ณ ห้วงเวลาที่ร่างของซ่งเหยียนเฟยกำลังแตกสลายประหนึ่งบุปผาต้องวายุพัด ร่างหนึ่งพลันปรากฏกายดุจเทพเซียนเหินลงจากสรวงสวรรค์ ท่ามกลางกระแสพลังที่บิดเบี้ยว ร่างนั้นทิ้งกายลงสู่ใจกลางค่ายกล หากพิจารณาด้วยสายตาถี่ถ้วน จะประจักษ์ชัดว่ารูปโฉมนั้นละม้ายคล้ายคลึงซ่งเหยียนเฟยมิมีผิดเพี้ยน เว้นแต่เพียงสัดส่วนที่ย่อลงราวกับถอดแบบมาในขนาดเล็ก หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง นี่คือซ่งเหยียนเฟยในร่างจำลองอันน่าพิศวง
จากเดิมที่ซ่งเหยียนเฟยเป็นบุรุษหนุ่มรูปงาม ดวงหน้าหวานล้ำประดุจสตรีแรกแย้ม เมื่อกลับกลายร่างเป็นขนาดจิ๋ว กลับดูน่ารักน่าเอ็นดูราวกับตุ๊กตาแก้วเจียระไนก็มิปาน ผิวพรรณผุดผ่องดุจหิมะแรกต้องแสงจันทร์ นัยน์ตากลมโตเปล่งประกายราวดวงดาราบนฟากฟ้า จมูกโด่งเล็กรับกับริมฝีปากบางราวกลีบดอกเหมย รอบกายของร่างน้อยนั้นเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ประหนึ่งมีหลุมดำอมฤตย์ขนาดยักษ์กำลังอ้าปากกลืนกินสรรพสิ่งในห้วงมิติ พลังงานอันมหาศาลหมุนวนรอบตัวเขา ก่อเกิดเป็นกระแสลมที่พัดโหมกระหน่ำราวพายุคลั่ง แสงสีม่วงครามสาดส่องเจิดจ้าจนแสบตา "พรึ่บ!" ทันใดนั้น สรรพสิ่งก็กลับคืนสู่ความสงบเงียบ ราวกับมิเคยมีสิ่งใดปรากฏ ณ ที่แห่งนี้มาก่อน ร่องรอยแห่งการต่อสู้และพลังทำลายล้างเมื่อครู่พลันเลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอย คงเหลือไว้เพียงความว่างเปล่าอันเวิ้งว้าง ทางฝั่งซ่งเหยียนเฟย ร่างกายที่บอบช้ำจากการปะทะและพิษร้าย ส่งผลให้สติสัมปชัญญะเลือนราง เขาผล็อยหลับใหลไปภายใต้กระแสพลังแห่งการข้ามมิติของค่ายกล ประหนึ่งดวงวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในห้วงแห่งความฝันอันไร้จุดหมาย โดยมิอาจรับรู้ได้เลยว่าตนเองกำลังถูกนำพาไปยังดินแดนอันไกลโพ้น สุดจะหยั่งถึง --- ตระกูลซ่ง นามนี้ก้องกังวานดุจสายฟ้าฟาด เป็นหนึ่งในสี่เสาหลักค้ำจุนแผ่นดินอันไพศาลแห่งนี้ อาณาเขตนับร้อยแคว้นล้วนสยบภายใต้อำนาจแห่งตระกูลซ่ง แม้สายเลือดมังกรในกายมิได้บริสุทธิ์ดุจราชันย์แห่งท้องนที แต่พวกเขาก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์มังกรผู้ทรงพลังอำนาจ ความแข็งแกร่งของพวกเขาล้ำเลิศเกินกว่าจินตนาการจะหยั่งถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพละกำลังทางกายภาพนั้นแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า พวกเขาจึงได้รับการเคารพยำเกรงจากผู้คนทั่วทุกสารทิศ ผู้นำแห่งตระกูลซ่ง นามว่า ซ่งไป่ฟ่าน บิดาผู้ให้กำเนิดแก่ ซ่งเหยียนเฟย และ ซ่งเหว่ยนาน ความแข็งแกร่งและเกียรติยศของเขาสร้างความหวั่นไหวให้แก่ผู้คนยิ่งนัก ข่าวลือเล่าขานว่าเขายืนอยู่ ณ จุดสูงสุดแห่งความแข็งแกร่งในบรรดาผู้นำตระกูลชั้นนำทั้งสี่ ความน่าเกรงขามของเขานั้นแผ่ซ่านจนผู้คนแทบกลั้นหายใจ สำหรับบุคลิกนั้น ซ่งไป่ฟ่านเป็นบุรุษผู้เด็ดเดี่ยวเฉียบขาด โหดเหี้ยมอำมหิตต่อศัตรูราวกับพญามัจจุราช แต่สำหรับบุตรและคนในครอบครัวแล้ว เขากลับเป็นบิดาผู้แสนธรรมดา เปี่ยมด้วยความเมตตาและใจดีอย่างหาที่เปรียบมิได้ ยามราตรีอันเงียบสงัด แสงจันทร์สาดส่องลอดบานหน้าต่างลงสู่ห้องโถงใหญ่โอ่อ่า ภายในห้องนั้น ชายวัยกลางคนผู้มีเส้นผมสีแดงเพลิงราวกับเปลวสุริยัน กำลังนั่งหลับตาอยู่บนเก้าอี้ทองคำอร่าม ณ ใจกลางห้องโถงอันศักดิ์สิทธิ์แห่งตระกูลซ่ง ราวกับกำลังครุ่นคิดถึงภารกิจอันสำคัญ เก้าอี้ทองคำนี้ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า โดยมีเก้าอี้อื่นๆ เรียงรายเป็นแถวยาวขนาบสองข้าง ด้านละเก้าตัว ซึ่งเป็นที่นั่งของบรรดาผู้อาวุโสผู้ทรงภูมิแห่งตระกูล เบื้องหลังเก้าอี้ทองคำนั้น ปรากฏรูปสลักมังกรเพลิงสีแดงฉาน ดวงตาทั้งสองข้างเปล่งประกายดุจดวงดารา หากผู้ใดที่มีจิตใจอ่อนแอ เมื่อได้ยลรูปสลักนี้ ย่อมมิอาจรักษาความสงบในจิตใจไว้ได้เป็นแน่แท้ ด้วยความน่าเกรงขามที่แผ่ออกมานั้น ราวกับว่ามีพญามังกรเพลิงขนาดมหึมากำลังกางปีกปกคลุมผืนฟ้า จ้องมองลงมาด้วยสายตาที่กดดัน สะกดข่มผู้ที่มองให้หวาดหวั่นพรั่นพรึง บรรยากาศภายในห้องโถงในยามนี้เงียบเชียบสนิท ไร้ซึ่งสุรเสียงใดๆ รบกวนความสงบอันน่าสะพรึงกลัว ในห้วงแห่งความเงียบสงัดนั้น พลันบังเกิดเสียงหนึ่งดังมาจากทิศทางของประตูใหญ่ "เรียนท่านประมุข มีเรื่องเร่งด่วนขอรับ!" ชายผมแดงซึ่งนั่งประทับอยู่บนบัลลังก์ทองคำ ได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยเสียงต่ำ "เข้ามา" "เอี๊ยด..." บานประตูไม้เนื้อดีค่อยๆ เปิดออก พร้อมกับการปรากฏกายของบุรุษร่างสูงในชุดคลุมสีดำสนิท ผ้าคลุมศีรษะปกปิดใบหน้ามิดชิด เขาเดินเข้ามาด้วยท่าทีนอบน้อม คุกเข่าลงเบื้องหน้าบัลลังก์ ประสานมือคารวะ "มีเรื่องอันใดบังเกิด?" ซ่งไป่ฟ่านเอ่ยถาม น้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไว้ด้วยอำนาจ "ทูลเรียนท่านประมุข ประมุขน้อย...ได้หายตัวไปแล้วขอรับ!" ชายชุดดำก้มหน้าตอบ น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย ฉับพลัน! เปลือกตาของซ่งไป่ฟ่านพลันเปิดขึ้น แสงสีแดงฉานดุจโลหิตฉายประกายเจิดจ้า อุณหภูมิในห้องโถงพลันสูงขึ้นราวกับมีดวงสุริยันเพลิงลอยเด่นอยู่เบื้องหน้า เพียงแค่เอื้อมมือก็สัมผัสได้ถึงไอความร้อนแผดเผา มิติรอบข้างราวกับจะบิดเบี้ยวแตกสลายภายใต้แรงกดดันอันมหาศาล นัยน์ตาสีเพลิงคู่นั้นจ้องมองไปยังร่างในชุดดำราวกับจะทะลุปรุโปร่ง จากนั้นจิตสัมผัสอันแข็งแกร่งดุจสายฟ้าฟาดก็แผ่ขยายออกไปในพริบตาเดียว ครอบคลุมพื้นที่นับแสนลี้ เพียงแค่ความคิดวูบหนึ่ง จิตของเขาก็สามารถหยั่งรู้ทุกสรรพสิ่งในรัศมีนั้น นี่คือพลังอำนาจที่แท้จริงของผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดแห่งยุทธภพ "หึ!" เสียงคำรามต่ำลึกดังก้องกังวานราวกับ อสนีบาตฟาดผ่าลงกลางใจของทุกคนในตระกูลซ่งที่อยู่ในบริเวณนั้น "พรึ่บ!" ร่างสูงสง่าพลันหายวับไปจากเก้าอี้ทองคำราวกับไม่เคยมีอยู่ ทุกผู้คนในตระกูลซ่งต่างตื่นตระหนกตกใจ ต่างสงสัยว่าเกิดเหตุอันใดขึ้นกันแน่ พวกเขาไม่เคยเห็นประมุขของตนเองกริ้วโกรธถึงเพียงนี้มาก่อน เสียงซุบซิบนินทาจึงเริ่มดังขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ ชายผู้หนึ่งกำลังประคองถ้วยชาหอมกรุ่น เป่าไล่ความร้อนพลางเตรียมยกขึ้นจิบ ทว่าเมื่อได้ยินเสียงกึกก้องแห่งความกริ้วโกรธของประมุขตระกูลซ่ง มือที่ถือถ้วยชาพลันสั่นเทิ้ม จนเผลอปล่อยถ้วยร่วงลงพื้นแตกกระจาย สร้างความตกตะลึงและอับอายให้แก่เขายิ่งนัก "ไอหยา! เจ้าว่าท่านประมุขพบเจอสิ่งใดเข้า ถึงได้กริ้วเกรี้ยวถึงเพียงนี้?" "เพ่ย! ข้าเองก็นั่งอยู่กับเจ้าตลอดเวลา จะไปล่วงรู้ได้อย่างไรเล่า!" ชายชราสองคนซึ่งเป็นผู้อาวุโสของตระกูล กำลังนั่งจิบชาสนทนาสัพเพเหระอยู่ในสวนหลังเรือนอันเงียบสงบ พลันได้ยินเสียงคำรามก้องกังวานด้วยความโกรธเกรี้ยวของประมุข จึงอดที่จะเอ่ยถามด้วยความสงสัยมิได้ "หรือว่าเรื่องนี้...อาจเกี่ยวข้องกับประมุขน้อย?" ชายชราผู้หนึ่งกลอกนัยน์ตาเล็กน้อย พลางเอ่ยขึ้นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากความน่าอับอายที่ตนเองเพิ่งก่อ แต่ถึงกระนั้น เขาก็อดคิดมิได้ว่าเรื่องนี้อาจเป็นความจริง เพราะในใจของพวกเขาแล้ว ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปยิ่งกว่าครอบครัวและวงศ์ตระกูล ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนในตระกูลซ่งต่างตระหนักดี "ข้าเองก็มิอาจคาดเดา รอท่านประมุขกลับมาแจ้งด้วยตนเองเถิด" อีกผู้หนึ่งตอบพลางมองหน้าสหายด้วยรอยยิ้มที่แฝงไว้ด้วยความขบขัน จากนั้นชายชราทั้งสองก็นั่งขมวดคิ้วครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆ นานา ยิ่งคิดถึงผลที่จะตามมาในภายภาคหน้า ก็ยิ่งรู้สึกหนักใจและกังวลเป็นทวีคูณ --- "เรียกขุนพลหน่วยมังกรคำรามทั้งหมดตามข้ามา บัดนี้จงมุ่งหน้าสู่ทิศตะวันออก สามหมื่นลี้!" เสียงทรงอำนาจดังก้องกังวานอยู่ในห้วงความคิดของชายชุดดำ ราวกับราชโองการจากสวรรค์ "น้อมรับบัญชา ท่านประมุข!" เขาตอบรับด้วยความเคารพสูงสุด รีบลุกขึ้นจากพื้นดินแล้วก้าวเท้าออกจากห้องโถงไปในทันที ดุจพยัคฆ์ร้ายที่ได้รับคำสั่งจากนายเหนือหัว ภายหลังจากที่ อวี้เหวิน ได้รับรู้ถึงเรื่องราวความทุกข์ยากที่มารดาต้องเผชิญ หัวใจของเขาก็ลุกโชนด้วยเปลวเพลิงแห่งความมุ่งมั่น เขาตั้งสัจจะกับตนเองว่าจะต้องฝึกฝนตนเองให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อช่วยเหลือมารดาอันเป็นที่รักให้พ้นจากห้วงทุกข์ทรมาน ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจในค่ำคืนอันมืดมิดนั้น สองพ่อลูกก็ผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อนที่ถาโถมเข้าใส่ราวกับคลื่นทะเล สิบวันล่วงเลยผ่านไปดุจสายน้ำไหล อวี้เหวินได้เริ่มการฝึกฝนอย่างหนักหน่วง พลังกายของเขาพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับปีกที่โบยบินสู่ท้องฟ้า เป็นผลมาจากความพากเพียรพยายามอย่างไม่ย่อท้อ ผนวกกับจิตใจที่เข้มแข็งดุจขุนเขา หลังจากสิ้นสุดการฝึกฝนในวันนี้ เขาจึงทิ้งกายลงบนเตียงเพื่อนอนหลับพักผ่อน เพื่อฟื้นฟูเรี่ยวแรง เนื่องจากในรุ่งอรุณของวันพรุ่งนี้ เขามีภารกิจสำคัญที่จะต้องขึ้นไปยังขุนเขาเพื่อหาเสบียงอาหารอีกครั้ง ท้องนภาเหนือเมืองที่อวี้เหวินอาศัย แม้จะล่วงเลยมาถึงสิบค่ำคืนแล้วก็ตาม กลับยังคงมืดมิดสนิท ไร้ซึ่งแสงแห่งดวงดารา แม้แต่แสงนวลของจันทราก็ถูกเมฆดำทะมึนบดบังจนสิ้น มีเพียงกลุ่มเมฆสีดำมืดที่เคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้า ปล่อยให้ผู้คนที่แหงนมองต่างรู้สึกเหงาเศร้าจับใจ ราวกับท้องฟ้ากำลังกลั้นน้ำตาไว้มิให้ไหลริน ฟิ้ววว... ท่ามกลางความมืดมิดอันไร้ขอบเขต ปรากฏดวงไฟสีแดงฉานดวงหนึ่ง เคลื่อนที่ด้วยความเร็วปานสายฟ้าฟาด ผ่าข้ามท้องฟ้าอันมืดมิด ก่อนจะพุ่งตกลงไปยังทิวเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่ใกล้กับเมือง ค่ำคืนนี้เป็นคืนที่เงียบสงัด ปราศจากผู้คนสัญจรไปมา จึงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นแสงเพลิงประหลาดดวงนี้ แม้จะมีผู้พบเห็น ก็คงคิดว่าเป็นเพียงอุกกาบาตที่ตกลงมาจากฟากฟ้า มิได้มีความพิเศษอันใดให้ต้องใส่ใจ ก่อนที่ดวงไฟจะสัมผัสพื้นดิน ความเร็วของมันพลันลดลงอย่างรวดเร็วจนหยุดนิ่ง "พลั่ก!" สิ่งหนึ่งตกลงมากระแทกพื้นเบาๆ หากมิได้พิจารณาถึงสีหน้าซีดเซียว ริมฝีปากแห้งผาก การหายใจที่แผ่วเบา และร่องรอยบาดแผลตามร่างกายแล้ว จะพบว่านี่คือตุ๊กตามนุษย์ย่อส่วนตัวหนึ่งเท่านั้น บัดนี้ ซ่งเหยียนเฟย ยังคงสลบไม่ได้สติอยู่ ณ ที่แห่งนั้น "กรร..." เสียงขู่คำรามต่ำลึกดังมาจากเหล่าหมาป่าอสูรที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น เมื่อพวกมันสัมผัสได้ถึงการปรากฏตัวของสิ่งแปลกประหลาดที่ตกลงมาจากฟากฟ้า พวกมันต่างย่างเท้าด้วยความระมัดระวัง ขนบนหลังลุกชัน เพ่งพิศดวงตาสีเขียวเรืองรองเพื่อพิจารณาว่าสิ่งนั้นคือสิ่งใด ทว่าเมื่อพวกมันพบว่าสิ่งที่ตกลงมานั้นเป็นเพียงมนุษย์ตัวเล็กๆ ธรรมดาๆ ตื่นหนึ่ง พวกมันจึงคลายความตึงเครียดลง พร้อมกับแสยะเขี้ยวด้วยความยินดี น้ำลายสีขุ่นไหลย้อยลงสู่พื้นดินเป็นทาง "ติ๋งๆๆ" หมาป่าอสูรเป็นเพียงอสูรชั้นต่ำต้อย สิ่งที่พวกมันสามารถล่าได้โดยง่ายดายนั้นเป็นเพียงสัตว์โลกธรรมดา หรือไม่ก็มนุษย์ผู้โชคร้ายที่พลัดหลงเข้ามาในอาณาเขตของพวกมันเท่านั้น สติปัญญาของพวกมันมิได้เฉลียวฉลาดนัก บางครั้งยังตกเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่งกว่า หรือแม้แต่มนุษย์เองก็ยังล่าพวกมันเพื่อนำหัวใจไปขาย เนื่องจากหัวใจของหมาป่าอสูรนั้นมีสรรพคุณในการฟื้นฟูพละกำลังและรักษาบาดแผลเล็กน้อยได้อย่างดี ในบริเวณรอบนอกของขุนเขาอันเป็นเขตแดนของเหล่าสัตว์อสูรนั้น มีหมาป่าอสูรอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก บัดนี้ เมื่อมีเหยื่อตกลงมาจากสวรรค์ ราวกับมีผู้ป้อนเนื้อชั้นดีถึงปาก จะไม่ให้พวกมันปิติยินดีได้อย่างไร ขณะนั้นเอง หมาป่าอสูรตัวหนึ่งก็ไม่อาจอดกลั้นความหิวโหยได้อีกต่อไป มันกระโจนเข้าใส่ร่างเล็กนั้นอย่างรวดเร็ว อ้าปากกว้างเผยเขี้ยวแหลมคม หมายจะกลืนกินมนุษย์ย่อส่วนทั้งร่างในคำเดียว "ฉึก!" เสียงคมกริบดังขึ้นพร้อมกับเศษเนื้อสีคล้ำกระจัดกระจาย เลือดสีแดงฉานราวกับหยาดทับทิมลอยคว้างอยู่กลางอากาศ หมาป่าอสูรตัวนั้นถูกสังหารในชั่วพริบตาเดียว เศษเนื้อและเลือดราวกับถูกดูดเข้าไปในห้วงมิติอันดำมืด "วูบบ..." ก่อนที่จะหายเข้าไปในปากของมังกรน้อยทมิฬตนหนึ่ง