Beranda / แฟนตาซี / ดาบพิฆาตสลับนภา / บทที่5 กระบืออ้วนกลมนำทาง สู่ดินแดนอสูรพิศวง

Share

บทที่5 กระบืออ้วนกลมนำทาง สู่ดินแดนอสูรพิศวง

Penulis: Prince_White
last update Terakhir Diperbarui: 2025-04-20 16:17:49

ยามอรุณรุ่งเรืองรอง แสงสุริยันแรกผุดพ้นขอบฟ้า สาดส่องสีทองทาบทาทั่วผืนแผ่นดิน ลอดผ่านร่องรอยปริแตกเพียงเล็กน้อยของบานหน้าต่างไม้ ต้องใบหน้าคมสันของอวี้เหวิน เป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นวันใหม่ ท้องนภาสีครามสดใส ไร้ซึ่งเมฆามาบดบัง หมู่สกุณาน้อยใหญ่ต่างขับขานเสียงเพลงอันไพเราะ ดังก้องกังวานไปทั่วพฤกษานานา ระหว่างที่พวกมันโผบินออกหาอาหารในยามเช้า

อวี้เหวินค่อยๆ ลืมตาตื่นจากนิทรา ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันตามวิถีแห่งผู้ฝึกตน ก่อนที่แสงตะวันจะทอเต็มฟ้า เขาจะฝึกฝนร่างกายเสริมสร้างความแข็งแกร่ง เพื่อเป็นรากฐานอันมั่นคงในการบ่มเพาะพลังปราณในภายภาคหน้า วันนี้ก็เช่นเคย ร่างกายของเขาเคลื่อนไหวอย่างสง่างาม "ฟึ่บ! ฟึ่บ!" เสียงหมัดหนักแน่นผสานกับการเคลื่อนไหวที่ว่องไว ราวกับสายลมที่พัดผ่าน นี่เป็นช่วงท้ายของการฝึกกายา เหงื่อที่ไหลรินชุ่มโชกอาภรณ์เนื้อหยาบที่สวมใส่ เป็นดั่งเครื่องยืนยันถึงความมานะพากเพียรในการขับพิษและสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย

เมื่อสุริยเทพเพิ่งจะฉายรัศมีเจิดจ้า อวี้เหวินหลังจากรับประทานอาหารเช้าที่เรียบง่ายแต่เพียงพอต่อการบำรุงกำลังเสร็จสิ้น จึงเตรียมตัวออกเดินทางสู่พงไพรบนยอดเขา เขาจัดเตรียมธนู คันศร และมีดล่าสัตว์ต่างๆ ใส่ลงในย่ามหนังที่สะพายอยู่ด้านหลัง ขณะที่เขากำลังตรวจตราความพร้อมของสัมภาระ เสียงทุ้มนุ่มแต่แฝงไว้ด้วยความห่วงใยก็ดังขึ้น

"เหวินเออร์ เจ้าจะไปแล้วหรือ?"

อวี้เหวินหันกายไปยังทิศทางของเสียงนั้น ปรากฏร่างของผู้เป็นบิดา ผู้มีใบหน้าคมคายแต่ยังคงปรากฏร่องรอยแห่งความเหนื่อยล้า ดวงตาของเขาทอประกายแห่งความเมตตาและห่วงใย

"ขอรับท่านพ่อ แสงอรุณเพิ่งจะจับขอบฟ้า ลูกเกรงว่าการเดินทางอาจยาวนาน จึงใคร่ขอออกเดินทางแต่เนิ่นๆ เพื่อมิให้พลบค่ำเสียก่อน"

"ดี...เจ้าจงไปเถิด แต่จงจำไว้ อย่าได้ประมาทหรือใจร้อน หากพบพานสิ่งใดผิดปกติ จงรีบถอยกลับมาโดยเร็ว ชีวิตของเจ้าสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด" สายตาของผู้เป็นบิดามองไปยังบุตรชายด้วยความเป็นกังวลอย่างลึกซึ้ง ขุนเขาลูกนี้เป็นที่เลื่องลือถึงความอันตราย เคยกลืนกินชีวิตของผู้คนมามากมาย ตั้งแต่ยุคโบราณ แม้บริเวณตีนเขาจะมิปรากฏสัตว์อสูรร้ายกาจ แต่ใครเล่าจะหยั่งรู้ถึงภัยซ่อนเร้นที่อาจแฝงตัวอยู่ การระมัดระวังไว้ก่อนย่อมประเสริฐกว่าการแก้ไขเมื่อภัยมาถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของตนเอง

"ขอรับ ข้าจักจดจำคำสั่งสอนของท่านไว้ในใจ ข้าจะไม่ประมาทและจะไม่ทำให้ท่านต้องเป็นห่วง ท่านพ่อโปรดวางใจเถิด" อวี้เหวินรับคำด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและแววตาที่แน่วแน่

เพียงชั่วครู่หลังจากนั้น อวี้เหวินจึงก้าวพ้นธรณีประตูเรือนไป แสงสุริยันยามเช้าสาดส่องอบอุ่นลงบนแผ่นหลังของเขา เท้าทั้งสองเหยียบย่ำบนพื้นดินลูกรังที่ขรุขระ มีทั้งส่วนที่เป็นดินแข็งกระด้าง บ้างก็เป็นแอ่งน้ำเล็กๆ ที่ยังคงมีน้ำค้างหลงเหลืออยู่ บ้างก็มีก้อนหินน้อยใหญ่โผล่พ้นพื้นดิน

ทุกย่างก้าวของอวี้เหวินเต็มไปด้วยความระมัดระวัง หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว... "กุบกับ...กุบกับ..." เสียงล้อรถม้าไม้เก่าคร่ำคร่า บดเบียดกับพื้นถนนดังสนั่น วิ่งสวนทางกับอวี้เหวินไปด้วยความเร่งรีบ ม้าเทียมสองตัวส่งเสียงฮี้เบาๆ พลางสะบัดแผงคอ ฝุ่นดินสีน้ำตาลฟุ้งกระจายขึ้นสูง ล่องลอยไปตามกระแสลมยามเช้า

"แค่ก...แค่ก..." อวี้เหวินยกแขนเสื้อขึ้นปิดปากพลางไอออกมา ใบหน้าคมสันขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะลดมือลงแล้วโบกสะบัดไล่ฝุ่นในอากาศ เขาสั่นศีรษะเบาๆ อย่างระอาใจ ก่อนจะก้าวเท้าเดินต่อไป

เมืองที่เขาอาศัยอยู่มิได้โอ่อ่าใหญ่โตนัก แต่กลับมีชีวิตชีวาและคลาคล่ำไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างเร่งรีบเดินขวักไขว่เพื่อหาที่พักพิง บ้างจับจองพื้นที่ริมทางเท้า ตั้งแผงนำสินค้าพื้นเมืองนานาชนิดออกมาวางขาย บ้างเป็นพ่อค้าเร่ที่ใช้เส้นทางนี้เพื่อเดินทางไปยังเมืองอื่นที่อยู่ไกลออกไป เสียงพูดคุยต่อรองราคาสินค้าดังเซ็งแซ่ ปะปนกับเสียงร้องขายของของพ่อค้าแม่ค้า

"เจ้าหนุ่ม...เข้ามาดูก่อนเถิด" เสียงแหบพร่าของชายชราดังขึ้นจากแผงลอยเล็กๆ ริมทาง อวี้เหวินชะลอฝีเท้าลงเล็กน้อย มองไปยังชายชราผมขาวโพลนทั้งศีรษะ ผิวหนังเหี่ยวย่นราวเปลือกไม้ที่นั่งอยู่หลังแผงที่วางสินค้ากระจุกกระจิก

"ข้าเดาว่าเจ้ากำลังจะออกไปล่าสัตว์ นี่คือขนของเสืออัคคี" ชายชรายกแผ่นหนังสีส้มลายดำขึ้นมาโชว์ ดวงตาขุ่นมัวเป็นประกาย "กลิ่นสาปของมันจะช่วยเจ้าได้มากทีเดียว เจอกับเจ้าในวันนี้ถือเป็นวาสนา ข้าจะลดราคาให้เจ้าพิเศษ เหลือเพียงห้าร้อยเหรียญทองแดงเท่านั้น" ชายชรากล่าวพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง เผยให้เห็นฟันหน้าที่เหลืออยู่เพียงสองซี่ที่ดูคลอนแคลนอย่างจริงใจ

"ขอบคุณท่านมากขอรับ แต่ข้าเกรงว่าจะมิใคร่จำเป็น ท่านเก็บไว้ขายให้ผู้อื่นเถิด" อวี้เหวินประสานมือคารวะเล็กน้อย พร้อมกับส่ายศีรษะและส่งยิ้มสุภาพตอบกลับไป

ดวงตาคมกริบของเขากวาดมองแผ่นหนังในมือชายชราอย่างพิจารณา เสืออัคคี แม้เขาจะยังไม่เคยพบเห็นด้วยตาตนเอง แต่ก็เคยได้ยินเรื่องราวจากนักล่าคนอื่นๆ มาบ้าง ในฐานะนักล่าสัตว์ป่าผู้ช่ำชอง มันเป็นอสูรระดับต่ำเฉกเช่นหมาป่าอสูร สิ่งล้ำค่าที่สุดของมันคือเขี้ยวยาวทั้งสองข้าง ซึ่งมีราคาสูงถึงสิบเหรียญเงินในตลาด ขนของมันแม้มิได้มีค่าเท่าเขี้ยว แต่ก็ถือเป็นของจากสัตว์อสูร หากสิ่งที่ชายชราผู้นี้กล่าวเป็นความจริง เหตุใดราคาจึงต่ำถึงเพียงนี้ สุดท้ายคงเป็นเพียงอุบายหลอกลวงเพื่อหวังรีดไถเงินจากเด็กหนุ่มเท่านั้น

"จะไม่รับไว้จริงๆ หรือพ่อหนุ่มเอ๋ย" ชายชราเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองอวี้เหวินด้วยสายตาที่แฝงไว้ด้วยความสงสัยระคนผิดหวัง

"ของดีหายากเช่นนี้ ต่อให้เจ้าใช้เวลาทั้งชีวิตตามหา ก็มิอาจพบเจอโอกาสดีเช่นนี้อีกแล้ว หรือว่ายังแพงไป? เช่นนั้นพ่อหนุ่ม ข้าจะลดให้เจ้าพิเศษสุดๆ เหลือเพียงสามร้อยเหรียญทองแดงเท่านั้น จะเอารึไม่?" ชายชราโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย น้ำเสียงเริ่มเปลี่ยนเป็นคะยั้นคะยอแกมข่มขู่เล็กน้อย เมื่อเห็นว่าอวี้เหวินมิได้แสดงความสนใจในสินค้าของตนแม้แต่น้อย

แต่อวี้เหวินก็ยังคงก้าวเดินต่อไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อน สายตามองตรงไปข้างหน้า โดยมิได้หันกลับไปสนใจเสียงของชายชราผู้นั้นแม้แต่คำเดียว ราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด

"หึ...เด็กสมัยนี้ช่างเฉลียวฉลาดนัก ผิดกับข้าเมื่อเยาว์วัยราวฟ้ากับดิน" ชายชรามองตามแผ่นหลังของอวี้เหวินที่เดินห่างออกไป ถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางสบถในใจและหวนรำลึกถึงเรื่องราวในอดีตเมื่อครั้งยังเป็นเด็กหนุ่ม นึกถึงเรื่องที่ตนเองเคยถูกหลอกลวงด้วยอุบายเช่นนี้ ใบหน้าของเขาก็พลันปรากฏร่องรอยแห่งความละอายใจ เขาจึงรีบสงบจิตใจ ปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติ ยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลซึมตามไรผม ครู่นึง เขาก็เริ่มกล่าวเชิญชวนผู้คนที่เดินผ่านไปมาให้มาซื้อสินค้าของตนอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่กระตือรือร้นกว่าเดิม

ในแคว้นตงชิงอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ เงินตราที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนนั้นมีอยู่สี่สกุลหลัก เรียงตามลำดับค่าจากน้อยไปมาก ได้แก่ เหรียญทองแดงอันเป็นหน่วยต่ำสุด เหรียญเงินที่สูงค่าขึ้นมา เหรียญทองอันล้ำค่า และเหรียญเพชรซึ่งเป็นดั่งอัญมณีแห่งความมั่งคั่ง โดยมีอัตราส่วนในการแลกเปลี่ยนอันเป็นที่เข้าใจโดยทั่วกันคือ หนึ่งเหรียญเงินมีค่าเท่ากับหนึ่งพันเหรียญทองแดง หนึ่งเหรียญทองมีค่าเท่ากับหนึ่งพันเหรียญเงิน หรือเทียบเท่าหนึ่งล้านเหรียญทองแดง และหนึ่งเหรียญเพชรนั้นเลอค่าถึงหนึ่งพันเหรียญทอง หรือคิดเป็นจำนวนมหาศาลถึงหนึ่งพันล้านเหรียญทองแดง

ด้วยอัตราส่วนดังกล่าว หากขนของเสืออัคคีแท้ๆ มีราคาสูงล้ำถึงหนึ่งเหรียญเงิน นั่นย่อมหมายถึงมูลค่าหนึ่งพันเหรียญทองแดง การที่ชายชราผู้นั้นเสนอขายในราคาเพียงสามร้อยเหรียญทองแดง มิใช่เป็นการลดทอนคุณค่าจนน่าขัน ทั้งยังส่อเจตนาอันไม่สุจริตอีกด้วย คงมิมีผู้ใดที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดคิดกระทำการอันไร้เหตุผลเช่นนั้นเป็นแน่

เมื่ออวี้เหวินเหยียบย่างเข้าสู่ตีนเขา ไออุ่นจากผืนดินและกลิ่นหอมของใบไม้ใบหญ้าก็โชยมาแตะต้องประสาทสัมผัส เขาทอดถอนลมหายใจยาว คลายความตึงเครียดจากบรรยากาศในเมืองลงเล็กน้อย ทว่าในขณะเดียวกัน สัญชาตญาณแห่งการเอาตัวรอดก็ทำงานอย่างเข้มข้นขึ้น ทุกท่วงท่าจึงเต็มไปด้วยความระมัดระวัง

พลันสายตาคมกริบดุจเหยี่ยวของเขาก็จับจ้องไปยังพุ่มไม้รกทึบเบื้องหน้า เห็นกระต่ายป่าตัวหนึ่งกำลังนั่งแทะเล็มหญ้าอ่อนอย่างเพลิดเพลิน ใกล้กับโคนต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านร่มรื่น อวี้เหวินย่างก้าวเข้าไปอย่างเชื่องช้า แผ่วเบาราวกับวิญญาณที่ล่องลอยในสายลม เพื่อป้องกันมิให้กระต่ายตื่นตระหนกและหลบหนี เมื่อเข้าสู่ระยะที่มั่นใจ เขาก็หยิบหน้าไม้ออกมาจากย่ามหนังที่สะพายอยู่ด้านหลังอย่างรวดเร็ว ปลายนิ้วแข็งแรงแต่คล่องแคล่วดึงสายหน้าไม้ให้ขึ้นลำอย่างเงียบเชียบ จากนั้นวางลูกศรที่เหลาจากไม้เนื้อดีอย่างประณีตบรรจงตรงกลางราง อวี้เหวินใช้สายตาอันเฉียบคมดุจอินทรีเล็งไปยังกระต่ายตัวนั้น ลมหายใจถูกกลั้นไว้ชั่วขณะ ราวกับเวลาหยุดนิ่ง

"ฉึก!" เสียงลูกศรแหวกอากาศดังแผ่วเบา ราวกับเสียงกระซิบ พุ่งตรงเข้าปักที่ลำคอของกระต่ายตัวนั้นอย่างแม่นยำราวกับจับวาง เมื่อแน่ใจว่าเหยื่อสิ้นลมแล้ว เขาก็เดินเข้าไปจับที่หูยาวนุ่มของมันแล้วดึงขึ้นมาใส่ในย่ามด้วยท่าทางคล่องแคล่ว เขาทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่พบพานสัตว์ที่สามารถนำมากินและล่าได้ โดยมิได้เสียเวลาแม้แต่น้อย

