กู้หว่านเยว่ขอให้ระบบแสดงแผนที่ของภูเขาใกล้เคียงขึ้นมา จึงได้รู้ว่าข้างหน้าไกลออกไปสองชั่วยาม มีหมู่บ้านเล็กๆ อยู่“ถ้าท่านเชื่อข้า ก็ให้ทุกคนตามข้ามา”“ตามท่านไป?”ซุนอู่ลังเลกู้หว่านเยว่แข็งแกร่งมากก็จริง แต่นางไม่ใช่ผู้เบิกทางเส้นทางจางเอ้อร์ที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้นว่า “หัวหน้า ข้าว่าฝนครั้งนี้พิลึกนัก ไม่รู้ว่าตากฝนนานเข้าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกหรือเปล่า เช่นนั้น พวกเราไม่สู้ฟังคำแนะนำของแม่นางน้อยกู้”เขาเสริมอีกว่า“ตั้งแต่แรกเริ่ม พวกเราก็เชื่อฟังแม่นางน้อยกู้มาตลอด ก็ไม่เคยมีผิดพลาดนะขอรับ”“ก็ใช่”ประสบการณ์ในฐานะหัวหน้านักการศาลาว่าการ เป็นได้ไม่ดีเท่ากู้หว่านเยว่“ก็ได้ ท่านนำทาง พวกเราจะเดินตามท่านเอง”ด้วยเหตุนี้ ซุนอู่จึงให้นักการปลุกทุกคนขึ้นมา แล้วให้พวกเขาลุกขึ้นออกเดินทางต่อไปคนอื่นๆ เองก็สัมผัสได้ว่าฝนที่ตกลงมาผิดปกติ ดังนั้นจึงรีบออกเดินทางอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องมีนักการมาเร่งแต่สำหรับตระกูลซูเก่าแล้ว ช่างทุกข์นักหลิวซื่อกำลังอุ้มคนบาดเจ็บเอาไว้ หนักเสียจนก้าวเดินไม่ได้เมื่อมองไปที่เกวียนลาของกู้หว่านเยว่ นางก็ขอร้องเบาๆ“หว่านเยว่ เจ้าว่าให้อาสี่
“รีบเดินเร็วเข้า เร็วหน่อย!”กู้หว่านเยว่รีบพูดกับพวกฮูหยินเหยียนว่า “ฮูหยินเหยียน ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่ง พวกท่านรีบอุ้มเด็กทั้งหมดขึ้นเกวียนของข้าเร็วเข้า พวกเราจะได้เดินทางได้เร็วขึ้น”กู้หว่านเยว่โยนผ้าห่มทิ้งเพื่อให้มีที่ว่างสำหรับเด็กๆ คนตระกูลนี้หลั่งน้ำตาด้วยความขอบคุณ แล้วรีบอุ้มเด็กๆ ขึ้นมาคาราวานฝ่าฟันพายุที่รุนแรง เดินทางอย่างเร่งรีบ และในที่สุด สองชั่วยามต่อมา ก็เห็นแสงสว่างริบหรี่ในความมืด“หมู่บ้าน นั่นคือหมู่บ้าน!”หลังจากถูกฝนกรดกัดผิวมาทั้งคืน ยามนี้ ร่างกายของทุกคนโปะโคลนไม่มีช่องว่า น่าอับอายอย่างยิ่ง อนาถยิ่งกว่าขอทานเสียอีก“มีใครอยู่หรือไม่?”ซุนอู่รีบพาคนไปเคาะประตูบ้านของครอบครัวหนึ่ง ผู้ที่มาเปิดประตูนั้น เป็นชาวนาวัยชราผู้หนึ่ง“ผู้เฒ่า ท่านให้พวกเราพักที่บ้านท่านสักคืนได้หรือไม่ขอรับ?”“ฝนตกหนักเช่นนี้ พวกเจ้ารีบเข้ามาเร็วเถอะ”ชาวนาเฒ่าพยักหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วเชิญให้ทุกคนเข้าไปลานบ้านที่เรียบง่ายของที่นี่ แย่กว่าห้องไร้ราคาของโรงเตี๊ยม แต่ตอนนี้ ห้องห้องนี้มีหลังคา เช่นนี้ทุกคนก็พอใจมากแล้วในขณะที่ทุกคนกำลังจะรีบเข้าไป ทันใดนั้นก็มีเสียงไม่พอใจดั
