนะคะ ถึงพ่อจะบอกว่าลูกเจี๊ยบใช้เงินเก่งก็เหอะ แต่ทั้งหมดนั่น ลูกเจี๊ยบก็ซื้อแต่ของจำเป็นเท่านั้นแหละค่ะ และที่ต้องซื้อเสื้อผ้าใหม่ ก็เพราะเสื้อผ้าเก่าของลูกเจี๊ยบน่ะ เอามาใส่ทำงานที่ออฟฟิศอาจิ๋วไม่ได้จริงๆ แต่อาจิ๋วรู้มั้ยคะว่าเพราะอะไร”
“เอ่อ... อาไม่รู้หรอก”
จิณณ์ข่มใจตอบ อาการปวดหนึบกึ่งกลางกายเริ่มเร่งเร้าเพิ่มขึ้น เพราะเสียงหวานหยอกเย้าเหมือนหลอกล่อให้เขาตอบ กับเอวคอดกิ่วที่พอเหมาะพอเจาะกับสะโพกผายยามเธอเคลื่อนย้ายยักไปตามจังหวะก้าวเดิน ซ้าย-ขวา ซ้าย-ขวา ช่างเนิบนาบช้าเหลือทน
แม้จะพยายามบอกตัวเองว่านี่คือลูกสาวเพื่อน แต่ใจเขาก็สั่น หวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก หากเขารู้ว่ามนตกานต์จะเต็มไปด้วย ‘เซ็กซ์ อะพีล’ (Sex Appeal) มากมายอย่างนี้ เขาจะไม่มีวันให้เธอมาอยู่ใกล้ตัวเด็ดขาด เพราะเธอกำลังทำให้ภาพลักษณ์ของเขาเสียหาย
จิณณ์หลับตาข่มใจและก็พยายามข่มกาย ‘เสือดาร์ก’ คือฉายาที่ได้รับจากพฤติกรรมการกินสาวๆ เพราะกินครั้งเดียวแล้วไม่คิดจะกลับไปกินต่อ แต่ก็มี ‘ลูกไก่’ สาวๆ สวยๆ กดบัตรคิวขอเข้ามาอยู่ในอุ้งมือเสืออย่างเขากันมากมาย พวกเธอล้วนอยากให้เขา ‘กำ’ และ ‘ขย้ำขยี้’ ได้ตามความพอใจ
แต่ไม่เคยสักครั้งที่เสือร้ายอย่างเขาจะอยากได้ใครมากมายขนาดนี้มาก่อน หรือเพราะไม่เคยเจอผู้หญิงในคุณลักษณะที่พร้อมสำหรับการ ‘ผสมพันธุ์’ แต่เธอดันไม่ยอมกดบัตรคิว เพราะเธออยู่เหนือกว่านั้น นั่นคือให้เขาเป็นฝ่ายปีนขึ้นไปสอย
“แหม... ก็แต่ละชุดของลูกเจี๊ยบน่ะ โป๊ๆ ทั้งนั้นน่ะสิคะ มีหวังทีมงานหนุ่มๆ ของอาจิ๋ว ได้ใจแตกกันแน่ อาจิ๋วว่ามั้ยล่ะคะ”
“อืม...”
“อืม... อะไรคะ”
“ก็อืม...”
“อาจิ๋ว... อาจิ๋วเป็นอะไรหรือเปล่าคะ อาจิ๋วเหนื่อยเหรอ”
“อืม... อาจุก”
“จุก! อาจุกตรงไหนคะ ลูกเจี๊ยบดูให้ค่ะ ตรงไหนคะอา ตรงท้องนี่หรือเปล่า”
จิณณ์ตื่นจากภวังค์ทันทีที่ฝ่ามือของมนตกานต์วางอยู่ใต้ลิ้นปี่ของเขา ใบหน้าบ้องแบ๊วอยู่ห่างเขาไม่ถึงคืบ ดวงตาฉายแววห่วงใยและสงสัยในสิ่งที่เขาเป็น แต่เขาสิ... อยากเขกหัวตัวเองชะมัด
“เอ่อ... อา... อาไม่ได้เป็นอะไร ไปเถอะรีบเดิน จะได้ไปดูห้อง”
“แต่อาจิ๋วบอกว่าอาจิ๋วจุกนี่คะ อาจิ๋วจุกตรงไหน เดี๋ยวลูกเจี๊ยบดูให้”
“ไม่!”
