บ้านเดี่ยวขนาด 4 ห้องนอน มีพื้นที่อเนกประสงค์ครบครัน มีสนามกว้าง มีสระว่ายน้ำ ในพื้นที่รวมทั้งหมด 1 ไร่เศษ ที่เขาเคยมาเยี่ยมเยือนไก่อูและครอบครัวอยู่บ่อยครั้ง และเมื่อกลับมาเยือนเพื่อตรวจดูสภาพบ้านก่อนจะติดต่อหาคนมาซื้อ เขาก็ให้คำตอบกับตัวเองว่า คนที่จะชอบและรักบ้านหลังนี้จริงคงมีเพียงเขาเท่านั้น เขานึกเสียดายแทน หากเจ้าของใหม่ ที่ไม่เคยมีความทรงจำกับบ้านหลังนี้มาก่อน จะเข้ามาครอบครอง
แต่พอเขาบอกไก่อูเรื่องที่เขาจะซื้อบ้านหลังนี้ไว้เอง ไก่อูกลับเกรงใจที่มาไหว้วานจนเขาต้องรับซื้อบ้านไว้เอง แม้เขาจะอธิบายว่าเขาเสียดายบ้านและมีความทรงจำในบ้านหลังนี้ร่วมกับไก่อูและครอบครัวอยู่แล้ว ขอให้เขาได้เป็นผู้ดูแล แต่ไก่อูก็ไม่อยากให้เขาต้องใช้เงินก้อนโตมาซื้อบ้าน จนเขาบอกว่าจะใช้บ้านหลังนี้เป็น ‘เรือนหอ’ ไก่อูจึงขอกลับไปคิดดูก่อน
และคำตอบก็กลายเป็นว่า ไก่อูขอแบ่งที่ดินเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ 1 นั่นคือตัวบ้านและสวนด้านข้างเล็กน้อย ส่วนที่ 2 คือที่ดินว่างเปล่าที่เคยเป็นลานกิจกรรมเวลาเขามาสังสรรค์ รวมทั้งสระว่ายน้ำด้วย เหตุผลก็เพราะมนตกานต์เปลี่ยนใจไม่ไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่เธอจะเข้ามาทำงานที่กรุงเทพฯ และเธอก็เลือกที่จะอยู่บ้านหลังนี้ เพราะไม่ชอบใช้ชีวิตอยู่บนอาคารสูงอย่างคอนโดมิเนียม
เหตุผลของไก่อูคือสิ่งที่เขายอมรับได้ เพราะจะว่าไปที่ดิน 1 ไร่เศษ ในย่านเศรษฐกิจแบบนี้ก็มากเกินไปสำหรับเขา เพียงครึ่งไร่ก็น่าจะพอเพียง และเมื่อเขาสอบถามเรื่องงานที่มนตกานต์จะมาทำ ไก่อูก็บอกว่าลูกสาวกำลังรอเรียกตัวจากบริษัทรับตกแต่งภายในที่ไปสมัครงานไว้ เขาจึงเสนอให้มนตกานต์มาทำงานกับเขา ไม่ต้องไปลองผิดลองถูกกับบริษัทอื่น แต่ถึงอย่างนั้นไก่อูก็ยังปฏิเสธ
‘ทำไมล่ะครับพี่ไก่ ลูกเจี๊ยบก็เหมือนเป็นหลานผมคนหนึ่ง ผมอยากให้หลานมาทำงานกับผม ดีกว่าไปลองผิดลองถูกกับบริษัทอื่นนะครับ พี่ไก่ก็รู้ว่าตำราเรียนมันใช้ไม่ได้กับการทำงานจริง ชีวิตการทำงานจริงๆ ต่างหากที่จะฝึกให้เราเก่ง ทุกสิ่งที่ผมรู้ ผมจะสอนหลานทุกอย่าง ผมจะให้แกได้ฝึกคิดฝึกทำ จะสอนแกให้เป็นดีไซน์เนอร์อันดับหนึ่งให้ได้ พี่เชื่อมือผมเถอะ’
‘ขอพี่ถามลูกเจี๊ยบก่อนละกันนะจิ๋ว แกน่ะถอดแบบพี่นกมาทุกกระเบียดนิ้ว เหมือนพี่มีแม่คนที่สามว่ะ ถ้าแกว่าไม่ พี่ก็คงต้องบาย แต่พี่จะพยายามบอกความปรารถนาดีของจิ๋วให้แกพิจารณานะ เพราะพี่เองก็อยากให้แกไปทำงานกับจิ๋วนั่นแหละ’
นั่นคือสิ่งที่เขากับไก่อูสนทนากัน และหลังจากนั้นเพียง 2 นาที ไก่อูก็โทรศัพท์มาบอกว่าลูกสาวตกลงจะมาทำงานกับเขา พร้อมทั้งขอให้เขาดำเนินการปรับปรุงบ้านหลังเดิมให้สามารถอยู่อาศัยได้ เพราะบ้านไม่มีใครอยู่มานานจะโทรมมาก ส่วนในเรื่องการซื้อขายที่ดินก็ให้เขาดำเนินการได้เลย จะสร้างบ้าน หรือจะดำเนินการอะไรก็แล้วแต่ความสะดวกของเขา
เขาจึงเข้าไปปรับปรุงพื้นที่ และไก่อูก็บินมาจากเชียงใหม่มาทำเรื่องโอนที่ดิน พร้อมทั้งตรวจดูบ้านที่ต้องปรับปรุงร่วมกับเขา บ้านอาจจะดูทรุดโทรมไปบ้างแต่เพราะเป็นสไตล์วินเทจ จึงยังดูร่วมสมัย สิ่งที่ต้องปรับปรุงมีแค่ทาสี เปลี่ยนประตูและหน้าต่างให้แข็งแรงเท่านั้น จากนั้นก็เดินระบบไฟฟ้าใหม่หมดทั้งหลัง เปลี่ยนสุขภัณฑ์ใหม่เป็นบางห้อง และปรับภูมิทัศน์ให้ดีขึ้น
ส่วนพื้นที่ในส่วนของเขา ตั้งแต่สระว่ายน้ำเป็นต้นไป เขาไม่ได้กั้นรั้วแยกพื้นที่ออกจากกัน เพราะบ้านสไตล์โมเดิลที่เขาสร้างนั้นอยู่ถัดไปจนชิดมุมของพื้นที่ เพื่อเหลือพื้นที่ตรงกลางไว้เป็นลานกิจกรรมดังเดิม จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ 3 เดือนพอดี ที่เขาย้ายตัวเองเข้ามาอยู่อาศัยในบ้านของไก่อู เพื่อความสะดวกในการดูแลการก่อสร้าง แต่วันนี้เขาจะไม่ได้อยู่คนเดียวอีกต่อไป เพราะเจ้าของบ้านตัวจริงมาแล้วน่ะสิ แต่เธอกลับทำให้เขาว้าวุ่น
ก็ใครล่ะจะคิดว่า ‘ลูกเจี๊ยบ’ ตัวอ้วนๆ ฟันเหยิน สิวเกรอะกรัง ใส่แว่นหนาเตอะ จะกลายเป็นสาวสวยโลกสะเทือนได้ถึงขนาดนี้