“ไม่มีทาง พวกเราหนีออกมาได้แล้ว ไม่มีใครจะจับพวกเรากลับไปได้อีก”ฟู่เยียนหรานขมวดคิ้วและพูดว่า“กลับไปข้าจะไปสืบหาตัวตนของพวกเขาทีหลัง พวกเขาอาจจะไม่ได้มาที่นี่เพราะพวกเราก็ได้”“พี่หญิง ข้าก็ยังกลัวอยู่ดี…” ฟู่ซานก้มหัวลง“เจ้ากลัวอะไร? เจ้าลืมไปแล้วว่าตอนที่ข้าเกิดมา ร้อยวิหคก่อเฟิ่งหวง นี่คือสัญลักษณ์ของผู้สูงศักดิ์ ข้าจะต้องก้าวไปข้างหน้าให้ได้ และเหลือเพียงโอกาสนี้โอกาสเดียวเท่านั้น”…เมื่อกู้หว่านเยว่ที่อยู่นอกประตูได้ยิน ดวงตาก็แสดงความประหลาดใจอย่างสุดซึ้ง จากนั้นก็ยกยิ้มออกมานี่ไม่ใช่นางเอกหรอกหรือ?ผู้ที่ถือกำเนิดพร้อมนิมิตหมายอันดีจากท้องฟ้า ไม่ใช่ได้รับนิมิตจากท้องฟ้าเมื่อเธอเกิดมาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากภรรยาของมู่หรงอวี้ ฟู่เยียนหราน ฮองเฮาแห่งต้าฉีในอนาคต!ไม่คิดว่าในหมู่บ้านที่ไร้ชื่อแห่งนี้ จะพบนางเข้าได้ ฟู่เยียนหรานคนนี้เป็นตัวละครที่โหดเหี้ยมคนหนึ่ง นางเป็นลูกที่เกิดจากอนุของอ๋องหนานหยาง ถูกผู้เป็นป้าหมั้นหมายไว้กับผู้บัญชาการที่รับใช้ข้างกายบิดาเสียเพียงที่ผู้บัญชาการคนนั้นนิสัยเลวทราม วันแต่งงานจึงหนีไปกับน้องชายแท้ๆ แต่ได้รับการช่วยเหลือจากมู่หรงอวี้ระหว่
หากซูหัวจวิ้นกล้าหาเรื่องนาง ช่วงนี้นางก็คันไม้คันมือ อยากระบายอารมณ์อยู่พอดีซูจิ่นเอ๋อร์ยังกังวลอยู่เล็กน้อย นับตั้งแต่ที่หลี่ซือซือตายไป ลุงสี่ของนางคนนี้ก็ดูเหมือนจะเสียสติไปแล้วคนบ้าคนหนึ่ง ยากจะรู้ได้ว่าเขาจะทำเรื่องอะไรออกมาบ้าง“พี่สะใภ้ใหญ่ระวังไว้ดีกว่านะเจ้าค่ะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา ท่านตะโกนออกมาแค่คำเดียว ข้าจะรีบไปทุบเขาให้ตายเลยเจ้าค่ะ!”“ไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก เจ้าดูแลตัวเองกับท่านแม่ให้ดีก็พอแล้ว ข้าจะพาพี่ชายเจ้าไปอาบน้ำเสียหน่อย”ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน กู้หว่านเยว่ก็ยกร่างของซูจิ่งสิงขึ้นมาแล้วเดินไปที่ห้องครัวเมื่อเดินเข้าไปในครัว ซูจิ่งสิงก็นั่งลงอย่างช่ำชอง แก้มของเขาแดงก่ำด้วยความเขินอาย“ข้าอาบเองก็ได้”“อ้อ”กู้หว่านเยว่เองก็ไม่ได้คิดจะช่วยเขาอาบเช่นกัน“ข้าจะไปอาบน้ำในมิติ ส่วนท่านอาบข้างนอก อาบไปด้วยก็ระวังคนให้ข้าไปด้วยนะเจ้าคะ”มิติ? นั่นคืออะไร?ซูจิ่งสิงสงสัยนัก เมื่อเห็นว่าหลังจากกู้หว่านเยว่ลงกลอนประตูห้องครัวแล้ว กะพริบตาหนึ่งครั้ง นางก็หายตัวไปทันที“กู้หว่านเยว่!”การหายตัวไปอย่างกะทันหันของผู้หญิงคนนั้น ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดในใจ ถึงกับ