นี่คือกลไกป้องกันตนเองโดยสัญชาตญาณของซ่งเหยียนเฟย เมื่อร่างกายของเขารับรู้ถึงอันตรายที่คืบคลานเข้ามา แม้จิตสำนึกจะหลับใหล แต่กลไกป้องกันตัวจะทำงานโดยอัตโนมัติ แปรเปลี่ยนร่างกลับคืนสู่รูปเดิมของตน กำจัดภัยคุกคามต่างๆ ที่เข้ามา มีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งถึงระดับหนึ่งเท่านั้นที่จะมีกลไกป้องกันตนเองเช่นนี้ ฝูงหมาป่าอสูรที่เหลือเห็นภาพอันน่าสะพรึงกลัวนั้น ต่างหวาดผวาจนขนลุกชัน พวกมันส่งเสียงเห่าหอนด้วยความตื่นตระหนก เตรียมที่จะหันหลังหลบหนี ทว่ามังกรน้อยทมิฬกลับมิปล่อยให้ความปรารถนาของพวกมันเป็นจริง "ฉึก! สวบบ..." เสียงคมมีดกรีดเฉือนเนื้อดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เหล่าหมาป่าอสูรถูกสังหารในพริบตาเดียว กลายเป็นอาหารอันโอชะให้แก่มังกรน้อยดูดกลืนเข้าไป เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างสงบลง มังกรน้อยไม่รู้สึกถึงภัยคุกคามอีกต่อไป อีกทั้งยังได้รับพลังบำรุงร่างกายที่อ่อนแอของมัน จึงทำให้มันทิ้งตัวลงนอนหลับใหลอีกครั้ง บรรยากาศกลับคืนสู่ความเงียบสงบราวกับว่าก่อนหน้านี้มิเคยมีการต่อสู้เกิดขึ้น บริเวณโดยรอบไร้ซึ่งสัตว์อสูรตนใดกล้าเข้าใกล้ ผลจากการสังหารหมู่หมาป่าอสูรอย่างง่ายดายนั้น ได้สร้างความหวาดกลัวฝังลึกเข้าไปในจิตใจของเหล่าสัตว์อสูรที่พบเห็นเป็นอย่างมาก นี่จึงทำให้พวกมันไม่กล้าที่จะย่างกรายเข้าใกล้บริเวณนี้แม้เพียงครึ่งก้าว --- ณ ที่ราบรกร้างอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ผืนดินแตกระแหงราวผิวหนังของสัตว์ร้ายโบราณ ไอร้อนระอุจากพื้นทรายแห้งผากแผ่ซ่านขึ้นมา ปราศจากร่มเงาของพฤกษา ไม่มีแม้แต่เสียงกระซิบของสายลมที่พัดผ่าน มีเพียงความเงียบงันอันน่าอึดอัดปกคลุมทั่วบริเวณ แสงตะวันยามกลางวันสาดส่องลงมาอย่างแรงกล้า สะท้อนกับพื้นดินที่แห้งแล้งจนแสบตา ทุกสรรพสิ่งล้วนปราศจากสีสันแห่งชีวิต เหลือเพียงความว่างเปล่าที่กัดกินจิตใจของผู้มาเยือน ท่ามกลางความเวิ้งว้างนั้น ชายในอาภรณ์สีแดงเพลิงยืนตระหง่านดุจเทพเพลิงลงมาจุติ เส้นผมสีแดงสดราวกับเปลวสุริยันต้องลมพัดพลิ้วไหว ดวงตาสีโลหิตจับจ้องไปยังผืนดินเบื้องหน้าอย่างไม่วางตา แววตาของเขาคมกริบดุจใบมีดที่พร้อมจะฟาดฟันทุกสิ่ง กลุ่มเงาในชุดดำสนิทกว่าสิบชีวิต ยืนเรียงรายอยู่เบื้องหลังเขาอย่างเป็นระเบียบ ไร้ซึ่งเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของความเงียบงันอันน่าสะพรึงกลัวของสถานที่แห่งนี้ "ร่องรอยการต่อสู้...ยังคงจางๆ ปรากฏอยู่บนผืนทราย" ซ่งไป่ฟ่านเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ ทว่าก้องกังวานในความเงียบ "พลังปราณที่นี่ปั่นป่วนรุนแรง บ่งบอกถึงการปะทะกันของผู้มีวรยุทธ์สูงส่ง อย่างน้อยต้องเป็นผู้ที่บรรลุถึงขั้น 'ผสานนภา' ขึ้นไปอย่างแน่นอน" สายตาคมกริบของเขาไล่สำรวจไปทั่วบริเวณ ราวกับต้องการจะอ่านเรื่องราวที่ถูกทิ้งไว้บนผืนดิน "ข้าสัมผัสได้ถึงพลังปราณสองสายที่คุ้นเคย...เป็นของตระกูลเหลียนและตระกูลเจิน...และที่สำคัญยิ่งกว่านั้น...ยังมีร่องรอยพลังปราณอีกสองสาย...เป็นของตระกูลซ่ง" เมื่อเอ่ยถึงตระกูลตนเอง น้ำเสียงของซ่งไป่ฟ่านก็หนักแน่นขึ้น ดวงตาทั้งสองข้างลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความโกรธที่ยากจะดับมอด จากนั้นเอง ซ่งไป่ฟ่านก็สังเกตเห็นความผิดปกติเล็กน้อยบนพื้นทราย เขาเคลื่อนกายอย่างรวดเร็วราวกับพายุที่โหมกระหน่ำ เข้าไปตรวจสอบร่องรอยนั้นอย่างละเอียด มือแกร่งยกขึ้นวาดวงเป็นรูปประหลาดในอากาศ ก่อนจะใช้นิ้วเรียวยาวแตะลงบนจุดนั้นเบาๆ ทันใดนั้น เปลวเพลิงสีแดงชาดก็ลุกโชนขึ้นจากปลายนิ้ว ส่องสว่างให้เห็นร่องรอยพลังปราณที่ซับซ้อนและบิดเบี้ยว ราวกับภาพมายาที่ถูกเปิดเผย 'เหยียนเออร์...ร่องรอยพลังปราณของเขาจางหายไป ณ จุดนี้...ก่อนที่จะหายไปอย่างสมบูรณ์ เขาระเบิดพลังตนเอง...ใครกัน...ผู้ใดกันที่บังคับให้บุตรชายข้าต้องกระทำการเช่นนี้!' คิ้วเข้มของซ่งไป่ฟ่านขมวดเข้าหากันแน่น ความกังวลและความโกรธเกรี้ยวถาโถมเข้าสู่จิตใจของเขา 'แต่ยังนับว่าโชคยังเข้าข้าง...ร่องรอยพลังชีวิตของเขายังคงหลงเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยก่อนที่จะหายไป...ลักษณะเช่นนี้...คล้ายคลึงกับร่องรอยของค่ายกลมิติเคลื่อนย้าย...เพียงแต่...ปลายทางของค่ายกลนั้น...จะนำพาเขาไปสู่ที่ใดกันเล่า?' ซ่งไป่ฟ่านถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง ความกังวลฉายชัดบนใบหน้าคมสัน เขาพยายามปรับสีหน้าให้กลับมาสงบนิ่งดังเดิม ก่อนจะหันกลับไปเผชิญหน้ากับเหล่าบุรุษชุดดำ แววตาของเขายังคงแฝงไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยวและอำนาจ "พวกเจ้าจงสืบสวนต่อไป...จงค้นหาทุกรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้...ไม่ว่าจะเป็นร่องรอยเล็กน้อยเพียงใด...จงนำมาแจ้งแก่ข้าโดยเร็วที่สุด" น้ำเสียงของซ่งไป่ฟ่านเฉียบขาดดุจคมดาบ "พรึ่บ!" ร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีแดงเพลิงพลันหายวับไปจากสถานที่แห่งนั้นในพริบตาเดียว ไร้ร่องรอย ไร้สุ้มเสียง ราวกับไม่เคยมีผู้ใดปรากฏ ณ ที่แห่งนี้มาก่อน "น้อมรับบัญชา!!" เหล่าบุรุษชุดดำกล่าวพร้อมเพรียงกัน เสียงหนักแน่นดังก้องกังวานในความเงียบ จากนั้นจึงแยกย้ายกันไปปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ ดุจพญาเหยี่ยวที่โผบินออกจากรัง ภายในจวนตระกูลซ่งอันโอ่อ่าในยามนี้ เต็มไปด้วยความวุ่นวายอลหม่าน เสียงซุบซิบนินทาดังระงมไปทั่วทุกสารทิศ ผู้คนต่างจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บ้างก็คาดเดาถึงสาเหตุและผลลัพธ์ บ้างก็นั่งรอคอยข่าวสารด้วยความกระวนกระวายใจ บ้างก็แสดงความกังวลอย่างเปิดเผย สีหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความไม่สบายใจและความสงสัย ณ ห้วงอากาศเบื้องบนจวนตระกูลซ่ง ปรากฏร่องรอยการบิดเบี้ยวของมิติอย่างฉับพลัน ก่อนที่ร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีแดงเพลิงจะก้าวออกมาจากรอยแยกนั้น ร่างนั้นคือซ่งไป่ฟ่านนั่นเอง เขาลดตัวลงสู่พื้นดินอย่างเงียบเชียบ ก้าวเดินไปยังเบื้องหน้าห้องพักขนาดกลางห้องหนึ่ง ประตูไม้สีเข้มแกะสลักลวดลายมังกรดูสง่างาม เขาหยุดยืนอยู่หน้าประตู มองไปยังบานประตูด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ก่อนจะถอนหายใจแผ่วเบาแล้วส่ายศีรษะเล็กน้อย จากนั้นจึงยกมือขึ้นเคาะประตูเบาๆ "ก๊อกๆๆ" เสียงเคาะประตูแผ่วเบาดังขึ้นในความเงียบ "ข้าเอง...ฮูหยิน" "ท่านกลับมาแล้วหรือ...เซี่ยงกง" เสียงหวานใสแต่แฝงไว้ด้วยความกังวลตอบกลับมาจากด้านใน พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้ประตูไม้ นางเป็นสตรีวัยกลางคน ผิวพรรณยังคงผุดผ่องดุจหิมะแรกต้องแสงจันทร์ ดวงหน้างดงามราวกับภาพวาด แม้ในอาภรณ์ผ้าเนื้อเรียบง่ายสีอ่อนที่นางสวมใส่ ก็มิอาจบดบังรัศมีแห่งความสง่างามและอ่อนโยนของนางได้ กลับขับเน้นความงามที่เรียบง่ายนั้นให้โดดเด่นยิ่งขึ้น สร้างความสบายตาและความอบอุ่นใจแก่ผู้ที่ได้พบเห็น "แกร๊ก..." บานประตูไม้ค่อยๆ ถูกเปิดออก ทั้งสองสบตากัน ซ่งไป่ฟ่านเห็นถึงความกังวลและความเศร้าหมองในดวงตาคู่สวยของภรรยา ก่อนที่นางจะก้มหน้าลงเล็กน้อย หันหลังเดินนำเข้าไปในห้องอย่างช้าๆ ท่วงท่าของนางยังคงสง่างามและนุ่มนวล แม้ในยามที่หัวใจกำลังทุกข์ทน "เกี่ยวข้องกับเหยียนเออร์...ใช่หรือไม่?" นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดที่พยายามปกปิด "เกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่...เหยียนเออร์...เขาระเบิดพลังตนเองเพื่อหลีกหนีไปได้...เพียงแต่ยังไม่รู้ว่าเขาถูกส่งไปยังที่ใด...โชคยังดีที่ข้ายังสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่อ่อนแรงของเขา..." ใบหน้าคมสันของซ่งไป่ฟ่านดำคล้ำลง ดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความโกรธ กล่าวด้วยน้ำเสียงกระอักกระอ่วน เมื่อได้ยินข่าวร้ายเกี่ยวกับบุตรชาย นางก็พลันรู้สึกราวกับว่าร่างกายไร้เรี่ยวแรง มือไม้สั่นเทา หัวใจบีบรัดด้วยความเจ็บปวด น้ำตาคลอหน่วย "ฮูหยิน!!!" ซ่งไป่ฟ่านร้องเรียกด้วยความตกใจ รีบก้าวเข้าไปประคองร่างของนางไว้ได้ทันท่วงที ก่อนที่ร่างบอบบางนั้นจะทรุดฮวบลงสู่พื้น จากนั้น เขาก็อุ้มนางขึ้นแนบอกอย่างทะนุถนอม พาไปยังเตียงนอนที่ปูลาดด้วยผ้าไหมเนื้อดีอย่างเบามือ ดึงผ้าห่มผืนบางลวดลายวิจิตรมาคลุมกายให้ นางหลับตาพริ้ม ใบหน้าซีดเซียว ซ่งไป่ฟ่านนั่งลงข้างเตียง จ้องมองใบหน้าของนางด้วยความรักใคร่และสงสาร จับมือเรียวเล็กที่เย็นเฉียบของนางไว้แน่น "ฮูหยิน...ข้ารู้ว่าเจ้าเสียใจเพียงใด...ข้าเองก็เช่นกัน...ข้าขอสัญญา...ข้าจะให้พวกมันชดใช้...ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่กล้าทำร้ายลูกของเรา! เจ้าอย่าได้กังวลเลย...ข้าจะทำทุกวิถีทาง...ทุกวิถีทางเพื่อนำลูกของเรากลับมาสู่อ้อมอกของเราให้ได้" เขายกมืออีกข้างขึ้นลูบเส้นผมสีดำขลับยาวสลวยของนางอย่างอ่อนโยน จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้น มองไปยังจุดหนึ่งในอากาศที่ว่างเปล่า ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความแค้นเคืองและมุ่งมั่น ณ อีกฟากฝั่งของตระกูลอันมั่งคั่งแห่งสกุลซ่ง ราตรีกาลได้ย่างเข้าสู่ความมืดมิด เงียบสงัด แสงจันทร์สาดส่องนวลตาลงมายังหมู่แมกไม้และเรือนพักอย่างแผ่วเบา ท่ามกลางความเงียบสงัดนั้น ปรากฏร่างสูงโปร่งของบุรุษหนุ่มในอาภรณ์เนื้อดีที่บัดนี้ กลับเต็มไปด้วยรอยฉีกขาดและคราบโลหิต เขาก้าวเท้าเข้ามาในเขตเรือนด้วยท่าทางโซเซ ราวกับต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งไว้บนบ่า ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความยากลำบาก ราวกับมีโซ่ตรวนหนักอึ้งรั้งข้อเท้าไว้ เมื่อร่างนั้นใกล้ถึงประตูห้องพักส่วนตัว เสียงหวานใสแต่แฝงไว้ด้วยความตกใจก็ดังขึ้น "เหว่ยเออร์! นั่นเจ้า...เกิดอันใดขึ้นกับเจ้ากันแน่!" ร่างของหญิงวัยกลางคนในชุดผ้าไหมปักลายดอกโบตั๋นสีแดงสด ปรากฏขึ้นที่หน้าประตูห้อง นางมีใบหน้างดงาม แม้จะมีร่องรอยแห่งวัยปรากฏอยู่บ้าง แต่ดวงตากลับฉายแววเฉลียวฉลาดและอำนาจ นางจ้องมองบุตรชายด้วยความตกตะลึงและเป็นห่วงอย่างยิ่ง "ท่านแม่..." เสียงของซ่งเหว่ยนานแหบแห้ง ราวกับคนขาดน้ำมานาน ดวงตาคมกริบที่เคยเปล่งประกายกลับหม่นแสงลงอย่างเห็นได้ชัด "ข้า...ข้าถูกสัตว์อสูรโจมตี...หากมิได้บุญเก่าคงมิอาจกลับมาถึงที่นี่ได้..." น้ำเสียงของเขาแผ่วเบา แต่กลับแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดและความหวาดหวั่น "ว่ากระไรนะ!! สัตว์อสูร!? เหตุใดเจ้าจึงบาดเจ็บสาหัสเพียงนี้! แล้วผู้คุ้มกันของเจ้าเล่า? พวกเขาหายไปไหนหมด!" น้ำเสียงของนางแปรเปลี่ยนเป็นความกริ้วโกรธอย่างฉับพลัน ใบหน้างดงามนั้นบัดนี้กลับถมึงทึง ดวงตาฉายแววพิฆาต ราวกับพร้อมจะบดขยี้ผู้ที่กล้าทำร้ายบุตรชายของตน "แค่กๆ...โอ้ก..." ซ่งเหว่ยนานไอออกมาอย่างรุนแรง พร้อมกับกระอักโลหิตสีแดงสดออกมาคำใหญ่ หยดโลหิตนั้นเปรอะเปื้อนอาภรณ์ยิ่งมายิ่งขึ้น สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้เป็นมารดาจนแทบสิ้นสติ "เหว่ยเออร์! เจ้าอย่าได้พูดสิ่งใดอีกเลย! รีบนั่งลงเสียก่อน!" นางรีบประคองร่างบุตรชายอย่างทุลักทุเล พาเขาไปยังเตียงนอนที่ตั้งอยู่ภายในห้อง แล้วค่อยๆ วางร่างที่อ่อนแรงนั้นลงอย่างเบามือ "แม่จะไปนำยามาให้เจ้าเดี๋ยวนี้!" นางกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรน เมื่อซ่งเหว่ยนานได้ดื่มยาขนานเอกที่มารดานำมาให้ พิษร้ายในร่างค่อยๆ ทุเลาลง ร่องรอยความเหนื่อยล้าบนใบหน้าเริ่มจางหายไป ดวงตาเริ่มกลับมามีประกายแห่งชีวิตอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าบุตรชายอยู่ในสภาพที่พอจะพูดคุยได้แล้ว นางจึงนั่งลงข้างเตียง มองบุตรชายด้วยความเป็นห่วงอย่างสุดหัวใจ "เหว่ยเออร์...เจ้าบอกแม่มาตามตรงเถิด เกิดอันใดขึ้นกันแน่? เหตุใดเจ้าจึงอยู่ในสภาพสาหัสเช่นนี้ได้?" น้ำเสียงของนางอ่อนโยนลง แต่ยังคงแฝงไว้ด้วยความกังวล ซ่งเหว่ยนานสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามรวบรวมสติ ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวที่เขาได้เผชิญมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตาฉายแววหวาดกลัวเมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น "ตอนนั้นพวกเราออกไปล่าสัตว์อสูรตามปกติ ทุกอย่างเป็นไปด้วยความราบรื่น ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ จนกระทั่ง..." เขาเว้นคำพูดไปครู่หนึ่ง ใบหน้าหล่อเหลานั้นกลับซีดเผือดลงราวกับเห็นภูตผีปีศาจ "เจ้าจะบอกว่า...ที่เจ้าประสบเคราะห์ร้ายถึงเพียงนี้ เป็นเพราะเผชิญหน้ากับวานรอัสนีโลหิต ระดับบ่มเพาะสูงส่งเกินกว่าเจ้าจะต้านทานได้ และผู้คุ้มกันที่ติดตามเจ้า...ล้วนถูกสังหารจนสิ้น?" นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ซึ่งความกังวลระคนสะท้านใจ "เป็นดังท่านแม่กล่าวทุกประการ..." ซ่งเหว่ยนานก้มหน้าลง ดวงตาฉายแววเศร้าสร้อยอย่างสุดจะทานทน "แต่ลูกยังคงมีวาสนา...ผู้คุ้มกันเหล่านั้นต่างสละชีพตน ปกป้องให้ลูกหนีรอดมาได้...พวกเขา...พวกเขาตายหมดแล้ว..." น้ำเสียงของเขาขาดห้วง ราวกับหัวใจถูกบีบรัดด้วยความเจ็บปวด มารดาของซ่งเหว่ยนานได้ยินดังนั้น ความโกรธในดวงตาค่อยๆ จางลง แปรเปลี่ยนเป็นความเห็นใจ นางลูบศีรษะบุตรชายเบาๆ อย่างปลอบประโลม "ไม่เป็นไรแล้วลูกรัก...แม่รู้ว่าเจ้าเป็นคนจิตใจดีงาม เปี่ยมด้วยเมตตาธรรม เจ้ามิต้องกังวลไป แม่จะมอบทรัพย์สินเงินทองจำนวนมิใช่น้อย และส่งคนไปดูแลครอบครัวของพวกเขาเหล่านั้นอย่างดีที่สุด สมกับความเสียสละของพวกเขา" นางเว้นไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นขึ้น "ยามนี้เจ้ายังมิหายดี จงพักรักษาตัวอยู่ในเรือน อย่าได้ออกไปเที่ยวเล่นที่ใดอีก เข้าใจหรือไม่?" "ขอรับ ท่านแม่...ลูกจะน้อมรับคำสอนของท่านแต่โดยดี ลูกรักท่านแม่ที่สุด..." เขากล่าวพร้อมกับส่งยิ้มบางๆ ให้ผู้เป็นมารดา นางมองบุตรชายด้วยความเอ็นดู ความสุขเอ่อล้นในอกเมื่อได้ยินคำรักจากปากบุตร "แม่ก็รักเจ้าเช่นกันจ้ะ เช่นนั้นแม่ขอตัวก่อน เจ้าจงนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเถิด" นางกล่าวด้วยความอ่อนโยน หลังจากมารดาของซ่งเหว่ยนานจากไปแล้ว ร่างสูงโปร่งนั้นก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ดวงตาคมกริบค่อยๆ ปิดลง แต่ภายในห้วงความคิดกลับปรากฏภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ราวกับม้วนฟิล์มที่ฉายซ้ำ โดยเฉพาะภาพสุดท้ายของการระเบิดตนเองของซ่งเหยียนเฟย ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจของเขา "ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง...วันที่ข้าจะทวงคืนทุกสิ่งทุกอย่างจากเจ้า...ซ่งเหยียนเฟย!! ข้ารอคอยวันนี้มานานแสนนาน เจ้าจงไปเสวยสุขในปรโลกเสียเถิด...ท่านแม่...ต่อจากนี้ไป สองแม่ลูกของเราจะได้อยู่อย่างมีเกียรติ มีหน้ามีตา ให้ผู้คนทั้งหลายสรรเสริญเยินยอเสียที ข้าได้กำจัดอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเราไปแล้ว ต่อจากนี้ ข้าจะดูแลท่านเองท่านแม่ ไม่มีผู้ใดกล้าขวางทางเราได้อีกต่อไป..." มุมปากของซ่งเหว่ยนานยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม แววตาฉายประกายแห่งความพึงพอใจอันลึกล้ำ...ยามอรุณรุ่งเรืองรอง แสงสุริยันแรกผุดพ้นขอบฟ้า สาดส่องสีทองทาบทาทั่วผืนแผ่นดิน ลอดผ่านร่องรอยปริแตกเพียงเล็กน้อยของบานหน้าต่างไม้ ต้องใบหน้าคมสันของอวี้เหวิน เป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นวันใหม่ ท้องนภาสีครามสดใส ไร้ซึ่งเมฆามาบดบัง หมู่สกุณาน้อยใหญ่ต่างขับขานเสียงเพลงอันไพเราะ ดังก้องกังวานไปทั่วพฤกษานานา ระหว่างที่พวกมันโผบินออกหาอาหารในยามเช้า อวี้เหวินค่อยๆ ลืมตาตื่นจากนิทรา ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันตามวิถีแห่งผู้ฝึกตน ก่อนที่แสงตะวันจะทอเต็มฟ้า เขาจะฝึกฝนร่างกายเสริมสร้างความแข็งแกร่ง เพื่อเป็นรากฐานอันมั่นคงในการบ่มเพาะพลังปราณในภายภาคหน้า วันนี้ก็เช่นเคย ร่างกายของเขาเคลื่อนไหวอย่างสง่างาม "ฟึ่บ! ฟึ่บ!" เสียงหมัดหนักแน่นผสานกับการเคลื่อนไหวที่ว่องไว ราวกับสายลมที่พัดผ่าน นี่เป็นช่วงท้ายของการฝึกกายา เหงื่อที่ไหลรินชุ่มโชกอาภรณ์เนื้อหยาบที่สวมใส่ เป็นดั่งเครื่องยืนยันถึงความมานะพากเพียรในการขับพิษและสิ่งสกปรกออกจากร่างกายเมื่อสุริยเทพเพิ่งจะฉายรัศมีเจิดจ้า อวี้เหวินหลังจากรับประทานอาหารเช้าที่เรียบง่ายแต่เพียงพอต่อการบำรุงกำลังเสร็จสิ้น จึงเตรียมตัวออกเดินทางสู่พงไพรบนยอดเขา เขาจัดเตรี
ขณะที่อวี้เหวินหันกายกลับไป ร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในห้วงสายตาของเขา ราวกับบุปผาต้องลมที่ร่วงหล่นลงบนผืนดินอันแข็งกระด้าง'ผู้ใดกันเล่า เหตุใดจึงมานอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่กลางป่าลึกอันเปลี่ยวร้างเช่นนี้?' เขาครุ่นคิดในใจ พลางย่างเท้าเข้าไปหาร่างนั้นด้วยความระมัดระวัง ราวกับเกรงว่าเสียงฝีเท้าจะรบกวนการพักผ่อนอันแสนเงียบสงบ ร่างมนุษย์บอบบางร่างหนึ่งที่กำลังหลับใหลไม่ได้สติ ค่อยๆ ปรากฏรูปร่างชัดเจนขึ้นในม่านสายตาของอวี้เหวิน'ช่างงดงามเสียจริง...สตรีเช่นนั้นหรือ?' อวี้เหวินจ้องมองไปยังร่างนั้นอย่างตะลึงงัน ราวกับต้องมนต์สะกด ผิวพรรณขาวผ่องดุจหิมะแรกต้องแสงจันทร์ ใบหน้างดงามหมดจดราวกับเทพธิดาที่ร่วงหล่นจากสรวงสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์ เส้นผมสีแดงเพลิงยาวสลวยราวกับสายไหม ทว่า...บนชุดผ้าเนื้อดีที่นางสวมใส่นั้น ปรากฏร่องรอยแห่งการฉีกขาดและคราบโลหิตแห้งกรัง บ่งบอกถึงการเผชิญเคราะห์ร้ายมามิใช่น้อย'ดูท่าทางนางจะได้รับบาดเจ็บสาหัสยิ่งนัก ข้าควรยื่นมือเข้าช่วยเหลือตามวิสัยบุรุษหรือไม่?' ความลังเลฉายชัดในดวงตาคมกริบดุจเหยี่ยวของเขา"ตุบ!" เสียงฝ่ามือหนาหนักกระทบลงบนศีรษะตนเองเบาๆ "เจ้ามันคนใจหินไปแล้ว
ในห้วงสำนึกของซ่งเหยียนเฟย 'เหตุใดข้าจึงมิอาจขยับเขยื้อนกายได้?' ความรู้สึกอึดอัดประดุจถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ทว่าท่ามกลางความอึดอัดนั้น กลับมีกระแสไออุ่นอันแสนสบายราวกับแสงตะวันยามเช้าค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่ทุกอณูของร่างกาย 'สิ่งนี้คืออันใดกัน? ข้ารู้สึกคุ้นเคยกับมันอย่างประหลาด ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นแขนขาที่ข้าเคยใช้มานับครั้งไม่ถ้วน' ดวงจิตในห้วงสำนึกจับจ้องไปยังอวัยวะภายในที่ถูกห่อหุ้มด้วยม่านพลังสีดำมืดสนิท ราวกับราตรีที่ไร้ซึ่งดวงดาว "อ๊ากกก!" ฉับพลันทันใดนั้นเอง กระแสพลังแห่งความมืดที่เคยอ่อนโยนกลับแปรเปลี่ยนเป็นคมมีดนับพันเล่ม กรีดแทงลึกลงไปในส่วนที่สึกหรอ บาดแผล และความอ่อนแอภายในร่างกายของเขา สร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสราวกับถูกฉีกทึ้งวิญญาณ ทว่าเมื่อห้วงเวลาแห่งความทรมานนั้นค่อยๆ ผ่านพ้นไป อาการบาดเจ็บภายในที่เคยร้าวรานกลับค่อยๆ สมานตัวดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ ราวกับได้รับการชุบชีวิตใหม่ ทันใดนั้นเอง ความทรงจำและองค์ความรู้บางอย่างก็ไหลบ่าเข้ามาในห้วงสำนึกของเขา 'หรือว่า...จะเป็นพลังทมิฬ? พลังแห่งความมืดมิดที่บริสุทธิ์ สีดำสนิทดุจห้วงอว
ครู่กาลล่วงเลย เปลือกตาคู่หนึ่งจึงค่อยๆ ปรือเปิดจากห้วงนิทรา ความพร่าเลือนในม่านตาค่อยๆ จางหาย แปรเปลี่ยนเป็นความคมชัด อวี้เหวินขยับศีรษะเพียงเล็กน้อย หันไปยังทิศเบื้องขวา จึงปรากฏแก่สายตาซึ่งร่างของอสูรแมงมุมพิศดารตัวหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ เมื่อพิเคราะห์ดูอย่างละเอียดละออ จะเห็นได้ว่าใบหน้าของมันละม้ายคล้ายคลึงกับสุนัขอย่างน่าประหลาด มันถูกพิฆาตจนร่างแหลกเหลวออกเป็นสองส่วน ชิ้นส่วนอวัยวะกระจัดกระจาย เลือดสีม่วงเข้มข้นไหลนองผืนปฐพี ส่งกลิ่นคาวคลุ้งรุนแรงท่ามกลางไอแดดที่แผดเผาราวกับเปลวเพลิง"เจ้าตื่นแล้วหรือ?" เสียงหนึ่งดังขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ มิได้แสดงความตื่นตระหนกต่อภาพที่ปรากฏเสียงนั้นปลุกอวี้เหวินให้หลุดพ้นจากภวังค์แห่งความงุนงง เขาสังเกตเห็นว่าอาภรณ์ของตนเปรอะเปื้อนไปด้วยของเหลวสีม่วงเหนียวข้น ซึ่งบัดนี้ได้แห้งกรังติดอยู่กับเนื้อผ้า "มัน... มันเกิดอันใดขึ้นกัน?" อวี้เหวินพึมพำด้วยความสับสนงุนงาย"เจ้าถูกอสูรแมงมุมพิษหน้าสุนัขเล่นงานเข้าแล้ว" ซ่งเหยียนเฟยกล่าวพลางชี้ไปยังซากอสูรที่นอนตายอยู่มิไกล"เจ้าอาจถูกพิษของมันขณะที่ยึดเหนี่ยวโขดหินนั่น จึงเป็นเหตุให้เจ้ารู้สึกหนักอึ้งร
ท่ามกลางเมืองเฉินอันคึกคัก มีร้านอาหารหรูแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ในย่านเก่าแก่ของเมือง แม้ขนาดของมันจะมิได้ใหญ่โตโอฬาร ทว่ากลับแฝงไปด้วยร่องรอยของกาลเวลาที่สั่งสมมาเนิ่นนาน ร้านอาหารแห่งนี้มีชื่อว่า "美味" (Měiwèi, ของกินเลิศรส) ซึ่งนับเป็นร้านอาหารที่มีเกียรติและได้รับการยอมรับสูงสุดในเมืองเฉิน เมื่อย่างกรายเข้ามาเบื้องหน้าร้าน ผู้อาจหาญทั้งหลายย่อมต้องหยุดสายตาลงยังป้ายไม้เก่าแก่ที่แขวนอยู่เหนือประตู ป้ายไม้แผ่นนี้ถูกสลักด้วยลายมือวิจิตรงดงาม บ่งบอกถึงชื่อร้านที่สืบทอดมาแต่โบราณ ด้านข้างของร้าน อักษรสลักบนผนังทั้งสองฝั่งยิ่งเสริมความหนักแน่นให้แก่สถานที่แห่งนี้ ทางขวาคือคำว่า "张进鸿" (เตียจิงฮ้ง, เจริญก้าวหน้าเกริกก้องเกรียงไกร) และทางซ้ายคือ "荣耀" (Róngyào, มีเกียรติอันประเสริฐรุ่งโรจน์) หากบุคคลทั่วไปได้พบเห็น คงเข้าใจว่านี่เป็นเพียงคำอวยพรเพื่อเสริมสิริมงคล ทว่าผู้ที่ล่วงรู้เบื้องลึกแห่งร้านเหมยเหว่ยย่อมตระหนักดีว่า นี่มิใช่เพียงถ้อยคำมงคล หากแต่เป็นปณิธานอันหนักแน่นของสถานที่แห่งนี้ อักษรด้านขวาถูกจารึกขึ้นเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้คนที่แวะเวียนมารับประทานอาหาร ณ ที่แห่งนี้ โดยเฉ
"ช่างเป็นเคล็ดวิชาที่ลึกล้ำเกินหยั่งถึง!" อวี้เหวินอุทานด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ดวงตาเป็นประกายราวกับค้นพบขุมทรัพย์ล้ำค่า เขาทอดสายตามองไปยังห้วงความคิด พลางหวนรำลึกถึงเนื้อหาของเคล็ดวิชาอีกครา 'เคล็ดวิชาหมัดอัคนีสังหารนั้น แบ่งออกเป็นสามขอบเขตใหญ่ อันได้แก่ ปฐพี อัคคี และวารี แต่ละขอบเขตยังแบ่งย่อยออกเป็นสามระดับ คือ เเรกเริ่ม กลาง และสูงสุด ในขอบเขตปฐพีนั้น เป็นการวางรากฐานแห่งกระบวนท่าของหมัดอัคนีสังหาร พลังอำนาจแห่งหมัดในระดับเริ่มต้นอยู่ที่สามร้อยจิน ระดับกลางอยู่ที่หกร้อยจิน และระดับสูงสุดอยู่ที่เก้าร้อยจิน' ภาพกระบวนท่าอันสลับซับซ้อนเริ่มฉายชัดในมโนสำนึกของอวี้เหวิน ราวกับมีผู้มาสาธิตอยู่ตรงหน้า เขาสังเกตทุกการเคลื่อนไหว จดจำทุกรายละเอียด เมื่อเริ่มเข้าใจในแก่นแห่งวิชาแล้ว อวี้เหวินจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เริ่มต้นร่ายรำตามภาพที่ปรากฏในห้วงนิมิต ฝ่ามือและหมัดถูกส่งออกไปในอากาศอย่างหนักแน่น สลับหมุนเวียนราวกับพายุโหมกระหน่ำ เท้าก้าวไปตามจังหวะ ท่วงท่าการยืนมั่นคงดุจขุนเขา ทุกอิริยาบถที่แสดงออกมาล้วนสง่างามและหนักแน่นราวกับผืนปฐพีอันกว้างใหญ่ ในระหว่างที่ฝึกฝนเพลงหมัด อวี้เหวินมิไ
ยามเมื่อสุริยันเยื้องย่างลงจากนภา โลกธาตุพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มชาด แสงสุดท้ายสาดส่องทาบทาทิวเมฆราวกับผ้าไหมปักลาย เด็กหนุ่มนามว่าอวี้เหวินก้าวเดินอย่างเชื่องช้า ทอดฝีเท้าหนักแน่นแต่มิได้เร่งรีบ จุดหมายปลายทางคือบ้านหลังน้อย แสงไฟสลัวริบหรี่ลอดออกมาจากบานหน้าต่างไม้ในอีกไม่กี่ก้าวเบื้องหน้า ความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักตลอดวันเกาะกุมหัวใจ ทว่าเมื่อย่างเท้าเข้าสู่เรือน ได้รับการต้อนรับอันอบอุ่นและการดูแลเอาใจใส่จากผู้เป็นบิดา ความอ่อนล้าทั้งมวลก็มลายหายสิ้นดุจไอหมอกยามรุ่งอรุณ หลังจากอวี้เหวินและบิดาได้ร่วมโต๊ะทานอาหารค่ำ พูดคุยสารทุกข์สุกดิบจนกระทั่งราตรีเริ่มย่างเข้าสู่ยามดึกสงัด อวี้เหวินจึงนั่งลงขัดสมาธิ สงบจิตใจปรับลมปราณอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะล้มตัวลงนอน ณ ห้วงความมืดมิดภายในเม็ดหินอัญมณีสีดำสนิทที่ห้อยอยู่บนคอของอวี้เหวิน ปรากฏร่างหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวอย่างอ้อยอิ่ง “สามสิบสี่… สามสิบห้า… เวลาล่วงเลยมาเกือบเดือน ข้ากลับเคลื่อนกายมาได้เพียงสามสิบห้าก้าวเท่านั้น เบื้องหน้าจักมีสิ่งใดซ่อนอยู่อีกเล่า?” ซ่งเหยียนรำพึงรำพันกับตนเอง พลางหายใจหอบถี่ราวกับคนจมน้ำ เขานั่งลง หลับตาลงเพื่อ
เปลือกตาที่หนักอึ้งราวกับถูกถ่วงด้วยตะกั่วค่อยๆ เปิดขึ้น เผยให้เห็นดวงตาที่ยังคงพร่าเลือนและง่วงงุน ร่างกายที่อ่อนล้าประหนึ่งถูกบั่นทอนเรี่ยวแรงของอวี้เหวินค่อยๆ ขยับเขยื้อนอย่างเชื่องช้า ก่อนจะพยุงกายลุกขึ้นนั่งบนเตียงไม้เนื้อดี มือเรียวลูบไล้ใบหน้าของตนเองเบาๆ เพื่อขับไล่ความง่วงงุนให้จางหายไป หลังจากเหตุการณ์พลิกผันเมื่อสามราตรีล่วงผ่าน อาการบาดเจ็บของอวี้เหวินก็สมานหายราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รุ่งอรุณแห่งวันนี้ เขาตื่นขึ้นด้วยความสดชื่น เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางไปฝึกฝนวิชาอีกครั้ง อวี้เหวินเริ่มบริหารร่างกายด้วยท่วงท่าที่คุ้นเคยเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม ก่อนจะจัดเตรียมสัมภาระต่างๆ สำหรับการเดินทาง ในขณะที่เขากำลังตรวจตราสิ่งของภายในห่อผ้าอยู่นั้น เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นในห้วงความคิด "วันนี้เป็นวันที่จะต้องบุกเข้าไปในเขตแดนของพยัคฆ์หางแมงป่อง ซึ่งด้วยพละกำลังของเจ้าในยามนี้ ยังมิอาจบุกเข้าไปโดยลำพังได้ จำเป็นต้องมีสิ่งป้องกันไอความร้อนอันร้อนระอุจากรังของพวกมัน" อวี้เหวินแสดงสีหน้าเข้าใจ ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยถามด้วยความสงสัย "อย่าว่าแต่สิ่งใดใช้ป้องกันเลย แม้แต่ชื่อของมัน ข้
ประตูไม้เก่าเก็บของเพิงพักส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเมื่อถูกผลักเปิดออก เสาไม้ผุกร่อนเอียงตามแรงลมประหนึ่งจะถล่มลงได้ทุกเมื่อ กลิ่นอับชื้นจากเศษฝุ่นและไม้เก่าภายในชวนให้นึกถึงเพิงร้างไร้ผู้คน อวี้เหวินก้าวเข้าสู่ที่พักชั่วคราวนั้นอย่างระมัดระวัง แขนแข็งแรงประคองร่างบางในชุดขาวของสตรีเบื้องหน้าไว้แนบอก ราวกับกลัวเพียงแรงสะเทือนเพียงน้อยจะทำให้นางแตกสลายยามเมื่อร่างบอบบางถูกวางลงบนฟูกฟางเก่าเนื้อดี มือแกร่งค่อยประคองจัดท่าให้สตรีผู้นั้นนั่งลงอย่างนุ่มนวล แม้ใบหน้างามล่มเมืองจะถูกผืนแพรบางสีขาวปิดบังไว้ ทว่ารัศมีแห่งความงามราวเทพธิดาจำแลงก็มิอาจซ่อนเร้นได้ นางนั่งสงบนิ่งราวกับภาพวาดจากปลายพู่กันของจิตรกรสวรรค์ แสงจันทร์นวลผ่องสาดส่องลงมาเป็นลำ เส้นผมดำขลับยาวสลวยดั่งน้ำตกจากผา สูบประกายจากผิวขาวผ่องราวหิมะแรกต้องแสง จนบุรุษผู้พบเห็นมิกล้าแม้แต่จะสัมผัสอวี้เหวินสูดลมหายใจลึก มือหนึ่งค่อยเอื้อมไปปลดปมเสื้อคลุมเนื้อละเอียดทางด้านหลัง นิ้วมือที่เคยชาชินกับการจับดาบในสนามรบ กลับสั่นระริกเมื่อสัมผัสผืนผ้าบางเบาดุจกลีบเมฆ เสื้อคลุมสีขาวนวลค่อยๆ ร่วงหล่นจากบ่า เผยแผ่นหลังขาวเนียนราวมรกตไร้ตำหนิ นุ่มละ
ใต้ฟ้าค่ำ...ทะเลไร้คลื่นลมกลับโหมกระหน่ำด้วยกลิ่นอายแห่งการประทะอันเกรี้ยวกราด ริมฝั่งเกาะร้างท่ามกลางม่านรัตติกาล อวี้เหวินยืนนิ่งกลางพื้นทรายที่แตกร้าวเป็นตาข่ายโลหิต เบื้องหน้าเขา ร่างอสูรที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นหลิวหงกลับทรุดตัวลงอย่างยากจะหยัดยืน พลังที่เคยแข็งแกร่งเช่นขุนเขา บัดนี้กลับสั่นคลอนดั่งเสาหลักบ้านทรุดโทรมแววตาของอวี้เหวินเรืองแสงสีทองอ่อน ภายในนั้นแฝงไว้ด้วยรังสีแห่งเพลิงอัคคีและประกายแห่งอัสนีบาต มือขวาของเขาแน่นราวคีมเหล็ก ทั่วกายแผ่ไอร้อนระอุ สะท้อนกับเส้นผมยาวสลวยสีดำสนิทราวกับถูกเพลิงล้อมรอบ...กายาเขาถูกห่อหุ้มด้วยไอพลังสีน้ำเงินเข้มปนประกายทองแดง เสมือนชุดเกราะเงาไร้รูปลักษณ์ ขณะที่กล้ามเนื้อภายใต้ชุดคลุมสีทมิฬที่ขาดวิ่นเต้นระริกด้วยพลังดั่งภูตอัสนีแฝงสิง"เตาอัสนีวิบัติ" ขั้นที่สองระดับกลางยามเลื่อนถึงขั้นนี้ กายาของอวี้เหวินแปรเปลี่ยนเสมือนร่างเทพอัสนี ทุกฝีก้าวหนักแน่นปานทุ่มแผ่นดินทุกหมัดเปี่ยมด้วยพลังกระชากวิญญาณพลันเขากระโจนพุ่งเข้าหาร่างหลิวหงอีกครา มือซ้ายสะบัดเป็นวิถีกงล้อแห่งสายฟ้า มือขวากำรอบเป็นหมัดเพลิงคำราม“หมัดอัคนีสังหาร!”เสียงหมัดซัดผ่านอากาศรา
อวี้เหวินในยามนี้ ทรุดเข่าลงเบื้องหน้าหาดคลื่นซัด... ดวงตาเคยคมดุจมีดกระบี่ บัดนี้พร่าเลือนราวหมอกเช้า เสียงฟ้าครวญลมร้องกลับกลายเป็นเพียงเสียงแผ่วเบาในโสตประสาทของเขา จิตใจของเขาถูกกัดกร่อนราวเหล็กที่แช่กรด คลื่นความมืดมนปะทะซัดเข้าราวพายุพัดจิต “เฮ้! เจ้าหนู อวี้เหวิน... เจ้าไหวรึไม่!?” เสียงหนึ่งดังขึ้นภายในมโนสำนึก..แหบพร่าแต่แฝงไปด้วยความร้อนรน ห้วงเสียงนั้นคือซ่งเหยียนเฟย... สหายจากมิติสร้อยคอ ผู้เคยปากกล้าท้าโลกหล้า ซ่งเหยียนเฟยกำลังจะก้าวออกจากมิติมา เเต่ทันใดนั้น ร่างกายของเขาก็ถูกตรึงแน่นด้วยพลังลึกลับ ไม่อาจขยับเขยื้อนได้แม้เพียงปลายนิ้ว เขายังเพียรเรียกหาเสียงแล้วเสียงเล่า “บัดซบ... ไออสูรหน้าคน!” ซ่งเหยียนเฟยสบถพลางตวัดฝ่ามือไปมาในมิติจำกัด “หากข้าก้าวออกไปได้ละก็..ท่านปู่ผู้นี้จะฉีกกระชากร่างมันจนกระดูกแหลก!” แต่เสียงของเขา กลับสะท้อนอยู่เพียงในเงาจิต ไม่อาจเข้าถึงจิตอวี้เหวินที่กำลังจมดิ่งลงสู่ห้วงว่างอันไร้ปลาย..เข่าทั้งสองแนบทราย ดวงหน้าหล่อเหลาหม่นหมอง ผมยาวหลุดรุ่ยคลอเคลียหน้าผาก ดั่งรัตติกาลที่คลุมร่างเทวะให้กลายเป็นมนุษย์ผู้ตกสู่ขุมนรก เสียงของซ่งเหยียนเฟยยัง
ใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาเหนือชายฝั่งอันวิเวก เสียงคลื่นกระทบโขดหินดังเป็นจังหวะอ้อยอิ่ง ทว่าภายใต้ความสงบนั้น คือบรรยากาศที่ตึงเครียดประหนึ่งสายฟ้าเงื้อมคมรอจู่โจม ร่างในชุดดำของอวี้เหวินยืนนิ่งประหนึ่งเงาสลัวในม่านรัตติกาล สองตาจับจ้องไปยังบุรุษตรงหน้า ผู้ซึ่งบัดนี้หาใช่เพียงชายวัยกลางคน หากแต่ครึ่งหนึ่งของใบหน้ากลับกลายเป็นอสูรอันน่าสะพรึง ร่างกายแปรเปลี่ยน กล้ามเนื้อปูดโปน เกล็ดสีดำสนิทผุดขึ้นราวอสรพิษจำแลง เงาของง้าวดำในมือขยับไหวเพียงนิด กลับแผ่กลิ่นอายสังหารออกมาราวกับทะลวงอากาศ อวี้เหวินไม่กล่าววาจาใดให้เปลืองถ้อยคำ ขณะที่จันทราเบื้องบนยังไม่ทันเคลื่อนคล้อยจากยอดฟ้า เขาก็พุ่งออกประหนึ่งอัสนีสาดฟาด! หมัดแรกพุ่งทะลวงอากาศเป็นประกายเพลิง ปะทะตรงกับเคียวมารของหลิวหง เสียงดังสนั่นดั่งเหล็กกล้ากระทบหินผา แรงสั่นสะเทือนสะท้านไปทั่วร่างของหลิวหงจนเขาต้องถอยหลังพลางยกเคียวขึ้นยันตัวไว้ กลับถูกแรงมหาศาลผลักให้ลอยขึ้นจากพื้นไปเล็กน้อย “โอ้…” เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังแผ่ว ราวเสียงกระซิบของปีศาจร้าย “…เจ้ามีเรี่ยวแรงเหนือกว่าเด็กหญิงผู้นั้นเสียอีก เช่นนี้...การสังหารเจ้าจึงนับว่าคุ้มค่าม
ใต้เงาราตรีแห่งฟากฟ้าปราศจากจันทร์ ดวงดาวพลันหลบเร้นอยู่หลังม่านเมฆทะมึน เสียงลมหอบหวิวผสานกับเสียงคลื่นที่ซัดกระแทกชายฝั่งมิได้สงบลงเลยแม้แต่น้อย ท่ามกลางกลิ่นเค็มของไอทะเลและกลิ่นคาวโลหิตที่ฟุ้งกระจาย ฉากการประมือของสองสายเลือดมนุษย์กับสัตว์อสูรและมารชั่วคลุ้งไปทั่วชายหาดอันเคยสงบงาม กลับกลายเป็นแดนประหัตประหารที่เต็มไปด้วยหลุมลึก โขดหินที่ถูกแรงกระแทกจนแหลกละเอียด ต้นไม้ชายฝั่งก็ถูกถอนราก เศษกิ่งใบปลิวว่อนราวใบไม้ร่วงในวสันต์ “โฮกกกก!!!” เสียงคำรามอันบ้าคลั่งของ หลงหมิ่น แผดก้องดั่งเสียงมังกรโกรธเกรี้ยว มันมีบาดแผลลึกหลายแห่ง โลหิตสีครามสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนพื้นทราย แต่แทนที่จะอ่อนแรงลง พลังของมันกลับพวยพุ่งขึ้น ร่างมหึมาพุ่งทะยานดั่งเงาวารีใต้สมุทรอันเชี่ยวกราก ลำคอและเขี้ยวยาวเปล่งประกายด้วยพลังอาภรณ์วารีอันเข้มข้น มุ่งสังหารเด็กหนุ่มตรงหน้าโดยไร้ความปรานี! อวี้เหวิน ไม่คิดหลบ ร่างของเขาสวมเสื้อคลุมดำแนบลู่กับลม เส้นผมยาวสะบัดอย่างองอาจ สองดวงตาคมกล้าฉายแววสงบ เย็นเยียบยิ่งน้ำแข็งแต่เร่าร้อนด้วยเพลิงภายใน “มาเถิด! ข้ากำลังร้อนมืออยู่พอดี!” ทันใดนั้น! กำปั้นข้างขวาของเ
ภายใต้เงาจันทราซีดเซียวที่ทอดแสงนวลลงบนผืนน้ำทะเลอันมืดมิด กลิ่นไอเค็มยังคงล่องลอยเคล้าคลอกับลมราตรี อวี้เหวินยืนหยัดดุจขุนเขาที่มิหวั่นไหวเบื้องหน้าบุรุษวัยกลางคน ดวงตากลับฉายแววกระวนกระวายราวถูกเพลิงแผดเผา แสงจันทร์สาดส่องลงบนใบหน้าคมคายราวสลักเสลา เงาร่างในอาภรณ์ดำสนิทดุจเงามัจจุราชขยับเพียงเล็กน้อย ก่อนจะเปล่งวาจาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงไว้ด้วยร่องรอยแห่งความระแวงแคลงใจ “เหตุใดข้าจึงมิได้ยินเสียงของมัน…?” น้ำเสียงของเขานั้นเยือกเย็น ทว่าในแววตาแฝงความเคร่งเครียดและจับสังเกตอย่างลึกซึ้ง เป็นคำถามที่ราวกับเขาโยนหินลงสระ เพื่อรอดูคลื่นสะท้อนกลับมาจากคำพูดของชายผู้นั้น ชายวัยกลางคนผู้มีผิวคล้ำจากแสงแดด มองสบตาอวี้เหวินพลางขมวดคิ้ว สีหน้าร้อนรนแฝงความกลัว “ท่านจอมยุทธ์!” เขากล่าวเสียงสั่น “ท่านอย่ารอช้าเถิด วันนี้มันมิได้ส่งเสียงคำรามก้องเช่นทุกครา แต่กลับคลานขึ้นฝั่งโดยไร้สุ้มเสียง…ข้าหวั่นว่า มันตั้งใจจะลิ้มลองเลือดเนื้อมนุษย์แล้ว!” เขากลืนน้ำลายฝืดคอ ก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน “และ...จุดที่มันขึ้นมานั้น มีเด็กคนหนึ่งอยู่พอดี!” คำพูดสุดท้ายดั่งสายฟ้าฟาดลงกลางอ
เบื้องหน้าแมกไม้สูงใหญ่ที่โอบล้อมบึงใสกลางป่า เงาสะท้อนของเมฆสีเทารางเลือนวาดทับผิวน้ำดั่งม่านหมอกชะล้างใจ เมื่อเสียงสายลมโอบพัดใบไม้ให้ไหวเอน เด็กน้อยเบื้องข้างขอนไม้ก็ก้มหน้าลงแผ่วเบา คล้ายกำลังรวบรวมใจเพื่อกล่าวต่อ “เมื่อเดือนก่อน…” เสียงของเขาแผ่วพร่า ราวกลัวว่าหากเอื้อนเอ่ยถ้อยคำออกมาแล้ว ความเศร้าที่ซุกซ่อนจะพรั่งพรูไม่อาจห้าม “มีคนจากภายนอกกลุ่มหนึ่งมาถึงหมู่บ้าน…” ดวงตาเล็กจ้องมองบึงอย่างเหม่อลอย สะท้อนแววอ้างว้างเจือปนระลึกถึง “พวกเขาสวมอาภรณ์ดูสง่า บางคนมีกระบี่แนบกาย บางคนมีกระบี่หลังสะพาย บางคนมีดวงตาที่เปล่งแสงราวจิตวิญญาณไม่ธรรมดา… ข้าคิดว่าพวกเขาคงเป็นผู้ฝึกปราณที่มีฝีมือ” เขาสูดหายใจเข้าแผ่วเบาก่อนหลุบตามองดินร่วนใต้เท้า “แต่ไม่กี่วันให้หลัง พวกเขากลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีใครล่วงรู้ว่าพวกเขาไปทางใด ไม่มีแม้เสียงร่ำลา… แม้แต่ร่างก็ไม่ปรากฏให้เห็น” เสียงแผ่วพร่าของเด็กน้อยพลันสั่นไหว น้ำใสคลอหน่วยดวงตากลมโตก่อนหยาดหยดลงบนหลังมืออันสั่นเครือ เขาปาดน้ำตาอย่างเงียบงัน ก่อนพึมพำด้วยเสียงสะอื้นแผ่วเบา “หนึ่งในนั้น… คือคนที่ข้ารู้จัก” ดวงตาน้อยคู่นั้นค่
อวี้เหวินยังคงจ้องมองเขาอย่างแน่วแน่ ราวกับต้องการอ่านความจริงจากลึกในดวงจิตของอีกฝ่าย เฒ่าเจียนสูดลมหายใจลึก ก่อนเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย “ราวหนึ่งเดือนก่อน ข้าออกเรือไปยังทะเลทางทิศตะวันตก จุดนั้นห่างจากชายฝั่งไกลพอควร ตั้งใจเพียงจะหาปูหาหอยไปขายแลกเบี้ย… แต่สิ่งที่ข้าเจอนั้น…” เขาหยุดนิ่ง ขยับถ้วยชามาแนบอก มือทั้งสองสั่นไหวเล็กน้อย “มัน… มันใหญ่โตราวกับเนินเขาเคลื่อนที่ได้ ลำตัวเรียวยาว ราวงูทะเลที่คลานบนผืนน้ำ… แววตามันวาววับ เยียบเย็นดั่งคมดาบในหิมะขาว ข้าแน่ใจว่า มันไม่ใช่สัตว์อสูรธรรมดา หากแต่เป็นสิ่งที่ผู้คนเล่าขาน… ‘เงามังกรใต้สมุทร’…” อวี้เหวินขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสบตากับเซี่ยชิงหลัวซึ่งนิ่งฟังอยู่ข้างกาย แม้นใบหน้านางจะถูกผ้าขาวบางปิดบัง แต่เพียงแค่ดวงตางามที่ทอแววบางอย่างเจือแสงครุ่นคิด เขาก็รู้ได้ในบัดดลว่านางเองก็เข้าใจในสิ่งเดียวกัน “ท่านเคยได้ยินชื่อมันหรือไม่?” อวี้เหวินเอ่ยเสียงต่ำ เฒ่าเจียนพยักหน้าเบา ๆ “เคย… เคยได้ยินจากพวกชาวเรือเฒ่าในอดีต พวกเขาเรียกมันว่า ‘หลงหมิ่น’ …อสูรโบราณที่สืบสายโลหิตแห่งอสรพิษทะเลจากยุคดึกดำบรรพ์ มันไม่ค่อยปรากฏตัวบนผิวน้ำ และไม
ยามอรุณรุ่งแผ่แสงอ่อนบางลงแตะต้องริมขอบฟ้า เฉกเช่นม่านทองที่คลี่คลุมผืนนภา สีฟ้าเรื่อแซมประกายสีส้มจางไล้ผ่านยอดไม้ และแนบอิงผิวคลื่นเบื้องล่าง จนผืนน้ำคล้ายพลิ้วไหวไปด้วยแสงทองนั้น สายลมยามเช้าพัดเอื่อยพาไอเค็มของทะเลโชยมาแตะปลายจมูก อ่อนโยนและเย็นสบายนัก ใต้เงาไม้ริมชายฝั่ง ร่างบอบบางในอาภรณ์สีขาวนวลนั่งสงบนิ่งอยู่ข้างขอนไม้ ดวงหน้างดงามราวภาพวาดยังคงเคลิ้มในห้วงนิทราอย่างสงบเสงี่ยม แสงแดดเบาบางส่องต้องผ่านซอกกิ่งไม้ แผ่วพาดลงบนเรียวแก้มนวลเนียนประหนึ่งหยาดหิมะแรกของฤดูหนาว ดวงตางามล้ำคู่นั้นพลันขยับกระพริบไหว ลืมขึ้นอย่างเชื่องช้าและแผ่วเบา ราวกลีบบุปผาที่แย้มรับแสงแรกของวัน เมื่อสติกลับคืน คิ้วเรียวเล็กพลันขมวดเข้าหากันอย่างแผ่วเบา ราวกับผืนน้ำต้องลมแผ่ว รำลึกขึ้นได้ว่าตนเอ่ยปากจะร่วมเฝ้ายามเคียงข้างบุรุษผู้นั้น ทว่ากลับเผลอหลับใหลไปโดยมิรู้ตัว ความรู้สึกผิดพลันแผ่ซ่านไปทั่วอุรา ใบหน้านวลผ่องราวหยกขาวพลันแต้มสีชมพูระเรื่อ ดุจกลีบเหมยแรกแย้มต้องหิมะยามอรุณรุ่ง งดงามจับตา ราวกับภาพวาดสวรรค์ที่รังสรรค์ขึ้นอย่างพิถีพิถัน นางขยับกายเล็กน้อย พลิกตัวไปมองหาร่างของบุรุษผู้เป็นสหายร่วม