จริงอยู่ที่เขาเป็นคนนัดแนะให้มนตกานต์มาทำงานวันนี้ และเขาก็พร้อมจะย้ายออกจากบ้านของไก่อูไปอยู่ที่คอนโดฯ ดังเดิม แต่ไก่อูขอร้องให้เขาอยู่เป็นเพื่อนมนตกานต์ก่อน เพราะทีมงานก่อสร้างของเขาเข้าออกบ้านอยู่ตลอด หรือจะเป็นทีมปรับปรุงบ้านของไก่อู ก็รู้ช่องทางเข้าออกบ้านเป็นอย่างดี หากมีใครรู้ว่ามนตกานต์มาอยู่บ้านหลังใหญ่นี้เพียงคนเดียว คงไม่ปลอดภัยแน่
แน่นอนว่าเขาต้องตอบตกลงเพราะเป็นห่วงมนตกานต์ไม่น้อยไปกว่าพ่อแม่ แต่ในเวลานี้เขากลับห่วงตัวเอง ห่วงว่าเขาจะยับยั้งชั่งใจตัวเองไม่ได้เสียมากกว่า ก็ใครใช้ให้ลูกเจี๊ยบขี้เหร่ตัวนั้นแปลงร่างเป็นนางหงส์สง่างาม
‘พี่นุเป็นพี่ชายของเพื่อนลูกเจี๊ยบเองค่ะอาจิ๋ว ลูกเจี๊ยบดีใจนะคะที่ได้เจอพี่นุที่นี่’ นั่นคือคำทักทายที่มนตกานต์มีต่อภานุ
‘ลูกเจี๊ยบยินดีที่ได้รู้จัก พี่ณัฐ พี่อาร์ต พี่ขิม และพี่ใหญ่นะคะ ดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพี่ๆ ค่ะ’
นั่นอีกประโยคแสนหวานที่ส่งผลให้เจ้าณัฐ เจ้าอาร์ต และอาจรวมถึงเจ้าใหญ่ หน้าแดงไปตามๆ กัน และเขาก็รู้นะว่าไอ้ 3 ตัว คงคิดไม่ต่างจากเขาเท่าไร นั่นคือยิ่งอยู่ใกล้มนตกานต์ ความหอมก็ยิ่งกำจายไปทั่ว หอมอ่อนๆ หอมจนอยากเข้าไปสูดดมใกล้ หอมจน...
ปริ๊น!
เสียงแหลมที่ดังขึ้นทำให้เขาตื่นจากภวังค์ และเมื่อเหลือบสายตาขึ้นมองกระจกมองหลังก็เห็นว่ารถของมนตกานต์จอด แถมยังเปิดไฟกะพริบดั่งจะเรียกให้เขาลงไปหาซะอีก
“จะเล่นอะไรอีกเนี่ยลูกเจี๊ยบ แค่นี้ยังปั่นหัวอาไม่พอเหรอไง นี่มันยังไม่...”
จิณณ์ถึงกับพ่นลมหายใจออกจากปากเบาๆ เพราะหงุดหงิดที่มนตกานต์บีบแตรเรียกเขาทั้งที่ยังไม่ถึงบ้าน แต่ที่เห็นนั่นคือเขาขับรถเลยรั้วบ้านไปไกลว่า 10 เมตร
ลิ้นร้อนตวัดลงตามรอยแยกที่มองเห็นเป็นสีชมพูสด หอมหวานและเย้ายวนใจจนจิณณ์อดไม่ได้ที่จะใช้ปลายนิ้วเกลี่ยแยกกลีบดอกออกจากกัน และเขาก็ได้เห็นอีกหนึ่งความงดงามที่รอคอย หยาดเยิ้ม และท่วมท้น มนตกานต์พร้อมแล้ว สิ่งสัมผัสที่หยุดลงพร้อมกับกายแกร่งลุกขึ้นนั่งแทรกกลางระหว่างขา ทำให้มนตกานต์เบิกดวงตากว้างมองดูเขา ก่อนจะหลุบมองความยิ่งใหญ่ที่เธอกลัวเหลือเกิน เมื่อสิ่งนั้นคล้ายจะเคลื่อนไหวได้ราวกับมีชีวิต