ไม่นาน เจ้าหน้าที่หนุ่มกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาจากนอกประตูเมื่อฟู่เยียนหรานเห็นเจ้าหน้าที่ ใบหน้าก็แสดงสีหน้าหวาดกลัว รีบดึงฟู่ซานไปซ่อนตัวอยู่หลังบ่อน้ำจนกระทั่งแน่ใจว่าเจ้าหน้าที่เหล่านี้ไม่ได้มาตามหาพวกตน นางจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกกู้หว่านเยว่เองก็สังเกตเห็นเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้เช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมาหาครอบครัวชาวนานี้เสียมากกว่าเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเตะถาดตากข้าวแล้วบอกว่า “รีบจ่ายค่าภาษีเดือนนี้มาเสีย”ชายชราและครอบครัวยื่นเงินออกไปด้วยสีหน้าเศร้าโศก“แค่ตำลึงเดียวเองหรือ?”“เดือนที่แล้วก็ไม่ใช่แค่ตำลึงเดียวหรอกหรือ?...”ลูกชายของชาวนาปากมากไปสักนิด เจ้าหน้าที่คนหนึ่งจึงผลักเขาลงพื้น ทุบตีอย่างแรงทันที“เดือนนี้ขึ้นแล้ว เป็นสองตำลึง รีบเอามา ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าก็ต้องกินไม่หมด แอบห่อพากลับ[footnoteRef:1]!” [1: เปรียบเทียบกับการ ก่อเรื่องไม่ดีหรือทำให้เกิดเรื่องไม่ดี จำต้องแบกรับ รับผลที่ตามมา มักจะใช้สำหรับตักเตือนคนว่า จะทำเรื่องอะไรอย่าลืมคำนึงถึงผลที่ตามมา] สามีภรรยาคู่ชราร้องขอความเมตตาพลางเอาเงินออกมาหมดบ้าน ในที่สุด พวกเขาก็รีดเอาเงินสองตำลึงออกมาได้“ดี
“ได้ ข้ารับฝากเอาไว้แล้ว”กู้หว่านเยว่กำลังกังวลว่าจะไม่หาคนมาลองมือ ในเมื่อพวกเขามาส่งถึงหน้าประตูเช่นนี้ ก็อย่าโทษนางที่ลงมือหนักเกินไปแล้วกันเดิมทีก็คิดว่าจะสั่งสอนพวกเขาสักหน่อยแล้วค่อยปล่อยไป แต่อีกฝ่ายกลับยังกล้าขู่ออกมาได้อีก เช่นนั้นก็ต้องกำจัดทิ้งเสียกู้หว่านเยว่โปรยผงพิษใส่พวกเขาไปแล้ว ไม่นานจากนี้ คนเหล่านี้ก็จะไม่ตายดีเมื่อมองดูรอยยิ้มแปลกๆ ของผู้หญิงคนนั้น เถียนจวิ้นก็มักจะรู้สึกอยู่เสมอว่าเขาพูดอะไรผิดไป ทั้งยังรู้สึกว่าตนเองกำลังจะสูญเสียบางสิ่งที่สำคัญไป ดังนั้นจึงรีบวิ่งหนีไปพร้อมกับลูกน้องใต้บังคับบัญชากู้หว่านเยว่จึงเดินกลับมาที่คาราวานเนรเทศ“แม่นางน้อยกู้ ทำได้ดีมากเลย!”“แม่นางน้อยกู้ ทวงความยุติธรรมแทนสวรรค์ ท่านสุดยอดมากเลย!”หลายคนยกนิ้วให้ในเวลานี้ จู่ๆ ฟู่เยียนหรานก็เดินเข้ามาหานาง ขมวดคิ้วและพูดว่า“กู้หว่านเยว่ เจ้าเป็นแค่นักโทษยังกล้าโอหังอวดดี ทุบตีเจ้าหน้าที่ของทางการ ถ้าทำให้ทุกคนเดือดร้อนจะทำอย่างไร?”ไม่แน่ว่านั่นอาจจะพลอยเปิดเผยตัวตนของนางไปด้วย“ความหมายของเจ้าคือ ข้าควรยืนเจ้าหน้าที่พวกนั้นลวนลามหรือ?”กู้หว่านเยว่แค่นเสียงหัวเราะ
เมื่อพิจารณาว่าเครื่องครัวเครื่องใช้ต่าง ๆ พังเสียหายระหว่างทางหมดแล้ว กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงจึงไปตลาดก่อนเพื่อซื้อของใช้จำเป็นเหล่านี้“เราไปซื้อเสื้อผ้าฝ้ายเพิ่มกันเถอะ”กู้หว่านเยว่ขยับแขนเข้าหาตัว ยิ่งเดินทางขึ้นเหนือ อากาศก็ยิ่งหนาวเหน็บขึ้นทุกทีหากไม่ซื้อเสื้อผ้าฝ้ายมาเตรียมไว้ กลัวว่าพออุณหภูมิลดลงจะไม่มีเสื้อผ้าใส่ ถ้าเกิดหนาวจนเป็นหวัดขึ้นมาคงจะลำบากแย่“ตกลง ถึงอย่างไรเราก็ยังมีลาเทียมเกวียน ไม่ต้องกลัวว่าจะขนไม่พอ”ซูจิ่งสิงย่อมไม่ปฏิเสธดังนั้นกู้หว่านเยว่จึงพุ่งเข้าไปในร้านขายเสื้อผ้า ซื้อเสื้อผ้าฝ้ายหนา ๆ มาหลายชุด พร้อมกับซื้อปุยฝ้ายและผ้าฝ้ายมาอีกหนึ่งถุง ตั้งใจว่าจะใช้ทำรองเท้าปุยฝ้ายระหว่างทางสุดท้ายก็ซื้อผ้าห่มหนา ๆ อีกสองผืน ก็น่าจะครบถ้วนแล้วหลังจากซื้อของเสร็จ กู้หว่านเยว่ก็นึกถึงเรื่องสำคัญ นั่นคือถึงเวลาที่จะไป “เยี่ยมเยียน” ผู้ว่าการอำเภอเถียนคนนั้นแล้วนางลากลาเทียมเกวียนเข้าไปในตรอกเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ต่อหน้าต่อตาซูจิ่งสิง ก็เก็บลาเทียมเกวียนทั้งคันเข้าไปในมิติซูจิ่งสิง ...แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เห็น แต่ทุกครั้งก็ยังรู้สึกตกตะลึง“เอาละ ตอนน
“ใต้เท้า ของ ของหายไปหมดแล้วเจ้าค่ะ!”“พูดบ้าอะไร?” เถียนเฝินเปิดม่านเตียงอย่างหงุดหงิด แล้วก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าทั้งห้องเหลือแค่เตียงนอนเท่านั้น ของอื่น ๆ นอกจากนั้นหายเกลี้ยง!แม้แต่เสื้อผ้าที่เขาโยนไว้บนพื้นก็หายไปด้วย“คันเหลือเกิน ตัวข้าคันไปหมด คันจนจะตายอยู่แล้ว” เถียนเฝินคันจนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น ไม่สนใจที่จะสืบหาสาเหตุแล้วเล็บที่แหลมยาวของเขา เกาตัวเองจนเลือดออกในทันที“ใต้เท้า ท่านหยุดเกาได้แล้ว น่ากลัว ข้าจะหนีแล้ว!” สาวงามกลัวว่าจะติดโรค จึงจับชายกระโปรงแล้ววิ่งหนีไป“สมน้ำหน้า คันให้ตายไปเลย!”ถ้าเถียนเฝินยังเกาแบบนี้ต่อไป ไม่นาน ผื่นพิษก็จะลามไปทั่วร่างกายเขากู้หว่านเยว่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น นางก็อารมณ์ดีขึ้นมากซูจิ่งสิงเห็นดังนั้น ก็ยกยิ้มมุมปากเช่นกันหลังจากมองอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าคนกำลังจะมาแล้ว ทั้งสองก็รีบไปที่ห้องหนังสือของเถียนเฝิน“เถียนเฝินกล้าเหิมเกริมขนาดนี้ เบื้องหลังต้องมีคนคอยหนุนหลังแน่ ๆ เราไปหาเบาะแสที่ห้องหนังสือกันเถอะ”“อืม”ซูจิ่งสิงมีความสามารถในการสืบสวนที่ยอดเยี่ยม ในไม่ช้าเขาก็พบจดหมายติดต่อในกล่
