กู้หว่านเยว่ขมวดคิ้วแน่น ไม่แปลกใจเลยที่อาการของฟู่หลานเหิงจะหนักขนาดนี้ คงเป็นเพราะร่างกายสะสมความเหนื่อยล้าจนถึงขีดสุดแล้ว“ใจเย็น ๆ ก่อน ข้าจะจับชีพจรเขาดูก่อน”ในสถานการณ์แบบนี้ ใช้ยาสมุนไพรคงไม่ได้ผลแล้วกู้หว่านเยว่ให้อาจารย์หลิวออกไปก่อน จากนั้นแอบหยิบยาพิเศษจากมิติออกมาฉีดให้ฟู่หลานเหิงขณะที่ซูจิ่นเอ๋อร์ไม่ทันสังเกตจากนั้นก็หยิบเข็มเงินออกมา ฝังเข็มให้กับฟู่หลานเหิง“จิ่นเอ๋อร์ เจ้าช่วยข้าเฝ้าประตูไว้ อย่าให้ใครเข้ามารบกวน”“เจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่หยิบเข็มเงินออกมา และหาจุดฝังเข็มของฟู่หลานเหิงได้อย่างแม่นยำการฝังเข็มต้องใช้สมาธิอย่างมาก จิตใจต้องจดจ่ออย่างสูง หากมีขั้นตอนใดผิดพลาดเพียงขั้นตอนเดียว ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ก็จะสูญเปล่าเข็มแรก แทงลงไปที่จุดไป่ฮุ่ย* ของฟู่หลานเหิงก่อนเข็มที่สอง จุดอี้เฟิง*เข็มที่สาม จุดต้าอิ๋ง*...ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว กู้หว่านเยว่เหงื่อท่วมตัว และเข็มสุดท้ายก็แทงเข้าที่จุดเสินถิง* ของฟู่หลานเหิงเห็นได้ชัดว่าสีหน้าของฟู่หลานเหิงดีขึ้นแล้ว ดวงตาที่ปิดสนิทของเขาก็ค่อย ๆ ลืมขึ้น“หว่านเยว่?”ในช่วงสับสน เขาเห็นซูจิ่น
เมื่อเห็นว่าซูจิ่นเอ๋อร์ออกไปแล้ว ซูจิ่งสิงก็พูดขึ้นอย่างลังเล “เจ้ากับฟู่หลานเหิง...”กู้หว่านเยว่เลิกคิ้ว “ข้ากับฟู่หลานเหิงทำไมหรือ ท่านก็สงสัยว่าเรามีความสัมพันธ์กันงั้นหรือ?”“แน่นอนว่าไม่” ซูจิ่งสิงรีบกล่าวขึ้น “ข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้า”เขาเชื่ออย่างสนิทใจว่ากู้หว่านเยว่ปฏิบัติต่อฟู่หลานเหิงอย่างเหมาะสม แต่เขาไม่แน่ใจว่านางมีความรู้สึกอื่นหรือไม่ถึงอย่างไรทั้งสองคนก็เป็นเพื่อนเล่นสมัยเด็ก ฟู่หลานเหิงก็รักกู้หว่านเยว่มากเขาขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ถ้าฟู่หลานเหิงขอให้เจ้าอยู่ต่อ เจ้าจะอยู่หรือไม่?”กู้หว่านเยว่ตกตะลึง ในที่สุดก็รู้ว่าซูจิ่งสิงกำลังคิดอะไรอยู่ นางจึงจงใจพูดว่า “ถ้าข้าอยากอยู่ต่อ ท่านจะให้ข้าอยู่หรือไม่?”ซูจิ่งสิงขมวดคิ้ว กล่าวขึ้นด้วยความอึดอัด“ไม่”“งั้นก็จบแล้วไม่ใช่หรือ?” กู้หว่านเยว่หาวแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงฝังเข็มเหนื่อยเกินไปแล้ว นางต้องพักผ่อนให้เต็มที่ซูจิ่งสิงยังอยากจะพูดอะไรอีก แต่ก็ได้ยินเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของนางเมื่อมองใบหน้าที่สงบขณะหลับของนาง ในที่สุดซูจิ่งสิงก็เข้าใจในสิ่งที่นางพูดเมื่อครู่นี้ ในใจของเขาก็พลันเต็มไปด้วยความสุข รู้สึกว
ซูจิ่งสิง!“เจ้าปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้!” ท่านี้มันน่าอายเกินไปแล้วกู้หว่านเยว่ยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ “ก็ท่านบอกให้ข้าพาท่านไปด้วยไม่ใช่หรือ?”“กู้หว่านเยว่!” ซูจิ่งสิงกัดฟัน“เอาละ เลิกเล่นได้แล้ว เดี๋ยวก็ปลุกจิ่นเอ๋อร์และคนอื่น ๆ ตื่นหรอก”กู้หว่านเยว่ตบก้นของเขาเบา ๆ ไม่อยากจะพูดเลยว่านุ่มมือดีจริง ๆซูจิ่งสิง อยากจะตายแล้วความอับอายของเขาอยู่ได้ไม่นาน ก็รู้สึกตกใจกับการกระทำของกู้หว่านเยว่ เพียงแค่พริบตาเดียวนางก็ออกไปไกลกว่าสิบเมตรแล้วจากนั้นก็เดินตามหลังหมอโจวไปอย่างไม่ใกล้ไม่ไกล จนมาถึงร้านขายยาของสกุลโจวร้านขายยาของสกุลโจวเป็นร้านขายยาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองตงโจว แบ่งออกเป็นสองชั้น ชั้นล่างและชั้นบน ด้านหลังยังมีโกดังเก็บยาหลายโกดัง มีสมุนไพรกองอยู่เต็มไปหมดหมอโจวได้ตำราแพทย์มาแล้ว ก็เหมือนได้สมบัติล้ำค่า จึงขังตัวเองอยู่ในห้องเพื่อศึกษาค้นคว้าแต่ไม่ทันสังเกตเลยว่ามีคนแอบตามเขาเข้ามาในร้านขายยาจากด้านหลัง“เจ้าคิดจะทำอะไร?”หลังจากถูกวางลง ซูจิ่งสิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในที่สุดเขาก็ไม่ต้องอยู่ในท่าทางที่น่าอึดอัดอีกต่อไปเมื่อเงยหน้าขึ้นมองกู้หว่านเยว่ที่
นี่ไม่ใช่ตำราแพทย์อะไรเลย แต่เป็นสมุดภาพที่กู้หว่านเยว่ขีดเขียนเล่น ๆสิ่งที่วาดไว้ข้างใน ไม่ใช่เต่าก็เป็นตะพาบ แถมยังมีคำด่าทอที่เป็นที่นิยมในสมัยใหม่ด้วยหมอโจวยอมทิ้งศักดิ์ศรีไปทำตัวเป็นโจร ศึกษาตำราทั้งคืน สุดท้ายก็ได้แค่ของแบบนี้มาเขาสติแตกแล้วโมโหจนขว้างตำราแพทย์ลงพื้น จากนั้นเดินออกไปด้วยความโกรธ“กู้หว่านเยว่ นางเด็กสารเลว เจ้ากล้าหลอกข้า เจ้าไม่ตายดีแน่...เอ๊ะ สมุนไพรของข้าล่ะ?”เมื่อเห็นร้านขายยาที่ว่างเปล่า เขายังคิดว่าตัวเองตาฝาด จึงรีบขยี้ตาจนกระทั่งขยี้ตาไปหลายสิบรอบแล้วก็ยังเห็นภาพเดิม สุดท้ายก็ตกใจจนทรุดลงไปกองกับพื้น“ร้านของข้า สมุนไพรของข้า สมุนไพรล่ะ!”เสียงร้องไห้ของหมอโจว ทำให้หมอและเด็กในร้านขายยาคนอื่น ๆ ตกใจกันหมดทุกคนต่างตกใจจนหน้าถอดสี รีบไปแจ้งทางการ เนื่องจากสมุนไพรสูญหายไปมากขนาดนี้ ทางการย่อมให้ความสำคัญอย่างยิ่งอย่างไรก็ตาม เมื่อไปตรวจสอบที่ร้านขายยา ก็ไม่พบว่ามีใครบุกรุกเข้าไปในร้าน แต่กลับพบชุดดำภายในห้องของหมอโจวทางการสงสัยว่าหมอโจวจงใจสร้างเรื่องขึ้นมา หมอโจวที่น่าสงสารไม่เพียงแต่ไม่ได้รับการชดใช้ความเสียหาย แต่ยังถูกจับเข้าคุกและถู
จางเอ้อร์กระทืบเท้า “เป็นคนของสกุลซู พวกเขา พวกเขาติดโรคระบาดแล้ว!”“เป็นไปได้อย่างไร?”สีหน้าของกู้หว่านเยว่เปลี่ยนไป นางให้ซูจิ่นเอ๋อร์ต้มยาป้องกันโรคระบาดแบ่งให้ทุกคนกินทุกวันถ้าทุกคนดื่มยาแล้ว จะไม่มีทางติดโรคระบาดแน่นอนซูจิ่นเอ๋อร์ที่อยู่ในห้องได้ยินเสียงก็ออกมา แล้วรีบบอกกู้หว่านเยว่ว่า“พี่สะใภ้ ท่านฟังข้านะ ข้าใช้ห่อยาที่ท่านให้มาต้มตลอด ไม่มีทางเกิดปัญหาแน่นอน”“จิ่นเอ๋อร์ ข้าเชื่อเจ้า”ซูจิ่นเอ๋อร์อาจจะเคยเป็นคุณหนูเอาแต่ใจอยู่บ้าง แต่หลังจากที่นางปรับปรุงตัวแล้ว ตอนนี้ก็ระมัดระวังในการต้มยาเป็นอย่างมากกู้หว่านเยว่เคยดูอยู่ข้าง ๆ หลายครั้ง ก็มั่นใจในเรื่องนี้ได้นางมองไปที่จางเอ้อร์ “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ มีคนในสกุลซูกี่คนที่ติดโรคระบาด?”“ข้าก็ไม่รู้แน่ชัดว่ากี่คน แต่ที่รู้ ๆ คือนางจินจากบ้านใหญ่ใกล้จะไม่ไหวแล้ว คนอื่น ๆ ก็อาจจะติดโรคไปด้วยหัวหน้าของเราสั่งให้คนไปล็อกห้องเก็บฟืนแล้ว ไม่ให้คนข้างในออกมา”“ล็อกห้องเก็บฟืน?” กู้หว่านเยว่สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ คิ้วขมวดเข้าหากันนอกจากพวกเขาและเหล่านักการแล้ว สกุลเหยียน สกุลหลี่ สกุลเซิ่ง และสกุลซูทั้งหมดก็อยู่ใน
ตามหลักแล้ว ทุกคนดื่มยาป้องกันโรคทุกวัน และไม่ได้สัมผัสกับผู้ป่วย จึงไม่น่าจะติดเชื้อได้เว้นแต่ว่าพวกเขาจะสัมผัสกับสิ่งของที่ผู้ป่วยเคยใช้แต่ของของผู้ป่วยจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?กู้หว่านเยว่เต็มไปด้วยความสงสัย ก่อนอื่นให้ซูจิ่นเอ๋อร์ไปเตรียมสำลีมาหลายสิบอัน แล้วเขียนชื่อของแต่ละคนลงบนสำลีจากนั้นแจกจ่ายให้คนของบ้านใหญ่และนักการในศาลาว่าการ สั่งให้แต่ละคนใช้สำลีป้ายเบา ๆ ที่ลำคอ แล้วใส่ลงในแก้วที่สะอาดแยกกัน และนำมาส่งให้นางนางก็ค่อยนำสำลีเหล่านี้เข้าไปตรวจสอบที่ตึกการแพทย์ที่อยู่ในมิติของนาง“โชคดีที่คนข้างนอกไม่ได้ติดเชื้อมาลาเรีย”ซุนอู่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกขอบคุณสวรรค์ ส่วนนักการคนอื่น ๆ ก็โล่งใจเช่นกันต่อไปก็ถึงตาของนักโทษเนรเทศที่อยู่ในห้องเก็บฟืนแล้วเมื่อหน้าต่างเปิดออกเล็กน้อย คนที่อยู่ข้างในก็รีบกรูเข้ามาทันที และทุบขอบหน้าต่างด้วยความตื่นเต้น“แม่นางน้อยกู้ ช่วยพวกเราด้วยเถอะ!”“ใช่แล้ว พวกเราหลายคนไม่ได้ป่วย เหตุใดต้องขังพวกเราไว้ด้วยกันข้างในนี้ เราไม่อยากตายนะ”ทุกคนในห้องเก็บฟืนต่างตื่นตระหนก อาจพังหน้าต่างออกมาได้ทุกเมื่อกู้หว่านเยว่สวมผ้าคลุมหน้า “ท
หลังจากผลออกมา กู้หว่านเยว่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกโชคดีที่มีเพียงสี่คนที่ติดโรคระบาดฮูหยินผู้เฒ่าซู นางจิน ฮูหยินสกุลหลี่ และลูกชายคนเล็กของสกุลเซิ่ง“คนที่ไม่ได้ป่วยให้ออกมาจากห้องเก็บฟืน ถอดเสื้อผ้าที่สวมใส่ออกมานำไปเผา แล้วใส่เสื้อผ้าที่สะอาด จากนั้นไปรับยาต้มป้องกันโรคจากจิ่นเอ๋อร์”กู้หว่านเยว่สั่งการอย่างเป็นระเบียบ“คนที่ป่วยทั้งสี่คน ให้อยู่ในห้องเก็บฟืนห้ามออกมา”คนอื่น ๆ ทั้งสามคนเชื่อฟังคำสั่งอย่างว่าง่าย มีเพียงฮูหยินผู้เฒ่าซูที่ทำหน้าบึ้งตึง ใช้ไม้เท้าพยุงตัวพยายามจะออกไปข้างนอก“ท่านออกไปไม่ได้”กู้หว่านเยว่รีบขวางนางไว้ยายแก่คนนี้ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไร ป่วยแล้วยังจะออกไปข้างนอกอีก อยากแพร่เชื้อให้คนอื่นใช่หรือไม่?ฮูหยินผู้เฒ่าซูจ้องมองนางอย่างดุร้าย “ทำไมข้าจะออกไปไม่ได้ ข้าไม่ได้ป่วย ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก กู้หว่านเยว่นางสารเลว เจ้าทำเพื่อแก้แค้นส่วนตัว ต้องการฆ่าข้า!”ดูทั้งสามคนที่เป็นโรคระบาดนั่นสิ คนไหนบ้างที่ร่างกายไม่อ่อนแอ?ข้อหนึ่งนางไม่ไอ ข้อสองไม่ตัวร้อน แล้วทำไมถึงเป็นโรคมาลาเรียได้?เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่าซูกำลังจะพุ่งออกมาด้วยความโกรธ
ซูหรานหร่านก้มหน้าลง “ท่านย่าไม่ยอมดูแลท่านแม่ก่อนตอนที่นางป่วย ท่านแม่คอยดูแลนางตลอด ตอนนี้ท่านแม่ป่วยแล้ว นางไม่สนใจเลยสักนิด โดนตีก็สมควรแล้วมิใช่หรือ?”“ซูหรานหร่าน เจ้าพูดแบบนี้ได้อย่างไร ปกติพ่อสอนให้เจ้าเคารพผู้ใหญ่และรักเด็กไปไหนหมด?”ซูหัวหยางแสดงสีหน้าเย็นชาซูหรานหร่านกลับเหมือนถูกกระตุ้น เงยหน้าขึ้นสบตากับเขา“ข้าพูดผิดตรงไหน พวกเราบ้านใหญ่รับใช้ท่านย่ามาตลอดทางเหมือนวัวเหมือนม้า แต่ท่านย่าเคยเห็นความดีของพวกเราบ้างหรือไม่ในใจของท่านพ่อมีแต่ท่านย่า ไม่สนใจเลยหรือว่าท่านแม่ข้าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร?”ซูหัวหยางหน้าแดงก่ำแน่นอนว่าเขาเป็นห่วงนางจิน แต่ความกตัญญูเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก เขาควรจะห่วงใยท่านแม่ของเขามากกว่า เพราะฮูหยินผู้เฒ่าซูคือแม่ของเขานี่นา?“หรานหร่าน เจ้าจะก้าวร้าวเกินไปแล้ว กล้าพูดกับพ่อแบบนี้ได้อย่างไร!”ซูหัวหยางกล่าวพลางยกมือจะตบหน้าซูหรานหร่าน แต่โชคดีที่ซูเช่อเข้ามาขวางไว้ทัน“ท่านพ่อ อย่าทำร้ายน้องสาวเลย น้องสาวก็แค่เป็นห่วงท่านแม่”ซูหรานหร่านฉวยโอกาสหนีไป มองซูหัวหยางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง แล้ววิ่งหนีไปไกล ทางด้านนี้ เพื่อ
“อ๊ะๆๆๆ!”วูเมิ่งร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด ถ้าหากไม่ได้โดนมัดไว้ เขาคงเจ็บจนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นแล้ว“เขียนบนพื้น”กู้หว่านเยว่ยื่นน้ำชาให้เขาหนึ่งถ้วยน้ำตาของวูเมิ่งแทบจะแห้งแล้ว แม้ห้องปรุงพิษของพวกเขาก็มักจะสอบสวนผู้อื่นเช่นนี้แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนสอบสวน“ข้าเขียน ข้าเขียน”เขารีบทำปากพูด พลางยื่นมือสองข้างที่โดนมัดเข้าด้วยกันออกไป ใช้นิ้วชี้จุ่มลงไปในน้ำชาเดิมทีอยากฉวยโอกาสดีดยาพิษในซอกเล็บออกมา กลับพบว่าโดนกู้หว่านเยว่ค้นตัวจนไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ยาพิษในซอกเล็บก็โดนขูดออกมาแล้วเขากัดฟันแน่น ใช้ดวงตาที่เป็นประกายจ้องกู้หว่านเยว่เขาชอบผู้หญิงสวย ผู้หญิงที่เก่งกาจ เขายิ่งชอบ‘ชวีอวี้’ เก่งกาจเช่นนี้ เขาชอบสุดๆรอเขามีโอกาส เขาจะสยบนางแน่นอน“เขียน” กู้หว่านเยว่สั่งอย่างใจเย็นเหลือเวลาไม่มากแล้ว ชวีเฟิงกล้าร้องหนึ่งชั่วยาม แต่ใช้ว่าวูเมิ่งจะทำได้นานเช่นนี้“คุกใต้ดินห้องปรุงพิษ” วูเมิ่งเขียนลงบนพื้นกู้หว่านเยว่ประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าอยู่ในมือของเจ้าไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงอยู่ที่ห้องปรุงพิษ?”แววร้อนตัวแลบผ่านดวงตาวูเมิ่งเขาเขียน “ไม่พูดเช่นนี้ เจ้าจะยอมแต่งง
“ให้ตายเถอะ!”ชวีเฟิงยังไม่ทันได้ใช้ศิลปะการต่อสู้เลย ก็เห็นเขาโดนกู้หว่านเยว่ผลักจนล้มลง จึงอุทานออกมาด้วยความตกใจ“ท่านทำอะไรกับเขา?”“เปล่านี่ แค่ทำให้เขาสลบ จะได้สอบสวนง่ายขึ้น”กู้หว่านเยว่พูดอย่างสบายๆนางเป็นไปที่ตรงหน้าวูเมิ่ง ค้นตามร่างกายเขาครู่หนึ่ง พบอาวุธลับและยาพิษมากมาย“แหม โชคดีที่ทำให้เขาสลบก่อน ของพวกนี้สามารถทำให้พวกเราเสียเวลาพักใหญ่เลย”“ของพวกนี้มันอะไร?” ชวีเฟิงมองขวดเหล่านั้นอย่างงงงวย“นี่คือยาพิษที่ฆ่าคนได้ในพริบตา”“น้ำยาทำลายศพ ความหมายตามชื่อเลย มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงมาก”“ไห่ถังเจ็ดดาว ไร้สีไร้รส ผู้ที่ถูกพิษจะหมดสติทันที ตายอยู่ในความฝัน อีกทั้งยังเป็นฝันดีด้วย ตอนตายยังยิ้มอยู่เลย”“อันนี้…”“เดี๋ยวก่อน เลิกพูดได้แล้ว!”กู้หว่านเยว่ยังจะพูดต่อ ชวีเฟิงรีบห้ามนาง “ของพวกนี้ก็น่ากลัวมากแล้ว ขืนฟังต่อไป ข้ากลัวว่าข้าจะฝันร้ายทำไมเขาถึงพกยาพิษมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวตัวเองโดนพิษของตัวเองเลยหรือ”“เขาเป็นคนของห้องปรุงพิษ เจอยาพิษป้องกันตัวบนตัวเขาก็เป็นเรื่องปกติ”กู้หว่านเยว่เก็บยาพิษเหล่านั้นเข้าไปในมิติอย่างใจเย็นหลังจากนั้น นางเดินไปที่ประตู ม
“อวี้เอ๋อร์ ข้ามารับเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงล็อคประตูล่ะ? เป็นเจ้าสาวก็เลยเขินอย่างนั้นหรือ?”เสียงของผู้ชายดังมาจากข้างนอกความเกลียดชังปรากฏขึ้นบนใบหน้าชวีอวี้“วูเมิ่งมาแล้ว”“เจ้ารีบไปซ่อนตัวเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่รีบกล่าวออกคำสั่ง ชวีอวี้พยักหน้า ออกจากห้องเวลานี้เป็นไปไม่ได้แล้ว นางกวาดมองโดยรอบ แล้วรีบไปหลบที่ใต้เตียงชวีเฟิงจะเข้าไปเปิดประตูกู้หว่านเยว่กล่าวเตือน “จำไว้ ไม่ว่าเวลาใดก็อย่าเปิดเผยตัวตน หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็นึกถึงแค้นบัญชีเลือดของครอบครัวเจ้า”“เข้าใจแล้ว”ชวีเฟิงข่มอารมณ์แล้วพยักหน้าหลังจากเขามองกู้หว่านเยว่อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จึงจะเดินไปเปิดประตูเขากับวูเมิ่งเคยเจอกัน กลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้ ดังนั้นหลังจากเปิดประตูก็รีบก้มหน้า โชคดีที่ความสนใจของวูเมิ่งไม่ได้อยู่ที่เขา“อวี้เอ๋อร์”สายตาของวูเมิ่งราวกับติดอยู่กับตัว ‘ชวีอวี้’ เขาเดินไปที่ตรงหน้านาง แล้วจ้องนางอย่างหลงใหล“วันนี้เจ้าสวยจริงๆ สวยจนข้าไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง”สีหน้าวูเมิ่งเต็มไปด้วยความลุ่มหลงเขายื่นมือออกไป หวังจะจับแก้มของ ‘ชวีอวี้’“ไสหัวไป!”‘ชวีอวี้’ หันหน้าหนีอย่างความรังเกียจ
กู้หว่านเยว่เผยอปาก นี่คือสิ่งที่นางอยากได้ยิน“อยากให้ข้าช่วยให้สกุลชวีผ่านมรสุมครั้งนี้ มันไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่าต่อจากนี้เจ้าต้องฟังข้า”กู้หว่านเยว่มีเจตนาที่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่านางคิดแผนรับมือไว้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว“ท่านพูดมาได้เลย”ชวีเฟิงรีบลุกขึ้น“ให้พี่หญิงของเจ้าถอนชุดแต่งงานกับมงกุฎหงส์ลงมาก่อน”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่ง“เจ้าหาข้ออ้างเรียกสาวใช้ที่อยู่หน้าประตูเข้ามา หลังจากตีนางสลบ ถอดเสื้อชั้นนอกของนางออก แล้วสวมบนตัวเจ้า”กู้หว่านเยว่สั่งอย่างเป็นระเบียบ ชวีเฟิงมองไปทางชวีอวี้ พยักหน้าเบาๆ“พี่หญิง ทำตามที่นางบอก”“...ได้”ชวีอวี้คิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุดก็ยังเลือกเชื่อกู้หว่านเยว่ อย่างไรก็ตามสีหน้ากู้หว่านเยว่ดูเรียบเฉยมาก ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมนางเรียบถอดชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ลงมาวางบนโต๊ะ“หลังจากนั้นล่ะ?”“หลังจากนั้นข้าจะปลอมตัวเป็นเจ้าสาว แต่งเขาบ้านวูเมิ่งแทนเจ้า”กู้หว่านเยว่ฉีกหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าออก ชวีอวี้จึงจะพบว่าที่แท้นางเป็นผู้หญิงด้วยความประหลาดใจกู้หว่านเยว่สวมชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ โชคดีที่การสวมใส่มงกุฎหงส์ของเมี่ยวเ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป