ในห้วงสำนึกของซ่งเหยียนเฟย
'เหตุใดข้าจึงมิอาจขยับเขยื้อนกายได้?' ความรู้สึกอึดอัดประดุจถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ทว่าท่ามกลางความอึดอัดนั้น กลับมีกระแสไออุ่นอันแสนสบายราวกับแสงตะวันยามเช้าค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่ทุกอณูของร่างกาย 'สิ่งนี้คืออันใดกัน? ข้ารู้สึกคุ้นเคยกับมันอย่างประหลาด ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นแขนขาที่ข้าเคยใช้มานับครั้งไม่ถ้วน' ดวงจิตในห้วงสำนึกจับจ้องไปยังอวัยวะภายในที่ถูกห่อหุ้มด้วยม่านพลังสีดำมืดสนิท ราวกับราตรีที่ไร้ซึ่งดวงดาว "อ๊ากกก!" ฉับพลันทันใดนั้นเอง กระแสพลังแห่งความมืดที่เคยอ่อนโยนกลับแปรเปลี่ยนเป็นคมมีดนับพันเล่ม กรีดแทงลึกลงไปในส่วนที่สึกหรอ บาดแผล และความอ่อนแอภายในร่างกายของเขา สร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสราวกับถูกฉีกทึ้งวิญญาณ ทว่าเมื่อห้วงเวลาแห่งความทรมานนั้นค่อยๆ ผ่านพ้นไป อาการบาดเจ็บภายในที่เคยร้าวรานกลับค่อยๆ สมานตัวดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ ราวกับได้รับการชุบชีวิตใหม่ ทันใดนั้นเอง ความทรงจำและองค์ความรู้บางอย่างก็ไหลบ่าเข้ามาในห้วงสำนึกของเขา 'หรือว่า...จะเป็นพลังทมิฬ? พลังแห่งความมืดมิดที่บริสุทธิ์ สีดำสนิทดุจห้วงอวกาศ คุณสมบัติในการฟื้นฟูและซ่อมแซมที่ทรงพลังถึงเพียงนี้ แถมข้ายังรู้สึกคุ้นเคยกับมันอย่างลึกซึ้ง ต้องใช่แน่ๆ!' ดวงจิตของเขารู้สึกปิติยินดีราวกับได้พบเจอขุมทรัพย์อันล้ำค่าในยามยากลำบาก "ฮ่าๆ! ช่างเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง! ข้าตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย ถูกศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าไล่ล่าสังหารจนแทบสิ้นชีวิต แต่พระเจ้ายังคงเมตตา ประทานโอกาสให้ข้าได้พบพานกับสมบัติล้ำค่าที่จะช่วยให้ข้ากลับมาแข็งแกร่งได้อีกครั้ง!" เขาหัวเราะออกมาด้วยความสุขที่เอ่อล้นในอก ทว่าความสุขนั้นมักจะอยู่ได้เพียงชั่วครู่ ก่อนที่... "อ๊ากกก!" ความรู้สึกเจ็บปวดแสนสาหัสก็หวนกลับมาอีกครั้ง ราวกับคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งอย่างไม่หยุดหย่อน วนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระทั่งถึงขีดจำกัดที่ซ่งเหยียนเฟยมิอาจทนทานต่อความเจ็บปวดที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะได้อีกต่อไป พลันสติสัมปชัญญะก็ดับวูบลงสู่ห้วงนิทราอันมืดมิด เพราะยิ่งพลังทมิฬทำการซ่อมแซมบาดแผลภายในมากเท่าใด ความเจ็บปวดก็จะยิ่งทวีคูณขึ้นเป็นเงาตามตัว หากเป็นผู้ฝึกตนทั่วไปที่ไม่เคยผ่านการบ่มเพาะร่างกายมาอย่างเข้มงวด คงจะสิ้นใจตายไปตั้งแต่การซ่อมแซมเพียงไม่กี่ครั้งแรกแล้ว วันเวลาล่วงเลยผ่านไปดุจสายน้ำที่ไหลริน เช้าวันใหม่ก็มาเยือน อวี้เหวินออกมาฝึกฝนร่างกายแต่เช้ามืด ณ ลานฝึกเล็กๆ หลังเรือน แสงตะวันสีทองสาดส่องลงมาต้องร่างของเขาที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างขะมักเขม้น เหงื่อเม็ดโตผุดพรายไหลรินอาบไปทั่วใบหน้าและแผ่นหลังจากการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง เขากำลังฝึกฝนร่างกายด้วยท่าทางพื้นฐาน เริ่มจากการดันพื้นอย่างตั้งใจ สลับกับการกระโดดตบเบาๆ จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นการฝึกชกมวย ปล่อยหมัดซ้ายขวาเข้าเป้าที่แขวนไว้ด้วยความมุ่งมั่น แม้ท่าทางจะยังไม่คล่องแคล่วมากนัก แต่ทุกการเคลื่อนไหวก็แสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับร่างกายของตนเอง "เจ้าหนุ่มน้อย ปีนี้เจ้ามีอายุเท่าใดแล้วหรือ?" เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นจากทางด้านหลัง ราวกับสายลมที่พัดมากระทบผิวกาย ขณะอวี้เหวินกำลังยกมือขึ้นปาดหยาดเหงื่อที่ไหลรินอาบแก้มลงสู่คาง อวี้เหวินหันขวับกลับไปมองยังต้นเสียงนั้น "เจ้าฟื้นคืนสติแล้วหรือ... อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ข้าก็จะอายุสิบห้าปีเต็ม" เขาตอบกลับด้วยความยินดีที่เห็นดวงตาคมกริบของอีกฝ่ายกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง "อายุสิบห้าปีแล้ว แต่พลังบ่มเพาะยังคงวนเวียนอยู่ที่ขั้นก่อตั้งรากฐาน ช่างเป็นความเชื่องช้าที่น่าสมเพชยิ่งนัก นี่มิแตกต่างอันใดจากเศษขยะที่ไร้ค่า!" ซ่งเหยียนเฟยส่ายศีรษะเล็กน้อย ดวงตาคู่คมกริบฉายแววเย้ยหยันอย่างไม่ปิดบัง "เจ้า!!" อวี้เหวินกำหมัดแน่น ความขุ่นเคืองแล่นริ้วไปทั่วร่างที่ถูกดูแคลนอย่างไร้ปราณี โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผู้ที่มีรูปลักษณ์ภายนอกยังเยาว์วัยราวกับเด็กน้อย "เช่นนั้นแล้ว ผู้ที่มิใช่เศษขยะเช่นเจ้า ใช้เวลาเนิ่นนานเพียงใดในการทะลวงสู่ขั้นแรกแห่งการบ่มเพาะ?" "ฮ่าๆ! เจ้าบังอาจถามนายน้อยผู้นี้เชียวหรือ? ข้าใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนจันทร์ดับเท่านั้นในการก้าวเข้าสู่ขั้นแรกแห่งการบ่มเพาะพลัง และในตอนนั้นข้ามีอายุเพียงแปดขวบปี!" ซ่งเหยียนเฟยยกยิ้มหยันที่มุมปาก มองไปยังอวี้เหวินด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเหนือกว่าราวกับมองมดปลวก 'คนผู้นี้ แม้จะโอ้อวดราวกับเป็นสันดาน ทว่าคำกล่าวนี้กลับมิได้เสแสร้งแกล้งทำ เนื่องจากความภาคภูมิใจที่เปล่งประกายเจิดจ้าอยู่ในน้ำเสียงและแววตาของเขา' อวี้เหวินพิจารณาซ่งเหยียนเฟยอย่างลึกซึ้ง พลางครุ่นคิดถึงความแตกต่างระหว่างตนเองและอีกฝ่าย เมื่อซ่งเหยียนเฟยสังเกตเห็นความเงียบงันของอวี้เหวิน จึงคาดเดาว่าคำพูดของตนอาจจะกระทบกระเทือนจิตใจของอีกฝ่ายก็เป็นได้ "แต่ก็ใช่ว่าเจ้าจะมิอาจก้าวหน้าอย่างรวดเร็วได้ หากว่าเจ้ามีเคล็ดวิชาชั้นสูงให้ฝึกฝนอย่างถูกครรลองคลองธรรม" เขาจึงกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลงเล็กน้อย "เคล็ดวิชาชั้นสูง? ฮ่าๆ! ช่างเป็นเรื่องที่น่าหัวร่อสิ้นดี ข้าเป็นเพียงแค่บุตรชาวบ้านธรรมดา มิมีอาจารย์ผู้ทรงภูมิชี้นำ ไม่มีสำนักอันเกรียงไกรให้ร่ำเรียน จะมีโอกาสได้สัมผัสเคล็ดวิชาล้ำค่าเช่นนั้นได้อย่างไร? นี่เป็นเพียงแค่มวยพื้นฐานที่ท่านพ่อข้าสั่งสอนไว้เท่านั้น" อวี้เหวินส่ายศีรษะอย่างจนหนทาง "เช่นนั้นแล้ว หากว่าข้ามีเล่า?" เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยเลศนัย ดวงตาคมกริบจับจ้องไปยังอวี้เหวินอย่างมีความหมาย อวี้เหวินพลันเงยหน้าขึ้น สบสายตากับซ่งเหยียนเฟยอย่างตรงไปตรงมา ดวงตาของเขาเปล่งประกายแห่งความหวัง "เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่ ถึงได้มากล่าวถึงเรื่องนี้กับข้า?" สำหรับอวี้เหวินแล้ว เคล็ดวิชาชั้นสูงเปรียบเสมือนแสงนำทางในความมืดมิด เป็นสิ่งที่เขาปรารถนาอย่างยิ่งในยามนี้ เขาต้องการพลังอำนาจที่แข็งแกร่งเหนือผู้ใด ต้องการความก้าวหน้าที่รวดเร็วที่สุด เพื่อที่จะนำมารดาของเขากลับคืนสู่ครอบครัวอีกครั้ง "สร้อยเส้นนี้... ข้าขอได้หรือไม่?" ซ่งเหยียนเฟยเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความกระวนกระวายใจอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาคู่คมจับจ้องไปยังสร้อยคอสีดำในมืออย่างไม่ละสายตา "แล้วข้าจะมอบเคล็ดวิชาทุกอย่างที่เจ้าปรารถนาให้แก่เจ้าเป็นการตอบแทน" พลางยกมือที่กำสร้อยคอเส้นนั้นขึ้นมาเล็กน้อย ราวกับเป็นการยื่นข้อเสนอที่ไม่อาจปฏิเสธได้ อวี้เหวินทอดสายตามองไปยังสร้อยคอเส้นนั้นอย่างชั่งใจ ความคิดมากมายไหลวนอยู่ในห้วงสมองของเขา ด้านหนึ่งคือความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อช่วยเหลือมารดา อีกด้านหนึ่งคือความผูกพันและความทรงจำอันล้ำค่าที่สร้อยเส้นนี้เป็นตัวแทน "มิได้!" อวี้เหวินเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แม้ภายในใจจะรู้สึกหวั่นไหวอยู่บ้าง "ข้ามิอาจยกสร้อยเส้นนี้ให้แก่เจ้าได้ มันเป็นของที่ท่านแม่ข้ามอบให้ไว้ด้วยมือของนางเอง ในวันที่ข้ายังเป็นเพียงเด็กน้อย ท่านแม่กล่าวว่ามันเป็นสมบัติป้องกันภัยอันล้ำค่าที่จะคอยคุ้มครองข้าจากอันตรายทั้งปวง อีกทั้งยังเป็นของแทนใจที่ข้าจะไม่มีวันลืมเลือนตราบชั่วชีวิต" น้ำเสียงของเขาแสดงออกถึงความรักและความผูกพันอันลึกซึ้งต่อมารดา "เจ้า!" ซ่งเหยียนเฟยขบฟันแน่น ดวงตาฉายแววร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด "เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่ จงบอกข้ามาเถิด ข้าจะสรรหามาให้เจ้าจนได้ ไม่ว่าจะเป็นสมบัติ ยาหายาก หรือแม้แต่อาวุธวิเศษ ข้าก็จะหามาประเคนให้เจ้า!" น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความร้อนใจและต้องการที่จะได้สร้อยเส้นนั้นมาครอบครอง "ข้ากล่าวแล้วว่ามิได้ ก็คือมิได้!" อวี้เหวินย้ำคำเดิมอย่างหนักแน่น ใบหน้าคมสันแสดงออกถึงความเด็ดเดี่ยว "สิ่งนี้มิได้อยู่ที่มูลค่าหรือความวิเศษใดๆ ของตัวมัน แต่มันสำคัญที่จิตใจและความทรงจำอันล้ำค่าที่ข้ามีต่อท่านแม่ หวังว่าเจ้าจะเข้าใจในความรู้สึกของข้า" เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นและจริงจัง ซ่งเหยียนเฟยมีสีหน้าเศร้าสร้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ไหล่ทั้งสองข้างตกลงเล็กน้อย ดวงตาคู่คมหม่นแสงลงราวกับสูญสิ้นความหวัง "สิ่งนี้จำเป็นต่อข้าอย่างยิ่งจริงๆ ถือเป็นสิ่งที่จะช่วยชีวิตข้าไว้ได้ในยามคับขัน เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อการฟื้นฟูพลังที่สูญเสียไปของข้าอย่างมหาศาล" ก่อนที่เขาจะโอดครวญต่อไป ราวกับนึกคิดบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้ แววตาของเขาก็เปล่งประกายความหวังขึ้นอีกครั้ง "เช่นนั้นแล้ว ให้ข้ายืมใช้สักระยะหนึ่งได้หรือไม่? ในช่วงเวลานี้ ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าตลอดเวลาดุจเงาตามตัว เจ้าต้องการทวงคืนเมื่อใดก็ได้ ข้าจะยินดีคืนให้โดยไม่มีข้อแม้ แถมข้ายังจะมอบเคล็ดวิชาล้ำค่า สมบัติหายาก อาวุธวิเศษที่ข้ามีให้แก่เจ้าเป็นการตอบแทนด้วย หากเจ้าประสบอันตรายใดๆ ข้าจะออกหน้าช่วยเหลือเจ้าอย่างสุดกำลัง อีกประการหนึ่ง สิ่งนี้มีประโยชน์ต่อตัวข้ามากกว่าเจ้าในยามนี้ เมื่อภารกิจของข้าสำเร็จลุล่วง ข้าจะส่งคืนให้เจ้าอย่างแน่นอน" เขาอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความจริงใจและวิงวอน ราวกับเด็กน้อยที่กำลังขอของเล่นชิ้นโปรด อวี้เหวินได้ยินดังนั้นก็ตกอยู่ในความเงียบงันไปครู่หนึ่ง ความคิดมากมายสับสนวุ่นวายอยู่ในหัวของเขา เขาถอนหายใจออกมาแผ่วเบา ราวกับกำลังตัดสินใจในเรื่องที่ยากลำบาก "ตกลง ตามที่เจ้ากล่าวมา ข้าหวังว่าบุรุษผู้มีเกียรติจะไม่คืนคำ ข้าจะให้เจ้ายืม" ด้วยเหตุผลที่ว่าเคล็ดพลังยุทธ์ เคล็ดวิชาการต่อสู้ และอาวุธต่างๆ นั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเขาในตอนนี้ เพื่อใช้ในการเพิ่มพูนฐานพลังบ่มเพาะและเสริมสร้างพลังการต่อสู้ให้แข็งแกร่งขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ในการช่วยเหลือมารดาของเขาได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งข้อตกลงนี้ก็มิได้มีสิ่งใดเป็นผลเสียต่อเขาเลย ตรงกันข้ามกลับเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง ไม่มีเหตุผลใดที่เขาจะต้องปฏิเสธข้อเสนอนี้ "แน่นอน! แน่นอนที่สุด! นายน้อยผู้นี้เป็นผู้รักษาคำพูดดียิ่งนัก เจ้าจงวางใจได้เลย" ซ่งเหยียนเฟยรีบกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจอย่างออกนอกหน้า เกรงว่าอวี้เหวินจะเปลี่ยนใจในภายหลัง พลางคลี่ยิ้มกว้างอย่างโล่งอก ราวกับยกภูเขาออกจากอก "ฮ่าๆ! สัญญาย่อมเป็นสัญญา ในเมื่อเจ้ามีน้ำใจให้ข้ายืมแล้ว ดังนั้นข้าก็จะมอบเคล็ดวิชาให้แก่เจ้าตามที่ได้ลั่นวาจาไว้" ซ่งเหยียนเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริง พลางยกนิ้วชี้ขึ้น กดลงบนหน้าผากของอวี้เหวินเบาๆ "จิ๊ด!" ทันใดนั้นเอง ข้อมูลมหาศาลก็ไหลทะลักเข้าสู่ห้วงสมองของอวี้เหวินราวกับกระแสน้ำป่าที่ไหลเชี่ยวกราก ความรู้สึกเจ็บปวดราวกับศีรษะกำลังจะระเบิดแผ่ซ่านไปทั่วทั้งสมอง ทว่าอวี้เหวินกัดฟันแน่น ข่มความเจ็บปวดนั้นไว้ด้วยความอดทน ชั่วครู่หนึ่งกระแสข้อมูลที่ไหลบ่าเข้ามาก็ค่อยๆ ชะลอตัวลงจนกระทั่งหยุดสนิท อวี้เหวินจึงทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิ ตั้งจิตสงบเพื่อปรับแต่งและเรียบเรียงความรู้ที่ได้รับมา ผ่านไปชั่วก้านธูป เขาก็ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ซ่งเหยียนเฟยเห็นดังนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ "เคล็ดวิชากายที่ข้ามอบให้เจ้าในครั้งนี้ ถือว่าเหมาะสมที่สุดสำหรับเจ้าในยามนี้ สำหรับผู้ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งการบ่มเพาะในระดับก่อตั้งรากฐาน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสร้างรากฐานร่างกายที่แข็งแกร่งจากภายใน ดังนั้น เคล็ดวิชา 'เตาอัสนีวิบัติ' จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด" จากนั้นอวี้เหวินจึงทบทวนเนื้อหาของเคล็ดวิชานั้นในความทรงจำของตนเองอย่างละเอียด 'เคล็ดวิชาเตาอัสนีวิบัตินี้ แบ่งออกเป็นสามระดับใหญ่ ขั้นแรกคือการใช้เพลิงปราณหล่อหลอมร่างกายตนเองดุจดั่งดาบที่ถูกตีขึ้นจากเตาหลอม ขจัดสิ่งสกปรกและมลทินออกจากร่างกาย สร้างความบริสุทธิ์ให้แก่ทุกส่วน หากฝึกฝนในสถานที่ที่มีความร้อนระอุ เช่นบริเวณภูเขาไฟ ก็จะสามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น การฝึกฝนในขั้นแรกนี้จะเทียบเท่ากับพลังของผู้ที่อยู่ในขั้นก่อตั้งรากฐาน ขั้นที่สองคือการทุบตีและขัดเกลาดาบ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความหนาแน่นของร่างกายให้มากยิ่งขึ้น การฝึกฝนในขั้นนี้จำเป็นต้องผ่านการต่อสู้จริงเท่านั้น ยิ่งร่างกายได้รับการโจมตีที่รุนแรงมากเท่าไหร่ ความแข็งแกร่งก็จะยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นเท่านั้น ขั้นนี้จะเทียบเท่ากับผู้ที่อยู่ในขั้นกำเนิดกาย และขั้นสุดท้าย ขั้นที่สามคือการใช้อัสนีบาตหล่อหลอมร่างกายให้แข็งแกร่งถึงขีดสุด ทนทานราวกับดาบเทพที่มิมีสิ่งใดทำลายได้ ความแข็งแกร่งในขั้นนี้จะเทียบเท่ากับผู้ที่อยู่ในขั้นหลอมรวมกายา และในแต่ละระดับใหญ่ก็จะแบ่งออกเป็นสามขั้นย่อย ได้แก่ ขั้นแรกเริ่ม ขั้นกลาง และขั้นสูงสุด' ดังนั้น หากอวี้เหวินสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชานี้จนสำเร็จ เขาก็จะมีความแข็งแกร่งเหนือกว่าผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันอย่างน้อยสองเท่าเลยทีเดียว 'หากข้าปรารถนาจะบรรลุเคล็ดวิชาขั้นแรกอย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องเสาะหาสถานที่ที่เหมาะสมที่สุด ข่าวลือที่เล่าขานในหมู่บ้านนั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก กล่าวว่าลึกเข้าไปในเทือกเขานี้ มีถ้ำลึกดำมืดแห่งหนึ่ง ที่ความแห้งแล้งแผดเผาร้อนระอุถึงขีดสุด พื้นดินเดือดพล่านราวกับหม้อโลหะที่ถูกไฟเผา หากแม้แต่มนุษย์ผู้แข็งแกร่งยังมิอาจทนทานอยู่ได้เกินครึ่งชั่วยาม ร่างกายก็จะถูกเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าธุลี นี่คือดินแดนต้องห้ามที่เต็มไปด้วยอันตรายถึงชีวิต ทว่าในถ้ำนั้นกลับเป็นรังของพยัคฆ์หางแมงป่อง สัตว์อสูรชั้นต่ำก็จริง แต่ด้วยพิษร้ายและพละกำลังที่น่าสะพรึงกลัว มันยังคงเป็นภัยคุกคามร้ายแรงสำหรับข้าในยามนี้' อวี้เหวินครุ่นคิดอย่างหนักหน่วง ดวงตาคมกริบฉายแววแน่วแน่ปนความกังวล ก่อนจะหันไปมองร่างเล็กจิ๋วของซ่งเหยียนเฟยที่กำลังหลับใหลอยู่บนเตียง 'ฮ่าๆ! ข้ามีผู้คุ้มกันที่แข็งแกร่งดุจเทพเซียนอยู่เคียงข้างกายแล้วนี่นา ช่างเป็นโชคชะตาที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เอาเป็นว่าค่อยไปสำรวจถ้ำนั้นในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน' เขายิ้มให้กับความคิดอันชาญฉลาดของตนเองอย่างพึงพอใจ หลังจากอวี้เหวินเสร็จสิ้นการฝึกฝนร่างกายอันเหนื่อยล้าประจำวัน ซ่งเหยียนเฟยก็ขอตัวเข้าไปฟื้นฟูพลังในห้องพักอันเงียบสงัด โดยมีหินดำลึกลับเม็ดนั้นเป็นสื่อนำพลัง กาลเวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว ราตรีอันมืดมิดได้ปกคลุมไปทั่วผืนฟ้า แสงจันทร์สีเงินสาดส่องลอดหน้าต่างไม้เข้ามาในห้องพักอันคับแคบ ภายในหินดำลึกลับที่วางอยู่บนเตียงนั้นเอง "ฮ่าๆ! ในที่สุด ข้าก็สามารถเข้ามาได้จนได้ ช่างเป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิดพลาดแม้แต่น้อย หินลึกลับเม็ดนี้ซ่อนมิติอันพิสดารไว้ภายในจริงๆ ด้วย!" ซ่งเหยียนเฟยหัวเราะก้องกังวานด้วยความยินดี ราวกับนักโทษที่เพิ่งถูกปลดปล่อย เขากวาดสายตามองไปโดยรอบ มิติภายในหินดำถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดอันไร้ขอบเขต ราวกับห้วงอวกาศอันเวิ้งว้าง ให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวและน่าหวาดหวั่นอย่างประหลาด ยิ่งเขาเหยียบย่างลึกลงไป หมอกปราณสีทมิฬก็ยิ่งหนาแน่นขึ้นจนแทบจะกลั่นตัวเป็นหยาดน้ำค้าง สัมผัสเย็นเยียบของหมอกปราณกลับทำให้ซ่งเหยียนเฟยรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและสบายกายอย่างยิ่ง ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขากลับมาเฉียบคมราวกับใบมีด พลังปราณทมิฬอันบริสุทธิ์และเข้มข้นถูกดูดซับผ่านทางรูขุมขนทั่วทั้งร่าง ไหลเวียนเข้าสู่ตันเถียนอย่างรวดเร็วและทรงพลัง พวกมันไหลเวียนไปทั่วทุกส่วนของร่างกายที่บอบช้ำ ทำการซ่อมแซมแก่นชีพจรที่แตกสลายของซ่งเหยียนเฟย ช่วยสมานบาดแผลฉกรรจ์และรักษาอาการบาดเจ็บภายในของเขาอย่างช้าๆ ทว่ามั่นคงราวกับสายน้ำที่ไม่เคยหยุดไหล เขาจึงทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิบนพื้นดินที่เย็นเยียบและมืดมิด ดูดซับพลังปราณทมิฬอันมหาศาลเพื่อฟื้นฟูร่างกายและจิตวิญญาณของตนเองในมิติแห่งนี้เป็นเวลายาวนาน จนกระทั่งค่ำคืนอันเงียบสงัดได้ล่วงเลยผ่านพ้นไปสู่รุ่งอรุณของวันใหม่ ยามรุ่งอรุณ อวี้เหวินตื่นขึ้นด้วยความกระปรี้กระเปร่า เตรียมตัวที่จะมุ่งหน้าสู่เทือกเขาอีกครั้ง ทว่าครานี้มิใช่เพื่อล่าสัตว์ป่าอันใด หากแต่เป็นการเดินทางเพื่อฝึกฝนพลังบ่มเพาะ เช้านี้เขาได้ปรึกษาหารือกับซ่งเหยียนเฟย สังเกตเห็นว่าสีหน้าของอีกฝ่ายดูสดใสขึ้นกว่าเดิมมาก นั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า หินดำลึกลับเม็ดนั้นมีคุณูปการต่อซ่งเหยียนเฟยอย่างแท้จริง มิได้เป็นเพียงคำกล่าวอ้างที่ไร้สาระ "วันนี้ข้าจะขึ้นเขาไปฝึกฝนเคล็ดวิชาเตาอัสนีวิบัติ มีสถานที่แห่งหนึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการฝึกฝนในขั้นแรก แต่สถานที่แห่งนั้นสำหรับข้าในตอนนี้ยังคงเต็มไปด้วยอันตราย" อวี้เหวินกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "ดังนั้นเจ้าจึงต้องการให้นายน้อยผู้นี้ติดตามเจ้าไป เพื่อคุ้มกันภัยให้เจ้ากระนั้นหรือ เจ้าหนู?" ซ่งเหยียนเฟยเอ่ยด้วยท่าทางเบื่อหน่าย ราวกับอ่านความคิดของอวี้เหวินได้อย่างทะลุปรุโปร่ง "ใช่ ตามข้อตกลงของเรา หนึ่งในนั้นคือเจ้าต้องเป็นผู้คุ้มกันภัยให้แก่ข้า" อวี้เหวินกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ทว่าแววตากลับฉายความมุ่งมั่น "ก็ได้ๆ ตกลง เราจะออกเดินทางกันเลยหรือไม่?" ซ่งเหยียนเฟยรับคำอย่างเสียมิได้ ท่าทางยังคงแฝงไว้ด้วยความขี้เกียจ "อีกครึ่งชั่วยาม เราจะออกเดินทาง ข้าขอเวลาเตรียมตัวสักครู่" อวี้เหวินกล่าว พลางลุกขึ้นไปจัดเตรียมสัมภาระที่จำเป็น เมื่อถึงเวลาออกเดินทาง ซ่งเหยียนเฟยก็ได้กลับเข้าไปสู่มิติภายในหินดำลึกลับ สร้อยคอเส้นนั้นจึงกลับมาคล้องอยู่บนลำคอของเจ้าของเดิม อวี้เหวิน ในขณะที่เขากำลังจะก้าวเท้าออกจากเรือน "เหวินเออร์ จำไว้ว่าความปลอดภัยของเจ้าสำคัญที่สุด และอย่ารอจนตะวันลับฟ้าจึงค่อยกลับมา" เสียงทุ้มนุ่มของอวี้หลานดังขึ้นจากด้านใน อวี้เหวินได้แจ้งแก่บิดาของเขาตั้งแต่ยามเย็นถึงแผนการที่จะขึ้นไปฝึกฝนบนเทือกเขาเพื่อเพิ่มพูนความแข็งแกร่งอย่างรวดเร็ว เพียงแต่เขาเกรงว่าบิดาจะเป็นห่วงและห้ามปรามมิให้เขาไป เขาจึงกล่าวเพียงว่าจะไปฝึกฝนบริเวณรอบนอกของภูเขาที่ปราศจากสัตว์อสูร "ลูกจะจดจำไว้ในใจขอรับ" อวี้เหวินรับคำด้วยความเคารพ "สาวน้อยที่เจ้าช่วยเหลือนำกลับบ้านมา นางอยู่แห่งหนใด? เหตุใดข้าจึงมิได้พบนางเลย?" อวี้หลานกวาดสายตามองไปรอบๆ เรือนอย่างละเอียด ราวกับกำลังค้นหาใครบางคนที่ซ่อนตัวอยู่ "เจ้าหนู เจ้ามิควรให้บิดาของเจ้ารู้ว่าข้ายังคงอยู่กับเจ้าในเวลานี้ เขายังคงหวาดระแวงข้าอยู่ ควรต้องรอเวลาอีกสักพัก" เสียงกระซิบแผ่วเบาของซ่งเหยียนเฟยดังขึ้นในห้วงความคิดของอวี้เหวิน ราวกับเสียงกระซิบจากอีกมิติ "นาง... นางได้ขอตัวกลับไปยังถิ่นฐานของนางแล้วขอรับ ท่านพ่อ นางรู้สึกซาบซึ้งในความเมตตาของข้าเป็นอย่างยิ่ง จึงได้มอบเคล็ดวิชาอันล้ำค่าพร้อมทั้งอาวุธวิเศษป้องกันตัวแก่ข้าเป็นการตอบแทน และนางยังกล่าวอีกว่า สักวันนางจะกลับมาตอบแทนบุญคุณที่ได้ช่วยเหลือชีวิตนางในครั้งนี้ให้จงได้" อวี้เหวินก้มศีรษะเล็กน้อยพร้อมกับแย้มรอยยิ้มจางๆ พลางหยิบอาวุธวิเศษที่ได้รับจากซ่งเหยียนเฟยออกมาให้อวี้หลานได้ชม แสงสีเงินยวงสะท้อนกับแสงตะวันยามเช้า ดูงดงามพิสดาร "ข้าบอกเจ้าแล้วอย่างไร ข้ามิใช่สตรี ข้าเป็นบุรุษอกสามศอกโดยแท้!" ซ่งเหยียนเฟยพ่นลมหายใจออกมาด้วยความขุ่นเคือง ราวกับถูกหยามเกียรติ "เป็นเช่นนั้นเองหรือ ดีแล้วๆ ดีจริงๆ" อวี้หลานถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก คลี่ยิ้มกว้างอย่างยินดีให้กับอวี้เหวิน ความกังวลในดวงตาลดเลือนลงไป "เจ้าจงไปเถิด เวลามักไม่คอยท่า จงรีบไปรีบกลับ" อวี้หลานกล่าวด้วยความห่วงใย มองตามหลังบุตรชายด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรัก "ขอรับ ท่านพ่อ ข้าจักรีบกลับมามิให้ทันยามสนธยา" อวี้เหวินรับคำด้วยความเคารพ ก่อนจะคำนับลา แล้วก้าวเท้าออกจากเรือน มุ่งหน้าสู่เส้นทางบนภูเขาอันท้าทาย จากนั้นเขาก็ก้าวเท้าออกเดินอย่างมุ่งมั่น แรงใจอันแน่วแน่ผลักดันให้เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่ย่อท้อ สายตาคมกริบจับจ้องไปยังเป้าหมายที่อยู่เบื้องหน้า เขตแดนของสัตว์อสูร พยัคฆ์หางแมงป่อง ถิ่นฐานของพยัคฆ์หางแมงป่องท่ามกลางขุนเขาอันกว้างใหญ่แห่งนี้เป็นเพียงจุดเล็กๆ บนแผนที่เท่านั้น หากวัดระยะทางจากบ้านของอวี้เหวินแล้ว จะมีระยะทางที่ไกลกว่าเขตของหมาป่าอสูรถึงสิบลี้ เนื่องจากการสังหารหมาป่าอสูรของซ่งเหยียนเฟยเมื่อหลายวันก่อน ทำให้บริเวณนั้นยังคงไร้วี่แววของสัตว์อสูร แม้เวลาจะล่วงเลยมาพอสมควรแล้วก็ตาม จึงอำนวยความสะดวกให้อวี้เหวินในการเดินทางในช่วงแรกนี้ยิ่งขึ้น ทั้งสองร่วมเดินทางด้วยกันเป็นเวลานานหลายชั่วยาม โดยมีเพียงอวี้เหวินเท่านั้นที่ต้องออกแรงก้าวเดินไปตามเส้นทางที่คดเคี้ยวและลาดชัน ผ่านป่าเขาลำเนาไพร สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย ราวกับกำลังก้าวเข้าสู่โลกอีกใบ จากป่าโปร่งที่แสงตะวันสาดส่องถึงพื้นดิน สู่ป่าทึบที่ร่มเงาปกคลุมจนมืดครึ้ม มีความร้อนชื้นอบอ้าวแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ รอบข้างเต็มไปด้วยพงไพรหนาแน่น ต้นไม้สูงตระหง่านเสียดฟ้า รากไม้ใหญ่พันเกี่ยวกันยุ่งเหยิง สัตว์เล็กสัตว์น้อยวิ่งเล่นซุกซนไปมาอย่างสนุกสนาน ทว่าอย่าได้ดูแคลนขนาดและรูปลักษณ์ที่น่ารักของพวกมัน ไม่มีสัตว์ตัวใดในเขตอสูรแห่งนี้ที่เป็นเพียงสัตว์ธรรมดา หากไม่ระมัดระวังตัวแม้เพียงชั่วครู่ อวี้เหวินก็อาจจะพบเจอกับงูพิษสีสันฉูดฉาดที่เป็นสัตว์อสูรเลื้อยพันอยู่บนกิ่งไม้สูง หรือสัตว์ใหญ่เช่นหมูป่าปฐพีที่มีเขี้ยวแหลมคมอาจจะพุ่งเข้าจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว เมื่อเดินผ่านแหล่งน้ำใสเย็น หากประมาทแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจถูกจระเข้ทองคำตัวใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำโผล่ขึ้นมางับด้วยกรามอันแข็งแกร่ง แต่ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ อวี้เหวินได้รับการบอกกล่าวให้หลีกเลี่ยงและป้องกันจากซ่งเหยียนเฟยที่คอยชี้นำทางอยู่ภายในหินดำลึกลับตลอดเวลา ราวกับมีดวงตานับพันคู่คอยสอดส่องทุกการเคลื่อนไหวของเขา ทำให้การเดินทางในครั้งนี้เต็มไปด้วยความระมัดระวังและตื่นเต้นระทึกใจไปพร้อมๆ กัน บัดนี้ สภาพแวดล้อมโดยรอบกายของอวี้เหวินเริ่มแปรเปลี่ยนไป ต้นไม้ใหญ่และใบหญ้าเขียวขจีเริ่มลดน้อยถอยลง อุณหภูมิเริ่มสูงขึ้นอย่างรู้สึกได้ ไอความร้อนระอุแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ รอบข้างเริ่มปรากฏความแห้งแล้งและหินผามากขึ้น "อีกสามสิบจั้งทางทิศเหนือ มีตะขาบเพลิงซ่อนตัวอยู่ เจ้าระวังตัวด้วย จงเบี่ยงไปทางทิศตะวันออก รอมันปรากฏตัว ข้าจะสังหารมันเอง" เสียงของซ่งเหยียนเฟยดังขึ้นในห้วงความคิดของอวี้เหวิน เตือนภัยล่วงหน้า อวี้เหวินเมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าก็พลันเคร่งขรึมลง ดวงตาคมกริบกวาดมองไปรอบทิศ แผ่ประสาทสัมผัสออกไปอย่างระมัดระวัง ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความตื่นตัว เมื่อเขาก้าวเข้าสู่ระยะที่ตะขาบอัคคีซุ่มซ่อนอยู่ เขาก็เพิ่มความระมัดระวังถึงขีดสุด ราวกับกำลังเดินอยู่บนคมดาบ พรึ่บ! ทันใดนั้นเอง ตะขาบเพลิงตัวยาวกว่าสามจั้งก็กระโดดโผล่ขึ้นมาจากพื้นดินที่แตกระแหงอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า มันอ้าปากกว้างเผยให้เห็นเขี้ยวยาวแหลมคมคู่หนึ่ง ส่งกลิ่นเหม็นคาวคลุ้งออกมา พร้อมทั้งทำท่าจะเขมือบอวี้เหวินเข้าไปทั้งร่าง ทว่าในชั่วพริบตา ราวกับมีใบมีดที่มองไม่เห็นผ่าอากาศลงมา ฟาดฟันร่างของตะขาบยักษ์ขาดเป็นสองท่อนอย่างรวดเร็วปานแสงแลบ เลือดสีม่วงเข้มข้นพุ่งกระฉูดออกมาดุจน้ำตก ซ่งเหยียนเฟยแผ่พลังสร้างม่านกั้นโปร่งใสออกมาปกป้องอวี้เหวินจากพิษร้าย เมื่อเลือดของตะขาบสัมผัสกับม่านกั้น ก็เกิดเสียง "ฉ่า~" ดังขึ้น พร้อมกับควันสีขาวจางๆ ที่ลอยขึ้นมา บ่งบอกถึงฤทธิ์กรดอันรุนแรงของพิษ "หากข้าโดนพิษร้ายกาจนี้เข้าไป มิใช่ว่าชีวิตข้าจะดับสิ้นไปจากโลกนี้ในทันทีหรอกหรือ?" อวี้เหวินเห็นภาพอันน่าสะพรึงกลัวนั้น ถึงกับรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ความตายอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม "เจอเพียงเท่านี้ ใจเจ้าก็ห่อเหี่ยวเสียแล้วหรือ เจ้าหนู?" ซ่งเหยียนเฟยหัวเราะเบาๆ อย่างขบขัน "หามิได้!" ดวงตาของอวี้เหวินกลับมาเฉียบคมดังเดิม แววตาแสดงถึงความมุ่งมั่นและไม่ย่อท้อ "ไปกันเถอะ" เขากล่าวพร้อมกับก้าวเท้าเดินต่อไปอย่างไม่ลังเล เมื่ออวี้เหวินก้าวเดินมาได้สักพัก สภาพแวดล้อมโดยรอบกายก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ต้นไม้และพุ่มไม้เขียวขจีได้เลือนหายไปจนหมดสิ้น คงเหลือไว้เพียงผืนดินที่แตกระแหง แห้งผากราวกับขาดน้ำมานานนับปี อุณหภูมิโดยรอบสูงขึ้นจนแทบจะแผดเผา เริ่มปรากฏร่างของแมงป่องอสูรตัวน้อยใหญ่คลานออกมาจากรอยแตกของพื้นดิน อากาศร้อนระอุจนอวี้เหวินรู้สึกคอแห้งผาก ต้องยกขวดน้ำที่เตรียมมาขึ้นจิบอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งย่างก้าวลึกเข้าไป อุณหภูมิก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น เหงื่อเม็ดโตเริ่มไหลซึมออกมาจากรูขุมขนทั่วทั้งร่างกาย อาการเหนื่อยล้าอ่อนเพลียเริ่มถาโถมเข้ามาราวกับคลื่นที่ซัดกระหน่ำ จนกระทั่งอวี้เหวินรู้สึกว่าเรี่ยวแรงที่มีอยู่เริ่มจวนเจียนจะหมดสิ้น เขาจึงตัดสินใจมองหาโขดหินใหญ่เพื่อหลบพักจากไอแดดที่แผดเผา "ด้วยระดับพลังของเจ้าในตอนนี้ เจ้ามิอาจก้าวล่วงเข้าไปลึกกว่านี้ได้อย่างแน่นอน เจ้าควรเริ่มต้นฝึกฝนจากบริเวณนี้เสียก่อน แล้วจึงค่อยเข้าไปด้านในเมื่อพลังบ่มเพาะแข็งแกร่งขึ้น" เสียงของซ่งเหยียนเฟยดังขึ้นในห้วงความคิดของอวี้เหวิน เตือนสติด้วยความเป็นห่วง "ตกลง ข้าจะทำตามที่เจ้าว่า" อวี้เหวินพยักหน้าตอบรับ เขาทรุดตัวลงนั่งพักเพื่อฟื้นฟูพลังกายที่อ่อนล้า ทว่าในฉับพลันนั้นเอง ดวงตาของเขาก็พลันดับวูบลงสู่ความมืดมิด ร่างกายทรุดฮวบลงกับพื้นดินหมดสติในทันที "อวี้เหวิน! อวี้เหวิน..." เสียงเรียกชื่อของอวี้เหวินด้วยความตกใจดังขึ้นในห้วงความคิดของเขา.. (1 จั้ง = 3.33 เมตร) (1 ลี้ = 500 เมตร)ครู่กาลล่วงเลย เปลือกตาคู่หนึ่งจึงค่อยๆ ปรือเปิดจากห้วงนิทรา ความพร่าเลือนในม่านตาค่อยๆ จางหาย แปรเปลี่ยนเป็นความคมชัด อวี้เหวินขยับศีรษะเพียงเล็กน้อย หันไปยังทิศเบื้องขวา จึงปรากฏแก่สายตาซึ่งร่างของอสูรแมงมุมพิศดารตัวหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ เมื่อพิเคราะห์ดูอย่างละเอียดละออ จะเห็นได้ว่าใบหน้าของมันละม้ายคล้ายคลึงกับสุนัขอย่างน่าประหลาด มันถูกพิฆาตจนร่างแหลกเหลวออกเป็นสองส่วน ชิ้นส่วนอวัยวะกระจัดกระจาย เลือดสีม่วงเข้มข้นไหลนองผืนปฐพี ส่งกลิ่นคาวคลุ้งรุนแรงท่ามกลางไอแดดที่แผดเผาราวกับเปลวเพลิง"เจ้าตื่นแล้วหรือ?" เสียงหนึ่งดังขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ มิได้แสดงความตื่นตระหนกต่อภาพที่ปรากฏเสียงนั้นปลุกอวี้เหวินให้หลุดพ้นจากภวังค์แห่งความงุนงง เขาสังเกตเห็นว่าอาภรณ์ของตนเปรอะเปื้อนไปด้วยของเหลวสีม่วงเหนียวข้น ซึ่งบัดนี้ได้แห้งกรังติดอยู่กับเนื้อผ้า "มัน... มันเกิดอันใดขึ้นกัน?" อวี้เหวินพึมพำด้วยความสับสนงุนงาย"เจ้าถูกอสูรแมงมุมพิษหน้าสุนัขเล่นงานเข้าแล้ว" ซ่งเหยียนเฟยกล่าวพลางชี้ไปยังซากอสูรที่นอนตายอยู่มิไกล"เจ้าอาจถูกพิษของมันขณะที่ยึดเหนี่ยวโขดหินนั่น จึงเป็นเหตุให้เจ้ารู้สึกหนักอึ้งร
ท่ามกลางเมืองเฉินอันคึกคัก มีร้านอาหารหรูแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ในย่านเก่าแก่ของเมือง แม้ขนาดของมันจะมิได้ใหญ่โตโอฬาร ทว่ากลับแฝงไปด้วยร่องรอยของกาลเวลาที่สั่งสมมาเนิ่นนาน ร้านอาหารแห่งนี้มีชื่อว่า "美味" (Měiwèi, ของกินเลิศรส) ซึ่งนับเป็นร้านอาหารที่มีเกียรติและได้รับการยอมรับสูงสุดในเมืองเฉิน เมื่อย่างกรายเข้ามาเบื้องหน้าร้าน ผู้อาจหาญทั้งหลายย่อมต้องหยุดสายตาลงยังป้ายไม้เก่าแก่ที่แขวนอยู่เหนือประตู ป้ายไม้แผ่นนี้ถูกสลักด้วยลายมือวิจิตรงดงาม บ่งบอกถึงชื่อร้านที่สืบทอดมาแต่โบราณ ด้านข้างของร้าน อักษรสลักบนผนังทั้งสองฝั่งยิ่งเสริมความหนักแน่นให้แก่สถานที่แห่งนี้ ทางขวาคือคำว่า "张进鸿" (เตียจิงฮ้ง, เจริญก้าวหน้าเกริกก้องเกรียงไกร) และทางซ้ายคือ "荣耀" (Róngyào, มีเกียรติอันประเสริฐรุ่งโรจน์) หากบุคคลทั่วไปได้พบเห็น คงเข้าใจว่านี่เป็นเพียงคำอวยพรเพื่อเสริมสิริมงคล ทว่าผู้ที่ล่วงรู้เบื้องลึกแห่งร้านเหมยเหว่ยย่อมตระหนักดีว่า นี่มิใช่เพียงถ้อยคำมงคล หากแต่เป็นปณิธานอันหนักแน่นของสถานที่แห่งนี้ อักษรด้านขวาถูกจารึกขึ้นเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้คนที่แวะเวียนมารับประทานอาหาร ณ ที่แห่งนี้ โดยเฉ
"ช่างเป็นเคล็ดวิชาที่ลึกล้ำเกินหยั่งถึง!" อวี้เหวินอุทานด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ดวงตาเป็นประกายราวกับค้นพบขุมทรัพย์ล้ำค่า เขาทอดสายตามองไปยังห้วงความคิด พลางหวนรำลึกถึงเนื้อหาของเคล็ดวิชาอีกครา 'เคล็ดวิชาหมัดอัคนีสังหารนั้น แบ่งออกเป็นสามขอบเขตใหญ่ อันได้แก่ ปฐพี อัคคี และวารี แต่ละขอบเขตยังแบ่งย่อยออกเป็นสามระดับ คือ เเรกเริ่ม กลาง และสูงสุด ในขอบเขตปฐพีนั้น เป็นการวางรากฐานแห่งกระบวนท่าของหมัดอัคนีสังหาร พลังอำนาจแห่งหมัดในระดับเริ่มต้นอยู่ที่สามร้อยจิน ระดับกลางอยู่ที่หกร้อยจิน และระดับสูงสุดอยู่ที่เก้าร้อยจิน' ภาพกระบวนท่าอันสลับซับซ้อนเริ่มฉายชัดในมโนสำนึกของอวี้เหวิน ราวกับมีผู้มาสาธิตอยู่ตรงหน้า เขาสังเกตทุกการเคลื่อนไหว จดจำทุกรายละเอียด เมื่อเริ่มเข้าใจในแก่นแห่งวิชาแล้ว อวี้เหวินจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เริ่มต้นร่ายรำตามภาพที่ปรากฏในห้วงนิมิต ฝ่ามือและหมัดถูกส่งออกไปในอากาศอย่างหนักแน่น สลับหมุนเวียนราวกับพายุโหมกระหน่ำ เท้าก้าวไปตามจังหวะ ท่วงท่าการยืนมั่นคงดุจขุนเขา ทุกอิริยาบถที่แสดงออกมาล้วนสง่างามและหนักแน่นราวกับผืนปฐพีอันกว้างใหญ่ ในระหว่างที่ฝึกฝนเพลงหมัด อวี้เหวินมิไ
ยามเมื่อสุริยันเยื้องย่างลงจากนภา โลกธาตุพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มชาด แสงสุดท้ายสาดส่องทาบทาทิวเมฆราวกับผ้าไหมปักลาย เด็กหนุ่มนามว่าอวี้เหวินก้าวเดินอย่างเชื่องช้า ทอดฝีเท้าหนักแน่นแต่มิได้เร่งรีบ จุดหมายปลายทางคือบ้านหลังน้อย แสงไฟสลัวริบหรี่ลอดออกมาจากบานหน้าต่างไม้ในอีกไม่กี่ก้าวเบื้องหน้า ความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักตลอดวันเกาะกุมหัวใจ ทว่าเมื่อย่างเท้าเข้าสู่เรือน ได้รับการต้อนรับอันอบอุ่นและการดูแลเอาใจใส่จากผู้เป็นบิดา ความอ่อนล้าทั้งมวลก็มลายหายสิ้นดุจไอหมอกยามรุ่งอรุณ หลังจากอวี้เหวินและบิดาได้ร่วมโต๊ะทานอาหารค่ำ พูดคุยสารทุกข์สุกดิบจนกระทั่งราตรีเริ่มย่างเข้าสู่ยามดึกสงัด อวี้เหวินจึงนั่งลงขัดสมาธิ สงบจิตใจปรับลมปราณอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะล้มตัวลงนอน ณ ห้วงความมืดมิดภายในเม็ดหินอัญมณีสีดำสนิทที่ห้อยอยู่บนคอของอวี้เหวิน ปรากฏร่างหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวอย่างอ้อยอิ่ง “สามสิบสี่… สามสิบห้า… เวลาล่วงเลยมาเกือบเดือน ข้ากลับเคลื่อนกายมาได้เพียงสามสิบห้าก้าวเท่านั้น เบื้องหน้าจักมีสิ่งใดซ่อนอยู่อีกเล่า?” ซ่งเหยียนรำพึงรำพันกับตนเอง พลางหายใจหอบถี่ราวกับคนจมน้ำ เขานั่งลง หลับตาลงเพื่อ
เปลือกตาที่หนักอึ้งราวกับถูกถ่วงด้วยตะกั่วค่อยๆ เปิดขึ้น เผยให้เห็นดวงตาที่ยังคงพร่าเลือนและง่วงงุน ร่างกายที่อ่อนล้าประหนึ่งถูกบั่นทอนเรี่ยวแรงของอวี้เหวินค่อยๆ ขยับเขยื้อนอย่างเชื่องช้า ก่อนจะพยุงกายลุกขึ้นนั่งบนเตียงไม้เนื้อดี มือเรียวลูบไล้ใบหน้าของตนเองเบาๆ เพื่อขับไล่ความง่วงงุนให้จางหายไป หลังจากเหตุการณ์พลิกผันเมื่อสามราตรีล่วงผ่าน อาการบาดเจ็บของอวี้เหวินก็สมานหายราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รุ่งอรุณแห่งวันนี้ เขาตื่นขึ้นด้วยความสดชื่น เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางไปฝึกฝนวิชาอีกครั้ง อวี้เหวินเริ่มบริหารร่างกายด้วยท่วงท่าที่คุ้นเคยเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม ก่อนจะจัดเตรียมสัมภาระต่างๆ สำหรับการเดินทาง ในขณะที่เขากำลังตรวจตราสิ่งของภายในห่อผ้าอยู่นั้น เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นในห้วงความคิด "วันนี้เป็นวันที่จะต้องบุกเข้าไปในเขตแดนของพยัคฆ์หางแมงป่อง ซึ่งด้วยพละกำลังของเจ้าในยามนี้ ยังมิอาจบุกเข้าไปโดยลำพังได้ จำเป็นต้องมีสิ่งป้องกันไอความร้อนอันร้อนระอุจากรังของพวกมัน" อวี้เหวินแสดงสีหน้าเข้าใจ ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยถามด้วยความสงสัย "อย่าว่าแต่สิ่งใดใช้ป้องกันเลย แม้แต่ชื่อของมัน ข้
"ฟ่อๆๆ!" เสียงขู่คำรามดุดันราวอสูรร้ายคำรามก้องกังวาน พร้อมกับร่างของอสรพิษลายพาดกลอนตัวเขื่อง พุ่งทะยานจากเงามืดแห่งโขดหินด้านหลัง หมายจะฉกกัดอวี้เหวินด้วยความเร็วราวสายฟ้าฟาด เขี้ยวแหลมคมสีเหลืองอำพันเผยให้เห็นถึงพิษร้ายที่พร้อมจะคร่าชีวิตในพริบตา"ฉัวะ!" อวี้เหวินที่ประสาทสัมผัสว่องไวดุจเหยี่ยวล่าเหยื่อ พลิกกายหลบหลีกได้อย่างหวุดหวิด พร้อมกับเหวี่ยงมือขวาออกไปราวกับแส้เหล็ก ฟาดเข้าที่กลางลำตัวของอสรพิษอย่างแม่นยำ เสียงเนื้อแตกดังสนั่น ร่างกายของงูร้ายพลันแหลกเหลว เลือดสีแดงฉานกระเซ็นเปรอะเปื้อนไปทั่วบริเวณ ราวกับพู่กันยักษ์สาดสีลงบนผืนดิน อวี้เหวินชักมือกลับ ดวงตาคมกริบจ้องมองซากอสรพิษด้วยความเหนื่อยล้า"นี่ก็เป็นตัวที่สามสิบแล้วกระมัง มิหนำซ้ำพลังของพวกมันยังเพิ่มพูนขึ้นอีกด้วย" เขาเอ่ยพลางยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลอาบแก้ม ดวงหน้าหล่อเหลาปรากฏร่องรอยความอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด ลมหายใจเริ่มถี่กระชั้น"เพียงเท่านี้เจ้าก็หอบเสียแล้วหรือ? แค่งูหางแมงป่องตัวเล็กกระจ้อยร่อยพวกนี้" เสียงทุ้มนุ่มของบุรุษผู้หนึ่งดังกระซิบข้างใบหูของอวี้เหวิน ราวกับภูตพรายปรากฏกายขึ้นจากความว่างเปล่า พร้อมกับร
ตึง! เงาร่างนั้นโผล่ออกมาท่ามกลางอากาศอันร้อนระอุ มันเป็นเงาร่างใหญ่ทะมึน แผ่กลิ่นอายอันร้อนแรงทั่วบริเวณ ขนทั่วกายแดงฉานดั่งเปลวเพลิง รูปร่างเป็นพยัคฆ์ล่ำสัน ทว่าสิ่งที่น่าสะพรึงยิ่งกว่ากลับเป็นหางแหลมคมที่คล้ายหางแมงป่อง สั่นไหวอยู่เบื้องหลัง เพียงแค่จ้องมอง ก็ทำให้ผู้พบเห็นต้องหวาดหวั่นจนหัวใจสั่นสะท้านทันทีที่มันเห็นซ่งเหยียนเฟยอยู่เบื้องหน้า ดวงตาแดงฉานพลันฉายแววดุร้าย มันอ้าปากกว้างส่งเสียงคำรามก้อง 'กรรร!' เสียงสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ ราวกับประกาศถึงความโกรธเกรี้ยวของมัน ดวงตาอำมหิตจับจ้องบุรุษร่างเล็กเบื้องหน้าอย่างไม่ลดละ มันเห็นเขาเป็นผู้บุกรุกที่ล่วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตของมัน โดยไม่รอช้า มันยกอุ้งเท้าตบลงหนักๆ หนึ่งครั้งก่อนกระโจนเข้าใส่ซ่งเหยียนเฟยอย่างดุดัน!ซ่งเหยียนเฟยมองเห็นร่างอสูรตรงหน้า นัยน์ตาพลันทอประกายเย็นเยียบ เขาจ้องมันเขม็งก่อนกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่น "พยัคฆ์หางแมงป่อง!"ไม่รอช้า มือข้างหนึ่งพลันยื่นออก ก่อนสะบัดเบาๆ ทว่ากลับทรงพลัง แสงสีแดงเลือดพลันปรากฏขึ้น วาบผ่านอากาศด้วยความเร็วเหนือคาด เพียงพริบตาเดียว แสงนั้นก็ทะลุผ่านร่างอสูร ราวกับคมมีดอันเฉียบคมแล่
ยามรุ่งอรุณสาดส่องแสงทองอ่อนๆ ลงบนพื้นดิน พร้อมกับเสียงนกร้องเบาๆ ในยามเช้า อวี้เหวินรับประทานอาหารเช้าร่วมกับบิดาเสร็จสิ้น ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและแรงปรารถนาในการเดินทาง ครั้งนี้เขาตั้งใจเร่งมุ่งหน้าไปยังร้านค้าของชายหนุ่มนามหวังหลินล้วนเกิดจากที่อวี้เหวินเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของภาระที่ต้องพกพาไว้กับตัวเสมอ กระเป๋าที่เก็บของส่วนตัวกลายเป็นอุปสรรคในชีวิตประจำวัน เขาต้องพกพาสิ่งของมากมายไม่ว่าจะเป็นเเก่นพลังของอสูร สมุนไพร หรืออุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการฝึกฝน และทุกครั้งที่ต้องออกเดินทาง การบรรทุกสิ่งเหล่านั้นไปด้วยก็ย่อมสร้างความลำบากให้แก่เขา ความหนักหน่วงของสัมภาระทำให้เขาหยุดคิดและตระหนักถึงความจำเป็นของการมีที่เก็บของที่สะดวกและปลอดภัย จึงเป็นเหตุให้เขาเริ่มค้นหาวิธีการที่จะทำให้การเดินทางของเขาสะดวกสบายยิ่งขึ้น จึงได้ไปปรึกษาซ่งเหยียนเฟย ผู้ซึ่งเคยมีประสบการณ์ในวงการปราณยุทธ์ จนได้รู้จักกับสิ่งมหัศจรรย์หนึ่ง ซึ่งเป็นที่เก็บของที่ไม่ธรรมดา มันคือ "แหวนมิติ" ที่สามารถบรรจุสิ่งของไว้ได้ในช่องว่างของมิติ เหมือนกับการมีห้องส่วนตัวอยู่ท่ามกลางอากาศโดยที่ไม่ต้องพึ่
ประตูไม้เก่าเก็บของเพิงพักส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเมื่อถูกผลักเปิดออก เสาไม้ผุกร่อนเอียงตามแรงลมประหนึ่งจะถล่มลงได้ทุกเมื่อ กลิ่นอับชื้นจากเศษฝุ่นและไม้เก่าภายในชวนให้นึกถึงเพิงร้างไร้ผู้คน อวี้เหวินก้าวเข้าสู่ที่พักชั่วคราวนั้นอย่างระมัดระวัง แขนแข็งแรงประคองร่างบางในชุดขาวของสตรีเบื้องหน้าไว้แนบอก ราวกับกลัวเพียงแรงสะเทือนเพียงน้อยจะทำให้นางแตกสลายยามเมื่อร่างบอบบางถูกวางลงบนฟูกฟางเก่าเนื้อดี มือแกร่งค่อยประคองจัดท่าให้สตรีผู้นั้นนั่งลงอย่างนุ่มนวล แม้ใบหน้างามล่มเมืองจะถูกผืนแพรบางสีขาวปิดบังไว้ ทว่ารัศมีแห่งความงามราวเทพธิดาจำแลงก็มิอาจซ่อนเร้นได้ นางนั่งสงบนิ่งราวกับภาพวาดจากปลายพู่กันของจิตรกรสวรรค์ แสงจันทร์นวลผ่องสาดส่องลงมาเป็นลำ เส้นผมดำขลับยาวสลวยดั่งน้ำตกจากผา สูบประกายจากผิวขาวผ่องราวหิมะแรกต้องแสง จนบุรุษผู้พบเห็นมิกล้าแม้แต่จะสัมผัสอวี้เหวินสูดลมหายใจลึก มือหนึ่งค่อยเอื้อมไปปลดปมเสื้อคลุมเนื้อละเอียดทางด้านหลัง นิ้วมือที่เคยชาชินกับการจับดาบในสนามรบ กลับสั่นระริกเมื่อสัมผัสผืนผ้าบางเบาดุจกลีบเมฆ เสื้อคลุมสีขาวนวลค่อยๆ ร่วงหล่นจากบ่า เผยแผ่นหลังขาวเนียนราวมรกตไร้ตำหนิ นุ่มละ
ใต้ฟ้าค่ำ...ทะเลไร้คลื่นลมกลับโหมกระหน่ำด้วยกลิ่นอายแห่งการประทะอันเกรี้ยวกราด ริมฝั่งเกาะร้างท่ามกลางม่านรัตติกาล อวี้เหวินยืนนิ่งกลางพื้นทรายที่แตกร้าวเป็นตาข่ายโลหิต เบื้องหน้าเขา ร่างอสูรที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นหลิวหงกลับทรุดตัวลงอย่างยากจะหยัดยืน พลังที่เคยแข็งแกร่งเช่นขุนเขา บัดนี้กลับสั่นคลอนดั่งเสาหลักบ้านทรุดโทรมแววตาของอวี้เหวินเรืองแสงสีทองอ่อน ภายในนั้นแฝงไว้ด้วยรังสีแห่งเพลิงอัคคีและประกายแห่งอัสนีบาต มือขวาของเขาแน่นราวคีมเหล็ก ทั่วกายแผ่ไอร้อนระอุ สะท้อนกับเส้นผมยาวสลวยสีดำสนิทราวกับถูกเพลิงล้อมรอบ...กายาเขาถูกห่อหุ้มด้วยไอพลังสีน้ำเงินเข้มปนประกายทองแดง เสมือนชุดเกราะเงาไร้รูปลักษณ์ ขณะที่กล้ามเนื้อภายใต้ชุดคลุมสีทมิฬที่ขาดวิ่นเต้นระริกด้วยพลังดั่งภูตอัสนีแฝงสิง"เตาอัสนีวิบัติ" ขั้นที่สองระดับกลางยามเลื่อนถึงขั้นนี้ กายาของอวี้เหวินแปรเปลี่ยนเสมือนร่างเทพอัสนี ทุกฝีก้าวหนักแน่นปานทุ่มแผ่นดินทุกหมัดเปี่ยมด้วยพลังกระชากวิญญาณพลันเขากระโจนพุ่งเข้าหาร่างหลิวหงอีกครา มือซ้ายสะบัดเป็นวิถีกงล้อแห่งสายฟ้า มือขวากำรอบเป็นหมัดเพลิงคำราม“หมัดอัคนีสังหาร!”เสียงหมัดซัดผ่านอากาศรา
อวี้เหวินในยามนี้ ทรุดเข่าลงเบื้องหน้าหาดคลื่นซัด... ดวงตาเคยคมดุจมีดกระบี่ บัดนี้พร่าเลือนราวหมอกเช้า เสียงฟ้าครวญลมร้องกลับกลายเป็นเพียงเสียงแผ่วเบาในโสตประสาทของเขา จิตใจของเขาถูกกัดกร่อนราวเหล็กที่แช่กรด คลื่นความมืดมนปะทะซัดเข้าราวพายุพัดจิต “เฮ้! เจ้าหนู อวี้เหวิน... เจ้าไหวรึไม่!?” เสียงหนึ่งดังขึ้นภายในมโนสำนึก..แหบพร่าแต่แฝงไปด้วยความร้อนรน ห้วงเสียงนั้นคือซ่งเหยียนเฟย... สหายจากมิติสร้อยคอ ผู้เคยปากกล้าท้าโลกหล้า ซ่งเหยียนเฟยกำลังจะก้าวออกจากมิติมา เเต่ทันใดนั้น ร่างกายของเขาก็ถูกตรึงแน่นด้วยพลังลึกลับ ไม่อาจขยับเขยื้อนได้แม้เพียงปลายนิ้ว เขายังเพียรเรียกหาเสียงแล้วเสียงเล่า “บัดซบ... ไออสูรหน้าคน!” ซ่งเหยียนเฟยสบถพลางตวัดฝ่ามือไปมาในมิติจำกัด “หากข้าก้าวออกไปได้ละก็..ท่านปู่ผู้นี้จะฉีกกระชากร่างมันจนกระดูกแหลก!” แต่เสียงของเขา กลับสะท้อนอยู่เพียงในเงาจิต ไม่อาจเข้าถึงจิตอวี้เหวินที่กำลังจมดิ่งลงสู่ห้วงว่างอันไร้ปลาย..เข่าทั้งสองแนบทราย ดวงหน้าหล่อเหลาหม่นหมอง ผมยาวหลุดรุ่ยคลอเคลียหน้าผาก ดั่งรัตติกาลที่คลุมร่างเทวะให้กลายเป็นมนุษย์ผู้ตกสู่ขุมนรก เสียงของซ่งเหยียนเฟยยัง
ใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาเหนือชายฝั่งอันวิเวก เสียงคลื่นกระทบโขดหินดังเป็นจังหวะอ้อยอิ่ง ทว่าภายใต้ความสงบนั้น คือบรรยากาศที่ตึงเครียดประหนึ่งสายฟ้าเงื้อมคมรอจู่โจม ร่างในชุดดำของอวี้เหวินยืนนิ่งประหนึ่งเงาสลัวในม่านรัตติกาล สองตาจับจ้องไปยังบุรุษตรงหน้า ผู้ซึ่งบัดนี้หาใช่เพียงชายวัยกลางคน หากแต่ครึ่งหนึ่งของใบหน้ากลับกลายเป็นอสูรอันน่าสะพรึง ร่างกายแปรเปลี่ยน กล้ามเนื้อปูดโปน เกล็ดสีดำสนิทผุดขึ้นราวอสรพิษจำแลง เงาของง้าวดำในมือขยับไหวเพียงนิด กลับแผ่กลิ่นอายสังหารออกมาราวกับทะลวงอากาศ อวี้เหวินไม่กล่าววาจาใดให้เปลืองถ้อยคำ ขณะที่จันทราเบื้องบนยังไม่ทันเคลื่อนคล้อยจากยอดฟ้า เขาก็พุ่งออกประหนึ่งอัสนีสาดฟาด! หมัดแรกพุ่งทะลวงอากาศเป็นประกายเพลิง ปะทะตรงกับเคียวมารของหลิวหง เสียงดังสนั่นดั่งเหล็กกล้ากระทบหินผา แรงสั่นสะเทือนสะท้านไปทั่วร่างของหลิวหงจนเขาต้องถอยหลังพลางยกเคียวขึ้นยันตัวไว้ กลับถูกแรงมหาศาลผลักให้ลอยขึ้นจากพื้นไปเล็กน้อย “โอ้…” เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังแผ่ว ราวเสียงกระซิบของปีศาจร้าย “…เจ้ามีเรี่ยวแรงเหนือกว่าเด็กหญิงผู้นั้นเสียอีก เช่นนี้...การสังหารเจ้าจึงนับว่าคุ้มค่าม
ใต้เงาราตรีแห่งฟากฟ้าปราศจากจันทร์ ดวงดาวพลันหลบเร้นอยู่หลังม่านเมฆทะมึน เสียงลมหอบหวิวผสานกับเสียงคลื่นที่ซัดกระแทกชายฝั่งมิได้สงบลงเลยแม้แต่น้อย ท่ามกลางกลิ่นเค็มของไอทะเลและกลิ่นคาวโลหิตที่ฟุ้งกระจาย ฉากการประมือของสองสายเลือดมนุษย์กับสัตว์อสูรและมารชั่วคลุ้งไปทั่วชายหาดอันเคยสงบงาม กลับกลายเป็นแดนประหัตประหารที่เต็มไปด้วยหลุมลึก โขดหินที่ถูกแรงกระแทกจนแหลกละเอียด ต้นไม้ชายฝั่งก็ถูกถอนราก เศษกิ่งใบปลิวว่อนราวใบไม้ร่วงในวสันต์ “โฮกกกก!!!” เสียงคำรามอันบ้าคลั่งของ หลงหมิ่น แผดก้องดั่งเสียงมังกรโกรธเกรี้ยว มันมีบาดแผลลึกหลายแห่ง โลหิตสีครามสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนพื้นทราย แต่แทนที่จะอ่อนแรงลง พลังของมันกลับพวยพุ่งขึ้น ร่างมหึมาพุ่งทะยานดั่งเงาวารีใต้สมุทรอันเชี่ยวกราก ลำคอและเขี้ยวยาวเปล่งประกายด้วยพลังอาภรณ์วารีอันเข้มข้น มุ่งสังหารเด็กหนุ่มตรงหน้าโดยไร้ความปรานี! อวี้เหวิน ไม่คิดหลบ ร่างของเขาสวมเสื้อคลุมดำแนบลู่กับลม เส้นผมยาวสะบัดอย่างองอาจ สองดวงตาคมกล้าฉายแววสงบ เย็นเยียบยิ่งน้ำแข็งแต่เร่าร้อนด้วยเพลิงภายใน “มาเถิด! ข้ากำลังร้อนมืออยู่พอดี!” ทันใดนั้น! กำปั้นข้างขวาของเ
ภายใต้เงาจันทราซีดเซียวที่ทอดแสงนวลลงบนผืนน้ำทะเลอันมืดมิด กลิ่นไอเค็มยังคงล่องลอยเคล้าคลอกับลมราตรี อวี้เหวินยืนหยัดดุจขุนเขาที่มิหวั่นไหวเบื้องหน้าบุรุษวัยกลางคน ดวงตากลับฉายแววกระวนกระวายราวถูกเพลิงแผดเผา แสงจันทร์สาดส่องลงบนใบหน้าคมคายราวสลักเสลา เงาร่างในอาภรณ์ดำสนิทดุจเงามัจจุราชขยับเพียงเล็กน้อย ก่อนจะเปล่งวาจาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงไว้ด้วยร่องรอยแห่งความระแวงแคลงใจ “เหตุใดข้าจึงมิได้ยินเสียงของมัน…?” น้ำเสียงของเขานั้นเยือกเย็น ทว่าในแววตาแฝงความเคร่งเครียดและจับสังเกตอย่างลึกซึ้ง เป็นคำถามที่ราวกับเขาโยนหินลงสระ เพื่อรอดูคลื่นสะท้อนกลับมาจากคำพูดของชายผู้นั้น ชายวัยกลางคนผู้มีผิวคล้ำจากแสงแดด มองสบตาอวี้เหวินพลางขมวดคิ้ว สีหน้าร้อนรนแฝงความกลัว “ท่านจอมยุทธ์!” เขากล่าวเสียงสั่น “ท่านอย่ารอช้าเถิด วันนี้มันมิได้ส่งเสียงคำรามก้องเช่นทุกครา แต่กลับคลานขึ้นฝั่งโดยไร้สุ้มเสียง…ข้าหวั่นว่า มันตั้งใจจะลิ้มลองเลือดเนื้อมนุษย์แล้ว!” เขากลืนน้ำลายฝืดคอ ก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน “และ...จุดที่มันขึ้นมานั้น มีเด็กคนหนึ่งอยู่พอดี!” คำพูดสุดท้ายดั่งสายฟ้าฟาดลงกลางอ
เบื้องหน้าแมกไม้สูงใหญ่ที่โอบล้อมบึงใสกลางป่า เงาสะท้อนของเมฆสีเทารางเลือนวาดทับผิวน้ำดั่งม่านหมอกชะล้างใจ เมื่อเสียงสายลมโอบพัดใบไม้ให้ไหวเอน เด็กน้อยเบื้องข้างขอนไม้ก็ก้มหน้าลงแผ่วเบา คล้ายกำลังรวบรวมใจเพื่อกล่าวต่อ “เมื่อเดือนก่อน…” เสียงของเขาแผ่วพร่า ราวกลัวว่าหากเอื้อนเอ่ยถ้อยคำออกมาแล้ว ความเศร้าที่ซุกซ่อนจะพรั่งพรูไม่อาจห้าม “มีคนจากภายนอกกลุ่มหนึ่งมาถึงหมู่บ้าน…” ดวงตาเล็กจ้องมองบึงอย่างเหม่อลอย สะท้อนแววอ้างว้างเจือปนระลึกถึง “พวกเขาสวมอาภรณ์ดูสง่า บางคนมีกระบี่แนบกาย บางคนมีกระบี่หลังสะพาย บางคนมีดวงตาที่เปล่งแสงราวจิตวิญญาณไม่ธรรมดา… ข้าคิดว่าพวกเขาคงเป็นผู้ฝึกปราณที่มีฝีมือ” เขาสูดหายใจเข้าแผ่วเบาก่อนหลุบตามองดินร่วนใต้เท้า “แต่ไม่กี่วันให้หลัง พวกเขากลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีใครล่วงรู้ว่าพวกเขาไปทางใด ไม่มีแม้เสียงร่ำลา… แม้แต่ร่างก็ไม่ปรากฏให้เห็น” เสียงแผ่วพร่าของเด็กน้อยพลันสั่นไหว น้ำใสคลอหน่วยดวงตากลมโตก่อนหยาดหยดลงบนหลังมืออันสั่นเครือ เขาปาดน้ำตาอย่างเงียบงัน ก่อนพึมพำด้วยเสียงสะอื้นแผ่วเบา “หนึ่งในนั้น… คือคนที่ข้ารู้จัก” ดวงตาน้อยคู่นั้นค่
อวี้เหวินยังคงจ้องมองเขาอย่างแน่วแน่ ราวกับต้องการอ่านความจริงจากลึกในดวงจิตของอีกฝ่าย เฒ่าเจียนสูดลมหายใจลึก ก่อนเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย “ราวหนึ่งเดือนก่อน ข้าออกเรือไปยังทะเลทางทิศตะวันตก จุดนั้นห่างจากชายฝั่งไกลพอควร ตั้งใจเพียงจะหาปูหาหอยไปขายแลกเบี้ย… แต่สิ่งที่ข้าเจอนั้น…” เขาหยุดนิ่ง ขยับถ้วยชามาแนบอก มือทั้งสองสั่นไหวเล็กน้อย “มัน… มันใหญ่โตราวกับเนินเขาเคลื่อนที่ได้ ลำตัวเรียวยาว ราวงูทะเลที่คลานบนผืนน้ำ… แววตามันวาววับ เยียบเย็นดั่งคมดาบในหิมะขาว ข้าแน่ใจว่า มันไม่ใช่สัตว์อสูรธรรมดา หากแต่เป็นสิ่งที่ผู้คนเล่าขาน… ‘เงามังกรใต้สมุทร’…” อวี้เหวินขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสบตากับเซี่ยชิงหลัวซึ่งนิ่งฟังอยู่ข้างกาย แม้นใบหน้านางจะถูกผ้าขาวบางปิดบัง แต่เพียงแค่ดวงตางามที่ทอแววบางอย่างเจือแสงครุ่นคิด เขาก็รู้ได้ในบัดดลว่านางเองก็เข้าใจในสิ่งเดียวกัน “ท่านเคยได้ยินชื่อมันหรือไม่?” อวี้เหวินเอ่ยเสียงต่ำ เฒ่าเจียนพยักหน้าเบา ๆ “เคย… เคยได้ยินจากพวกชาวเรือเฒ่าในอดีต พวกเขาเรียกมันว่า ‘หลงหมิ่น’ …อสูรโบราณที่สืบสายโลหิตแห่งอสรพิษทะเลจากยุคดึกดำบรรพ์ มันไม่ค่อยปรากฏตัวบนผิวน้ำ และไม
ยามอรุณรุ่งแผ่แสงอ่อนบางลงแตะต้องริมขอบฟ้า เฉกเช่นม่านทองที่คลี่คลุมผืนนภา สีฟ้าเรื่อแซมประกายสีส้มจางไล้ผ่านยอดไม้ และแนบอิงผิวคลื่นเบื้องล่าง จนผืนน้ำคล้ายพลิ้วไหวไปด้วยแสงทองนั้น สายลมยามเช้าพัดเอื่อยพาไอเค็มของทะเลโชยมาแตะปลายจมูก อ่อนโยนและเย็นสบายนัก ใต้เงาไม้ริมชายฝั่ง ร่างบอบบางในอาภรณ์สีขาวนวลนั่งสงบนิ่งอยู่ข้างขอนไม้ ดวงหน้างดงามราวภาพวาดยังคงเคลิ้มในห้วงนิทราอย่างสงบเสงี่ยม แสงแดดเบาบางส่องต้องผ่านซอกกิ่งไม้ แผ่วพาดลงบนเรียวแก้มนวลเนียนประหนึ่งหยาดหิมะแรกของฤดูหนาว ดวงตางามล้ำคู่นั้นพลันขยับกระพริบไหว ลืมขึ้นอย่างเชื่องช้าและแผ่วเบา ราวกลีบบุปผาที่แย้มรับแสงแรกของวัน เมื่อสติกลับคืน คิ้วเรียวเล็กพลันขมวดเข้าหากันอย่างแผ่วเบา ราวกับผืนน้ำต้องลมแผ่ว รำลึกขึ้นได้ว่าตนเอ่ยปากจะร่วมเฝ้ายามเคียงข้างบุรุษผู้นั้น ทว่ากลับเผลอหลับใหลไปโดยมิรู้ตัว ความรู้สึกผิดพลันแผ่ซ่านไปทั่วอุรา ใบหน้านวลผ่องราวหยกขาวพลันแต้มสีชมพูระเรื่อ ดุจกลีบเหมยแรกแย้มต้องหิมะยามอรุณรุ่ง งดงามจับตา ราวกับภาพวาดสวรรค์ที่รังสรรค์ขึ้นอย่างพิถีพิถัน นางขยับกายเล็กน้อย พลิกตัวไปมองหาร่างของบุรุษผู้เป็นสหายร่วม