“ข้าน้อยระหกระเหเร่ร่อน อยู่ตัวคนเดียว ไร้จุดหมายปลายทาง แล้วแต่โชคชะตาจะลิขิต แต่ข้าน้อยก็มีหัวใจ และยกหัวใจให้ชายอื่นไปแล้วที่ข้าทำร้ายแม่ทัพฟู่ ไม่ใช่เพื่อเรื่องอื่นใด แต่เพื่อหัวใจของข้าเอง”แม้ว่าน้ำเสียงของเหลียงถงอวี้จะฟังดูอ่อนแอมาก แต่ยามที่ลั่นวาจาออกมา กลับดูจริงจังกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงต่างมองหน้ากัน และบอกว่า‘ก็แค่คำพูด!’“ฮูหยิน เหลียงถงอวี้ผู้นี้อยากรนหาที่ตายเองเจ้าค่ะ” ชิงเหลียนกล่าวเสียงเบาเรื่องนี้ชักยุ่งยากเสียแล้วสิแม่ทัพผู้เฒ่าฟู่อยากให้เหลียงถงอวี้ชดใช้ด้วยชีวิต ซึ่งเหลียงถงอวี้ก็ยอมตายเช่นกันและวิธีการที่ง่ายที่สุดก็คือเหลียงถงอวี้ต้องตายแต่โจวเสี้ยนกลับอยากให้เหลียงถงอวี้มีชีวิตอยู่ต่อ“พระชายา ข้าน้อยมีเรื่องอยากจะพูดคุยกับพระชายาเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่เจ้าคะ?”จู่ ๆ แม่เล้าก็โพล่งออกมากู้หว่านเยว่เดาออกว่านอกจากเหลียงถงอวี้แล้ว แม่เล้าน่าจะเป็นคนที่เข้าใจต้นเหตุของเรื่องราวได้ดีที่สุดหลังจากครุ่งคิดครู่หนึ่ง ก็พยักหน้า “ไปคุยกันด้านในเถอะ ข้าเองก็เหนื่อยอยู่พอดี”แม่เล้ามีไหวพริบดีมาก รีบสั่งให้เด็ก ๆ ทันทีว่า “ไป ไปยกน้ำชาและขนมม
แล้วเหตุใดถึงได้พูดกลับไปกลับมาเช่นนี้ บอกเรื่องสัญญาการขายตัวและคืนแห่งตัณหากับแม่ทัพน้อยฟู่แล้วใช่หรือไม่? ความขัดแย้งครั้งนี้ เจ้าไม่ได้เป็นคนยั่วยุหรอกใช่หรือไม่?”“โธ่ ใส่ร้ายกันแล้ว ใส่ร้ายกันแล้วเจ้าค่ะ”แม่เล้าร้องเสียงหลง“ข้าบอกเรื่องนี้กับแม่ทัพน้อยฟู่อย่างชัดเจน อธิบายให้เขาฟังเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ แต่เขาดันไม่ฟังเอง ทั้งยังขู่ข้า หากข้าไม่ยกถงอวี้ให้เขา จะเข้าค้นและยึดหอนางโลมของพวกเรา ในข้อหาค้ามนุษย์ผิดกฎหมาย ข้า....ข้าจะคัดค้านได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ?”เหลียงถงอวี้คือคนที่แม่เล้าเลี้ยงดูมากับมือ แม่เล้ารักนางมาก ไม่ยอมเห็นนางตายไปเฉย ๆ อย่างแน่นอน แต่ถ้าเทียบกับอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับหอเทียนเซียง แม่เล้าเลือกอย่างหลังมากกว่าบัดนี้กู้หว่านเยว่รู้ความจริงอย่างชัดเจนแล้ว“เจ้าพูดความจริงใช่หรือไม่?”“จริงแน่นอน!”“ดี งั้นข้าขอถามเจ้าหน่อย หากเจ้าเจอกับแม่ทัพน้อยฟู่ เจ้าจะกล้าคุมเชิงเขาอย่างไร?”“เรื่องนี้... หากพระชายารับปากข้าว่าหากพูดความจริงไปแล้ว ข้าจะไม่โดนพวกเขาแก้แค้นคืนทีหลัง ข้าก็กล้ารับประกัน”กู้หว่านเยว่พยักหน้า “ข้ารับปากเจ้า”แม่เล้ารีบกล่าว “เช่นนั
ซูจิ่งสิงกล่าวเสียงขรึม “ในเมื่อขัดคำสั่งก็ต้องโดนลงโทษ มิเช่นนั้นต่อไปใครจะนับถือ?”แม่ทัพผู้เฒ่าฟู่กล่าวอย่างกระวนกระวายใจ “เขา...เขามีสภาพเป็นเช่นนี้แล้ว จะทนต่อการถูกเฆี่ยนตีห้าสิบครั้งนี้ได้อย่างไรขอรับ? ทำเช่นนี้ จะเอาชีวิตเขาเลยหรือ?”เขารีบกล่าวว่า“ดั่งคำกล่าวที่ว่า รู้เลี้ยงไม่รู้จักสั่งสอนเป็นความผิดของพ่อแม่ หากท่านอ๋องจะลงโทษบุตรชายอกตัญญูผู้นี้ ไม่สู้ให้ข้ารับแทนเถิด”กู้หว่านเยว่ขมวดคิ้วแน่น “ปีนี้แม่ทัพผู้เฒ่าฟู่อายุจะหกสิบปีแล้ว โดนเฆี่ยนตีห้าสิบครั้งแบบนี้ ท่านอยากเอาชีวิตไปทิ้งเปล่าใช่หรือไม่?”“หากท่านอยากตายขึ้นมาจริง ๆ ต่อไปทหารในค่ายจะมองท่านอ๋องอย่างไร ไม่กล่าวหาท่านอ๋องว่าเลือดเย็น โหดร้ายทารุณต่อแม่ทัพผู้เฒ่าเลยหรือ”แม่ทัพผู้เฒ่าฟู่มีสีหน้าซีดเผือด “ข้า... ไม่ได้หมายความเช่นนี้ขอรับ”“ในเมื่อไม่ได้หมายความเช่นนี้ ท่านก็ต้องลุกขึ้น ตั้งใจฟังท่านอ๋องตรัสให้จบ”กู้หว่านเยว่ขยิบตาหนึ่งครั้ง ฉู่เฟิงรีบรุดหน้าเข้าไปประคองแม่ทัพผู้เฒ่าขึ้นมาจากพื้น “ท่านอ๋อง...”นัยน์ตาของเขาไร้ความรู้สึก ซูจิ่งสิงมองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยเสียงขรึมว่า “ฟู่ฉิวทำเ
ซูจิ่งสิงบอกเรื่องที่เหลียงถงอวี้ไม่ได้เป็นอะไรแล้วกับโจวเสี้ยนแววตาของโจวเสี้ยนวูบไหวเล็กน้อย ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าของซูจิ่งสิง“ขอบคุณในความเมตตาของท่านอ๋องขอรับ บุญคุณอันใหญ่หลวงของท่านอ๋อง ข้าน้อยจะไม่มีวันลืมตลอดชีวิต”ชิงเหลียนขมวดคิ้วพลางกล่าว“แต่น่าเสียดายที่คนได้รับการช่วยเหลือกลับไม่สำนึกบุญคุณนี้ ทั้งยังอยากตายเสียด้วยซ้ำ”นางทนเห็นคนทำไม่ดีต่อกู้หว่านเยว่ไม่ได้แพขนตาของโจวเสี้ยนสั่นไหวเล็กน้อยกู้หว่านเยว่กล่าวว่า “ระหว่างพวกเข้าอาจเป็นการเข้าใจผิดกัน หากอยากแก้ไขความเข้าใจผิดนี้ มิสู้เจ้าถือโอกาสนี้ไปคุยกับนางสักหน่อยเถิด ข้าว่าท่าทีที่นางเปลี่ยนไป คงเกี่ยวกับเจ้าอย่างแน่นอน”โจวเสี้ยนกล่าวว่า “ข้า...ข้าออกจากค่ายทหารตอนนี้ได้หรือไม่?”ตอนนี้เขากลับกลายเป็นทหารที่ถูกจับเป็นเชลยศึก เป็นคนที่ถูกคุมขังเสียเอง“อนุญาตให้เจ้าออกไปได้หนึ่งครั้ง” ซูจิ่งสิงพยักหน้าในเมื่อกู้หว่านยว่พูดขนาดนี้แล้ว เขาคงจะทำให้นางเสียหน้าไม่ได้อีกทั้งเขาเองก็มองออก ว่านี่คือโอกาสเดียวที่เขามีหากจะให้โจวเสี้ยนยอมจำนน เขายังมีหลากหลายวิธี แต่หากจะให้อีกฝ่ายยอมรับเจ้านายอย่างพวกเขาส
แววตาของซูจิ่งสิงเปล่งประกายวาบหนึ่ง แม้ว่าเขาจะไม่เคยเจอแมงมุมพันขามาก่อน แต่กลับเคยได้ยินชื่อของมันเจ้าสิ่งนี้มีชื่อเสียงพอ ๆ กับนกพิราบทองคำตัวหนึ่งเป็นมือดีส่งสารไกลพันลี้อีกตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบศัตรูและสะกดรอยตาม“นี่สินะแมงมุมพันขา”ซูจิ่งสิงเพ่งพินิจแมงมุมที่อยู่ในขวดแก้วพลางกล่าวว่า“ได้ยินมาว่าเจ้าสิ่งนี้มาจากหนานเจียง มันจะเจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมของหนานเจียง เจ้าเอามันมาจากองค์หญิงหนานเจียงอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่คลี่ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์“เดิมทีองค์หญิงหนานเจียงตั้งใจจะใช้แมงมุมตัวนี้เป็นเกาะป้องกันไม่ให้โดนจับตัวได้ ผลปรากฏว่านางไม่รู้ว่าข้าซ่อนตัวอยู่ในห้วงมิติและกลบกลิ่นอายของตัวเอง หลังจากที่ข้าเจอองค์หญิงหนานเจียง จึงถึงโอกาสเก็บแมงมุมพันขาตัวนี้กลับมาด้วย”“โจรชัด ๆ!”ซูจิ่งสิงโพล่งออกมาคาดว่าเฟิ่งหมิงกวงคงจะกำลังสงสัยว่าว่าทำไมแมงมุมพันขาถึงใช้งานไม่ได้ใครเลยจะคาดถึงว่ากู้หว่านเยว่จะมีความสามารถด้านนี้“ว่าแต่แมงมุมตัวนี้จะอยู่รอดปลอดภัยในห้วงมิติของเจ้าหรือ?”ครั้นได้ยินว่าแมงมุมตัวนี้ปรับตัวอยู่ได้แค่ในสภาพแวดล้อมของห
บางทีอาจจะรักษาสายเลือดของสกุลฟู่เอาไว้ได้”แม่ทัพผู้เฒ่าฟู่เงยหน้าขึ้นมาอย่างตกใจ นัยน์ตาทอประกายแสงของหยาดน้ำตาเขายังคิดอยู่เลยว่าซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่อาจจะมีใจลำเอียงไปทางโจวเสี้ยน แล้วทอดทิ้งขุนนางที่สร้างคุณประโยชน์ให้แก่เจดีย์หนิงกู่อย่างพวกเขาไว้ด้านหลัง “ขอบคุณท่านอ๋อง ขอบคุณพระชายามากขอรับ”แม่ทัพผู้เฒ่าฟู่รีบคุกเข่าลงตอนนี้เขารู้แล้ว ในใจของท่านอ๋องและพระชายายังมีเขาอยู่ซูจิ่งสิงประคองแม่ทัพขึ้นมา พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า“เรื่องนี้ฟู่ฉิวเป็นคนผิด หากข้าไม่อธิบายให้พวกเขาเข้าใจ ภายภาคหน้า คำสั่งของข้าอาจจะเป็นเรื่องยาก เพียงแต่ท่านโปรดวางใจ ข้าได้สั่งให้คนดูแลบุตรชายของท่านเป็นอย่างดีแล้ว”“ท่านอ๋อง....”แม่ทัพผู้เฒ่าฟู่รู้สึกละอายแก่ใจ ทั้งยังรู้สึกว่าตนนั้นช่างโง่เขลายิ่งนักท่านอ๋องและพระชายาทุ่มเทใจถึงเพียงนี้ แต่เขายังคงคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเหล่านั้นอยู่คนเดียว ไม่ควรเลยจริง ๆ “ข้ารู้ผิดแล้ว ทั้งหมดเป็นเพราะข้าอบรมสั่งสอนเขาไม่ดี ทั้งยังต้องรบกวนท่านอ๋องมาจัดการแทนข้า ช่างน่าละอายใจยิ่งนัก”แม่ทัพผู้เฒ่าโจวคุกเข่าลงอีกครั้ง“ลุกขึ้น ลุกขึ้นเ
เป็นเหลียงถงอวี้นี่เองนางผ่านการร้องไห้มาแล้ว ดวงตาจึงได้ปูดโปนเหมือนลูกมะนาวโจวเสี้ยนมองนางอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะขานเรียกออกไปนัยน์ตาของเหลียงถงอวี้สั่นไหว น้ำตาเอ่อล้นและไหลพรากลงมานางอยากเดินเข้าไปคุยกับโจวเสี้ยน แต่จู่ ๆ ก็นึกอะไรบางอย่างได้ จึงกลั้นใจหันไปทางอื่น“แม่ทัพโจวมาทำไมเจ้าคะ? ข้าบอกไปแล้วมิใช่หรือว่าเราจะไม่พบกันอีกตลอดชีวิต?”ในใจของโจวเสี้ยนปวดร้าว จนพูดไม่ออกครั้นฉู่เฟิงเห็นเหตุการณ์นั้น ก็รีบเดินเข้าไปพูดเสริมอยู่ข้างหูของเขา“เร็วสิ รีบพูดสิ ท่านอ๋องให้โอกาสเจ้าเพียงครั้งเดียวนะ”ฉู่เฟิงเร่งรัด บุรุษผู้นี้แสดงความรักเป็นที่ไหน เห็นแล้วเขารู้สึกขัดใจยิ่งนักโจวเสี้ยนได้สติทันทีใช่ โอกาสครั้งเดียวของเขา“ถงอวี้ ข้ารอดตายกลับมาได้ กว่าจะได้มาเจอเจ้าไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้ากลับพูดกับข้าเช่นนี้หรือ?”โจวเสี้ยนทำตัวน่าสงสาร “ตอนนี้ข้าพูดเช่นนี้ก็เพื่อเป็นการปลอบใจ ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ข้าจะรอดกลับมาได้อีกหรือไม่ เห็นแก่ความรักที่เราสองคนเคยมีให้กัน เจ้าจะไม่พูดกับข้าสักคำเลยหรือ?”“เจ้า...”ในที่สุดเหลียงถงอวี้ก็ใจอ่อน นางพยายามอดกลั้นก่อนจะเมินหน้าไปทางอื
“สกุลโจวของพวกท่านคือแม่ทัพผู้สูงส่ง ข้าเป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้านริมทาง มิอาจเอื้อมถึง และไม่อยากทำร้ายท่าน”หลังจากที่เหลียงถงอวี้พูดจบ ก็ผลักโจวเสี้ยนออกไป จากนั้นก็หันหลังให้เขาแม้ว่านางจะยากจน แต่นางก็มีศักดิ์ศรีในตัวเองนางศึกษาตำรามากมายมาตั้งแต่เด็ก พ่อของเขามาหานางถึงที่เช่นนี้แล้วคำพูดเหล่านั้นทำให้นางรู้สึกแย่กว่าการชี้หน้าด่าทอนางเสียอีก“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”โจวเสี้ยนรู้สึกผิดในใจอย่างมากเรื่องของเขาคงรู้ถึงหูของท่านพ่อ แต่ท่านพ่อเคยบอกกับเขาว่าจะสนับสนุนพวกเขาสองคนคาดไม่ถึงจริง ๆว่า เขาจะแอบมาหาเหลียงถงอวี้ลับหลังเขา “ถงอวี้ ข้าไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน”“ข้ารู้ว่าท่านไม่รู้เจ้าค่ะ”เหลียงถงอวี้ทอดถอนใจ ภูมิหลังของพวกเขาซับซ้อนมาก ไม่เหมาะสมที่จะอยู่ด้วยกันแต่เขาเชื่อว่าตนมองคนไม่ผิดแน่นอนโจวเสี้ยนทำเรื่องเช่นนี้ไม่ได้“เป็นเพราะท่านไม่รู้ ดังนั้นข้ายิ่งถ่วงรั้งท่านไม่ได้”เหลียงถงอวี้กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว“ท่านไปเถอะ ชาเย็นหมดแล้ว ถือว่าท่านดื่มไปแล้ว ต่อไปนี้เราจะไม่เจอหน้ากันอีก”น้ำเสียงของนางหนักแน่นไม่เปลี่ยนแปลงโจวเสี้ยนมองนางด้วยสายตาลึกซึ้
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้