เสียงเข้มตวาดออกไปพร้อมขยับตัวห่างจากเธอโดยอัตโนมัติ จิณณ์เห็นแววตกใจในดวงตาคู่สวย เขาจึงรู้ตัวว่าเขาพลาดอีกแล้ว เขากำลังกลัวความใกล้ชิด กลัวตัวเองจะระงับใจไว้ไม่ได้ แต่มนตกานต์ผิดอะไรล่ะ เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเขาคิดไปถึง...
“เอ่อ... ลูกเจี๊ยบ อาขอโทษ อาแค่เป็นห่วงลูกเจี๊ยบ ลูกเจี๊ยบเป็นสาวแล้วไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวผู้ชาย”
“โธ่... คิดว่าอะไร แต่อาจิ๋วเป็นอาของลูกเจี๊ยบนะคะ อาจิ๋วก็เห็นลูกเจี๊ยบมาตั้งแต่เด็ก ลูกเจี๊ยบเชื่อใจอาจิ๋วค่ะ ก็เหมือนอย่างที่พ่อกับแม่เชื่อใจอาจิ๋วไงคะ อาจิ๋วเป็นคนดีที่หนึ่งของครอบครัวเรา ไม่อย่างนั้นพ่อกับแม่ไม่ไว้ใจให้ลูกเจี๊ยบมาอยู่กับอาหรอกค่ะ อาจิ๋วอย่าคิดมากนะคะ ลูกเจี๊ยบยังไม่คิดเลย”
“อา... อาแค่ไม่อยากให้ลูกเจี๊ยบต้องเสียหายน่ะ”
“แต่เราเป็นอากับหลานกันนี่คะ ใครจะมองยังไงก็ช่างสิ แค่ลูกเจี๊ยบกับอาจิ๋วรู้กันก็พอ ใช่มั้ยคะ ไปเถอะค่ะ ลูกเจี๊ยบอยากเห็นห้องของลูกเจี๊ยบแล้วล่ะ”
มนตกานต์เดินเลี้ยวลัดเข้าสู่ตัวบ้านเพื่อนำไปสู่ห้องนอนเดิมของเธอ ทิ้งให้จิณณ์ยืนอึ้งอยู่ที่เดิม ก่อนจะข่มใจแล้วเดินตาม เพราะ ‘แค่ลูกเจี๊ยบกับอาจิ๋วรู้กัน’ น่ะไม่ใช่ นั่นคือมนตกานต์รู้อยู่คนเดียว แต่เขาสิ... เริ่มไม่อยากรับรู้อะไรแล้ว อยากลืมไปซะว่ามนตกานต์เป็นลูกของไก่อู อยากเพิ่มความทรงจำใหม่ว่าเธอเป็นลูกไก่แสนสวยที่เดินเข้ามาให้เขากำ
ลิ้นร้อนตวัดลงตามรอยแยกที่มองเห็นเป็นสีชมพูสด หอมหวานและเย้ายวนใจจนจิณณ์อดไม่ได้ที่จะใช้ปลายนิ้วเกลี่ยแยกกลีบดอกออกจากกัน และเขาก็ได้เห็นอีกหนึ่งความงดงามที่รอคอย หยาดเยิ้ม และท่วมท้น มนตกานต์พร้อมแล้ว สิ่งสัมผัสที่หยุดลงพร้อมกับกายแกร่งลุกขึ้นนั่งแทรกกลางระหว่างขา ทำให้มนตกานต์เบิกดวงตากว้างมองดูเขา ก่อนจะหลุบมองความยิ่งใหญ่ที่เธอกลัวเหลือเกิน เมื่อสิ่งนั้นคล้ายจะเคลื่อนไหวได้ราวกับมีชีวิต ดวงตาสวยหวานจึงต้องเสมองไปอีกทาง ไม่กล้ามองดูสิ่งนั้นได้อีก