ดวงตาสวยหวานจึงต้องเสมองไปอีกทาง ไม่กล้ามองดูสิ่งนั้นได้อีก เพราะเจ้าของความยิ่งใหญ่กำลังทอดสายตามองเธออย่างร้องขอ “อารักลูกเจี๊ยบนะคะ” ทว่าคำพูดจากเขากลับทำให้มนตกานต์ต้องหันมอง นั่นคือการร้องขอ มนตกานต์พยักหน้าน้อยๆ ทั้งกลัวทั้งอายจนทนมองหน้าเขาไม่ไหว แต่ก็ให้ความร่วมมือเต็มที่ เมื่อจิณณ์ขยับท่อนขาเข้ามาใต้สะโพก มนตกานต์ก็หลับตาพริ้ม ปล่อยกาย ปล่อยใจไปกับความยิ่งใหญ่ที่ค่อยๆ สอดแทรกเข้ามา ทว่า... “อาจิ๋ว!” “อืม... อาจะค่อยๆ อารักลูกเจี๊ยบนะคะ” อีกครั้งที่เสียงหวานบอกรักนั้นทำให้มนตกานต์ล่องลอย แม้ความอึดอัดคับแน่นจนอาจเรียกว่าเจ็บนั้นกำลั
“ถ้าอย่างนั้นคืนนี้อาจะไม่ทำแบบนั้น แต่อาจะทำแบบเมื่อคืนกับเมื่อเช้า นะ...” จิณณ์ไม่รอคำตอบเพราะทันทีที่มนตกานต์ช้อนสายตาขึ้นมองเขา ริมฝีปากเร่าร้อนก็ประทับจูบที่ปากสีระเรื่อทันที ความหวานปะปนความเร่าร้อนดูดดื่มชอนชิมไม่หยุด ตวัดต้อน ชอนลึก จนมนตกานต์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนที่เรียวลิ้นร้อนของจิณณ์จะหยอกยั่วให้มนตกานต์คล้อยตาม ลิ้นสากอุ่นชื้นสอนให้ลิ้นน้อยอ่อนไหวแตะไต่ตอบสนอง ตวัดต้อนชอนชิมความดุดันของเขาบ้าง 2 ครั้งแรกนั้นมนตกานต์กล้าๆ กลัวๆ ทำได้ดีบ้าง และสำลักบ้าง แต่ครั้งนี้เธอทำได้ดี ลิ้นน้อยหยอกเย้าดูดดุนความสากชื้น จนมนตกานต์ได้ยินเสียงครางงึมงำในลำคอ ใบหน้าสวยจึงมีรอยยิ้ม ทั้งๆ ที่ลิ้นน้อยทำหน้าที่ต่อสู้ฟาดฟันกับจิณณ์ไม่ลดละ ปากประกบ ลิ้นต่อสู้ และฝ่ามือของเจ้าบ่าวก็ทำหน้าที่ จิณณ์เอื้อมฝ่ามือไปใต้แผ่นหลัง ค่อยๆ รูดซิปชุดเดรสตัวสวยอย่างแผ่วเบา ก่อนจะรั้งให้พ้นร่างงามอย่างง่ายดาย ทั่วทั้งร่างของเจ้าสาวที่เขาสัมผัสได้จากฝ่ามือจึงเหลือเพียงบราเซียร์และแพนตี้เข้าชุด จากนั้นนิ้วเร่าร้อนก็ทำหน้าที่ปลดรังดุมได้ตัวเอง ก่อนที่จิณณ์จะครางด้วยความซ่านเสียว เพร
ส่วนภานุก็รับหน้าที่ปิ้งย่างอาหารทะเลร่วมกับวีนาที่คอยดูความเรียบร้อยโดยรวม แม้จะมีป้าแม่บ้านกับน้องฝึกงานที่ออฟฟิศมาช่วยแล้วก็ตาม บรรยากาศชื่นมื่นมีความสุข ทว่าเจ้าบ่าวก็หงุดหงิดไม่เลิก “เป็นอะไรนักหนาวะจิ๋ว แกทำหน้าแบบนี้ เดี๋ยวใครเขาก็เอาไปพูดว่าพี่ให้ลูกสาวมาจับแกนะโว้ย แล้วนี่หงุดหงิดเรื่องอะไร” “กี่โมงแล้วพี่” จิณณ์ตอบไม่ตรงคำถามแต่กลับถามไก่อูกลับ “แกก็มีนาฬิกา ทำไมไม่ดูเองล่ะ” “ก็ผมอยากให้พี่ดู” ไก่อูงงแต่ก็ยกข้อมือขึ้นดูเวลา “จะสี่ทุ่มครึ่งแล้ว ทำไม” “พี่อ่ะ ก็สี่ทุ่มครึ่งแล้วน่ะสิ พี่ลืมอะไรไปหรือเปล่า” “ลืมอะไรวะ ไม่มี!” ไก่อูเสียงสูง ยิ่งทำให้จิณณ์หน้าบึ้ง ก่อนว่าที่พ่อตาจะหลุดขำ เพราะ 4 ทุ่ม 59 นาทีเป็นเวลาส่งตัวบ่าวสาวเข้าหอ นั่นจึงทำให้จิณณ์กระวนกระวาย “เฮ้ยจิ๋ว แกนี่เสียชื่อตัวพ่อสายดาร์กหมดเลยนะโว้ย แกตื่นเต้นเหรอที่จะได้เข้าหอ ไม่ต้องตื่นเต้นนะน้อง มันเรื่องธรรมดา นี่ม้าแกกับพี่นกก็ไปปูที่นอนรอแล้วไง” “จริงเหรอพี่” จิณณ์เกาะแขนไก่อูถามเพื่อความแน่ใจ
มนตกานต์หลบเลี่ยงเมื่อจิณณ์ทำท่าจะโถมเข้ามา ก่อนจะชี้ชวนให้ดูหนุ่มสาวที่กำลังก้าวออกจากออฟฟิศตรงไปยังรถมอเตอร์ไซค์ เพราะณัฐอาสาจะพาขิมไปเย็บแผลที่โรงพยาบาล “พี่ขิมชอบพี่ณัฐค่ะ” “ไม่ได้ชอบ แต่ขิมรักณัฐ รักมาสามปีแล้ว ณัฐมันไม่รู้หรอก มันคิดว่าไอ้ขิมเป็นทอม” “ไม่จริงมั้งคะ ลูกเจี๊ยบว่าพี่ณัฐเขารู้แล้วนะ อาจิ๋วดูสิ” ภาพที่เห็นคือณัฐกำลังใส่หมวกกันน็อคให้ขิมอย่างระมัดระวังที่สุดที่จะไม่ให้โดนแผล และขิมก็อายกับสัมผัสใกล้ชิดจนต้องหลุบสายตา ก่อนจะสะดุ้งเมื่อนิ้วมือของณัฐแฉลบแผลของเธอไป ณัฐตกใจที่ทำขิมเจ็บ ดึงขิมเข้ามากอด ก่อนที่สาวทอมประจำออฟฟิศจะสั่นสะอื้นฮึกฮักอยู่กับอกของณัฐ “สงสัยจะเจ็บแผล” “ผิดค่ะ มีความสุขต่างหาก” “หมดเรื่องแล้ว กลับบ้านเถอะ” “อื้อ... ยังไม่เลิกงานเลยค่ะ” “วันนี้วันทำงานที่ไหนเล่า” “อาจิ๋วจะแกล้งอะไรลูกเจี๊ยบอีกเนี่ย เมื่อเช้าก็ทีนึงแล้วนะ” “ทีนึงอะไร ยังไม่ได้สักที” “อาจิ๋ว!” จิณณ์ยิ้มเข้ามาสวมกอดมนตกานต์ที่หน้าแดงจากคำพูดของเขา พลางชี้ชวนใ
