“ท่านอ๋อง ครอบครัวของเราเล่า?”ฮูหยินกลุ่มหนึ่งอุ้มลูกน้อยเดินรุดหน้าเข้ามา และกล่าวถามด้วยน้ำเสียงสะอื้น แม้ว่าความจริงแล้วจะพอคาดเดาอะไรได้บ้างแล้วก็ตามหยางหนานอ๋องทอดถอนใจ “ข้าปกป้องพวกเขาได้ไม่ดี”“ท่านพี่ ทำไมท่านถึงทิ้งข้า? ในท้องของข้ายังมีเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านอยู่นะ....”“ท่านพ่อ ต่อไปข้ากับท่านแม่จะทำอย่างไร?”เสียงร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดดังระงมออกมาจากกลุ่มฮูหยิน หนานหยางอ๋องได้ยินแล้วก็พลันตาแดงก่ำ“ขอโทษ ข้าต้องขอโทษพวกเจ้าจริง ๆ”“ท่านอ๋อง ท่านอย่างกล่าวเช่นนี้ เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของท่าน”ทุกคนไม่ได้จมปลักอยู่ในความโศกเศร้านัก หนานหยางอ๋องดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาเสมือนพวกเขาเป็นพระโอรสของตนเสมอ ทั้งยังส่งคนไปช่วยพวกเขาออกมาจากค่าย หากจะโทษก็คงต้องโทษฮ่องเต้น้อยผู้นั้น!ฮ่องเต้น้อยผู้นั้นมีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต“ท่านอ๋องท่านต้องแก้แค้นให้ท่านพี่ของข้า”“ใช่ สังหารฮ่องเต้น้อย สังหารฮ่องเต้น้อย!”ทุกคนตะโกนด้วยความฮึกเหิม ความเกลียดชังที่มีต่อฮ่องเต้น้อยพุ่งทะยานสู่จุดสูงสุดครั้นนึกถึงพวกเขา ทุกคนล้วนแต่เป็นครอบครัวของผู้ที่เสียสละปกป้องประเทศชาติ บุรุษต้องออก
หวังปี้ตัดสินใจว่าจะลองขอเจรจาดูก่อน หากไม่ใช่อาวุธก็จะดีมาก“เจ้ามีเงินใช่หรือไม่?”เมื่อเห็นหวังปี้ส่ายหน้า กู้หว่านเยว่จึงกล่าวถามอย่างรังเกียจและไม่พอใจว่า“แล้วเจ้ายังจะกล้าขอต่อรองอีกหรือ? ขอสันติกับพวกโจร เจ้าใสซื่อเกินไปหรือเปล่า?”“ก็ข้าคิดไม่ออก” หวังปี้เกาศีรษะ พวกเขาชินกับการใช้กำลัง ก่อนเปิดศึกก็ต้องเจรจาสักหน่อยโจรที่อยู่ตรงข้ามถ่มน้ำลายอย่างหมดความอดทน “ให้ตายเถอะ เจ้ากล้าเล่นลูกไม้กับข้านะ จับพวกเขาไว้!”สิ้นสุดเสียงของโจรผู้นั้น ลูกน้องที่อยู่ด้านหลังก็พากันกวัดแกว่งมีดเล่มใหญ่และเดินล้อมเข้ามา“ช่วยด้วย!” สตรีและเด็ก ๆ ต่างกรีดร้องเสียงแหลม “สตรีและเด็กที่ไร้ทักษะการต่อสู้ไปซ่อนตัวข้างใน ส่วนคนที่มีทักษะการต่อสู้เตรียมรับศึก ห้ามวุ่นวายเด็ดขาด!”เสียงที่ค่อนข้างดุดันดึงดูดความสนใจของกู้หว่านเยว่ ทันทีที่หันไปก็พบว่าเป็นพระชายาหนานหยาง นางสั่งให้สาวใช้ซ่อนตัวอยู่ข้างใน ส่วนที่เหลือก็หยิบอาวุธจากรถม้า จากนั้นก็เข้าสู้กับพวกโจรเหล่านั้น“ท่านพี่ รับหอกไป”กล่าวได้ว่าเป็นหอกพิฆาต ที่เสียงทะลุใครเป็นต้องตายสิ้น!กู้หว่านเยว่หยิบหอกพิฆาตด้ามหนึ่งออกมาจากห้
“ข้าไม่เป็นไร” เมี่ยชิงหว่านส่ายหน้า แต่สีหน้ากลับซีดเผือดลงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านางเสียเลือดมากซูจื่อชิงเดินไปเดินมา เขาร้อนใจจนกระทั่งมีเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก “พี่สะใภ้ ท่านช่วยดูแผลให้ชิงหว่านหน่อยขอรับ”กู้หว่านเยว่สาวเท้าก้าวใหญ่เข้าไปหา โน้มตัวลงดูบาดแผลของเมี่ยชิงหว่าน“เส้นเลือดบนข้อมือของนางถูกตัด ทำให้เลือดไหลไม่หยุด ต้องรีบพันแผลเดี๋ยวนี้”ลูกน้องของหลิวจ้งชางคนนี้ร้ายกาจยิ่งนัก ยังดีที่เป็นเส้นเลือดบนข้อมือ หากหลิวจ้งชานคนนี้เชือดเข้าที่คอของนาง ป่านี้นางคงได้ไปเฝ้าท่านยมราชไปแล้ว“ใช้มือกดแผลของนางไว้!”แขนของเมี่ยชิงหว่านมีเลือดไหลไม่หยุด พระชายาหนานหยางรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา จากนั้นก็กดแผลของนางไว้“ซูฮูหยิน ข้าจะช่วยเจ้าเอง!”น้ำเสียงนั้นฟังดูร้อนใจอยู่ไม่น้อย สายตาที่เต็มไปด้วยความกังวลคู่นั้นได้จ้องมองที่เมี่ยชิงหว่านตลอดเวลากู้หว่านเยว่เห็นท่าทางชำนาญของพระชายาหนานหยาง ก็พยักหน้า แล้วขึ้นไปหยิบผ้าก๊อซและผ้าพันแผลรวมถึงยาห้ามเลือดจากบนรถม้า“ช่วยทำความสะอาดแผลของนางให้ข้าหน่อย”“เจ้าค่ะ”พระชายาหนานหยางรีบรับผ้าก๊อซมาพันแผลให้เมี่ยชิงหว่านทันที จากน
ทางฝั่งของกู้หว่านเยว่เห็นโจรเหล่านั้นถูกเก็บกวาดของมีค่าจนเกลี้ยงแล้ว ก็เริ่มเปิดระบบติดตามตัว หาที่อยู่ของหลิวจ้งชางเมื่อเห็นไฟสีแดงกะพริบบริเวณยอดเขาชิงเฟิง กู้หว่านเยว่ก็แทบจะยิ้มไม่ออก“บุรุษผู้นี้ตั้งใจจะพาเราไปกวาดล้างกองบัญชาการใหญ่เลยหรือ น่าแปลกใจยิ่งนัก ”ทันทีที่ซูจิ่งสิงเห็นสีหน้าของภรรยาตน ก็รู้ทันใดว่านางกำลังคิดจะทำสิ่งใด นางคงอยากกวาดล้างค่ายชิงหลงอย่างแน่นอน"เจียงเฟิ่ง ลู่จิงพวกเจ้าปิดงาน”หลังจากที่ซูจิ่งสิงออกคำสั่งแล้ว เขาก็พาตัวกู้หว่านเยว่ลอยออกไปทันทีเจียงเฟิ่งและลู่จิงติดตามพวกเขามาเนิ่นนาน เรื่องเก็บกวาดพวกโจรเหล่านี้เป็นเรื่องเล็กสำหรับพวกเขา เขาไม่ต้องกังวลว่าจะผิดพลาดแต่อย่างใด“ท่านพี่ บินไปทางขวาของภูเขา!”กู้หว่านเยว่อยากจะใช้วิธีทะลุมิติ แต่การที่ปลายเท้าได้สัมผัสกับผืนป่า รับรู้ถึงสายลมที่ปะทะหน้าก็นับว่าไม่เลวซูจิ่งสิงบินไปตามปลายนิ้วของกู้หว่านเยว่ หลังจากบินไปจนสุดปลายทาง ไม่นานพวกเขาก็เห็นค่ายโจรกลุ่มหนึ่งที่ซ่อนเร้นอยู่บนภูเขาค่ายโจรแห่งนี้สร้างขึ้นจากไม้ไผ่ บริเวณรอบนอกถูกล้อมด้วยก้อนหิน ดูแข็งแรงทนทานมากทีเดียว“หัวหน้าของค่ายชิง
กู้หว่านเยว่กล่าวเสนอ นัยน์ตาของซูจิ่งสิงเปล่งประกาย รู้สึกว่าความคิดนี้ไม่เลวเลยทั้งสองคนลงจากเขาทันที จากนั้นก็ตามหาหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่อยู่ในละแวกใกล้เคียง เพื่อบอกให้ชาวบ้านไปรายงานจวนขุนนางชาวบ้านที่อยู่บริเวณตีนเขาแห่งนี้มักจะได้รับการก่อกวนจากค่ายชิงหลงอยู่บ่อยครั้ง จึงเกลียดชังพวกเขาเข้ากระดูกดำ เมื่อได้ยินเช่นนั้นพวกเขาก็รีบนำข่าวนี้ไปรายงานจวนขุนนางทันที“พวกเราไปกันเถอะ”เมื่อเห็นชาวบ้านไปรายงานแล้ว กู้หว่านเยว่ไม่ยอมเปิดเผยชื่อเสียงเรียงนาม รีบพาซูจิ่งสิงกลับมารวมกลุ่มกับทุกคนอีกครั้งเวลานี้ทุกคนเพิ่งจะทำแผลเสร็จ กลุ่มโจรก่อนหน้านั้นถูกเจียงเฟิ่งพาไปจัดการเรียบร้อยแล้ว“ไป พวกเราออกเดินทางกันต่อเถอะ”ทลายค่ายโจรได้ก็นับว่าแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้ประชาชนได้ ในใจของกู้หว่านเยว่ดีใจยิ่งนักแต่เรื่องที่นางไม่รู้คือ หลังจากที่พวกนางจากไปได้ไม่นาน หลิวจ้งชางที่สลบไสลก็ค่อย ๆ ได้สติเขาศึกษาพวกวิชานอกรีตมาจากเจียงหู การต่อต้านยาแฝดจึงค่อนข้างแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป ยาแฝดมีฤทธิ์ต่อเขาเพียงชั่วคราวเท่านั้นหลิวจ้งชางที่ฟื้นตัวแล้วรีบก้มมองเสื้อผ้าที่ถูกปลดเปลื้อง กระทั่
เมื่อรู้ว่าสูญเสียผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเองไปอีกชุดหนึ่ง มู่หรงอวี้ก็ไม่สบอารมณ์“คนต่ำช้า เจ้าคนต่ำช้าผู้นี้!”“ท่านอ๋อง เกิดอะไรขึ้น?”เถาเอ๋อร์มองไข่มุกแม่น้ำแมนจูเรียนที่เปล่งประกายระยิบระยับอยู่หน้าร้าน แววตาจ้องเขม็ง ในยุคปัจจุบันนางเป็นเพียงคนยากจนคนหนึ่ง ไม่สามารถจ่ายเงินซื้อไข่มุกแม่น้ำแมนจูเรียนขนาดใหญ่เช่นนี้ได้มู่หรงอวี้ฉีกจดหมายออก เหมือนกำลังจะขาดสติ“กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิง พวกเขาทั้งสองรุดไปที่ภูเขาชิงเฟิงอย่างไม่ทราบสาเหตุยกเค้าสถานที่ที่ข้าซ่อนอาวุธไว้จนไม่เหลือหลอ!”นั่นคือกองกำลังที่เขาเพียรสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบาก กู้หว่านเยว่มีเจตนาเป็นแน่ เป็นดาวมฤตยูของเขาอย่างแท้จริง!ไม่เช่นนั้นเหตุใดนางถึงไม่ไปกวาดล้างค่ายกองโจรอื่น ๆ เจาะจงต้องมาจับจ้องของเขาด้วย?ยิ่งไปกว่านั้นจากการบรรยายในจดหมาย ค่ายชิงหลงก็เหมือนกับคลังสินค้าทั้งหลายของเขาก่อนหน้านี้ ไม่เหลืออะไรไว้ให้แม้แต่ผมเส้นเดียว “กู้หว่านเยว่ต้องมีกลุ่มลูกน้องที่ชำนาญในการปล้น ปล้นคลังสินค้าของข้าไปให้นางจนหมด!”เถาเอ๋อร์ได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงเช่นกัน “พวกเขาไม่ได้อยู่ในเจดีย์หนิงกู่หรือ? เหตุใดวิ่ง
“ชาวบ้านได้กินผักสดกันหมดแล้วหรือยัง?”“ได้กินแล้ว ได้กินแล้ว คนที่ยังไม่ได้ปลูกผัก ล้วนกระซิบกระซาบว่าจะปลูกด้วยกัน”ตอนนี้ทุกครัวเรือนในหมู่บ้านสือหานต่างเฝ้ารอให้เขาเรียนรู้วิธีปลูกผักในเรือนกระจก ทำให้หัวหน้าหมู่บ้านโจวยุ่งจนหัวหมุนในช่วงนี้กู้หว่านเยว่ยิ้มเล็กน้อย นี่เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น ต่อไปก็จะสอนชาวบ้านให้ปลูกผักและธัญพืชมากขึ้น ให้เจดีย์หนิงกู่กลายเป็นยุ้งฉางของโลกเสียเลย!“หัวหน้าหมู่บ้าน ข้าจะพาคนไปก่อน ทะเบียนบ้านของพวกเขาต้องรบกวนท่านแล้ว”หลังจากเร่งการเดินทางมาครึ่งเดือน ทุกคนต่างเหนื่อยล้ากันมาก กู้หว่านเยว่วางแผนที่จะจัดการเรื่องที่อยู่อาศัยของพวกเขาให้เสร็จโดยเร็วที่สุด“ไม่รบกวน ไม่รบกวน พรุ่งนี้ข้าจะเข้าเมืองจัดการให้พวกเขา”หัวหน้าหมู่บ้านโจวมาส่งกู้หว่านเยว่ถึงหน้าประตูเรือนด้วยไมตรีจิตหลังออกจากหมู่บ้านสือหานได้หนึ่งเดือน เพิ่งจะถึงเรือน ซูจิ่นเอ๋อร์ก็กระโจนออกมาจากข้างใน“พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าคิดถึงท่านมากเลย!”สาวน้อยแทบจะขึ้นเกาะบนตัวนาง ดึงกู้หว่านเยว่มาถามนู่นถามนี่ด้วยความตื่นเต้นดีใจนางหยางและซูจิ้งก็ตามออกมาเช่นกัน ซักถามกู้หว่านเยว่ว่าพบเจอ
นางหยางเหงื่อแตกพลั่ก แต่กู้หว่านเยว่กลับไม่เป็นอะไร นางรู้จักร่างกายของตัวเองดี จึงจะไม่โอ้อวดเด็ดขาด ยิ่งไปกว่านั้น ระบบดูเหมือนจะสนใจทารกในท้องของนางมาก พยายามคิดหาวิธีถนอมความอบอุ่นให้นางอยู่ตลอดเวลา“ท่านแม่ ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องของพวกข้า รีบกินข้าวเถอะ”หลายคนกำลังกินข้าวด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง หลังจากกินข้าวเสร็จ นางหยางก็ต้มน้ำอาบให้ทั้งสองและปูที่นอนให้เรียบร้อยหลังจากเก็บข้าวของเสร็จ ซูจื่อชิงก็กลับมาแล้วเช่นกัน“จัดการเรื่องที่พักเสร็จแล้วหรือ?” กู้หว่านเยว่เอ่ยถาม คนที่หนานหยางอ๋องพามามีจำนวนไม่น้อย นางไม่รู้ว่ากระท่อมจะพออยู่หรือไม่ซูจื่อชิงเช็ดเหงื่อ “จัดการที่พักเสร็จแล้ว แต่ทุกคนยังไม่คุ้นชิน ร้องหนาวกันอยู่ตลอด”ก็ไม่เห็นแปลก พวกเขาเป็นคนจากทางใต้ จู่ ๆ ก็วิ่งมาที่เจดีย์หนิงกู่ ตัวเรือนยังเรียบง่าย ไม่มีเสื้อผ้ากันหนาว ไม่หนาวก็แปลกแล้วแต่พวกเขาก็ต้องผ่านไปได้ด้วยตัวเองเท่านั้น กู้หว่านเยว่พาพวกเขามาถึงเจดีย์หนิงกู่ นับว่าเป็นความเมตตาที่สุดแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะช่วยเหลือทุกอย่างหลังจากพูดคุยกับซูจื่อชิงไม่กี่คำ กู้หว่านเยว่ก็ไล่เขาออกไป ตั้
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้