เพราะเจ้าของความยิ่งใหญ่กำลังทอดสายตามองเธออย่างร้องขอ “อารักลูกเจี๊ยบนะคะ” ทว่าคำพูดจากเขากลับทำให้มนตกานต์ต้องหันมอง นั่นคือการร้องขอ มนตกานต์พยักหน้าน้อยๆ ทั้งกลัวทั้งอายจนทนมองหน้าเขาไม่ไหว แต่ก็ให้ความร่วมมือเต็มที่ เมื่อจิณณ์ขยับท่อนขาเข้ามาใต้สะโพก มนตกานต์ก็หลับตาพริ้ม ปล่อยกาย ปล่อยใจไปกับความยิ่งใหญ่ที่ค่อยๆ สอดแทรกเข้ามา ทว่า... “อาจิ๋ว!” “อืม... อาจะค่อยๆ อารักลูกเจี๊ยบนะคะ” อีกครั้งที่เสียงหวานบอกรักนั้นทำให้มนตกานต์ล่องลอย แม้ความอึดอัดคับแน่นจนอาจเรียกว่าเจ็บนั้นกำลั
“ถ้าอย่างนั้นคืนนี้อาจะไม่ทำแบบนั้น แต่อาจะทำแบบเมื่อคืนกับเมื่อเช้า นะ...” จิณณ์ไม่รอคำตอบเพราะทันทีที่มนตกานต์ช้อนสายตาขึ้นมองเขา ริมฝีปากเร่าร้อนก็ประทับจูบที่ปากสีระเรื่อทันที ความหวานปะปนความเร่าร้อนดูดดื่มชอนชิมไม่หยุด ตวัดต้อน ชอนลึก จนมนตกานต์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนที่เรียวลิ้นร้อนของจิณณ์จะหยอกยั่วให้มนตกานต์คล้อยตาม ลิ้นสากอุ่นชื้นสอนให้ลิ้นน้อยอ่อนไหวแตะไต่ตอบสนอง ตวัดต้อนชอนชิมความดุดันของเขาบ้าง 2 ครั้งแรกนั้นมนตกานต์กล้าๆ กลัวๆ ทำได้ดีบ้าง และสำลักบ้าง แต่ครั้งนี้เธอทำได้ดี ลิ้นน้อยหยอกเย้าดูดดุนความสากชื้น จนมนตกานต์ได้ยินเสียงครางงึมงำในลำคอ ใบหน้าสวยจึงมีรอยยิ้ม ทั้งๆ ที่ลิ้นน้อยทำหน้าที่ต่อสู้ฟาดฟันกับจิณณ์ไม่ลดละ ปากประกบ ลิ้นต่อสู้ และฝ่ามือของเจ้าบ่าวก็ทำหน้าที่ จิณณ์เอื้อมฝ่ามือไปใต้แผ่นหลัง ค่อยๆ รูดซิปชุดเดรสตัวสวยอย่างแผ่วเบา ก่อนจะรั้งให้พ้นร่างงามอย่างง่ายดาย ทั่วทั้งร่างของเจ้าสาวที่เขาสัมผัสได้จากฝ่ามือจึงเหลือเพียงบราเซียร์และแพนตี้เข้าชุด จากนั้นนิ้วเร่าร้อนก็ทำหน้าที่ปลดรังดุมได้ตัวเอง ก่อนที่จิณณ์จะครางด้วยความซ่านเสียว เพร
ส่วนภานุก็รับหน้าที่ปิ้งย่างอาหารทะเลร่วมกับวีนาที่คอยดูความเรียบร้อยโดยรวม แม้จะมีป้าแม่บ้านกับน้องฝึกงานที่ออฟฟิศมาช่วยแล้วก็ตาม บรรยากาศชื่นมื่นมีความสุข ทว่าเจ้าบ่าวก็หงุดหงิดไม่เลิก “เป็นอะไรนักหนาวะจิ๋ว แกทำหน้าแบบนี้ เดี๋ยวใครเขาก็เอาไปพูดว่าพี่ให้ลูกสาวมาจับแกนะโว้ย แล้วนี่หงุดหงิดเรื่องอะไร” “กี่โมงแล้วพี่” จิณณ์ตอบไม่ตรงคำถามแต่กลับถามไก่อูกลับ “แกก็มีนาฬิกา ทำไมไม่ดูเองล่ะ” “ก็ผมอยากให้พี่ดู” ไก่อูงงแต่ก็ยกข้อมือขึ้นดูเวลา “จะสี่ทุ่มครึ่งแล้ว ทำไม” “พี่อ่ะ ก็สี่ทุ่มครึ่งแล้วน่ะสิ พี่ลืมอะไรไปหรือเปล่า” “ลืมอะไรวะ ไม่มี!” ไก่อูเสียงสูง ยิ่งทำให้จิณณ์หน้าบึ้ง ก่อนว่าที่พ่อตาจะหลุดขำ เพราะ 4 ทุ่ม 59 นาทีเป็นเวลาส่งตัวบ่าวสาวเข้าหอ นั่นจึงทำให้จิณณ์กระวนกระวาย “เฮ้ยจิ๋ว แกนี่เสียชื่อตัวพ่อสายดาร์กหมดเลยนะโว้ย แกตื่นเต้นเหรอที่จะได้เข้าหอ ไม่ต้องตื่นเต้นนะน้อง มันเรื่องธรรมดา นี่ม้าแกกับพี่นกก็ไปปูที่นอนรอแล้วไง” “จริงเหรอพี่” จิณณ์เกาะแขนไก่อูถามเพื่อความแน่ใจ
มนตกานต์หลบเลี่ยงเมื่อจิณณ์ทำท่าจะโถมเข้ามา ก่อนจะชี้ชวนให้ดูหนุ่มสาวที่กำลังก้าวออกจากออฟฟิศตรงไปยังรถมอเตอร์ไซค์ เพราะณัฐอาสาจะพาขิมไปเย็บแผลที่โรงพยาบาล “พี่ขิมชอบพี่ณัฐค่ะ” “ไม่ได้ชอบ แต่ขิมรักณัฐ รักมาสามปีแล้ว ณัฐมันไม่รู้หรอก มันคิดว่าไอ้ขิมเป็นทอม” “ไม่จริงมั้งคะ ลูกเจี๊ยบว่าพี่ณัฐเขารู้แล้วนะ อาจิ๋วดูสิ” ภาพที่เห็นคือณัฐกำลังใส่หมวกกันน็อคให้ขิมอย่างระมัดระวังที่สุดที่จะไม่ให้โดนแผล และขิมก็อายกับสัมผัสใกล้ชิดจนต้องหลุบสายตา ก่อนจะสะดุ้งเมื่อนิ้วมือของณัฐแฉลบแผลของเธอไป ณัฐตกใจที่ทำขิมเจ็บ ดึงขิมเข้ามากอด ก่อนที่สาวทอมประจำออฟฟิศจะสั่นสะอื้นฮึกฮักอยู่กับอกของณัฐ “สงสัยจะเจ็บแผล” “ผิดค่ะ มีความสุขต่างหาก” “หมดเรื่องแล้ว กลับบ้านเถอะ” “อื้อ... ยังไม่เลิกงานเลยค่ะ” “วันนี้วันทำงานที่ไหนเล่า” “อาจิ๋วจะแกล้งอะไรลูกเจี๊ยบอีกเนี่ย เมื่อเช้าก็ทีนึงแล้วนะ” “ทีนึงอะไร ยังไม่ได้สักที” “อาจิ๋ว!” จิณณ์ยิ้มเข้ามาสวมกอดมนตกานต์ที่หน้าแดงจากคำพูดของเขา พลางชี้ชวนใ
มนตกานต์อมยิ้มน้อยๆ เพราะสาเหตุที่จิณณ์บอกว่าจะเข้างานสาย ไม่ใช่สิ่งที่เธอเข้าใจ แต่เป็นสิ่งนี้ เธอเปิดซองกระดาษหยิบเอกสารด้านในออกมาดู เพราะตอนที่รับมาจากเจ้าหน้าที่ ความตื่นเต้นและเขินอายมีมากจนไม่กล้าจะชื่นชม ดวงตาสวยหวานไล่ไปตามตัวอักษรที่กำกับอยู่บนกระดาษสีนวลมีลวดลายดอกกุหลาบอยู่รอบด้าน ‘ใบสำคัญการสมรส แสดงว่า นายจิณณ์ จิตติกรณรงค์ กับ นางสาวมนตกานต์ ฤทธาอภินันท์ ได้จดทะเบียนสมรส ณ สำนักงานทะเบียน... จังหวัด... เลขทะเบียนที่... เมื่อวันที่ 7 เดือนธันวาคม พ.ศ.2560 นายทะเบียน’ “เราแต่งงานกันแล้วนะ” รอยยิ้มแสนหวานส่งให้คนที่กระชับฝ่ามือ “ขอบคุณนะคะอาจิ๋ว ขอบคุณที่รักลูกเจี๊ยบ ขอบคุณทุกอย่างค่ะ” “อาสิต้องขอบคุณลูกเจี๊ยบ ที่สอนให้อารู้จักความรัก อาไม่สัญญานะว่าจะรักลูกเจี๊ยบมากที่สุดในโลก แต่อาสัญญาว่าจะรักลูกเจี๊ยบทุกวัน สามเวลาหลังอาหาร หัวค่ำ ก่อนนอน และล้างหน้าไก่” “อาจิ๋วอ่ะบ้า!” “บ้าแต่ไม่ห้ามใช่มั้ย” “อาจิ๋ว!” มนตกานต์ฮึดฮัดด้วยความอายก่อนจะเร่งให้จิณณ์รีบออกรถ เพราะที่จิณณ์ว่าสิบโมง แต่น
ร่างงามระหงที่ยืนหันหลังให้เขา อยู่ในชุดเดรสสีเทาอ่อนแขนสั้นตัวยาวกรอมเท้าดูสุภาพอยู่นะ ถ้าด้านหลังจะไม่กว้านลึกจนถึงบั้นเอว ใครจะอยากให้คนอื่นเห็นกันล่ะ “อุ้ย!” มนตกานต์สะดุ้งเมื่อท่อนแขนแกร่งแทรกเข้ามากระชับบั้นเอว พร้อมริมฝีปากแตะเบาๆ ที่ข้างแก้ม แค่นั้นความร้อนก็วูบขึ้นที่ใบหน้าก่อนจะกระจายวาบไปทั่วร่าง เพราะเหตุการณ์เมื่อคืนเพิ่งผ่านพ้นไปไม่กี่ชั่วโมง “หอมจัง... วันนี้มีอะไรกิน” คนพูดว่าหอมจัง หอมอีกหลายครั้งที่สองแก้ม สลับไปมาซ้ายขวา ดั่งความหอมนั้นไม่ได้มาจากอาหารแต่เป็นสองแก้มนี้ “ข้าวต้มไก่น่ะค่ะ เมื่อวานเราไม่ได้กินข้าวที่บ้าน ข้าวเย็นเลยเหลือเยอะ ลูกเจี๊ยบเลยเอามาทำข้าวต้มมื้อเช้า” “อืม... ข้าวต้มมื้อเช้า อยากกินจังเลย เมื่อคืนกินไม่อิ่ม” “อาจิ๋ว!” มนตกานต์หน้าร้อนซ่าน คำพูดสองแง่สองง่ามนั้น เขาช่างพูดได้ไม่อายปาก “เสียงดังทำไม ก็เมื่อคืนอากินข้าวไม่อิ่มจริงๆ นี่นา ได้กินข้าวต้มร้อนๆ ตอนเช้า เพิ่มพลังงานดีออก อยากกินแล้วล่ะ จะกินให้เกลี้ยงชามเลย” จิณณ์หัวเราะในลำคอเ