มนตกานต์อมยิ้มน้อยๆ เพราะสาเหตุที่จิณณ์บอกว่าจะเข้างานสาย ไม่ใช่สิ่งที่เธอเข้าใจ แต่เป็นสิ่งนี้ เธอเปิดซองกระดาษหยิบเอกสารด้านในออกมาดู เพราะตอนที่รับมาจากเจ้าหน้าที่ ความตื่นเต้นและเขินอายมีมากจนไม่กล้าจะชื่นชม ดวงตาสวยหวานไล่ไปตามตัวอักษรที่กำกับอยู่บนกระดาษสีนวลมีลวดลายดอกกุหลาบอยู่รอบด้าน ‘ใบสำคัญการสมรส แสดงว่า นายจิณณ์ จิตติกรณรงค์ กับ นางสาวมนตกานต์ ฤทธาอภินันท์ ได้จดทะเบียนสมรส ณ สำนักงานทะเบียน... จังหวัด... เลขทะเบียนที่... เมื่อวันที่ 7 เดือนธันวาคม พ.ศ.2560 นายทะเบียน’ “เราแต่งงานกันแล้วนะ” รอยยิ้มแสนหวานส่งให้คนที่กระชับฝ่ามือ “ขอบคุณนะคะอาจิ๋ว ขอบคุณที่รักลูกเจี๊ยบ ขอบคุณทุกอย่างค่ะ” “อาสิต้องขอบคุณลูกเจี๊ยบ ที่สอนให้อารู้จักความรัก อาไม่สัญญานะว่าจะรักลูกเจี๊ยบมากที่สุดในโลก แต่อาสัญญาว่าจะรักลูกเจี๊ยบทุกวัน สามเวลาหลังอาหาร หัวค่ำ ก่อนนอน และล้างหน้าไก่” “อาจิ๋วอ่ะบ้า!” “บ้าแต่ไม่ห้ามใช่มั้ย” “อาจิ๋ว!” มนตกานต์ฮึดฮัดด้วยความอายก่อนจะเร่งให้จิณณ์รีบออกรถ เพราะที่จิณณ์ว่าสิบโมง แต่น
ร่างงามระหงที่ยืนหันหลังให้เขา อยู่ในชุดเดรสสีเทาอ่อนแขนสั้นตัวยาวกรอมเท้าดูสุภาพอยู่นะ ถ้าด้านหลังจะไม่กว้านลึกจนถึงบั้นเอว ใครจะอยากให้คนอื่นเห็นกันล่ะ “อุ้ย!” มนตกานต์สะดุ้งเมื่อท่อนแขนแกร่งแทรกเข้ามากระชับบั้นเอว พร้อมริมฝีปากแตะเบาๆ ที่ข้างแก้ม แค่นั้นความร้อนก็วูบขึ้นที่ใบหน้าก่อนจะกระจายวาบไปทั่วร่าง เพราะเหตุการณ์เมื่อคืนเพิ่งผ่านพ้นไปไม่กี่ชั่วโมง “หอมจัง... วันนี้มีอะไรกิน” คนพูดว่าหอมจัง หอมอีกหลายครั้งที่สองแก้ม สลับไปมาซ้ายขวา ดั่งความหอมนั้นไม่ได้มาจากอาหารแต่เป็นสองแก้มนี้ “ข้าวต้มไก่น่ะค่ะ เมื่อวานเราไม่ได้กินข้าวที่บ้าน ข้าวเย็นเลยเหลือเยอะ ลูกเจี๊ยบเลยเอามาทำข้าวต้มมื้อเช้า” “อืม... ข้าวต้มมื้อเช้า อยากกินจังเลย เมื่อคืนกินไม่อิ่ม” “อาจิ๋ว!” มนตกานต์หน้าร้อนซ่าน คำพูดสองแง่สองง่ามนั้น เขาช่างพูดได้ไม่อายปาก “เสียงดังทำไม ก็เมื่อคืนอากินข้าวไม่อิ่มจริงๆ นี่นา ได้กินข้าวต้มร้อนๆ ตอนเช้า เพิ่มพลังงานดีออก อยากกินแล้วล่ะ จะกินให้เกลี้ยงชามเลย” จิณณ์หัวเราะในลำคอเ