“อ๊ะๆๆๆ!”วูเมิ่งร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด ถ้าหากไม่ได้โดนมัดไว้ เขาคงเจ็บจนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นแล้ว“เขียนบนพื้น”กู้หว่านเยว่ยื่นน้ำชาให้เขาหนึ่งถ้วยน้ำตาของวูเมิ่งแทบจะแห้งแล้ว แม้ห้องปรุงพิษของพวกเขาก็มักจะสอบสวนผู้อื่นเช่นนี้แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนสอบสวน“ข้าเขียน ข้าเขียน”เขารีบทำปากพูด พลางยื่นมือสองข้างที่โดนมัดเข้าด้วยกันออกไป ใช้นิ้วชี้จุ่มลงไปในน้ำชาเดิมทีอยากฉวยโอกาสดีดยาพิษในซอกเล็บออกมา กลับพบว่าโดนกู้หว่านเยว่ค้นตัวจนไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ยาพิษในซอกเล็บก็โดนขูดออกมาแล้วเขากัดฟันแน่น ใช้ดวงตาที่เป็นประกายจ้องกู้หว่านเยว่เขาชอบผู้หญิงสวย ผู้หญิงที่เก่งกาจ เขายิ่งชอบ‘ชวีอวี้’ เก่งกาจเช่นนี้ เขาชอบสุดๆรอเขามีโอกาส เขาจะสยบนางแน่นอน“เขียน” กู้หว่านเยว่สั่งอย่างใจเย็นเหลือเวลาไม่มากแล้ว ชวีเฟิงกล้าร้องหนึ่งชั่วยาม แต่ใช้ว่าวูเมิ่งจะทำได้นานเช่นนี้“คุกใต้ดินห้องปรุงพิษ” วูเมิ่งเขียนลงบนพื้นกู้หว่านเยว่ประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าอยู่ในมือของเจ้าไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงอยู่ที่ห้องปรุงพิษ?”แววร้อนตัวแลบผ่านดวงตาวูเมิ่งเขาเขียน “ไม่พูดเช่นนี้ เจ้าจะยอมแต่งง
“ให้ตายเถอะ!”ชวีเฟิงยังไม่ทันได้ใช้ศิลปะการต่อสู้เลย ก็เห็นเขาโดนกู้หว่านเยว่ผลักจนล้มลง จึงอุทานออกมาด้วยความตกใจ“ท่านทำอะไรกับเขา?”“เปล่านี่ แค่ทำให้เขาสลบ จะได้สอบสวนง่ายขึ้น”กู้หว่านเยว่พูดอย่างสบายๆนางเป็นไปที่ตรงหน้าวูเมิ่ง ค้นตามร่างกายเขาครู่หนึ่ง พบอาวุธลับและยาพิษมากมาย“แหม โชคดีที่ทำให้เขาสลบก่อน ของพวกนี้สามารถทำให้พวกเราเสียเวลาพักใหญ่เลย”“ของพวกนี้มันอะไร?” ชวีเฟิงมองขวดเหล่านั้นอย่างงงงวย“นี่คือยาพิษที่ฆ่าคนได้ในพริบตา”“น้ำยาทำลายศพ ความหมายตามชื่อเลย มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงมาก”“ไห่ถังเจ็ดดาว ไร้สีไร้รส ผู้ที่ถูกพิษจะหมดสติทันที ตายอยู่ในความฝัน อีกทั้งยังเป็นฝันดีด้วย ตอนตายยังยิ้มอยู่เลย”“อันนี้…”“เดี๋ยวก่อน เลิกพูดได้แล้ว!”กู้หว่านเยว่ยังจะพูดต่อ ชวีเฟิงรีบห้ามนาง “ของพวกนี้ก็น่ากลัวมากแล้ว ขืนฟังต่อไป ข้ากลัวว่าข้าจะฝันร้ายทำไมเขาถึงพกยาพิษมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวตัวเองโดนพิษของตัวเองเลยหรือ”“เขาเป็นคนของห้องปรุงพิษ เจอยาพิษป้องกันตัวบนตัวเขาก็เป็นเรื่องปกติ”กู้หว่านเยว่เก็บยาพิษเหล่านั้นเข้าไปในมิติอย่างใจเย็นหลังจากนั้น นางเดินไปที่ประตู ม