เมื่อถึงยามเที่ยงวัน แสงสุริยาส่องตรงลงมายังกลางศีรษะ อวี้เหวินจึงหยุดพักใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ความร่มเย็น สายลมพัดโชยมาเบาๆ พัดพาเอาความเหนื่อยล้าให้จางหายไป เขานั่งลงบนพื้นหญ้านุ่ม หยิบเอาอาหารแห้งและน้ำสะอาดที่เตรียมมาออกมาเติมพลังให้กับร่างกาย

หลังจากการพักผ่อนอันสั้นๆ ที่ช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าขึ้น สิ้นสุดลง เขาก็เริ่มออกล่าสัตว์และหาของป่าอีกครั้ง ตระเวนไปทั่วบริเวณรอบนอกของขุนเขาได้พักใหญ่ ท่ามกลางแมกไม้เขียวขจีและเสียงนกร้องขับขาน จึงพบเข้ากับกระบือป่ารูปร่างอ้วนพีตัวหนึ่ง กำลังเล็มหญ้าอยู่อย่างสบายอารมณ์

เพียงแค่เห็นรูปร่างที่สมบูรณ์และแข็งแรงนั้น ในความคิดของอวี้เหวินก็พลันปรากฏภาพรสชาติอันโอชะของเนื้อกระบือย่างหอมกรุ่น อีกทั้งเดิมทีเขาตั้งใจจะหาสัตว์ใหญ่สักตัวเพื่อนำกลับไปเป็นอาหารให้กับบิดาผู้เป็นที่รัก เขาจึงย่องตามกระบือตัวนั้นไปอย่างเงียบเชียบ ระมัดระวังทุกฝีก้าว มิให้ส่งเสียงใดๆ รบกวน

กระบือตัวนี้กลับมีความประหลาดอย่างยิ่ง แม้รูปร่างของมันจะอ้วนกลมและท่าทางการเคลื่อนไหวจะดูเนิบนาบเชื่องช้า ราวกับมิมีพิษสง แต่ไม่ว่าอวี้เหวินจะเร่งฝีเท้าวิ่ง หรือย่องตามอย่างระมัดระวังเพียงใด มันก็สามารถหลุดรอดจากการจับกุมของเขาไปได้ทุกครั้ง สร้างความฉงนสนเท่ห์ให้กับอวี้เหวินเป็นอย่างมาก ราวกับกระบือตัวนี้มีญาณวิเศษ หรือมีผู้ใดคอยชี้แนะแนวทางให้มันหลบหนีก็มิปาน

"กระบือป่าตัวนี้น่าประหลาดพิกล ด้วยทรวดทรงอ้วนพีกลมกลึงราวกับโอ่งดินเผา เหตุใดจึงสามารถเคลื่อนกายได้อย่างว่องไวดุจสายลมเล่า! ช่างเป็นเรื่องน่าโมโหจนเกินทน ข้ายิ่งทุ่มเทกำลังติดตาม มันกลับยิ่งทิ้งช่วงห่างออกไปราวกับเยาะเย้ย!" อวี้เหวินคำรามในลำคอด้วยความขุ่นเคือง โลหิตในกายสูบฉีดแรงขึ้นจนรู้สึกได้ เขาฝืนเร่งฝีเท้า หมายจะย่นระยะห่างให้ใกล้เคียง

เวลาล่วงเลยไปอีกพักใหญ่ แสงสุริยาเริ่มทอประกายสีส้มทอง บ่งบอกถึงยามบ่ายคล้อย อวี้เหวินรู้สึกถึงลมหายใจที่เริ่มหอบกระชั้นถี่รัว ราวกับปอดจะฉีกขาดด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการไล่ล่ากระบือน้อยตัวนั้นจนต้องหยุดยืนพักชั่วครู่ หยาดเหงื่อไหลรินอาบแก้มคมสัน ทว่าเจ้ากระบือน้อยกลับยังคงโลดแล่นวิ่งเต้นไปมาอย่างสบายอารมณ์ มันชะลอฝีเท้าลงเล็กน้อย หันศีรษะมาทางอวี้เหวิน ดวงตากลมโตสีดำขลับดูราวกับกำลังท้าทายและเยาะเย้ยในความไร้สามารถของเขา พลางกระดิกหางสั้นๆ ไปมาอย่างยียวนกวนโทสะ

"ฮึ่ม! เจ้ากระบือน้อย เจ้ามีสิ่งใดให้ข้าต้องอับอายขายหน้ากัน!" อวี้เหวินกำมือแน่น เข้าใจในท่าทีที่ยั่วยุของมัน จึงรู้สึกราวกับถูกดูแคลนเหยียดหยาม เขาจึงกัดฟันกรอด รวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ทั้งหมด ออกวิ่งไล่ตามมันอีกครั้ง

ฝ่ายเจ้ากระบือน้อย บางคราก็หยุดฝีเท้าลงเล็มหญ้าอ่อนอย่างไม่ใส่ใจ ราวกับมิได้มีสิ่งใดน่ากังวล บางคราก็ส่ายบั้นท้ายกลมกลึงไปมาอย่างยั่วเย้า บางคราก็จงใจรอให้อวี้เหวินใกล้เข้ามาจนแทบจะคว้าถึง แล้วจึงออกวิ่งนำไปอีกครั้ง ทว่ายิ่งอวี้เหวินทุ่มเทกำลังไล่ตาม เขากลับยิ่งรู้สึกเหมือนระยะห่างระหว่างเขากับมันนั้นถ่างกว้างออกไปเรื่อยๆ พลังกายที่สะสมมาเริ่มจางหาย ลมหายใจถี่กระชั้นราวกับจะขาดห้วง ความฉงนสนเท่ห์ในใจก็ยิ่งทวีคูณจนแทบคลั่ง

'ข้าไล่ตามมันมาตลอดเส้นทาง กลับมิได้พบพานสัตว์อื่นแม้แต่เงาของมัน เหตุใดป่าแห่งนี้จึงเงียบสงัดผิดปกติเช่นนี้?' อวี้เหวินขมวดคิ้วมุ่นเป็นปม คิดอย่างหนักหน่วง เขาพลันชะลอฝีเท้าลงอีกครั้ง แล้วหันไปสำรวจป่าโดยรอบอย่างละเอียด

ต้นไม้แต่ละต้นสูงเสียดฟ้า ลำต้นใหญ่โตจนต้องใช้คนหลายคนโอบ ใบไม้สีเขียวเข้มหนาทึบจนแสงสุริยาแทบส่องลอดลงมาไม่ถึง พื้นป่าเต็มไปด้วยพุ่มไม้รกครึ้มและเถาวัลย์พันเกี่ยว ราวกับเป็นป่าดึกดำบรรพ์ที่มิเคยมีผู้ใดรุกล้ำ ความหนาแน่นของพืชพรรณนั้นแตกต่างจากป่าโปร่งที่เขาเดินผ่านมาเมื่อตอนเช้าอย่างสิ้นเชิง ป่าแห่งนี้ดูแปลกตาและไม่คุ้นเคยสำหรับเขาแม้แต่น้อย ราวกับเขาหลงเข้ามาในอีกโลกหนึ่ง

'ชิบหายแล้ว! หรือว่า...' ความคิดอันน่าสะพรึงกลัวสายหนึ่งแล่นปราดเข้ามาในสมองของอวี้เหวิน ทำให้โลหิตในกายเย็นเยียบไปจนถึงกระดูกสันหลัง เส้นผมทั่วศีรษะลุกชันขึ้นมาทันที

'ทุกสิ่งทุกอย่างดูผิดแผกแตกต่างไปจากเดิม ขนาดใหญ่โตเกินกว่าปกติ สภาพแวดล้อมอุดมสมบูรณ์จนน่าประหลาดพิกล ข้าได้ย่างก้าวล่วงล้ำเข้ามาในดินแดนของสัตว์อสูรแล้วหรือนี่!' เขาหยุดวิ่งโดยพลัน ยืนตระหง่านอยู่กับที่ ราวกับถูกตรึงด้วยมนต์สะกด เร่งความคิดอย่างหนักหน่วงเพื่อหาทางออกจากสถานที่แห่งนี้ หากสิ่งที่เขาสันนิษฐานเป็นความจริง การเข้ามาในเขตแดนของสัตว์อสูรเช่นนี้ ย่อมกล่าวได้ว่าหายนะอันยิ่งใหญ่ได้มาเยือนแล้ว เพราะเขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่ง แม้จะต้องเผชิญหน้ากับอสูรชั้นต่ำที่สุด ก็มีเพียงความตายเท่านั้นที่รอคอยเขาอยู่เบื้องหน้า ความหวาดหวั่นกัดกินหัวใจของเขาจนแทบจะแหลกสลาย

ทางด้านเจ้ากระบือน้อย เมื่อทัศนาเห็นอวี้เหวินหยุดยั้งการไล่ล่าลงโดยฉับพลัน ใบหน้าเล็กๆ ที่เคยตื่นตระหนกกลับปรากฏร่องรอยแห่งความพึงพอใจปนเยาะหยัน ราวกับจะส่งภาษาใจว่า 'สมน้ำหน้าแล้ว คิกๆๆ' พร้อมกับกระโดดโลดเต้นอย่างร่าเริง หายลับเข้าไปในดงพุ่มไม้หนาทึบที่อยู่เบื้องหน้าในชั่วพริบตา ทิ้งไว้เพียงร่องรอยการเคลื่อนไหวบนพื้นดิน

อวี้เหวินที่กำลังจมดิ่งอยู่ในห้วงความคิดอันหนักอึ้ง ใบหน้าคมสันปรากฏร่องรอยแห่งความเคร่งเครียด ดวงตาเข้มดุจเหยี่ยวจับจ้องไปยังผืนดินเบื้องหน้า ราวกับกำลังคำนวณหาทางออก จึงมิได้ใส่ใจต่อการกระทำอันแสนยียวนของเจ้ากระบือน้อย

"มีเพียงต้องหันหลังกลับ และมุ่งหน้าไปยังทิศทางเดิมที่ข้าจากมาเท่านั้น" เขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ราวกับเป็นการให้สัตย์ปฏิญาณแก่ตนเอง พร้อมกับค่อยๆ หมุนกายกลับไปอย่างช้าๆ ทว่าในเสี้ยววินาทีที่สายตาของเขาปะทะเข้ากับทิวทัศน์เบื้องหลัง แสงสว่างเรืองรองผิดปกติพลันวาบเข้ามาในม่านตาของเขา...

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terkait

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่6 บุรุษงามพิศวง หินทมิฬสะท้านวิญญาณ

    ขณะที่อวี้เหวินหันกายกลับไป ร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในห้วงสายตาของเขา ราวกับบุปผาต้องลมที่ร่วงหล่นลงบนผืนดินอันแข็งกระด้าง'ผู้ใดกันเล่า เหตุใดจึงมานอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่กลางป่าลึกอันเปลี่ยวร้างเช่นนี้?' เขาครุ่นคิดในใจ พลางย่างเท้าเข้าไปหาร่างนั้นด้วยความระมัดระวัง ราวกับเกรงว่าเสียงฝีเท้าจะรบกวนการพักผ่อนอันแสนเงียบสงบ ร่างมนุษย์บอบบางร่างหนึ่งที่กำลังหลับใหลไม่ได้สติ ค่อยๆ ปรากฏรูปร่างชัดเจนขึ้นในม่านสายตาของอวี้เหวิน'ช่างงดงามเสียจริง...สตรีเช่นนั้นหรือ?' อวี้เหวินจ้องมองไปยังร่างนั้นอย่างตะลึงงัน ราวกับต้องมนต์สะกด ผิวพรรณขาวผ่องดุจหิมะแรกต้องแสงจันทร์ ใบหน้างดงามหมดจดราวกับเทพธิดาที่ร่วงหล่นจากสรวงสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์ เส้นผมสีแดงเพลิงยาวสลวยราวกับสายไหม ทว่า...บนชุดผ้าเนื้อดีที่นางสวมใส่นั้น ปรากฏร่องรอยแห่งการฉีกขาดและคราบโลหิตแห้งกรัง บ่งบอกถึงการเผชิญเคราะห์ร้ายมามิใช่น้อย'ดูท่าทางนางจะได้รับบาดเจ็บสาหัสยิ่งนัก ข้าควรยื่นมือเข้าช่วยเหลือตามวิสัยบุรุษหรือไม่?' ความลังเลฉายชัดในดวงตาคมกริบดุจเหยี่ยวของเขา"ตุบ!" เสียงฝ่ามือหนาหนักกระทบลงบนศีรษะตนเองเบาๆ "เจ้ามันคนใจหินไปแล้ว

    Terakhir Diperbarui : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่7 เตาอัสนีวิบัติหลอมกายา ปฐมบทแห่งการแปรเปลี่ยน

    ในห้วงสำนึกของซ่งเหยียนเฟย 'เหตุใดข้าจึงมิอาจขยับเขยื้อนกายได้?' ความรู้สึกอึดอัดประดุจถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ทว่าท่ามกลางความอึดอัดนั้น กลับมีกระแสไออุ่นอันแสนสบายราวกับแสงตะวันยามเช้าค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่ทุกอณูของร่างกาย 'สิ่งนี้คืออันใดกัน? ข้ารู้สึกคุ้นเคยกับมันอย่างประหลาด ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นแขนขาที่ข้าเคยใช้มานับครั้งไม่ถ้วน' ดวงจิตในห้วงสำนึกจับจ้องไปยังอวัยวะภายในที่ถูกห่อหุ้มด้วยม่านพลังสีดำมืดสนิท ราวกับราตรีที่ไร้ซึ่งดวงดาว "อ๊ากกก!" ฉับพลันทันใดนั้นเอง กระแสพลังแห่งความมืดที่เคยอ่อนโยนกลับแปรเปลี่ยนเป็นคมมีดนับพันเล่ม กรีดแทงลึกลงไปในส่วนที่สึกหรอ บาดแผล และความอ่อนแอภายในร่างกายของเขา สร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสราวกับถูกฉีกทึ้งวิญญาณ ทว่าเมื่อห้วงเวลาแห่งความทรมานนั้นค่อยๆ ผ่านพ้นไป อาการบาดเจ็บภายในที่เคยร้าวรานกลับค่อยๆ สมานตัวดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ ราวกับได้รับการชุบชีวิตใหม่ ทันใดนั้นเอง ความทรงจำและองค์ความรู้บางอย่างก็ไหลบ่าเข้ามาในห้วงสำนึกของเขา 'หรือว่า...จะเป็นพลังทมิฬ? พลังแห่งความมืดมิดที่บริสุทธิ์ สีดำสนิทดุจห้วงอว

    Terakhir Diperbarui : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่8 มังกรบรรจบเมฆาคล้อย: ปฐมบทนครเฉิน

    ครู่กาลล่วงเลย เปลือกตาคู่หนึ่งจึงค่อยๆ ปรือเปิดจากห้วงนิทรา ความพร่าเลือนในม่านตาค่อยๆ จางหาย แปรเปลี่ยนเป็นความคมชัด อวี้เหวินขยับศีรษะเพียงเล็กน้อย หันไปยังทิศเบื้องขวา จึงปรากฏแก่สายตาซึ่งร่างของอสูรแมงมุมพิศดารตัวหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ เมื่อพิเคราะห์ดูอย่างละเอียดละออ จะเห็นได้ว่าใบหน้าของมันละม้ายคล้ายคลึงกับสุนัขอย่างน่าประหลาด มันถูกพิฆาตจนร่างแหลกเหลวออกเป็นสองส่วน ชิ้นส่วนอวัยวะกระจัดกระจาย เลือดสีม่วงเข้มข้นไหลนองผืนปฐพี ส่งกลิ่นคาวคลุ้งรุนแรงท่ามกลางไอแดดที่แผดเผาราวกับเปลวเพลิง"เจ้าตื่นแล้วหรือ?" เสียงหนึ่งดังขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ มิได้แสดงความตื่นตระหนกต่อภาพที่ปรากฏเสียงนั้นปลุกอวี้เหวินให้หลุดพ้นจากภวังค์แห่งความงุนงง เขาสังเกตเห็นว่าอาภรณ์ของตนเปรอะเปื้อนไปด้วยของเหลวสีม่วงเหนียวข้น ซึ่งบัดนี้ได้แห้งกรังติดอยู่กับเนื้อผ้า "มัน... มันเกิดอันใดขึ้นกัน?" อวี้เหวินพึมพำด้วยความสับสนงุนงาย"เจ้าถูกอสูรแมงมุมพิษหน้าสุนัขเล่นงานเข้าแล้ว" ซ่งเหยียนเฟยกล่าวพลางชี้ไปยังซากอสูรที่นอนตายอยู่มิไกล"เจ้าอาจถูกพิษของมันขณะที่ยึดเหนี่ยวโขดหินนั่น จึงเป็นเหตุให้เจ้ารู้สึกหนักอึ้งร

    Terakhir Diperbarui : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่9 ราตรีลึก ณ เหมยเหว่ย เงาอำนาจและหมากในกระดาน

    ท่ามกลางเมืองเฉินอันคึกคัก มีร้านอาหารหรูแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ในย่านเก่าแก่ของเมือง แม้ขนาดของมันจะมิได้ใหญ่โตโอฬาร ทว่ากลับแฝงไปด้วยร่องรอยของกาลเวลาที่สั่งสมมาเนิ่นนาน ร้านอาหารแห่งนี้มีชื่อว่า "美味" (Měiwèi, ของกินเลิศรส) ซึ่งนับเป็นร้านอาหารที่มีเกียรติและได้รับการยอมรับสูงสุดในเมืองเฉิน เมื่อย่างกรายเข้ามาเบื้องหน้าร้าน ผู้อาจหาญทั้งหลายย่อมต้องหยุดสายตาลงยังป้ายไม้เก่าแก่ที่แขวนอยู่เหนือประตู ป้ายไม้แผ่นนี้ถูกสลักด้วยลายมือวิจิตรงดงาม บ่งบอกถึงชื่อร้านที่สืบทอดมาแต่โบราณ ด้านข้างของร้าน อักษรสลักบนผนังทั้งสองฝั่งยิ่งเสริมความหนักแน่นให้แก่สถานที่แห่งนี้ ทางขวาคือคำว่า "张进鸿" (เตียจิงฮ้ง, เจริญก้าวหน้าเกริกก้องเกรียงไกร) และทางซ้ายคือ "荣耀" (Róngyào, มีเกียรติอันประเสริฐรุ่งโรจน์) หากบุคคลทั่วไปได้พบเห็น คงเข้าใจว่านี่เป็นเพียงคำอวยพรเพื่อเสริมสิริมงคล ทว่าผู้ที่ล่วงรู้เบื้องลึกแห่งร้านเหมยเหว่ยย่อมตระหนักดีว่า นี่มิใช่เพียงถ้อยคำมงคล หากแต่เป็นปณิธานอันหนักแน่นของสถานที่แห่งนี้ อักษรด้านขวาถูกจารึกขึ้นเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้คนที่แวะเวียนมารับประทานอาหาร ณ ที่แห่งนี้ โดยเฉ

    Terakhir Diperbarui : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่10 ข้าไม่ได้ตั้งใจ!!

    "ช่างเป็นเคล็ดวิชาที่ลึกล้ำเกินหยั่งถึง!" อวี้เหวินอุทานด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ดวงตาเป็นประกายราวกับค้นพบขุมทรัพย์ล้ำค่า เขาทอดสายตามองไปยังห้วงความคิด พลางหวนรำลึกถึงเนื้อหาของเคล็ดวิชาอีกครา 'เคล็ดวิชาหมัดอัคนีสังหารนั้น แบ่งออกเป็นสามขอบเขตใหญ่ อันได้แก่ ปฐพี อัคคี และวารี แต่ละขอบเขตยังแบ่งย่อยออกเป็นสามระดับ คือ เเรกเริ่ม กลาง และสูงสุด ในขอบเขตปฐพีนั้น เป็นการวางรากฐานแห่งกระบวนท่าของหมัดอัคนีสังหาร พลังอำนาจแห่งหมัดในระดับเริ่มต้นอยู่ที่สามร้อยจิน ระดับกลางอยู่ที่หกร้อยจิน และระดับสูงสุดอยู่ที่เก้าร้อยจิน' ภาพกระบวนท่าอันสลับซับซ้อนเริ่มฉายชัดในมโนสำนึกของอวี้เหวิน ราวกับมีผู้มาสาธิตอยู่ตรงหน้า เขาสังเกตทุกการเคลื่อนไหว จดจำทุกรายละเอียด เมื่อเริ่มเข้าใจในแก่นแห่งวิชาแล้ว อวี้เหวินจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เริ่มต้นร่ายรำตามภาพที่ปรากฏในห้วงนิมิต ฝ่ามือและหมัดถูกส่งออกไปในอากาศอย่างหนักแน่น สลับหมุนเวียนราวกับพายุโหมกระหน่ำ เท้าก้าวไปตามจังหวะ ท่วงท่าการยืนมั่นคงดุจขุนเขา ทุกอิริยาบถที่แสดงออกมาล้วนสง่างามและหนักแน่นราวกับผืนปฐพีอันกว้างใหญ่ ในระหว่างที่ฝึกฝนเพลงหมัด อวี้เหวินมิไ

    Terakhir Diperbarui : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่11 "สองบุรุษ" หนึ่งหิน...วุ่นวายยกใหญ่!

    ยามเมื่อสุริยันเยื้องย่างลงจากนภา โลกธาตุพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มชาด แสงสุดท้ายสาดส่องทาบทาทิวเมฆราวกับผ้าไหมปักลาย เด็กหนุ่มนามว่าอวี้เหวินก้าวเดินอย่างเชื่องช้า ทอดฝีเท้าหนักแน่นแต่มิได้เร่งรีบ จุดหมายปลายทางคือบ้านหลังน้อย แสงไฟสลัวริบหรี่ลอดออกมาจากบานหน้าต่างไม้ในอีกไม่กี่ก้าวเบื้องหน้า ความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักตลอดวันเกาะกุมหัวใจ ทว่าเมื่อย่างเท้าเข้าสู่เรือน ได้รับการต้อนรับอันอบอุ่นและการดูแลเอาใจใส่จากผู้เป็นบิดา ความอ่อนล้าทั้งมวลก็มลายหายสิ้นดุจไอหมอกยามรุ่งอรุณ หลังจากอวี้เหวินและบิดาได้ร่วมโต๊ะทานอาหารค่ำ พูดคุยสารทุกข์สุกดิบจนกระทั่งราตรีเริ่มย่างเข้าสู่ยามดึกสงัด อวี้เหวินจึงนั่งลงขัดสมาธิ สงบจิตใจปรับลมปราณอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะล้มตัวลงนอน ณ ห้วงความมืดมิดภายในเม็ดหินอัญมณีสีดำสนิทที่ห้อยอยู่บนคอของอวี้เหวิน ปรากฏร่างหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวอย่างอ้อยอิ่ง “สามสิบสี่… สามสิบห้า… เวลาล่วงเลยมาเกือบเดือน ข้ากลับเคลื่อนกายมาได้เพียงสามสิบห้าก้าวเท่านั้น เบื้องหน้าจักมีสิ่งใดซ่อนอยู่อีกเล่า?” ซ่งเหยียนรำพึงรำพันกับตนเอง พลางหายใจหอบถี่ราวกับคนจมน้ำ เขานั่งลง หลับตาลงเพื่อ

    Terakhir Diperbarui : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่12 ขบวนสินค้าตระกูลหวัง

    เปลือกตาที่หนักอึ้งราวกับถูกถ่วงด้วยตะกั่วค่อยๆ เปิดขึ้น เผยให้เห็นดวงตาที่ยังคงพร่าเลือนและง่วงงุน ร่างกายที่อ่อนล้าประหนึ่งถูกบั่นทอนเรี่ยวแรงของอวี้เหวินค่อยๆ ขยับเขยื้อนอย่างเชื่องช้า ก่อนจะพยุงกายลุกขึ้นนั่งบนเตียงไม้เนื้อดี มือเรียวลูบไล้ใบหน้าของตนเองเบาๆ เพื่อขับไล่ความง่วงงุนให้จางหายไป หลังจากเหตุการณ์พลิกผันเมื่อสามราตรีล่วงผ่าน อาการบาดเจ็บของอวี้เหวินก็สมานหายราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รุ่งอรุณแห่งวันนี้ เขาตื่นขึ้นด้วยความสดชื่น เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางไปฝึกฝนวิชาอีกครั้ง อวี้เหวินเริ่มบริหารร่างกายด้วยท่วงท่าที่คุ้นเคยเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม ก่อนจะจัดเตรียมสัมภาระต่างๆ สำหรับการเดินทาง ในขณะที่เขากำลังตรวจตราสิ่งของภายในห่อผ้าอยู่นั้น เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นในห้วงความคิด "วันนี้เป็นวันที่จะต้องบุกเข้าไปในเขตแดนของพยัคฆ์หางแมงป่อง ซึ่งด้วยพละกำลังของเจ้าในยามนี้ ยังมิอาจบุกเข้าไปโดยลำพังได้ จำเป็นต้องมีสิ่งป้องกันไอความร้อนอันร้อนระอุจากรังของพวกมัน" อวี้เหวินแสดงสีหน้าเข้าใจ ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยถามด้วยความสงสัย "อย่าว่าแต่สิ่งใดใช้ป้องกันเลย แม้แต่ชื่อของมัน ข้

    Terakhir Diperbarui : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่13 คุณสมบัติของผู้ยิ่งใหญ่

    "ฟ่อๆๆ!" เสียงขู่คำรามดุดันราวอสูรร้ายคำรามก้องกังวาน พร้อมกับร่างของอสรพิษลายพาดกลอนตัวเขื่อง พุ่งทะยานจากเงามืดแห่งโขดหินด้านหลัง หมายจะฉกกัดอวี้เหวินด้วยความเร็วราวสายฟ้าฟาด เขี้ยวแหลมคมสีเหลืองอำพันเผยให้เห็นถึงพิษร้ายที่พร้อมจะคร่าชีวิตในพริบตา"ฉัวะ!" อวี้เหวินที่ประสาทสัมผัสว่องไวดุจเหยี่ยวล่าเหยื่อ พลิกกายหลบหลีกได้อย่างหวุดหวิด พร้อมกับเหวี่ยงมือขวาออกไปราวกับแส้เหล็ก ฟาดเข้าที่กลางลำตัวของอสรพิษอย่างแม่นยำ เสียงเนื้อแตกดังสนั่น ร่างกายของงูร้ายพลันแหลกเหลว เลือดสีแดงฉานกระเซ็นเปรอะเปื้อนไปทั่วบริเวณ ราวกับพู่กันยักษ์สาดสีลงบนผืนดิน อวี้เหวินชักมือกลับ ดวงตาคมกริบจ้องมองซากอสรพิษด้วยความเหนื่อยล้า"นี่ก็เป็นตัวที่สามสิบแล้วกระมัง มิหนำซ้ำพลังของพวกมันยังเพิ่มพูนขึ้นอีกด้วย" เขาเอ่ยพลางยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลอาบแก้ม ดวงหน้าหล่อเหลาปรากฏร่องรอยความอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด ลมหายใจเริ่มถี่กระชั้น"เพียงเท่านี้เจ้าก็หอบเสียแล้วหรือ? แค่งูหางแมงป่องตัวเล็กกระจ้อยร่อยพวกนี้" เสียงทุ้มนุ่มของบุรุษผู้หนึ่งดังกระซิบข้างใบหูของอวี้เหวิน ราวกับภูตพรายปรากฏกายขึ้นจากความว่างเปล่า พร้อมกับร

    Terakhir Diperbarui : 2025-04-20

Bab terbaru

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่50 "มิได้ตั้งใจมอง!"...คำสารภาพที่มาพร้อมรอยฝ่ามือ!

    ประตูไม้เก่าเก็บของเพิงพักส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเมื่อถูกผลักเปิดออก เสาไม้ผุกร่อนเอียงตามแรงลมประหนึ่งจะถล่มลงได้ทุกเมื่อ กลิ่นอับชื้นจากเศษฝุ่นและไม้เก่าภายในชวนให้นึกถึงเพิงร้างไร้ผู้คน อวี้เหวินก้าวเข้าสู่ที่พักชั่วคราวนั้นอย่างระมัดระวัง แขนแข็งแรงประคองร่างบางในชุดขาวของสตรีเบื้องหน้าไว้แนบอก ราวกับกลัวเพียงแรงสะเทือนเพียงน้อยจะทำให้นางแตกสลายยามเมื่อร่างบอบบางถูกวางลงบนฟูกฟางเก่าเนื้อดี มือแกร่งค่อยประคองจัดท่าให้สตรีผู้นั้นนั่งลงอย่างนุ่มนวล แม้ใบหน้างามล่มเมืองจะถูกผืนแพรบางสีขาวปิดบังไว้ ทว่ารัศมีแห่งความงามราวเทพธิดาจำแลงก็มิอาจซ่อนเร้นได้ นางนั่งสงบนิ่งราวกับภาพวาดจากปลายพู่กันของจิตรกรสวรรค์ แสงจันทร์นวลผ่องสาดส่องลงมาเป็นลำ เส้นผมดำขลับยาวสลวยดั่งน้ำตกจากผา สูบประกายจากผิวขาวผ่องราวหิมะแรกต้องแสง จนบุรุษผู้พบเห็นมิกล้าแม้แต่จะสัมผัสอวี้เหวินสูดลมหายใจลึก มือหนึ่งค่อยเอื้อมไปปลดปมเสื้อคลุมเนื้อละเอียดทางด้านหลัง นิ้วมือที่เคยชาชินกับการจับดาบในสนามรบ กลับสั่นระริกเมื่อสัมผัสผืนผ้าบางเบาดุจกลีบเมฆ เสื้อคลุมสีขาวนวลค่อยๆ ร่วงหล่นจากบ่า เผยแผ่นหลังขาวเนียนราวมรกตไร้ตำหนิ นุ่มละ

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่49 คืนเเห่งความสูญสิ้น ดวงดาวดับเเสง

    ใต้ฟ้าค่ำ...ทะเลไร้คลื่นลมกลับโหมกระหน่ำด้วยกลิ่นอายแห่งการประทะอันเกรี้ยวกราด ริมฝั่งเกาะร้างท่ามกลางม่านรัตติกาล อวี้เหวินยืนนิ่งกลางพื้นทรายที่แตกร้าวเป็นตาข่ายโลหิต เบื้องหน้าเขา ร่างอสูรที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นหลิวหงกลับทรุดตัวลงอย่างยากจะหยัดยืน พลังที่เคยแข็งแกร่งเช่นขุนเขา บัดนี้กลับสั่นคลอนดั่งเสาหลักบ้านทรุดโทรมแววตาของอวี้เหวินเรืองแสงสีทองอ่อน ภายในนั้นแฝงไว้ด้วยรังสีแห่งเพลิงอัคคีและประกายแห่งอัสนีบาต มือขวาของเขาแน่นราวคีมเหล็ก ทั่วกายแผ่ไอร้อนระอุ สะท้อนกับเส้นผมยาวสลวยสีดำสนิทราวกับถูกเพลิงล้อมรอบ...กายาเขาถูกห่อหุ้มด้วยไอพลังสีน้ำเงินเข้มปนประกายทองแดง เสมือนชุดเกราะเงาไร้รูปลักษณ์ ขณะที่กล้ามเนื้อภายใต้ชุดคลุมสีทมิฬที่ขาดวิ่นเต้นระริกด้วยพลังดั่งภูตอัสนีแฝงสิง"เตาอัสนีวิบัติ" ขั้นที่สองระดับกลางยามเลื่อนถึงขั้นนี้ กายาของอวี้เหวินแปรเปลี่ยนเสมือนร่างเทพอัสนี ทุกฝีก้าวหนักแน่นปานทุ่มแผ่นดินทุกหมัดเปี่ยมด้วยพลังกระชากวิญญาณพลันเขากระโจนพุ่งเข้าหาร่างหลิวหงอีกครา มือซ้ายสะบัดเป็นวิถีกงล้อแห่งสายฟ้า มือขวากำรอบเป็นหมัดเพลิงคำราม“หมัดอัคนีสังหาร!”เสียงหมัดซัดผ่านอากาศรา

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่48 เพลิงแค้นมิยอมมอด

    อวี้เหวินในยามนี้ ทรุดเข่าลงเบื้องหน้าหาดคลื่นซัด... ดวงตาเคยคมดุจมีดกระบี่ บัดนี้พร่าเลือนราวหมอกเช้า เสียงฟ้าครวญลมร้องกลับกลายเป็นเพียงเสียงแผ่วเบาในโสตประสาทของเขา จิตใจของเขาถูกกัดกร่อนราวเหล็กที่แช่กรด คลื่นความมืดมนปะทะซัดเข้าราวพายุพัดจิต “เฮ้! เจ้าหนู อวี้เหวิน... เจ้าไหวรึไม่!?” เสียงหนึ่งดังขึ้นภายในมโนสำนึก..แหบพร่าแต่แฝงไปด้วยความร้อนรน ห้วงเสียงนั้นคือซ่งเหยียนเฟย... สหายจากมิติสร้อยคอ ผู้เคยปากกล้าท้าโลกหล้า ซ่งเหยียนเฟยกำลังจะก้าวออกจากมิติมา เเต่ทันใดนั้น ร่างกายของเขาก็ถูกตรึงแน่นด้วยพลังลึกลับ ไม่อาจขยับเขยื้อนได้แม้เพียงปลายนิ้ว เขายังเพียรเรียกหาเสียงแล้วเสียงเล่า “บัดซบ... ไออสูรหน้าคน!” ซ่งเหยียนเฟยสบถพลางตวัดฝ่ามือไปมาในมิติจำกัด “หากข้าก้าวออกไปได้ละก็..ท่านปู่ผู้นี้จะฉีกกระชากร่างมันจนกระดูกแหลก!” แต่เสียงของเขา กลับสะท้อนอยู่เพียงในเงาจิต ไม่อาจเข้าถึงจิตอวี้เหวินที่กำลังจมดิ่งลงสู่ห้วงว่างอันไร้ปลาย..เข่าทั้งสองแนบทราย ดวงหน้าหล่อเหลาหม่นหมอง ผมยาวหลุดรุ่ยคลอเคลียหน้าผาก ดั่งรัตติกาลที่คลุมร่างเทวะให้กลายเป็นมนุษย์ผู้ตกสู่ขุมนรก เสียงของซ่งเหยียนเฟยยัง

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่47 ร้อยเล่ห์พันลวง มารบงการจิต

    ใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาเหนือชายฝั่งอันวิเวก เสียงคลื่นกระทบโขดหินดังเป็นจังหวะอ้อยอิ่ง ทว่าภายใต้ความสงบนั้น คือบรรยากาศที่ตึงเครียดประหนึ่งสายฟ้าเงื้อมคมรอจู่โจม ร่างในชุดดำของอวี้เหวินยืนนิ่งประหนึ่งเงาสลัวในม่านรัตติกาล สองตาจับจ้องไปยังบุรุษตรงหน้า ผู้ซึ่งบัดนี้หาใช่เพียงชายวัยกลางคน หากแต่ครึ่งหนึ่งของใบหน้ากลับกลายเป็นอสูรอันน่าสะพรึง ร่างกายแปรเปลี่ยน กล้ามเนื้อปูดโปน เกล็ดสีดำสนิทผุดขึ้นราวอสรพิษจำแลง เงาของง้าวดำในมือขยับไหวเพียงนิด กลับแผ่กลิ่นอายสังหารออกมาราวกับทะลวงอากาศ อวี้เหวินไม่กล่าววาจาใดให้เปลืองถ้อยคำ ขณะที่จันทราเบื้องบนยังไม่ทันเคลื่อนคล้อยจากยอดฟ้า เขาก็พุ่งออกประหนึ่งอัสนีสาดฟาด! หมัดแรกพุ่งทะลวงอากาศเป็นประกายเพลิง ปะทะตรงกับเคียวมารของหลิวหง เสียงดังสนั่นดั่งเหล็กกล้ากระทบหินผา แรงสั่นสะเทือนสะท้านไปทั่วร่างของหลิวหงจนเขาต้องถอยหลังพลางยกเคียวขึ้นยันตัวไว้ กลับถูกแรงมหาศาลผลักให้ลอยขึ้นจากพื้นไปเล็กน้อย “โอ้…” เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังแผ่ว ราวเสียงกระซิบของปีศาจร้าย “…เจ้ามีเรี่ยวแรงเหนือกว่าเด็กหญิงผู้นั้นเสียอีก เช่นนี้...การสังหารเจ้าจึงนับว่าคุ้มค่าม

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่46 หมัดสังหาร... ทะลวงขีดจำกัด

    ใต้เงาราตรีแห่งฟากฟ้าปราศจากจันทร์ ดวงดาวพลันหลบเร้นอยู่หลังม่านเมฆทะมึน เสียงลมหอบหวิวผสานกับเสียงคลื่นที่ซัดกระแทกชายฝั่งมิได้สงบลงเลยแม้แต่น้อย ท่ามกลางกลิ่นเค็มของไอทะเลและกลิ่นคาวโลหิตที่ฟุ้งกระจาย ฉากการประมือของสองสายเลือดมนุษย์กับสัตว์อสูรและมารชั่วคลุ้งไปทั่วชายหาดอันเคยสงบงาม กลับกลายเป็นแดนประหัตประหารที่เต็มไปด้วยหลุมลึก โขดหินที่ถูกแรงกระแทกจนแหลกละเอียด ต้นไม้ชายฝั่งก็ถูกถอนราก เศษกิ่งใบปลิวว่อนราวใบไม้ร่วงในวสันต์ “โฮกกกก!!!” เสียงคำรามอันบ้าคลั่งของ หลงหมิ่น แผดก้องดั่งเสียงมังกรโกรธเกรี้ยว มันมีบาดแผลลึกหลายแห่ง โลหิตสีครามสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนพื้นทราย แต่แทนที่จะอ่อนแรงลง พลังของมันกลับพวยพุ่งขึ้น ร่างมหึมาพุ่งทะยานดั่งเงาวารีใต้สมุทรอันเชี่ยวกราก ลำคอและเขี้ยวยาวเปล่งประกายด้วยพลังอาภรณ์วารีอันเข้มข้น มุ่งสังหารเด็กหนุ่มตรงหน้าโดยไร้ความปรานี! อวี้เหวิน ไม่คิดหลบ ร่างของเขาสวมเสื้อคลุมดำแนบลู่กับลม เส้นผมยาวสะบัดอย่างองอาจ สองดวงตาคมกล้าฉายแววสงบ เย็นเยียบยิ่งน้ำแข็งแต่เร่าร้อนด้วยเพลิงภายใน “มาเถิด! ข้ากำลังร้อนมืออยู่พอดี!” ทันใดนั้น! กำปั้นข้างขวาของเ

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่45 สองสมรภูมิใต้เงาจันทร์

    ภายใต้เงาจันทราซีดเซียวที่ทอดแสงนวลลงบนผืนน้ำทะเลอันมืดมิด กลิ่นไอเค็มยังคงล่องลอยเคล้าคลอกับลมราตรี อวี้เหวินยืนหยัดดุจขุนเขาที่มิหวั่นไหวเบื้องหน้าบุรุษวัยกลางคน ดวงตากลับฉายแววกระวนกระวายราวถูกเพลิงแผดเผา แสงจันทร์สาดส่องลงบนใบหน้าคมคายราวสลักเสลา เงาร่างในอาภรณ์ดำสนิทดุจเงามัจจุราชขยับเพียงเล็กน้อย ก่อนจะเปล่งวาจาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงไว้ด้วยร่องรอยแห่งความระแวงแคลงใจ “เหตุใดข้าจึงมิได้ยินเสียงของมัน…?” น้ำเสียงของเขานั้นเยือกเย็น ทว่าในแววตาแฝงความเคร่งเครียดและจับสังเกตอย่างลึกซึ้ง เป็นคำถามที่ราวกับเขาโยนหินลงสระ เพื่อรอดูคลื่นสะท้อนกลับมาจากคำพูดของชายผู้นั้น ชายวัยกลางคนผู้มีผิวคล้ำจากแสงแดด มองสบตาอวี้เหวินพลางขมวดคิ้ว สีหน้าร้อนรนแฝงความกลัว “ท่านจอมยุทธ์!” เขากล่าวเสียงสั่น “ท่านอย่ารอช้าเถิด วันนี้มันมิได้ส่งเสียงคำรามก้องเช่นทุกครา แต่กลับคลานขึ้นฝั่งโดยไร้สุ้มเสียง…ข้าหวั่นว่า มันตั้งใจจะลิ้มลองเลือดเนื้อมนุษย์แล้ว!” เขากลืนน้ำลายฝืดคอ ก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน “และ...จุดที่มันขึ้นมานั้น มีเด็กคนหนึ่งอยู่พอดี!” คำพูดสุดท้ายดั่งสายฟ้าฟาดลงกลางอ

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่44 คลื่นทมิฬกลืนกินนภา ใครคือผู้บงการอสูร?

    เบื้องหน้าแมกไม้สูงใหญ่ที่โอบล้อมบึงใสกลางป่า เงาสะท้อนของเมฆสีเทารางเลือนวาดทับผิวน้ำดั่งม่านหมอกชะล้างใจ เมื่อเสียงสายลมโอบพัดใบไม้ให้ไหวเอน เด็กน้อยเบื้องข้างขอนไม้ก็ก้มหน้าลงแผ่วเบา คล้ายกำลังรวบรวมใจเพื่อกล่าวต่อ “เมื่อเดือนก่อน…” เสียงของเขาแผ่วพร่า ราวกลัวว่าหากเอื้อนเอ่ยถ้อยคำออกมาแล้ว ความเศร้าที่ซุกซ่อนจะพรั่งพรูไม่อาจห้าม “มีคนจากภายนอกกลุ่มหนึ่งมาถึงหมู่บ้าน…” ดวงตาเล็กจ้องมองบึงอย่างเหม่อลอย สะท้อนแววอ้างว้างเจือปนระลึกถึง “พวกเขาสวมอาภรณ์ดูสง่า บางคนมีกระบี่แนบกาย บางคนมีกระบี่หลังสะพาย บางคนมีดวงตาที่เปล่งแสงราวจิตวิญญาณไม่ธรรมดา… ข้าคิดว่าพวกเขาคงเป็นผู้ฝึกปราณที่มีฝีมือ” เขาสูดหายใจเข้าแผ่วเบาก่อนหลุบตามองดินร่วนใต้เท้า “แต่ไม่กี่วันให้หลัง พวกเขากลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีใครล่วงรู้ว่าพวกเขาไปทางใด ไม่มีแม้เสียงร่ำลา… แม้แต่ร่างก็ไม่ปรากฏให้เห็น” เสียงแผ่วพร่าของเด็กน้อยพลันสั่นไหว น้ำใสคลอหน่วยดวงตากลมโตก่อนหยาดหยดลงบนหลังมืออันสั่นเครือ เขาปาดน้ำตาอย่างเงียบงัน ก่อนพึมพำด้วยเสียงสะอื้นแผ่วเบา “หนึ่งในนั้น… คือคนที่ข้ารู้จัก” ดวงตาน้อยคู่นั้นค่

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่43 กระซิบจากริมบึง เงาปีศาจในคราบมนุษย์

    อวี้เหวินยังคงจ้องมองเขาอย่างแน่วแน่ ราวกับต้องการอ่านความจริงจากลึกในดวงจิตของอีกฝ่าย เฒ่าเจียนสูดลมหายใจลึก ก่อนเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย “ราวหนึ่งเดือนก่อน ข้าออกเรือไปยังทะเลทางทิศตะวันตก จุดนั้นห่างจากชายฝั่งไกลพอควร ตั้งใจเพียงจะหาปูหาหอยไปขายแลกเบี้ย… แต่สิ่งที่ข้าเจอนั้น…” เขาหยุดนิ่ง ขยับถ้วยชามาแนบอก มือทั้งสองสั่นไหวเล็กน้อย “มัน… มันใหญ่โตราวกับเนินเขาเคลื่อนที่ได้ ลำตัวเรียวยาว ราวงูทะเลที่คลานบนผืนน้ำ… แววตามันวาววับ เยียบเย็นดั่งคมดาบในหิมะขาว ข้าแน่ใจว่า มันไม่ใช่สัตว์อสูรธรรมดา หากแต่เป็นสิ่งที่ผู้คนเล่าขาน… ‘เงามังกรใต้สมุทร’…” อวี้เหวินขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสบตากับเซี่ยชิงหลัวซึ่งนิ่งฟังอยู่ข้างกาย แม้นใบหน้านางจะถูกผ้าขาวบางปิดบัง แต่เพียงแค่ดวงตางามที่ทอแววบางอย่างเจือแสงครุ่นคิด เขาก็รู้ได้ในบัดดลว่านางเองก็เข้าใจในสิ่งเดียวกัน “ท่านเคยได้ยินชื่อมันหรือไม่?” อวี้เหวินเอ่ยเสียงต่ำ เฒ่าเจียนพยักหน้าเบา ๆ “เคย… เคยได้ยินจากพวกชาวเรือเฒ่าในอดีต พวกเขาเรียกมันว่า ‘หลงหมิ่น’ …อสูรโบราณที่สืบสายโลหิตแห่งอสรพิษทะเลจากยุคดึกดำบรรพ์ มันไม่ค่อยปรากฏตัวบนผิวน้ำ และไม

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่42 หลงหมิ่น—มังกรเงาแห่งสมุทร

    ยามอรุณรุ่งแผ่แสงอ่อนบางลงแตะต้องริมขอบฟ้า เฉกเช่นม่านทองที่คลี่คลุมผืนนภา สีฟ้าเรื่อแซมประกายสีส้มจางไล้ผ่านยอดไม้ และแนบอิงผิวคลื่นเบื้องล่าง จนผืนน้ำคล้ายพลิ้วไหวไปด้วยแสงทองนั้น สายลมยามเช้าพัดเอื่อยพาไอเค็มของทะเลโชยมาแตะปลายจมูก อ่อนโยนและเย็นสบายนัก ใต้เงาไม้ริมชายฝั่ง ร่างบอบบางในอาภรณ์สีขาวนวลนั่งสงบนิ่งอยู่ข้างขอนไม้ ดวงหน้างดงามราวภาพวาดยังคงเคลิ้มในห้วงนิทราอย่างสงบเสงี่ยม แสงแดดเบาบางส่องต้องผ่านซอกกิ่งไม้ แผ่วพาดลงบนเรียวแก้มนวลเนียนประหนึ่งหยาดหิมะแรกของฤดูหนาว ดวงตางามล้ำคู่นั้นพลันขยับกระพริบไหว ลืมขึ้นอย่างเชื่องช้าและแผ่วเบา ราวกลีบบุปผาที่แย้มรับแสงแรกของวัน เมื่อสติกลับคืน คิ้วเรียวเล็กพลันขมวดเข้าหากันอย่างแผ่วเบา ราวกับผืนน้ำต้องลมแผ่ว รำลึกขึ้นได้ว่าตนเอ่ยปากจะร่วมเฝ้ายามเคียงข้างบุรุษผู้นั้น ทว่ากลับเผลอหลับใหลไปโดยมิรู้ตัว ความรู้สึกผิดพลันแผ่ซ่านไปทั่วอุรา ใบหน้านวลผ่องราวหยกขาวพลันแต้มสีชมพูระเรื่อ ดุจกลีบเหมยแรกแย้มต้องหิมะยามอรุณรุ่ง งดงามจับตา ราวกับภาพวาดสวรรค์ที่รังสรรค์ขึ้นอย่างพิถีพิถัน นางขยับกายเล็กน้อย พลิกตัวไปมองหาร่างของบุรุษผู้เป็นสหายร่วม

Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status