/ แฟนตาซี / ดาบพิฆาตสลับนภา / บทที่6 บุรุษงามพิศวง หินทมิฬสะท้านวิญญาณ

공유

บทที่6 บุรุษงามพิศวง หินทมิฬสะท้านวิญญาณ

작가: Prince_White
last update 최신 업데이트: 2025-04-20 16:18:32

ขณะที่อวี้เหวินหันกายกลับไป ร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในห้วงสายตาของเขา ราวกับบุปผาต้องลมที่ร่วงหล่นลงบนผืนดินอันแข็งกระด้าง

'ผู้ใดกันเล่า เหตุใดจึงมานอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่กลางป่าลึกอันเปลี่ยวร้างเช่นนี้?' เขาครุ่นคิดในใจ พลางย่างเท้าเข้าไปหาร่างนั้นด้วยความระมัดระวัง ราวกับเกรงว่าเสียงฝีเท้าจะรบกวนการพักผ่อนอันแสนเงียบสงบ ร่างมนุษย์บอบบางร่างหนึ่งที่กำลังหลับใหลไม่ได้สติ ค่อยๆ ปรากฏรูปร่างชัดเจนขึ้นในม่านสายตาของอวี้เหวิน

'ช่างงดงามเสียจริง...สตรีเช่นนั้นหรือ?' อวี้เหวินจ้องมองไปยังร่างนั้นอย่างตะลึงงัน ราวกับต้องมนต์สะกด ผิวพรรณขาวผ่องดุจหิมะแรกต้องแสงจันทร์ ใบหน้างดงามหมดจดราวกับเทพธิดาที่ร่วงหล่นจากสรวงสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์ เส้นผมสีแดงเพลิงยาวสลวยราวกับสายไหม ทว่า...บนชุดผ้าเนื้อดีที่นางสวมใส่นั้น ปรากฏร่องรอยแห่งการฉีกขาดและคราบโลหิตแห้งกรัง บ่งบอกถึงการเผชิญเคราะห์ร้ายมามิใช่น้อย

'ดูท่าทางนางจะได้รับบาดเจ็บสาหัสยิ่งนัก ข้าควรยื่นมือเข้าช่วยเหลือตามวิสัยบุรุษหรือไม่?' ความลังเลฉายชัดในดวงตาคมกริบดุจเหยี่ยวของเขา

"ตุบ!" เสียงฝ่ามือหนาหนักกระทบลงบนศีรษะตนเองเบาๆ "เจ้ามันคนใจหินไปแล้วหรืออวี้เหวิน! เห็นสตรีที่กำลังจะสิ้นชีวาอยู่ตรงหน้า กลับมิคิดที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือเยี่ยงบุรุษผู้มีคุณธรรม เจ้ายังคงความเป็นคนอยู่หรือไม่!" เขาตำหนิตนเองในใจอย่างรุนแรง รู้สึกละอายแก่ใจที่เคยมีความคิดลังเลแม้เพียงชั่วครู่

เขาค่อยๆ ย่อกายลงอย่างนอบน้อม ประคองร่างบอบบางนั้นขึ้นมาด้วยความทะนุถนอม ราวกับกลัวว่าลมหายใจของตนจะพัดพานางให้บอบช้ำแม้เพียงเล็กน้อย แล้วจึงนำกลับไปยังบ้านอันแสนอบอุ่นของตนด้วยความรวดเร็ว "ฟึ่บ!" อวี้เหวินอุ้มร่างนั้นแนบอก สัมผัสได้ถึงความเบาหวิวราวขนนก ทว่าในขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงน้ำหนักที่มิได้เบาบางดังที่เห็น 'ตัวเล็กเพียงเท่านี้ ทว่าน้ำหนักกลับมิได้เบาบางดังที่เห็น' หยาดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นตามไรผมของเขา บ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าที่เริ่มก่อตัว

ยามนี้เป็นเวลาโพล้เพล้ แสงสุรียันได้ลาลับขอบฟ้าไปนานแล้ว ทิ้งไว้เพียงความมืดมิดที่เริ่มปกคลุมไปทั่วผืนป่า อวี้เหวินเดินลัดเลาะไปตามทางในป่าอย่างทุลักทุเล หลงทิศหลงทางไปหลายครา ท่ามกลางความมืดมิดและเงาตะคุ่มของหมู่แมกไม้ กว่าจะสามารถออกจากขุนเขาอันกว้างใหญ่นี้ได้ก็กินเวลาไปนานโข เวลานี้ ความมืดมิดได้ปกคลุมไปทั่วทุกสารทิศ พระจันทร์เสี้ยวสีเงินยวงและดวงดารานับร้อยนับพันถูกแขวนประดับอยู่บนท้องนภาสีดำสนิท ส่องแสงนวลตาลงมา ราวกับตะเกียงน้อยใหญ่ที่ส่องนำทางให้แก่คนทั้งสอง นี่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่ายามรัตติกาลอันเงียบสงัดได้มาเยือนแล้ว

ท่ามกลางความมืดมิดที่ปกคลุมไปทั่ว หนึ่งบุรุษอุ้มร่างสตรีบอบบาง เริ่มปรากฏขึ้นช้าๆ อวี้เหวินก้าวเดินอย่างเนิบนาบ มิได้เร่งรีบ แม้ว่า "ฟึด...ฟัด..." เสียงลมหายใจของเขาจะเริ่มหอบกระชั้นถี่รัว บ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าที่เริ่มถาโถมเข้ามา มิเพียงแต่วันนี้เขาต้องออกล่าสัตว์เพื่อนำกลับไปเป็นอาหาร ยังต้องแบกรับร่างจิ๋วนี้กลับมาด้วย ระยะทางที่ยาวไกลและสภาพถนนที่ขรุขระมิได้ราบเรียบ ยิ่งสร้างความยากลำบากให้แก่เขาเป็นทวีคูณ ราวกับมีภาระหนักอึ้งเพิ่มขึ้นบนบ่า

แต่ถึงแม้ร่างกายจะอ่อนล้าเพียงใด จิตใจของอวี้เหวินกลับยังคงแน่วแน่ดุจขุนเขา เขาขบกรามแน่น กัดฟันฝืนทน พาร่างไร้เรี่ยวแรงของตนเองและสตรีในอ้อมแขน มุ่งหน้าไปยังบ้านที่อยู่ไกลออกไปให้จงได้ นี่แสดงให้เห็นถึงพลังใจอันแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าและความเมตตาที่ซ่อนลึกอยู่ในจิตใจของเขาได้อย่างชัดเจน ราวกับแสงดาวที่ส่องนำทางในความมืดมิด

"ตึกๆๆ" เสียงย่ำเท้าที่หนักแน่นแต่แฝงไว้ด้วยความเหนื่อยล้าดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดของราตรีกาล อวี้เหวินใกล้จะถึงเรือนพักอันเป็นที่รักของตนแล้ว แสงจันทร์สาดส่องนวลตาลงมายังหลังคาเรือนไม้ที่คุ้นเคย ราวกับโอบอุ้มด้วยความอ่อนโยน พลันสายตาคมกริบของเขาก็เหลือบไปเห็นแสงไฟสีส้มนวลสว่างลอดออกมาจากบานหน้าต่างไม้ที่คุ้นเคย แสงนั้นอบอุ่นและเป็นดั่งสัญญาณแห่งความหวัง

ปรากฏร่างสูงโปร่งของผู้หนึ่งยืนรอคอยอยู่หน้าประตูเรือน ท่ามกลางความมืดมิด ร่างนั้นดูโดดเด่นราวกับประทีปที่ส่องนำทาง อวี้เหวินเห็นภาพนั้นในใจก็พลันรู้สึกตื้นตันจนมิอาจเอื้อนเอ่ยเป็นคำพูดได้ หยาดน้ำตาใสคลอหน่วยที่เบ้าตาอย่างมิอาจหักห้าม นี่คือความยินดีที่มิอาจประเมินค่าได้ แม้จะเหนื่อยอ่อนจากการผจญภัยภายนอกมาเพียงใด ทว่าเมื่อย่างกรายกลับมายังร่มเงาแห่งเรือนอันเป็นที่พักพิง ก็ยังมีผู้เป็นที่รักเฝ้ารออยู่ด้วยความห่วงใยอาทร

"เหตุใดจึงกลับมาช้านักเล่า เหวินเออร์ ยามนี้ราตรีล่วงลึกเสียแล้ว" เสียงทุ้มนุ่มแต่แฝงไว้ด้วยความกังวลระคนห่วงใยดังขึ้นในโสตประสาทของอวี้เหวิน

"ท่านพ่อ...ท่านดูนี่" อวี้เหวินกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า พลางค่อยๆ ชูร่างบอบบางที่อยู่ในอ้อมแขนให้ผู้เป็นบิดาได้ยล

"นั่นผู้ใดกัน! เกิดเรื่องราวอันใดขึ้นกันแน่?" อวี้หลานเบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนกและฉงนใจ เมื่อเห็นร่างของสตรีในอ้อมแขนของบุตรชาย แสงตะเกียงในมือสั่นไหวเล็กน้อย

"ข้าเหนื่อยอ่อนเกินจะกล่าว ท่านพ่อ...เราเข้าไปในเรือนอันอบอุ่นกันก่อนดีกว่า ข้าจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ท่านฟังอย่างละเอียด" อวี้เหวินตอบด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

หลังจากอวี้เหวินจัดการภารกิจส่วนตัวจนเสร็จสิ้น สองพ่อลูกจึงนั่งลง ณ โต๊ะอาหารไม้เนื้อดีภายในเรือน แสงตะเกียงเปลวไหวส่องสว่างใบหน้าของทั้งสอง แสงนั้นอบอุ่นและสร้างบรรยากาศแห่งความสงบ อวี้เหวินจึงเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่ตนได้ประสบพบเจอในวันนี้ให้บิดาฟังอย่างละเอียด ตั้งแต่การพบพานชายชราที่พยายามหลอกลวงขายขนเสืออัคคี การไล่ตามกระบือป่ารูปร่างอ้วนพีที่เต็มไปด้วยความลึกลับและความว่องไวเหนือธรรมชาติ ไปจนกระทั่งการพบเจอกับสตรีร่างเล็กผู้นี้ที่หมดสติอยู่ในป่าลึกอันเปลี่ยวร้าง

"เจ้ากล่าวว่า...เจ้าพบนางในอาณาเขตอสูรเยี่ยงนั้นจริงหรือ!" อวี้หลานอุทานเสียงสูง ดวงตาเบิกกว้างจนแทบถลน จ้องมองไปยังร่างเล็กบอบบางที่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา

"ขอรับ ท่านพ่อ" อวี้เหวินตอบเสียงหนักแน่น ทว่าในห้วงความคิดกลับพลุ่งพล่านด้วยโทสะเมื่อหวนรำลึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา 'หากมิใช่เพราะเจ้ากระบือทึ่มตัวนั้นบังอาจขวางทาง...' ความโกรธก็แล่นริ้วเข้าสู่จิตใจอีกครา

"อันตรายยิ่งนัก! อันตรายจนแทบมิอาจบรรยาย! นับว่าพระเจ้ายังทรงเมตตาที่เจ้ามิได้รับบาดเจ็บ ทั้งยังนำพาสตรีผู้นี้กลับมาถึงเรือน หากนางมิใช่มนุษย์ หากนางคืออสูรร้ายที่แปลงกายมา พวกเราคงมิมีโอกาสได้ยืนอยู่ตรงนี้เป็นแน่" อวี้หลานถอนหายใจยาว ใบหน้ายังคงซีดเผือดราวกับคนหมดสิ้นเรี่ยวแรง

"สัตว์อสูร...ท่านพ่อ สัตว์อสูรสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ด้วยหรือขอรับ?" อวี้เหวินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคลือบแคลงสงสัย ดวงตาคมกริบจับจ้องไปยังร่างเล็กอย่างพิจารณา

"ย่อมได้ หากอสูรตนใดสั่งสมพลังบ่มเพาะจนถึงขั้นสูงส่ง ยากจะหยั่งถึง ก็ย่อมสามารถแปรเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นมนุษย์ได้ดุจเนรมิต หากแม่นางน้อยผู้นี้เป็นอสูรจริง พลังอำนาจของนางคงเหนือกว่าจินตนาการใดๆ ที่เราเคยสัมผัสมา" อวี้หลานตอบพลางลูบเคราอย่างครุ่นคิด ดวงตาฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด

"เมื่อได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือแล้ว ย่อมต้องประคับประคองให้ถึงที่สุด มิใช่หรือท่านพ่อ? นี่คือคำสอนที่ท่านเคยสั่งสอนข้าเมื่อครั้งยังเยาว์วัย โปรดวางใจในตัวข้าเถิด สัญชาตญาณในใจข้าล้วนร่ำร้องว่านางมิได้มีพิษภัยต่อพวกเราอย่างแน่นอน แม้นางจะเป็นอสูรร้ายที่แปลงกายมา นางก็มิได้มีเจตนาที่จะทำร้ายพวกเรา" อวี้เหวินกล่าวอ้อนวอนบิดาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง ดวงตาฉายแวววิงวอนอย่างเปิดเผย

"เจ้าช่างไร้เดียงสานัก...เฮ้อ ด้านที่ดื้อรั้นและเชื่อมั่นในสัญชาตญาณของเจ้านี่ ช่างถอดแบบมาจากมารดาเจ้ามิมีผิดเพี้ยน เอาเถิด ข้าหวังเพียงว่าจะเป็นเช่นที่เจ้ากล่าวมานั้นเถิด" อวี้หลานถอนหายใจอีกครา ดวงตาคู่คมทอดมองไปยังบุตรชายด้วยความเอ็นดูระคนห่วงใย

"ขอบคุณท่านพ่อขอรับ!" อวี้เหวินคลี่ยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายดุจดวงดาราในยามค่ำคืน แม้แต่ตัวเขาเองยังรู้สึกประหลาดใจกับคำพูดที่พลั้งเอ่ยออกไป ราวกับมีกระแสเสียงลึกลับบางอย่างมากระซิบสั่งการในห้วงสำนึก เขาจึงหันไปทอดสายตามองไปยังร่างเล็กที่ยังคงหลับใหลอย่างสงบอยู่บนเตียงไม้แกะสลักลายวิจิตร

กาลเวลาผันผ่านไปดุจสายลมที่พัดโชยมากระทบผิวกาย กว่าสิบคืนวันนับแต่เหตุการณ์ครั้งนั้น บัดนี้ล่วงเลยเข้าสู่เดือนที่สองแล้ว ทว่าร่างเล็กบอบบางของเด็กหญิงผู้นั้นยังคงหลับใหลมิได้สติ หาได้ลืมตาตื่นขึ้นมาสัมผัสแสงอรุณยามเช้าไม่

แต่ท่ามกลางความเงียบสงัดภายในห้อง กลับบังเกิดข่าวดีอันน่าปิติยินดีราวกับสายฝนชโลมใจ หลังจากความเพียรพยายามอย่างหนักหน่วงตลอดเกือบหนึ่งเดือนเต็ม อวี้เหวินก็สามารถก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งการบ่มเพาะพลังอย่างเต็มภาคภูมิ เขาทะลวงผ่านขีดจำกัดของตนเอง ก้าวสู่ระดับก่อตั้งรากฐานขั้นต้นได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ภายในระยะเวลาอันสั้น

ซึ่งแม้แต่อัจฉริยะผู้ได้รับการขนานนามว่าเก่งกาจที่สุดแห่งแคว้นตงชิงยังต้องใช้เวลานานถึงสองเดือนเต็มจึงจะบรรลุถึงขั้นนี้ได้ และกระทั่งคุณชายน้อยแห่งตระกูลเฉิน ผู้ได้รับการยกย่องจากเหล่าอัจฉริยะว่าเป็นอัจฉริยะเหนือผู้ใด ยังต้องใช้เวลาถึงหนึ่งเดือนครึ่งกว่าจะสามารถทะลวงสู่ระดับก่อตั้งรากฐานได้สำเร็จ

ความสำเร็จอันน่าทึ่งนี้ สร้างความปลาบปลื้มยินดีให้แก่บิดาของอวี้เหวินเป็นอย่างยิ่ง ใบหน้าของอวี้หลานปรากฏรอยยิ้มกว้าง ดวงตาคู่คมเปล่งประกายแห่งความภาคภูมิใจอย่างมิอาจซ่อนเร้น นี่คือเครื่องพิสูจน์ถึงพรสวรรค์อันล้ำเลิศ เกินกว่าผู้ใดจะเทียบเคียงได้ อวี้เหวินมิได้เป็นเพียงอัจฉริยะ แต่เขาคืออัจฉริยะที่โดดเด่นเหนือผู้ใดในหมู่ผู้มีพรสวรรค์!

"ด้วยความก้าวหน้าในการบ่มเพาะพลังของเจ้าที่รวดเร็วปานสายลม ก่อนที่พ่อจะนำเจ้าไปคารวะท่านเจ้าเมือง บางทีเจ้าอาจทะลวงสู่ระดับก่อตั้งรากฐานขั้นกลางได้เสียด้วยซ้ำ" อวี้หลานเอ่ยด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ มองบุตรชายด้วยสายตาชื่นชม

"ท่านพ่อโปรดวางใจ ข้าจะมุ่งมั่นทำให้สำเร็จดังที่ท่านหวังอย่างแน่นอน" อวี้เหวินตอบกลับด้วยแววตาแน่วแน่และเปี่ยมด้วยความมั่นใจ

ห้าวันต่อมา...

ยามรุ่งอรุณ แสงตะวันสีทองสาดส่องลอดผ่านบานหน้าต่างไม้เข้ามาในห้องพักอันคับแคบและเรียบง่าย ร่างหนึ่งที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียงไม้เก่าคร่ำคร่าค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นอย่างเชื่องช้า แสงแรกของวันกระทบกับดวงตาคู่นั้นที่ค่อยๆ เผยให้เห็นความงดงามราวกับดวงดาราต้องแสงอรุณ

"แกร๊ก..." เสียงประตูไม้ถูกเปิดออกเบาๆ พร้อมกับการปรากฏร่างสูงโปร่งของผู้หนึ่งที่ก้าวเข้ามาในห้องด้วยท่าทางงัวเงีย ดวงตาปรือเล็กน้อยบ่งบอกถึงความง่วงงุน ผู้นั้นมิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นอวี้เหวินนั่นเอง

ทันทีที่สายตาของร่างบนเตียงจับจ้องไปยังอวี้เหวิน ราวกับมีกระแสความเย็นเยียบแผ่ซ่านไปทั่วทั้งห้อง อุณหภูมิรอบกายพลันลดต่ำลงจนอวี้เหวินรู้สึกขนลุกชัน ร่างกายของเขาเริ่มสั่นสะท้านเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ได้

"ข้าหิว..." เสียงแหบพร่าเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น ทำลายความเงียบสงัด

เมื่อได้ยินเสียงนั้น อวี้เหวินถึงกับสะดุ้งโหยง ถอยหลังกรูดราวกับเผชิญหน้ากับภูตผีปีศาจ มือข้างหนึ่งยกขึ้นชี้ไปยังร่างบนเตียงด้วยอาการตกตะลึง

"เจ้... เจ้า! เจ้าฟื้นแล้วหรือนี่!" เขาเอ่ยเสียงสั่นเครือ ติดขัด

ร่างบนเตียงขมวดคิ้วเล็กน้อย แสดงสีหน้าเบื่อหน่าย ก่อนจะขยับกายลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงอย่างเกียจคร้าน

"ข้ามิใช่ภูตผี ข้ายังมีลมหายใจอยู่เต็มปอด มีสิ่งใดให้ข้าประทังความหิวได้บ้างหรือไม่?" นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

อวี้เหวินยืนตะลึงงันราวกับถูกสาปให้กลายเป็นหินอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะรวบรวมสติกลับคืนมาได้ "อ... เอ่อ มีๆ ข้าจะไปนำมาให้เดี๋ยวนี้" เขาพูดพลางรีบหมุนตัวเดินออกจากห้องไปด้วยความงุนงงสงสัย

ผ่านไปชั่วครู่ อวี้เหวินก็กลับมาพร้อมกับถาดไม้ในมือ บนถาดมีอาหารที่จัดวางไว้อย่างเรียบร้อย เขาเดินเข้าไปวางถาดอาหารลงตรงหน้ามนุษย์ร่างเล็กผู้นั้นอย่างนอบน้อม

"เชิญท่านตามสบาย นี่คืออาหารที่ข้าหามาได้จากเชิงเขา ซึ่งเป็นสถานที่ที่ข้าได้พบเจอท่าน" อวี้เหวินกล่าวด้วยความเกรงใจ

นางมองไปยังอาหารที่วางเรียงรายอยู่ในถาดด้วยสายตาเย็นชา พลางแสดงสีหน้าเหยียดหยามราวกับเห็นสิ่งสกปรก "ขยะทั้งสิ้น! เจ้ากล้านำขยะเหล่านี้มาให้ข้ากินได้อย่างไรกัน?"

"เพ่ย! ขยะอันใดกันเล่า! นี่คืออาหารชั้นเลิศที่ข้าอุตส่าห์ล่ามาด้วยความยากลำบาก เจ้ามิรู้หรือว่าข้าต้องเสียหยาดเหงื่อแรงกายไปเท่าใดกว่าจะได้มา!" อวี้เหวินขมวดคิ้ว ใบหน้าแสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

"นี่หรืออาหารชั้นเลิศของเจ้า? มองอย่างไรก็เห็นแต่ของต่ำทราม เจ้าไม่มีสิ่งที่ดีกว่านี้อีกแล้วหรือ?" นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

"ไม่มีอีกแล้ว! หากท่านไม่ต้องการ งั้นข้าจะนำกลับไปเก็บเดี๋ยวนี้" อวี้เหวินกล่าวด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้นเล็กน้อย พลางยื่นมือไปหยิบถาดอาหารกลับคืน

เมื่อมนุษย์ร่างเล็กเห็นดังนั้น นางก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืนทน ดวงตาจ้องเขม็งไปยังอาหารในถาดราวกับถูกสะกด "ช่างเถิด เห็นแก่ที่เจ้ามีน้ำใจหาอาหารมาให้ข้า ข้าก็ไม่อยากให้เจ้าต้องเสียใจ ข้าจะกินมันเอง" ว่าแล้วก็รีบดึงถาดอาหารกลับมา

นางมองไปยังอาหารในถาดที่ถูกจัดใส่ถ้วยไว้อย่างประณีต หยิบตะเกียบไม้ขึ้นมาอย่างไม่เต็มใจนัก ก่อนจะคีบชิ้นเนื้อชิ้นหนึ่งขึ้นมา แล้วค่อยๆ นำเข้าปากอย่างระมัดระวัง

อวี้เหวินสังเกตเห็นสีหน้าขยะแขยงและท่าทางราวกับฝืนทนของนาง ยิ่งเป็นการจุดประกายความไม่พอใจในใจของเขาให้ลุกโชนขึ้น ราวกับเปลวเพลิงที่กำลังโหมกระหน่ำ

"งับ..." เสียงเนื้อถูกเคี้ยวในปากดังแว่วมาเบาๆ ทว่าทันใดนั้นเอง รสชาติอันโอชะราวกับกระแสธาราแห่งความสุขก็ไหลบ่าไปทั่วทั้งลิ้นและกระพุ้งแก้มของมนุษย์ร่างเล็กผู้นั้น เนื้อนุ่มละมุนลิ้นแทบจะละลายหายไปในพริบตา ปลุกเร้าให้เขาต้องรีบตักชิ้นเนื้อเข้าปากซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่รู้เบื่อ จนกระทั่งอาหารทุกอย่างในถาดเกลี้ยงเกลาไม่มีเหลือแม้แต่เศษผัก

เมื่อความอิ่มเอมแผ่ซ่านไปทั่วร่าง เขาก็พลันรู้สึกตัวและเกิดความขวยเขินขึ้นมาเล็กน้อย ดวงตาเหลือบมองไปยังอวี้เหวินอย่างประหม่า ราวกับไม่กล้าที่จะเอื้อนเอ่ยคำใดออกมา เมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายที่กำลังฉีกยิ้มเยาะมาให้

"มี... มีอีกหรือไม่?" มนุษย์ร่างเล็กเอ่ยถามด้วยเสียงกระซิบกระซาบ ราวกับเกรงว่าผู้ใดจะได้ยินถ้อยคำของตน

"เจ้ามิกลัวว่าอาหารที่เจ้าเพิ่งกินเข้าไปจะเป็นเพียงขยะหรือ?" อวี้เหวินเลิกคิ้วถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

"เจ้า!!" มนุษย์ร่างเล็กราวกับถูกปิดปาก คำพูดมากมายจุกอยู่ที่ลำคอจนมิอาจเอื้อนเอ่ยออกมาได้ ใบหน้าเริ่มแดงก่ำด้วยความขุ่นเคือง

"เอาเถิดๆ ข้าจะไปนำมาให้เจ้าอีก" อวี้เหวินหัวเราะเบาๆ อย่างอารมณ์ดี เขากระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ ก่อนจะถือถาดเปล่าเดินออกจากห้องไปอย่างร่าเริง

เมื่อเห็นรอยยิ้มนั้นของอวี้เหวิน มนุษย์ร่างเล็กถึงกับกัดฟันแน่น เสียงบดเคี้ยวฟันดัง "กรอด!"

หลังจากที่ควบคุมอารมณ์ขุ่นเคืองได้ เขาก็เริ่มครุ่นคิดถึงสถานการณ์ของตนเอง 'แม้ว่าตอนนี้ข้าจะสามารถขยับเคลื่อนไหวร่างกายได้คล่องแคล่วขึ้นมาก ทว่าอาการบาดเจ็บภายในยังคงอยู่มิคลาย แถมฐานพลังบ่มเพาะยังลดต่ำลงจนเหลือเพียงแค่ขั้นก่อกำเนิดเท่านั้น' ดวงตาของเขาฉายแววทั้งความแค้นเคืองและความเสียใจอย่างปิดไม่มิด

'ช่างน่าโมโหสิ้นดี! หากข้าผู้นี้มิได้มีกายภายในอันเป็นเอกลักษณ์พิเศษของเผ่าทมิฬ คงมิอาจรอดชีวิตมาได้ถึงเพียงนี้ แม้จะมีค่ายกลมิติเคลื่อนย้ายก็ตาม เหลียนตงเยว่ เจินเหยียน ซ่งเหว่ยนาน พวกเจ้าจะต้องชดใช้อย่างสาสม! รอให้ข้ากลับไปยังดินแดนของตน ข้าจะสังหารพวกเจ้าด้วยมือของข้าเอง!' เขากำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ สายตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังราวกับเปลวเพลิงที่กำลังลุกโชน

จากนั้น อวี้เหวินก็นำอาหารอีกสำรับมาให้ ซ่งเหยียนเฟยซัดอาหารเหล่านั้นราวกับพายุโหมกระหน่ำ เมื่อท้องอิ่มแปล้ ทั้งสองจึงเริ่มเปิดปากสนทนากัน

"เจ้ามีนามว่ากระไร มาจากที่ใดกัน? เหตุใดถึงไปนอนสลบไสลอยู่ในป่าอสูรนั่น?" อวี้เหวินเร่งเร้าถาม ดวงตาคมกริบจับจ้องไปยังอีกฝ่ายอย่างคาดคั้น

"ข้า... ซ่งเหยียนเฟย! ส่วนคำถามอื่นของเจ้า ข้ามิใคร่จะตอบ!" ซ่งเหยียนเฟยตอกกลับเสียงแข็งกร้าว แววตาวาวโรจน์ดุดัน "แล้วเจ้าล่ะ เจ้าหนุ่มน้อย มีนามว่าอะไร?"

อวี้เหวินขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าฉายแววขุ่นเคือง "ข้ามีนามว่า อวี้เหวิน! เหตุใดนามของเจ้าจึงฟังดูห้าวหาญเยี่ยงบุรุษชาตรีนัก?

"แล้วผู้ใดบอกเจ้าว่าข้าเป็นสตรีกันเล่า!" ซ่งเหยียนเฟยเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย กลอกนัยน์ตาอย่างไม่ยี่หระ

"เจ้... เจ้ามิใช่สตรีหรอกหรือ?! เหตุใดรูปโฉมถึงได้งดงามล่มเมืองปานนี้!" อวี้เหวินอุทานเสียงหลง ดวงตาเบิกกว้างราวกับเห็นสิ่งอัศจรรย์ มองสำรวจร่างตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา

"งดงามอันใดกัน! ร่างกายข้าสูงสง่ากำยำเยี่ยงนี้ จะเป็นสตรีไปได้อย่างไรกัน!" ซ่งเหยียนเฟยตวาดลั่นด้วยความเดือดดาล พลางยกมือขึ้นทุบไปที่กล้ามเนื้อแขนของตนอย่างแรง

อวี้เหวิน "... (จุกจนพูดไม่ออก)"

"เหตุใดเจ้าจึงตัวเล็กกระจ้อยร่อยเยี่ยงนี้? หรือว่าเจ้าเป็นสัตว์อสูรที่แปลงกายมาหลอกลวงกัน?" อวี้เหวินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคลือบแคลงสงสัย

"หึ! เจ้าบังอาจนำข้าไปเปรียบเทียบกับพวกชั้นต่ำทรามเช่นนั้นได้อย่างไร?! นายน้อยผู้นี้ แม้แต่หงส์สวรรค์ยังเคยถูกข้าจับถอนขนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน! แล้วจะนับประสาอะไรกับพวกสวะสัตว์อสูรเหล่านั้น!" ซ่งเหยียนเฟยแค่นเสียงเย็นชา ดวงตาฉายแววหยิ่งผยองดูถูกเหยียดหยามอย่างร้ายกาจ

อวี้เหวินถึงกับอ้าปากค้าง 'คนผู้นี้... เพียงแค่เปล่งวาจา ก็สามารถดูถูกเหยียดหยามผู้อื่นได้อย่างไม่ไว้หน้า! ที่บ้านคงเลี้ยงดูตามใจจนเสียผู้เสียคน หรือว่าสมองของเขามีสิ่งใดผิดปกติกันแน่!' อวี้เหวินได้แต่เก็บความขุ่นเคืองและความสงสัยไว้ในอก

"ที่นี่คือที่ใดกัน? มีนามเรียกว่าอะไร?" ซ่งเหยียนเฟยเอ่ยถามด้วยความสงสัย

"เมืองที่เราอาศัยอยู่มีนามว่า เทียนฟู ตั้งอยู่ทางใต้ของแคว้นตงชิง ท่านมิได้มาจากแคว้นตงชิงหรอกหรือ?" อวี้เหวินถามกลับด้วยความแปลกใจ 'หากเขาเป็นคนของแคว้นตงชิง เหตุใดจึงเอ่ยถามถึงชื่อแคว้นเล่า? หรือว่าเขามาจากดินแดนอื่นกันแน่?' อวี้เหวินครุ่นคิดในใจ

ซ่งเหยียนเฟยเมื่อได้ยินคำตอบก็หลับตาลง ราวกับกำลังครุ่นคิดถึงบางสิ่งบางอย่าง โดยมิได้ใส่ใจต่อคำถามของอวี้เหวินแม้แต่น้อย 'ตงชิง... ตงชิง... ข้ากลับไม่มีความทรงจำหรือความรู้ใดๆ เกี่ยวกับแคว้นแห่งนี้เลย การจะหาทางกลับไปยังตระกูลคงต้องใช้เวลาอีกนาน ระหว่างที่ฟื้นฟูพลัง ก็ถือโอกาสสืบหาข้อมูลไปด้วยก็แล้วกัน'

เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง "นี่ เจ้าหนุ่มน้อย..." เขายังไม่ทันกล่าวจบประโยค สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นสิ่งหนึ่งที่ห้อยอยู่บนคอของอวี้เหวิน สิ่งนั้นกลับทำให้หัวใจของเขาเต้นระรัว "ตึกตัก... ตึกตัก..." ราวกับมีเสียงกระซิบก้องกังวานอยู่ในห้วงความคิด เรียกหาให้เขาเข้าไปใกล้มัน

อวี้เหวินสังเกตเห็นสายตาของซ่งเหยียนเฟยที่จ้องมองมายังบริเวณลำคอของตน จึงก้มหน้าลงมองตาม บริเวณลำคอของอวี้เหวินมีสร้อยคอเส้นหนึ่งห้อยอยู่ ที่ปลายสร้อยคอมีหินรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีดำมืดสนิทเม็ดหนึ่ง หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน จะพบว่ามีอักษรโบราณสลักเสลาอยู่บนผิวหน้าตัดของมัน ทว่าด้วยกาลเวลาที่ผันผ่านและกัดกร่อนมานานนับไม่ถ้วน ตัวอักษรจึงดูเลือนรางจางหายไป แต่หากผู้ใดมีความพยายามสักหน่อย ก็มิใช่เรื่องยากที่จะล่วงรู้ว่าคำที่สลักอยู่บนหินก้อนนั้นคือคำว่า "ทมิฬ"

ซ่งเหยียนเฟยราวกับถูกมนต์สะกด จิตใจตกอยู่ในภวังค์แห่งความลึกลับ ก่อนจะสะบัดศีรษะเล็กน้อยเพื่อเรียกสติกลับคืนมา 'สิ่งนี้มันคืออะไรกัน? ราวกับมีบางสิ่งในนั้นกำลังร่ำร้องเรียกหาข้า กลืนกินสติของข้าไปจนหมดสิ้น' เขาครุ่นคิดด้วยความสับสน

"เจ้าหนุ่มน้อย... ขอข้าได้ดูสิ่งนั้นหน่อยได้หรือไม่?" เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา พร้อมกับชี้ไปยังหินสีดำเม็ดนั้นที่ห้อยอยู่บนคอของอวี้เหวิน

"มีสิ่งใดหรือ? เหตุใดเจ้าจึงจ้องมองมาแต่แรกแล้ว? นี่คือของสำคัญที่ท่านแม่ข้ามอบให้ไว้เป็นที่ระลึก" อวี้เหวินเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ ดวงตาจับจ้องไปยังใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างพิจารณา พลางปลดสร้อยคอออกจากลำคออย่างทะนุถนอม แล้วยื่นส่งให้กับซ่งเหยียนเฟยด้วยความระมัดระวัง

ครั้นปลายนิ้วของซ่งเหยียนเฟยสัมผัสกับหินสีดำสนิทก้อนนั้น พลันบังเกิดกระแสพลังอันไพศาลราวกับพายุคลั่งโหมกระหน่ำเข้าปะทะร่างของเขาอย่างรุนแรง "ตึง!" ร่างเล็กจิ๋วของซ่งเหยียนเฟยทรุดฮวบลงสู่พื้นห้องในทันที หมดสติสัมปชัญญะไปในชั่วพริบตา ทว่ามือข้างขวายังคงกำหินดำก้อนนั้นไว้แน่นราวกับยึดมั่นในชีวิต

"เจ้า! นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นอีกแล้วกันนี่!" อวี้เหวินอุทานเสียงหลง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก รีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นเหตุการณ์อันน่าประหลาดประหลาด

เขาเดินเข้าไปหาร่างที่นอนแน่นิ่งของซ่งเหยียนเฟย พร้อมกับเขย่าร่างนั้นเบาๆ "สลบไปอีกคราแล้วหรือนี่?" พลันสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นมือของซ่งเหยียนเฟยที่กำหินสีดำไว้แน่นราวกับฝังรากลึก

'หรือว่าเหตุการณ์นี้จะเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้?' เขาพยายามดึงหินก้อนนั้นออกมาจากมือของอีกฝ่าย แต่ไม่ว่าจะออกแรงมากเพียงใด ราวกับหินก้อนนั้นถูกเชื่อมติดกับฝ่ามือ ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เลยแม้แต่น้อย

"ช่างเถิด รอให้เขาฟื้นคืนสติเสียก่อน ค่อยสอบถามถึงเรื่องราวก็แล้วกัน" อวี้เหวินส่ายศีรษะอย่างจนใจ

หากมีผู้ทรงพลังในระดับที่สามารถหยั่งรู้ถึงพลังงานแห่งฟ้าดินสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ คงจะสังเกตเห็นกระแสพลังสีดำมืดสายหนึ่ง ราวกับหมึกที่ค่อยๆ ซึมซาบลงในผืนผ้า กำลังไหลเวียนเข้าสู่ร่างของซ่งเหยียนเฟยอย่างเชื่องช้า ทว่าหนักแน่นและต่อเนื่อง...

이 책을 계속 무료로 읽어보세요.
QR 코드를 스캔하여 앱을 다운로드하세요

관련 챕터

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่7 เตาอัสนีวิบัติหลอมกายา ปฐมบทแห่งการแปรเปลี่ยน

    ในห้วงสำนึกของซ่งเหยียนเฟย 'เหตุใดข้าจึงมิอาจขยับเขยื้อนกายได้?' ความรู้สึกอึดอัดประดุจถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ทว่าท่ามกลางความอึดอัดนั้น กลับมีกระแสไออุ่นอันแสนสบายราวกับแสงตะวันยามเช้าค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่ทุกอณูของร่างกาย 'สิ่งนี้คืออันใดกัน? ข้ารู้สึกคุ้นเคยกับมันอย่างประหลาด ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นแขนขาที่ข้าเคยใช้มานับครั้งไม่ถ้วน' ดวงจิตในห้วงสำนึกจับจ้องไปยังอวัยวะภายในที่ถูกห่อหุ้มด้วยม่านพลังสีดำมืดสนิท ราวกับราตรีที่ไร้ซึ่งดวงดาว "อ๊ากกก!" ฉับพลันทันใดนั้นเอง กระแสพลังแห่งความมืดที่เคยอ่อนโยนกลับแปรเปลี่ยนเป็นคมมีดนับพันเล่ม กรีดแทงลึกลงไปในส่วนที่สึกหรอ บาดแผล และความอ่อนแอภายในร่างกายของเขา สร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสราวกับถูกฉีกทึ้งวิญญาณ ทว่าเมื่อห้วงเวลาแห่งความทรมานนั้นค่อยๆ ผ่านพ้นไป อาการบาดเจ็บภายในที่เคยร้าวรานกลับค่อยๆ สมานตัวดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ ราวกับได้รับการชุบชีวิตใหม่ ทันใดนั้นเอง ความทรงจำและองค์ความรู้บางอย่างก็ไหลบ่าเข้ามาในห้วงสำนึกของเขา 'หรือว่า...จะเป็นพลังทมิฬ? พลังแห่งความมืดมิดที่บริสุทธิ์ สีดำสนิทดุจห้วงอว

    최신 업데이트 : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่8 มังกรบรรจบเมฆาคล้อย: ปฐมบทนครเฉิน

    ครู่กาลล่วงเลย เปลือกตาคู่หนึ่งจึงค่อยๆ ปรือเปิดจากห้วงนิทรา ความพร่าเลือนในม่านตาค่อยๆ จางหาย แปรเปลี่ยนเป็นความคมชัด อวี้เหวินขยับศีรษะเพียงเล็กน้อย หันไปยังทิศเบื้องขวา จึงปรากฏแก่สายตาซึ่งร่างของอสูรแมงมุมพิศดารตัวหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ เมื่อพิเคราะห์ดูอย่างละเอียดละออ จะเห็นได้ว่าใบหน้าของมันละม้ายคล้ายคลึงกับสุนัขอย่างน่าประหลาด มันถูกพิฆาตจนร่างแหลกเหลวออกเป็นสองส่วน ชิ้นส่วนอวัยวะกระจัดกระจาย เลือดสีม่วงเข้มข้นไหลนองผืนปฐพี ส่งกลิ่นคาวคลุ้งรุนแรงท่ามกลางไอแดดที่แผดเผาราวกับเปลวเพลิง"เจ้าตื่นแล้วหรือ?" เสียงหนึ่งดังขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ มิได้แสดงความตื่นตระหนกต่อภาพที่ปรากฏเสียงนั้นปลุกอวี้เหวินให้หลุดพ้นจากภวังค์แห่งความงุนงง เขาสังเกตเห็นว่าอาภรณ์ของตนเปรอะเปื้อนไปด้วยของเหลวสีม่วงเหนียวข้น ซึ่งบัดนี้ได้แห้งกรังติดอยู่กับเนื้อผ้า "มัน... มันเกิดอันใดขึ้นกัน?" อวี้เหวินพึมพำด้วยความสับสนงุนงาย"เจ้าถูกอสูรแมงมุมพิษหน้าสุนัขเล่นงานเข้าแล้ว" ซ่งเหยียนเฟยกล่าวพลางชี้ไปยังซากอสูรที่นอนตายอยู่มิไกล"เจ้าอาจถูกพิษของมันขณะที่ยึดเหนี่ยวโขดหินนั่น จึงเป็นเหตุให้เจ้ารู้สึกหนักอึ้งร

    최신 업데이트 : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่9 ราตรีลึก ณ เหมยเหว่ย เงาอำนาจและหมากในกระดาน

    ท่ามกลางเมืองเฉินอันคึกคัก มีร้านอาหารหรูแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ในย่านเก่าแก่ของเมือง แม้ขนาดของมันจะมิได้ใหญ่โตโอฬาร ทว่ากลับแฝงไปด้วยร่องรอยของกาลเวลาที่สั่งสมมาเนิ่นนาน ร้านอาหารแห่งนี้มีชื่อว่า "美味" (Měiwèi, ของกินเลิศรส) ซึ่งนับเป็นร้านอาหารที่มีเกียรติและได้รับการยอมรับสูงสุดในเมืองเฉิน เมื่อย่างกรายเข้ามาเบื้องหน้าร้าน ผู้อาจหาญทั้งหลายย่อมต้องหยุดสายตาลงยังป้ายไม้เก่าแก่ที่แขวนอยู่เหนือประตู ป้ายไม้แผ่นนี้ถูกสลักด้วยลายมือวิจิตรงดงาม บ่งบอกถึงชื่อร้านที่สืบทอดมาแต่โบราณ ด้านข้างของร้าน อักษรสลักบนผนังทั้งสองฝั่งยิ่งเสริมความหนักแน่นให้แก่สถานที่แห่งนี้ ทางขวาคือคำว่า "张进鸿" (เตียจิงฮ้ง, เจริญก้าวหน้าเกริกก้องเกรียงไกร) และทางซ้ายคือ "荣耀" (Róngyào, มีเกียรติอันประเสริฐรุ่งโรจน์) หากบุคคลทั่วไปได้พบเห็น คงเข้าใจว่านี่เป็นเพียงคำอวยพรเพื่อเสริมสิริมงคล ทว่าผู้ที่ล่วงรู้เบื้องลึกแห่งร้านเหมยเหว่ยย่อมตระหนักดีว่า นี่มิใช่เพียงถ้อยคำมงคล หากแต่เป็นปณิธานอันหนักแน่นของสถานที่แห่งนี้ อักษรด้านขวาถูกจารึกขึ้นเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้คนที่แวะเวียนมารับประทานอาหาร ณ ที่แห่งนี้ โดยเฉ

    최신 업데이트 : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่10 ข้าไม่ได้ตั้งใจ!!

    "ช่างเป็นเคล็ดวิชาที่ลึกล้ำเกินหยั่งถึง!" อวี้เหวินอุทานด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ดวงตาเป็นประกายราวกับค้นพบขุมทรัพย์ล้ำค่า เขาทอดสายตามองไปยังห้วงความคิด พลางหวนรำลึกถึงเนื้อหาของเคล็ดวิชาอีกครา 'เคล็ดวิชาหมัดอัคนีสังหารนั้น แบ่งออกเป็นสามขอบเขตใหญ่ อันได้แก่ ปฐพี อัคคี และวารี แต่ละขอบเขตยังแบ่งย่อยออกเป็นสามระดับ คือ เเรกเริ่ม กลาง และสูงสุด ในขอบเขตปฐพีนั้น เป็นการวางรากฐานแห่งกระบวนท่าของหมัดอัคนีสังหาร พลังอำนาจแห่งหมัดในระดับเริ่มต้นอยู่ที่สามร้อยจิน ระดับกลางอยู่ที่หกร้อยจิน และระดับสูงสุดอยู่ที่เก้าร้อยจิน' ภาพกระบวนท่าอันสลับซับซ้อนเริ่มฉายชัดในมโนสำนึกของอวี้เหวิน ราวกับมีผู้มาสาธิตอยู่ตรงหน้า เขาสังเกตทุกการเคลื่อนไหว จดจำทุกรายละเอียด เมื่อเริ่มเข้าใจในแก่นแห่งวิชาแล้ว อวี้เหวินจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เริ่มต้นร่ายรำตามภาพที่ปรากฏในห้วงนิมิต ฝ่ามือและหมัดถูกส่งออกไปในอากาศอย่างหนักแน่น สลับหมุนเวียนราวกับพายุโหมกระหน่ำ เท้าก้าวไปตามจังหวะ ท่วงท่าการยืนมั่นคงดุจขุนเขา ทุกอิริยาบถที่แสดงออกมาล้วนสง่างามและหนักแน่นราวกับผืนปฐพีอันกว้างใหญ่ ในระหว่างที่ฝึกฝนเพลงหมัด อวี้เหวินมิไ

    최신 업데이트 : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่11 "สองบุรุษ" หนึ่งหิน...วุ่นวายยกใหญ่!

    ยามเมื่อสุริยันเยื้องย่างลงจากนภา โลกธาตุพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มชาด แสงสุดท้ายสาดส่องทาบทาทิวเมฆราวกับผ้าไหมปักลาย เด็กหนุ่มนามว่าอวี้เหวินก้าวเดินอย่างเชื่องช้า ทอดฝีเท้าหนักแน่นแต่มิได้เร่งรีบ จุดหมายปลายทางคือบ้านหลังน้อย แสงไฟสลัวริบหรี่ลอดออกมาจากบานหน้าต่างไม้ในอีกไม่กี่ก้าวเบื้องหน้า ความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักตลอดวันเกาะกุมหัวใจ ทว่าเมื่อย่างเท้าเข้าสู่เรือน ได้รับการต้อนรับอันอบอุ่นและการดูแลเอาใจใส่จากผู้เป็นบิดา ความอ่อนล้าทั้งมวลก็มลายหายสิ้นดุจไอหมอกยามรุ่งอรุณ หลังจากอวี้เหวินและบิดาได้ร่วมโต๊ะทานอาหารค่ำ พูดคุยสารทุกข์สุกดิบจนกระทั่งราตรีเริ่มย่างเข้าสู่ยามดึกสงัด อวี้เหวินจึงนั่งลงขัดสมาธิ สงบจิตใจปรับลมปราณอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะล้มตัวลงนอน ณ ห้วงความมืดมิดภายในเม็ดหินอัญมณีสีดำสนิทที่ห้อยอยู่บนคอของอวี้เหวิน ปรากฏร่างหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวอย่างอ้อยอิ่ง “สามสิบสี่… สามสิบห้า… เวลาล่วงเลยมาเกือบเดือน ข้ากลับเคลื่อนกายมาได้เพียงสามสิบห้าก้าวเท่านั้น เบื้องหน้าจักมีสิ่งใดซ่อนอยู่อีกเล่า?” ซ่งเหยียนรำพึงรำพันกับตนเอง พลางหายใจหอบถี่ราวกับคนจมน้ำ เขานั่งลง หลับตาลงเพื่อ

    최신 업데이트 : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่12 ขบวนสินค้าตระกูลหวัง

    เปลือกตาที่หนักอึ้งราวกับถูกถ่วงด้วยตะกั่วค่อยๆ เปิดขึ้น เผยให้เห็นดวงตาที่ยังคงพร่าเลือนและง่วงงุน ร่างกายที่อ่อนล้าประหนึ่งถูกบั่นทอนเรี่ยวแรงของอวี้เหวินค่อยๆ ขยับเขยื้อนอย่างเชื่องช้า ก่อนจะพยุงกายลุกขึ้นนั่งบนเตียงไม้เนื้อดี มือเรียวลูบไล้ใบหน้าของตนเองเบาๆ เพื่อขับไล่ความง่วงงุนให้จางหายไป หลังจากเหตุการณ์พลิกผันเมื่อสามราตรีล่วงผ่าน อาการบาดเจ็บของอวี้เหวินก็สมานหายราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รุ่งอรุณแห่งวันนี้ เขาตื่นขึ้นด้วยความสดชื่น เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางไปฝึกฝนวิชาอีกครั้ง อวี้เหวินเริ่มบริหารร่างกายด้วยท่วงท่าที่คุ้นเคยเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม ก่อนจะจัดเตรียมสัมภาระต่างๆ สำหรับการเดินทาง ในขณะที่เขากำลังตรวจตราสิ่งของภายในห่อผ้าอยู่นั้น เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นในห้วงความคิด "วันนี้เป็นวันที่จะต้องบุกเข้าไปในเขตแดนของพยัคฆ์หางแมงป่อง ซึ่งด้วยพละกำลังของเจ้าในยามนี้ ยังมิอาจบุกเข้าไปโดยลำพังได้ จำเป็นต้องมีสิ่งป้องกันไอความร้อนอันร้อนระอุจากรังของพวกมัน" อวี้เหวินแสดงสีหน้าเข้าใจ ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยถามด้วยความสงสัย "อย่าว่าแต่สิ่งใดใช้ป้องกันเลย แม้แต่ชื่อของมัน ข้

    최신 업데이트 : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่13 คุณสมบัติของผู้ยิ่งใหญ่

    "ฟ่อๆๆ!" เสียงขู่คำรามดุดันราวอสูรร้ายคำรามก้องกังวาน พร้อมกับร่างของอสรพิษลายพาดกลอนตัวเขื่อง พุ่งทะยานจากเงามืดแห่งโขดหินด้านหลัง หมายจะฉกกัดอวี้เหวินด้วยความเร็วราวสายฟ้าฟาด เขี้ยวแหลมคมสีเหลืองอำพันเผยให้เห็นถึงพิษร้ายที่พร้อมจะคร่าชีวิตในพริบตา"ฉัวะ!" อวี้เหวินที่ประสาทสัมผัสว่องไวดุจเหยี่ยวล่าเหยื่อ พลิกกายหลบหลีกได้อย่างหวุดหวิด พร้อมกับเหวี่ยงมือขวาออกไปราวกับแส้เหล็ก ฟาดเข้าที่กลางลำตัวของอสรพิษอย่างแม่นยำ เสียงเนื้อแตกดังสนั่น ร่างกายของงูร้ายพลันแหลกเหลว เลือดสีแดงฉานกระเซ็นเปรอะเปื้อนไปทั่วบริเวณ ราวกับพู่กันยักษ์สาดสีลงบนผืนดิน อวี้เหวินชักมือกลับ ดวงตาคมกริบจ้องมองซากอสรพิษด้วยความเหนื่อยล้า"นี่ก็เป็นตัวที่สามสิบแล้วกระมัง มิหนำซ้ำพลังของพวกมันยังเพิ่มพูนขึ้นอีกด้วย" เขาเอ่ยพลางยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลอาบแก้ม ดวงหน้าหล่อเหลาปรากฏร่องรอยความอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด ลมหายใจเริ่มถี่กระชั้น"เพียงเท่านี้เจ้าก็หอบเสียแล้วหรือ? แค่งูหางแมงป่องตัวเล็กกระจ้อยร่อยพวกนี้" เสียงทุ้มนุ่มของบุรุษผู้หนึ่งดังกระซิบข้างใบหูของอวี้เหวิน ราวกับภูตพรายปรากฏกายขึ้นจากความว่างเปล่า พร้อมกับร

    최신 업데이트 : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่14 พยัคฆ์หางเเมงป่อง

    ตึง! เงาร่างนั้นโผล่ออกมาท่ามกลางอากาศอันร้อนระอุ มันเป็นเงาร่างใหญ่ทะมึน แผ่กลิ่นอายอันร้อนแรงทั่วบริเวณ ขนทั่วกายแดงฉานดั่งเปลวเพลิง รูปร่างเป็นพยัคฆ์ล่ำสัน ทว่าสิ่งที่น่าสะพรึงยิ่งกว่ากลับเป็นหางแหลมคมที่คล้ายหางแมงป่อง สั่นไหวอยู่เบื้องหลัง เพียงแค่จ้องมอง ก็ทำให้ผู้พบเห็นต้องหวาดหวั่นจนหัวใจสั่นสะท้านทันทีที่มันเห็นซ่งเหยียนเฟยอยู่เบื้องหน้า ดวงตาแดงฉานพลันฉายแววดุร้าย มันอ้าปากกว้างส่งเสียงคำรามก้อง 'กรรร!' เสียงสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ ราวกับประกาศถึงความโกรธเกรี้ยวของมัน ดวงตาอำมหิตจับจ้องบุรุษร่างเล็กเบื้องหน้าอย่างไม่ลดละ มันเห็นเขาเป็นผู้บุกรุกที่ล่วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตของมัน โดยไม่รอช้า มันยกอุ้งเท้าตบลงหนักๆ หนึ่งครั้งก่อนกระโจนเข้าใส่ซ่งเหยียนเฟยอย่างดุดัน!ซ่งเหยียนเฟยมองเห็นร่างอสูรตรงหน้า นัยน์ตาพลันทอประกายเย็นเยียบ เขาจ้องมันเขม็งก่อนกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่น "พยัคฆ์หางแมงป่อง!"ไม่รอช้า มือข้างหนึ่งพลันยื่นออก ก่อนสะบัดเบาๆ ทว่ากลับทรงพลัง แสงสีแดงเลือดพลันปรากฏขึ้น วาบผ่านอากาศด้วยความเร็วเหนือคาด เพียงพริบตาเดียว แสงนั้นก็ทะลุผ่านร่างอสูร ราวกับคมมีดอันเฉียบคมแล่

    최신 업데이트 : 2025-04-20

최신 챕터

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่50 "มิได้ตั้งใจมอง!"...คำสารภาพที่มาพร้อมรอยฝ่ามือ!

    ประตูไม้เก่าเก็บของเพิงพักส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเมื่อถูกผลักเปิดออก เสาไม้ผุกร่อนเอียงตามแรงลมประหนึ่งจะถล่มลงได้ทุกเมื่อ กลิ่นอับชื้นจากเศษฝุ่นและไม้เก่าภายในชวนให้นึกถึงเพิงร้างไร้ผู้คน อวี้เหวินก้าวเข้าสู่ที่พักชั่วคราวนั้นอย่างระมัดระวัง แขนแข็งแรงประคองร่างบางในชุดขาวของสตรีเบื้องหน้าไว้แนบอก ราวกับกลัวเพียงแรงสะเทือนเพียงน้อยจะทำให้นางแตกสลายยามเมื่อร่างบอบบางถูกวางลงบนฟูกฟางเก่าเนื้อดี มือแกร่งค่อยประคองจัดท่าให้สตรีผู้นั้นนั่งลงอย่างนุ่มนวล แม้ใบหน้างามล่มเมืองจะถูกผืนแพรบางสีขาวปิดบังไว้ ทว่ารัศมีแห่งความงามราวเทพธิดาจำแลงก็มิอาจซ่อนเร้นได้ นางนั่งสงบนิ่งราวกับภาพวาดจากปลายพู่กันของจิตรกรสวรรค์ แสงจันทร์นวลผ่องสาดส่องลงมาเป็นลำ เส้นผมดำขลับยาวสลวยดั่งน้ำตกจากผา สูบประกายจากผิวขาวผ่องราวหิมะแรกต้องแสง จนบุรุษผู้พบเห็นมิกล้าแม้แต่จะสัมผัสอวี้เหวินสูดลมหายใจลึก มือหนึ่งค่อยเอื้อมไปปลดปมเสื้อคลุมเนื้อละเอียดทางด้านหลัง นิ้วมือที่เคยชาชินกับการจับดาบในสนามรบ กลับสั่นระริกเมื่อสัมผัสผืนผ้าบางเบาดุจกลีบเมฆ เสื้อคลุมสีขาวนวลค่อยๆ ร่วงหล่นจากบ่า เผยแผ่นหลังขาวเนียนราวมรกตไร้ตำหนิ นุ่มละ

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่49 คืนเเห่งความสูญสิ้น ดวงดาวดับเเสง

    ใต้ฟ้าค่ำ...ทะเลไร้คลื่นลมกลับโหมกระหน่ำด้วยกลิ่นอายแห่งการประทะอันเกรี้ยวกราด ริมฝั่งเกาะร้างท่ามกลางม่านรัตติกาล อวี้เหวินยืนนิ่งกลางพื้นทรายที่แตกร้าวเป็นตาข่ายโลหิต เบื้องหน้าเขา ร่างอสูรที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นหลิวหงกลับทรุดตัวลงอย่างยากจะหยัดยืน พลังที่เคยแข็งแกร่งเช่นขุนเขา บัดนี้กลับสั่นคลอนดั่งเสาหลักบ้านทรุดโทรมแววตาของอวี้เหวินเรืองแสงสีทองอ่อน ภายในนั้นแฝงไว้ด้วยรังสีแห่งเพลิงอัคคีและประกายแห่งอัสนีบาต มือขวาของเขาแน่นราวคีมเหล็ก ทั่วกายแผ่ไอร้อนระอุ สะท้อนกับเส้นผมยาวสลวยสีดำสนิทราวกับถูกเพลิงล้อมรอบ...กายาเขาถูกห่อหุ้มด้วยไอพลังสีน้ำเงินเข้มปนประกายทองแดง เสมือนชุดเกราะเงาไร้รูปลักษณ์ ขณะที่กล้ามเนื้อภายใต้ชุดคลุมสีทมิฬที่ขาดวิ่นเต้นระริกด้วยพลังดั่งภูตอัสนีแฝงสิง"เตาอัสนีวิบัติ" ขั้นที่สองระดับกลางยามเลื่อนถึงขั้นนี้ กายาของอวี้เหวินแปรเปลี่ยนเสมือนร่างเทพอัสนี ทุกฝีก้าวหนักแน่นปานทุ่มแผ่นดินทุกหมัดเปี่ยมด้วยพลังกระชากวิญญาณพลันเขากระโจนพุ่งเข้าหาร่างหลิวหงอีกครา มือซ้ายสะบัดเป็นวิถีกงล้อแห่งสายฟ้า มือขวากำรอบเป็นหมัดเพลิงคำราม“หมัดอัคนีสังหาร!”เสียงหมัดซัดผ่านอากาศรา

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่48 เพลิงแค้นมิยอมมอด

    อวี้เหวินในยามนี้ ทรุดเข่าลงเบื้องหน้าหาดคลื่นซัด... ดวงตาเคยคมดุจมีดกระบี่ บัดนี้พร่าเลือนราวหมอกเช้า เสียงฟ้าครวญลมร้องกลับกลายเป็นเพียงเสียงแผ่วเบาในโสตประสาทของเขา จิตใจของเขาถูกกัดกร่อนราวเหล็กที่แช่กรด คลื่นความมืดมนปะทะซัดเข้าราวพายุพัดจิต “เฮ้! เจ้าหนู อวี้เหวิน... เจ้าไหวรึไม่!?” เสียงหนึ่งดังขึ้นภายในมโนสำนึก..แหบพร่าแต่แฝงไปด้วยความร้อนรน ห้วงเสียงนั้นคือซ่งเหยียนเฟย... สหายจากมิติสร้อยคอ ผู้เคยปากกล้าท้าโลกหล้า ซ่งเหยียนเฟยกำลังจะก้าวออกจากมิติมา เเต่ทันใดนั้น ร่างกายของเขาก็ถูกตรึงแน่นด้วยพลังลึกลับ ไม่อาจขยับเขยื้อนได้แม้เพียงปลายนิ้ว เขายังเพียรเรียกหาเสียงแล้วเสียงเล่า “บัดซบ... ไออสูรหน้าคน!” ซ่งเหยียนเฟยสบถพลางตวัดฝ่ามือไปมาในมิติจำกัด “หากข้าก้าวออกไปได้ละก็..ท่านปู่ผู้นี้จะฉีกกระชากร่างมันจนกระดูกแหลก!” แต่เสียงของเขา กลับสะท้อนอยู่เพียงในเงาจิต ไม่อาจเข้าถึงจิตอวี้เหวินที่กำลังจมดิ่งลงสู่ห้วงว่างอันไร้ปลาย..เข่าทั้งสองแนบทราย ดวงหน้าหล่อเหลาหม่นหมอง ผมยาวหลุดรุ่ยคลอเคลียหน้าผาก ดั่งรัตติกาลที่คลุมร่างเทวะให้กลายเป็นมนุษย์ผู้ตกสู่ขุมนรก เสียงของซ่งเหยียนเฟยยัง

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่47 ร้อยเล่ห์พันลวง มารบงการจิต

    ใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาเหนือชายฝั่งอันวิเวก เสียงคลื่นกระทบโขดหินดังเป็นจังหวะอ้อยอิ่ง ทว่าภายใต้ความสงบนั้น คือบรรยากาศที่ตึงเครียดประหนึ่งสายฟ้าเงื้อมคมรอจู่โจม ร่างในชุดดำของอวี้เหวินยืนนิ่งประหนึ่งเงาสลัวในม่านรัตติกาล สองตาจับจ้องไปยังบุรุษตรงหน้า ผู้ซึ่งบัดนี้หาใช่เพียงชายวัยกลางคน หากแต่ครึ่งหนึ่งของใบหน้ากลับกลายเป็นอสูรอันน่าสะพรึง ร่างกายแปรเปลี่ยน กล้ามเนื้อปูดโปน เกล็ดสีดำสนิทผุดขึ้นราวอสรพิษจำแลง เงาของง้าวดำในมือขยับไหวเพียงนิด กลับแผ่กลิ่นอายสังหารออกมาราวกับทะลวงอากาศ อวี้เหวินไม่กล่าววาจาใดให้เปลืองถ้อยคำ ขณะที่จันทราเบื้องบนยังไม่ทันเคลื่อนคล้อยจากยอดฟ้า เขาก็พุ่งออกประหนึ่งอัสนีสาดฟาด! หมัดแรกพุ่งทะลวงอากาศเป็นประกายเพลิง ปะทะตรงกับเคียวมารของหลิวหง เสียงดังสนั่นดั่งเหล็กกล้ากระทบหินผา แรงสั่นสะเทือนสะท้านไปทั่วร่างของหลิวหงจนเขาต้องถอยหลังพลางยกเคียวขึ้นยันตัวไว้ กลับถูกแรงมหาศาลผลักให้ลอยขึ้นจากพื้นไปเล็กน้อย “โอ้…” เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังแผ่ว ราวเสียงกระซิบของปีศาจร้าย “…เจ้ามีเรี่ยวแรงเหนือกว่าเด็กหญิงผู้นั้นเสียอีก เช่นนี้...การสังหารเจ้าจึงนับว่าคุ้มค่าม

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่46 หมัดสังหาร... ทะลวงขีดจำกัด

    ใต้เงาราตรีแห่งฟากฟ้าปราศจากจันทร์ ดวงดาวพลันหลบเร้นอยู่หลังม่านเมฆทะมึน เสียงลมหอบหวิวผสานกับเสียงคลื่นที่ซัดกระแทกชายฝั่งมิได้สงบลงเลยแม้แต่น้อย ท่ามกลางกลิ่นเค็มของไอทะเลและกลิ่นคาวโลหิตที่ฟุ้งกระจาย ฉากการประมือของสองสายเลือดมนุษย์กับสัตว์อสูรและมารชั่วคลุ้งไปทั่วชายหาดอันเคยสงบงาม กลับกลายเป็นแดนประหัตประหารที่เต็มไปด้วยหลุมลึก โขดหินที่ถูกแรงกระแทกจนแหลกละเอียด ต้นไม้ชายฝั่งก็ถูกถอนราก เศษกิ่งใบปลิวว่อนราวใบไม้ร่วงในวสันต์ “โฮกกกก!!!” เสียงคำรามอันบ้าคลั่งของ หลงหมิ่น แผดก้องดั่งเสียงมังกรโกรธเกรี้ยว มันมีบาดแผลลึกหลายแห่ง โลหิตสีครามสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนพื้นทราย แต่แทนที่จะอ่อนแรงลง พลังของมันกลับพวยพุ่งขึ้น ร่างมหึมาพุ่งทะยานดั่งเงาวารีใต้สมุทรอันเชี่ยวกราก ลำคอและเขี้ยวยาวเปล่งประกายด้วยพลังอาภรณ์วารีอันเข้มข้น มุ่งสังหารเด็กหนุ่มตรงหน้าโดยไร้ความปรานี! อวี้เหวิน ไม่คิดหลบ ร่างของเขาสวมเสื้อคลุมดำแนบลู่กับลม เส้นผมยาวสะบัดอย่างองอาจ สองดวงตาคมกล้าฉายแววสงบ เย็นเยียบยิ่งน้ำแข็งแต่เร่าร้อนด้วยเพลิงภายใน “มาเถิด! ข้ากำลังร้อนมืออยู่พอดี!” ทันใดนั้น! กำปั้นข้างขวาของเ

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่45 สองสมรภูมิใต้เงาจันทร์

    ภายใต้เงาจันทราซีดเซียวที่ทอดแสงนวลลงบนผืนน้ำทะเลอันมืดมิด กลิ่นไอเค็มยังคงล่องลอยเคล้าคลอกับลมราตรี อวี้เหวินยืนหยัดดุจขุนเขาที่มิหวั่นไหวเบื้องหน้าบุรุษวัยกลางคน ดวงตากลับฉายแววกระวนกระวายราวถูกเพลิงแผดเผา แสงจันทร์สาดส่องลงบนใบหน้าคมคายราวสลักเสลา เงาร่างในอาภรณ์ดำสนิทดุจเงามัจจุราชขยับเพียงเล็กน้อย ก่อนจะเปล่งวาจาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงไว้ด้วยร่องรอยแห่งความระแวงแคลงใจ “เหตุใดข้าจึงมิได้ยินเสียงของมัน…?” น้ำเสียงของเขานั้นเยือกเย็น ทว่าในแววตาแฝงความเคร่งเครียดและจับสังเกตอย่างลึกซึ้ง เป็นคำถามที่ราวกับเขาโยนหินลงสระ เพื่อรอดูคลื่นสะท้อนกลับมาจากคำพูดของชายผู้นั้น ชายวัยกลางคนผู้มีผิวคล้ำจากแสงแดด มองสบตาอวี้เหวินพลางขมวดคิ้ว สีหน้าร้อนรนแฝงความกลัว “ท่านจอมยุทธ์!” เขากล่าวเสียงสั่น “ท่านอย่ารอช้าเถิด วันนี้มันมิได้ส่งเสียงคำรามก้องเช่นทุกครา แต่กลับคลานขึ้นฝั่งโดยไร้สุ้มเสียง…ข้าหวั่นว่า มันตั้งใจจะลิ้มลองเลือดเนื้อมนุษย์แล้ว!” เขากลืนน้ำลายฝืดคอ ก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน “และ...จุดที่มันขึ้นมานั้น มีเด็กคนหนึ่งอยู่พอดี!” คำพูดสุดท้ายดั่งสายฟ้าฟาดลงกลางอ

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่44 คลื่นทมิฬกลืนกินนภา ใครคือผู้บงการอสูร?

    เบื้องหน้าแมกไม้สูงใหญ่ที่โอบล้อมบึงใสกลางป่า เงาสะท้อนของเมฆสีเทารางเลือนวาดทับผิวน้ำดั่งม่านหมอกชะล้างใจ เมื่อเสียงสายลมโอบพัดใบไม้ให้ไหวเอน เด็กน้อยเบื้องข้างขอนไม้ก็ก้มหน้าลงแผ่วเบา คล้ายกำลังรวบรวมใจเพื่อกล่าวต่อ “เมื่อเดือนก่อน…” เสียงของเขาแผ่วพร่า ราวกลัวว่าหากเอื้อนเอ่ยถ้อยคำออกมาแล้ว ความเศร้าที่ซุกซ่อนจะพรั่งพรูไม่อาจห้าม “มีคนจากภายนอกกลุ่มหนึ่งมาถึงหมู่บ้าน…” ดวงตาเล็กจ้องมองบึงอย่างเหม่อลอย สะท้อนแววอ้างว้างเจือปนระลึกถึง “พวกเขาสวมอาภรณ์ดูสง่า บางคนมีกระบี่แนบกาย บางคนมีกระบี่หลังสะพาย บางคนมีดวงตาที่เปล่งแสงราวจิตวิญญาณไม่ธรรมดา… ข้าคิดว่าพวกเขาคงเป็นผู้ฝึกปราณที่มีฝีมือ” เขาสูดหายใจเข้าแผ่วเบาก่อนหลุบตามองดินร่วนใต้เท้า “แต่ไม่กี่วันให้หลัง พวกเขากลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีใครล่วงรู้ว่าพวกเขาไปทางใด ไม่มีแม้เสียงร่ำลา… แม้แต่ร่างก็ไม่ปรากฏให้เห็น” เสียงแผ่วพร่าของเด็กน้อยพลันสั่นไหว น้ำใสคลอหน่วยดวงตากลมโตก่อนหยาดหยดลงบนหลังมืออันสั่นเครือ เขาปาดน้ำตาอย่างเงียบงัน ก่อนพึมพำด้วยเสียงสะอื้นแผ่วเบา “หนึ่งในนั้น… คือคนที่ข้ารู้จัก” ดวงตาน้อยคู่นั้นค่

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่43 กระซิบจากริมบึง เงาปีศาจในคราบมนุษย์

    อวี้เหวินยังคงจ้องมองเขาอย่างแน่วแน่ ราวกับต้องการอ่านความจริงจากลึกในดวงจิตของอีกฝ่าย เฒ่าเจียนสูดลมหายใจลึก ก่อนเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย “ราวหนึ่งเดือนก่อน ข้าออกเรือไปยังทะเลทางทิศตะวันตก จุดนั้นห่างจากชายฝั่งไกลพอควร ตั้งใจเพียงจะหาปูหาหอยไปขายแลกเบี้ย… แต่สิ่งที่ข้าเจอนั้น…” เขาหยุดนิ่ง ขยับถ้วยชามาแนบอก มือทั้งสองสั่นไหวเล็กน้อย “มัน… มันใหญ่โตราวกับเนินเขาเคลื่อนที่ได้ ลำตัวเรียวยาว ราวงูทะเลที่คลานบนผืนน้ำ… แววตามันวาววับ เยียบเย็นดั่งคมดาบในหิมะขาว ข้าแน่ใจว่า มันไม่ใช่สัตว์อสูรธรรมดา หากแต่เป็นสิ่งที่ผู้คนเล่าขาน… ‘เงามังกรใต้สมุทร’…” อวี้เหวินขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสบตากับเซี่ยชิงหลัวซึ่งนิ่งฟังอยู่ข้างกาย แม้นใบหน้านางจะถูกผ้าขาวบางปิดบัง แต่เพียงแค่ดวงตางามที่ทอแววบางอย่างเจือแสงครุ่นคิด เขาก็รู้ได้ในบัดดลว่านางเองก็เข้าใจในสิ่งเดียวกัน “ท่านเคยได้ยินชื่อมันหรือไม่?” อวี้เหวินเอ่ยเสียงต่ำ เฒ่าเจียนพยักหน้าเบา ๆ “เคย… เคยได้ยินจากพวกชาวเรือเฒ่าในอดีต พวกเขาเรียกมันว่า ‘หลงหมิ่น’ …อสูรโบราณที่สืบสายโลหิตแห่งอสรพิษทะเลจากยุคดึกดำบรรพ์ มันไม่ค่อยปรากฏตัวบนผิวน้ำ และไม

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่42 หลงหมิ่น—มังกรเงาแห่งสมุทร

    ยามอรุณรุ่งแผ่แสงอ่อนบางลงแตะต้องริมขอบฟ้า เฉกเช่นม่านทองที่คลี่คลุมผืนนภา สีฟ้าเรื่อแซมประกายสีส้มจางไล้ผ่านยอดไม้ และแนบอิงผิวคลื่นเบื้องล่าง จนผืนน้ำคล้ายพลิ้วไหวไปด้วยแสงทองนั้น สายลมยามเช้าพัดเอื่อยพาไอเค็มของทะเลโชยมาแตะปลายจมูก อ่อนโยนและเย็นสบายนัก ใต้เงาไม้ริมชายฝั่ง ร่างบอบบางในอาภรณ์สีขาวนวลนั่งสงบนิ่งอยู่ข้างขอนไม้ ดวงหน้างดงามราวภาพวาดยังคงเคลิ้มในห้วงนิทราอย่างสงบเสงี่ยม แสงแดดเบาบางส่องต้องผ่านซอกกิ่งไม้ แผ่วพาดลงบนเรียวแก้มนวลเนียนประหนึ่งหยาดหิมะแรกของฤดูหนาว ดวงตางามล้ำคู่นั้นพลันขยับกระพริบไหว ลืมขึ้นอย่างเชื่องช้าและแผ่วเบา ราวกลีบบุปผาที่แย้มรับแสงแรกของวัน เมื่อสติกลับคืน คิ้วเรียวเล็กพลันขมวดเข้าหากันอย่างแผ่วเบา ราวกับผืนน้ำต้องลมแผ่ว รำลึกขึ้นได้ว่าตนเอ่ยปากจะร่วมเฝ้ายามเคียงข้างบุรุษผู้นั้น ทว่ากลับเผลอหลับใหลไปโดยมิรู้ตัว ความรู้สึกผิดพลันแผ่ซ่านไปทั่วอุรา ใบหน้านวลผ่องราวหยกขาวพลันแต้มสีชมพูระเรื่อ ดุจกลีบเหมยแรกแย้มต้องหิมะยามอรุณรุ่ง งดงามจับตา ราวกับภาพวาดสวรรค์ที่รังสรรค์ขึ้นอย่างพิถีพิถัน นางขยับกายเล็กน้อย พลิกตัวไปมองหาร่างของบุรุษผู้เป็นสหายร่วม

좋은 소설을 무료로 찾아 읽어보세요
GoodNovel 앱에서 수많은 인기 소설을 무료로 즐기세요! 마음에 드는 책을 다운로드하고, 언제 어디서나 편하게 읽을 수 있습니다
앱에서 책을 무료로 읽어보세요
앱에서 읽으려면 QR 코드를 스캔하세요.
DMCA.com Protection Status