“อวี้เอ๋อร์ ข้ามารับเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงล็อคประตูล่ะ? เป็นเจ้าสาวก็เลยเขินอย่างนั้นหรือ?”เสียงของผู้ชายดังมาจากข้างนอกความเกลียดชังปรากฏขึ้นบนใบหน้าชวีอวี้“วูเมิ่งมาแล้ว”“เจ้ารีบไปซ่อนตัวเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่รีบกล่าวออกคำสั่ง ชวีอวี้พยักหน้า ออกจากห้องเวลานี้เป็นไปไม่ได้แล้ว นางกวาดมองโดยรอบ แล้วรีบไปหลบที่ใต้เตียงชวีเฟิงจะเข้าไปเปิดประตูกู้หว่านเยว่กล่าวเตือน “จำไว้ ไม่ว่าเวลาใดก็อย่าเปิดเผยตัวตน หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็นึกถึงแค้นบัญชีเลือดของครอบครัวเจ้า”“เข้าใจแล้ว”ชวีเฟิงข่มอารมณ์แล้วพยักหน้าหลังจากเขามองกู้หว่านเยว่อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จึงจะเดินไปเปิดประตูเขากับวูเมิ่งเคยเจอกัน กลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้ ดังนั้นหลังจากเปิดประตูก็รีบก้มหน้า โชคดีที่ความสนใจของวูเมิ่งไม่ได้อยู่ที่เขา“อวี้เอ๋อร์”สายตาของวูเมิ่งราวกับติดอยู่กับตัว ‘ชวีอวี้’ เขาเดินไปที่ตรงหน้านาง แล้วจ้องนางอย่างหลงใหล“วันนี้เจ้าสวยจริงๆ สวยจนข้าไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง”สีหน้าวูเมิ่งเต็มไปด้วยความลุ่มหลงเขายื่นมือออกไป หวังจะจับแก้มของ ‘ชวีอวี้’“ไสหัวไป!”‘ชวีอวี้’ หันหน้าหนีอย่างความรังเกียจ
กู้หว่านเยว่เผยอปาก นี่คือสิ่งที่นางอยากได้ยิน“อยากให้ข้าช่วยให้สกุลชวีผ่านมรสุมครั้งนี้ มันไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่าต่อจากนี้เจ้าต้องฟังข้า”กู้หว่านเยว่มีเจตนาที่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่านางคิดแผนรับมือไว้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว“ท่านพูดมาได้เลย”ชวีเฟิงรีบลุกขึ้น“ให้พี่หญิงของเจ้าถอนชุดแต่งงานกับมงกุฎหงส์ลงมาก่อน”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่ง“เจ้าหาข้ออ้างเรียกสาวใช้ที่อยู่หน้าประตูเข้ามา หลังจากตีนางสลบ ถอดเสื้อชั้นนอกของนางออก แล้วสวมบนตัวเจ้า”กู้หว่านเยว่สั่งอย่างเป็นระเบียบ ชวีเฟิงมองไปทางชวีอวี้ พยักหน้าเบาๆ“พี่หญิง ทำตามที่นางบอก”“...ได้”ชวีอวี้คิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุดก็ยังเลือกเชื่อกู้หว่านเยว่ อย่างไรก็ตามสีหน้ากู้หว่านเยว่ดูเรียบเฉยมาก ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมนางเรียบถอดชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ลงมาวางบนโต๊ะ“หลังจากนั้นล่ะ?”“หลังจากนั้นข้าจะปลอมตัวเป็นเจ้าสาว แต่งเขาบ้านวูเมิ่งแทนเจ้า”กู้หว่านเยว่ฉีกหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าออก ชวีอวี้จึงจะพบว่าที่แท้นางเป็นผู้หญิงด้วยความประหลาดใจกู้หว่านเยว่สวมชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ โชคดีที่การสวมใส่มงกุฎหงส์ของเมี่ยวเ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป