หน้าหลัก / แฟนตาซี / ดาบพิฆาตสลับนภา / บทที่8 มังกรบรรจบเมฆาคล้อย: ปฐมบทนครเฉิน

แชร์

บทที่8 มังกรบรรจบเมฆาคล้อย: ปฐมบทนครเฉิน

ผู้เขียน: Prince_White
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-04-20 16:22:00

ครู่กาลล่วงเลย เปลือกตาคู่หนึ่งจึงค่อยๆ ปรือเปิดจากห้วงนิทรา ความพร่าเลือนในม่านตาค่อยๆ จางหาย แปรเปลี่ยนเป็นความคมชัด อวี้เหวินขยับศีรษะเพียงเล็กน้อย หันไปยังทิศเบื้องขวา จึงปรากฏแก่สายตาซึ่งร่างของอสูรแมงมุมพิศดารตัวหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่

เมื่อพิเคราะห์ดูอย่างละเอียดละออ จะเห็นได้ว่าใบหน้าของมันละม้ายคล้ายคลึงกับสุนัขอย่างน่าประหลาด มันถูกพิฆาตจนร่างแหลกเหลวออกเป็นสองส่วน ชิ้นส่วนอวัยวะกระจัดกระจาย เลือดสีม่วงเข้มข้นไหลนองผืนปฐพี ส่งกลิ่นคาวคลุ้งรุนแรงท่ามกลางไอแดดที่แผดเผาราวกับเปลวเพลิง

"เจ้าตื่นแล้วหรือ?" เสียงหนึ่งดังขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ มิได้แสดงความตื่นตระหนกต่อภาพที่ปรากฏ

เสียงนั้นปลุกอวี้เหวินให้หลุดพ้นจากภวังค์แห่งความงุนงง

เขาสังเกตเห็นว่าอาภรณ์ของตนเปรอะเปื้อนไปด้วยของเหลวสีม่วงเหนียวข้น ซึ่งบัดนี้ได้แห้งกรังติดอยู่กับเนื้อผ้า "มัน... มันเกิดอันใดขึ้นกัน?" อวี้เหวินพึมพำด้วยความสับสนงุนงาย

"เจ้าถูกอสูรแมงมุมพิษหน้าสุนัขเล่นงานเข้าแล้ว" ซ่งเหยียนเฟยกล่าวพลางชี้ไปยังซากอสูรที่นอนตายอยู่มิไกล

"เจ้าอาจถูกพิษของมันขณะที่ยึดเหนี่ยวโขดหินนั่น จึงเป็นเหตุให้เจ้ารู้สึกหนักอึ้งราวกับถูกมนต์สะกด จนกระทั่งสลบเหมือดไป โชคดีที่ข้าไหวตัวทัน จึงรีบติดตามหามันจนพบ แล้วสังหารมันเพื่อสกัดเอาส่วนที่เป็นยาถอนพิษในกายมันมาให้เจ้าดื่ม เพื่อขับพิษร้ายกาจนั้นออกจากร่าง มิฉะนั้น ป่านนี้เจ้าคงมิอาจลืมตาขึ้นมาได้อีกแล้ว" ซ่งเหยียนเฟยอธิบายให้อวี้เหวินฟังอย่างละเอียด

"แต่อสูรแมงมุมตัวนี้ช่างพิกลพิการ หากข้ามิได้เพ่งสมาธิจับจ้องมันอย่างถี่ถ้วน ข้าแทบไม่อาจตรวจจับร่องรอยการดำรงอยู่ของมันได้เลย มิเช่นนั้นเจ้าคงมิถูกพิษของมันได้โดยง่ายเช่นนี้" เขาพูดพลางดีดวัตถุสิ่งหนึ่งออกมาจากปลายนิ้ว วัตถุนั้นกลิ้งไปหยุดอยู่ตรงหน้าอวี้เหวินที่ยังคงนอนอยู่บนพื้น

วัตถุนั้นมีลักษณะเป็นทรงกลมสีดำขลับ มันวาวราวกับหยกดำเม็ดงาม มองเผินๆ อาจมิได้บ่งบอกถึงความพิเศษอันใด ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปเพียงครู่ วัตถุสีดำกลมเกลี้ยงนั้นกลับเริ่มเลือนราง จางหายไปกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ ราวกับกลืนกินแสงและสีสันจนมิอาจสังเกตเห็นได้อีกต่อไป สิ่งนี้สร้างความตื่นตะลึงพรึงเพริดให้กับอวี้เหวินเป็นอย่างยิ่ง

"นี่... นี่มันมีสิ่งเช่นนี้ดำรงอยู่ในโลกหล้าด้วยหรือนี่?" เขาเบิกดวงตากว้าง มองไปยังวัตถุลึกลับที่ค่อยๆ เลือนหายไปด้วยความฉงนสนเท่ห์

ซ่งเหยียนเฟยเห็นดังนั้นจึงเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาคู่เล็กฉายแววภูมิใจ "สิ่งนี้เรียกว่า 'แก่นวายุอำพราง' ซึ่งเป็นหัวใจที่ถูกกลั่นกรองออกมาจากซากศพของพญาจิ้งจกมายา คาดว่าอสูรแมงมุมตัวนี้โชคดีได้รับสิ่งนี้มาโดยบังเอิญจากพญาจิ้งจกมายาที่สิ้นชีพไปแล้ว เพราะด้วยพละกำลังของตัวมันเอง มิอาจจะทำอันตรายพญาจิ้งจกมายาได้แม้แต่รอยขีดข่วนอย่างแน่นอน" ซ่งเหยียนเฟยกล่าวอวดอ้างความรู้ของตนเอง พลางดึงลูกแก้วเม็ดนั้นกลับมาไว้ในอุ้งมือน้อยๆ ของเขา มันจึงกลับคืนสู่สีดำขลับดังเดิมอีกครั้งหนึ่ง

"เป็นเช่นนี้นี่เอง" อวี้เหวินพยักหน้าอย่างเข้าใจ

"ตุบ!" เสียงวัตถุทรงกลมถูกโยนมาหยุดอยู่ตรงหน้าอวี้เหวินอีกครา

"ข้าให้เจ้า สิ่งนี้จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเจ้า มันจะช่วยเจ้าในการอำพรางซ่อนเร้นกาย และป้องกันภัยจากผู้ที่มีระดับพลังต่ำกว่าขั้นก่อกำเนิดได้ทุกคน" ร่างเล็กๆ ตรงหน้าเขากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง

อวี้เหวินคว้าแก่นวายุอำพรางขึ้นมา สัมผัสผิวมันวาวเย็นเยียบเพียงครู่ ก่อนจะเก็บซ่อนไว้ในสาบเสื้ออย่างมิดชิด

'สิ่งนี้เก็บไว้ภายหลังกลับถึงเรือนค่อยให้เขาถ่ายทอดวิชาการใช้ก็แล้วกัน ตอนนี้สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการฟื้นฟูเรี่ยวแรงและพลังปราณที่สูญเสียไปให้กลับคืนมาโดยเร็วพลัน'

เขาจึงลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิในทันที หลับตาลงอย่างสงบ เพื่อรวบรวมสมาธิอันแน่วแน่และฟื้นฟูพลังปราณที่เหือดแห้งให้กลับคืนสู่สภาพเดิม

ครึ่งชั่วยามล่วงผ่าน พลังเรี่ยวแรงในกายของเขาก็ค่อยๆ ฟื้นคืนมาทีละน้อย ทว่าวันนี้เขาตระหนักดีว่าไม่อาจเดินทางลึกเข้าไปในเขตอสูรได้ไกลกว่านี้อีกแล้ว บริเวณนี้คือขีดจำกัดแห่งความสามารถของเขาในยามนี้ เขาจึงส่ายศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มทบทวนเคล็ดวิชาเตาอัสนีวิบัติที่เพิ่งได้รับมาในห้วงมโนสำนึก ข้อมูลต่างๆ ปรากฏขึ้นในห้วงความคิดของเขาอย่างแจ่มชัด

'เคล็ดวิชาเตาอัสนีวิบัติขั้นปฐม เริ่มต้นจากการนำพาไอความร้อนจากภายนอกเข้าสู่ภายในร่างกาย ขั้นแรกนี้เปรียบประดุจการเผาหลอมโลหะให้กล้าแกร่ง ขจัดสิ่งสกปรกและมลทินที่เจือปนอยู่ออกไป เพื่อให้เนื้อโลหะบริสุทธิ์พร้อมสำหรับการตีแผ่และเจียระไนให้งดงาม เป็นการนำพาไอความร้อนจากภายนอกเข้าสู่ภายใน ดูดซับและแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานเพลิง เผาผลาญอวัยวะภายในทีละส่วน เพื่อขับไล่สิ่งสกปรกและกระตุ้นการสร้างใหม่ของเนื้อเยื่อให้แข็งแกร่งและทนทานยิ่งขึ้น'

อวี้เหวินเริ่มสูดซับพลังไอความร้อนที่แผ่กระจายอยู่โดยรอบกายอย่างเชื่องช้า ไอความร้อนเหล่านั้นค่อยๆ แทรกซึมผ่านผิวหนัง ราวกับสายฝนที่ค่อยๆ ซึมซาบลงสู่ผืนดิน เข้าสู่ตันเถียนของเขา แปรเปลี่ยนเป็นพลังงานสีแดงเพลิงไหลเวียนไปทั่วสรรพางค์กาย พลังสีแดงค่อยๆ แทรกซึมลึกเข้าไปในอวัยวะภายใน ซึมซาบสู่เนื้อเยื่อ เซลล์ และเริ่มกระบวนการเผาไหม้ แปรเปลี่ยนโครงสร้างให้แข็งแกร่งและคงทนยิ่งกว่าเดิม

มันเผาผลาญลงลึกถึงระดับที่เล็กที่สุดดุจธุลี ก่อให้เกิดกระบวนการสร้างใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในระดับโมเลกุล ขยายตัวขึ้นสู่ระดับเซลล์ ระดับเนื้อเยื่อ และหยั่งลึกลงไปถึงอวัยวะภายใน ซึ่งกระบวนการอันซับซ้อนนี้ได้สร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสให้กับอวี้เหวินอย่างยิ่ง ราวกับถูกเปลวเพลิงแผดเผาทั้งเป็น เนื่องจากมันเป็นการเปลี่ยนแปลงจากจุดที่เล็กที่สุดไปสู่จุดที่ใหญ่ที่สุด ค่อยๆ กัดกร่อน เผาไหม้ทุกตารางนิ้วของเนื้อหนังของเขาอย่างเชื่องช้า สร้างความทรมานที่เกินกว่าจะทานทน

"กรอด..." เสียงกัดฟันของอวี้เหวินดังลอดไรฟันออกมา บ่งบอกถึงความเจ็บปวดที่เขากำลังเผชิญ ขณะนี้ทั่วทั้งร่างของเขาชุ่มโชกไปด้วยหยาดเหงื่อเม็ดโต ยิ่งเวลาล่วงเลยผ่านไป ใบหน้าคมสันของเขาก็ยิ่งแสดงออกถึงความเจ็บปวดและความเหนื่อยล้าจนแทบจะหมดเรี่ยวแรง ทว่าด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นและแข็งแกร่งดุจเพชร เขาจึงยังคงยืนหยัดอยู่ได้โดยมิได้ล้มลง กระบวนการสร้างใหม่ยังคงดำเนินไปอย่างเชื่องช้า

หากสามารถมองทะลุเข้าไปในร่างของเขาได้ จะพบว่าอวัยวะภายในของเขานั้นบัดนี้เต็มไปด้วยสีแดงฉานราวกับถูกเพลิงบรรลัยกัลป์เผาไหม้ มิใช่สีแดงจากโลหิต แต่เป็นสีแดงของพลังงานความร้อนอันบริสุทธิ์ ร่างกายของอวี้เหวินเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ สิ่งสกปรกต่างๆ ถูกขับออกมาจากรูขุมขนมากมาย กล้ามเนื้อเริ่มมีความแข็งแกร่ง กระชับ และยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น

เขาทำกระบวนการนี้อย่างต่อเนื่องจนกระทั่งดวงตะวันเริ่มคล้อยต่ำลงจากขอบฟ้า เขาจึงหยุดการฝึกฝน และทรุดกายลงกับพื้นดินอย่างหมดเรี่ยวแรง "ตึง!" ด้วยความเหนื่อยอ่อนและความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ร่างกายของเขามีสีแดงก่ำไปทั่วทุกส่วน น้ำที่เขาเตรียมมาด้วยนั้นเหือดแห้งไปจนไม่เหลือแม้แต่หยาดเดียว

"ฮ่าๆ! เพียงเท่านี้ก็ถึงกับทรุดกายเสียแล้วหรือ เจ้าหนู?" เสียงของซ่งเหยียนเฟยดังขึ้นเมื่อเห็นอวี้เหวินล้มลงกับพื้นดินอย่างหมดสภาพ

อวี้เหวินที่กำลังหอบหายใจถี่กระชั้นด้วยความเหนื่อยอ่อนมิได้ใส่ใจต่อคำเยาะเย้ยนั้นแม้แต่น้อย เขากำลังตั้งสติและปรับสภาพร่างกายให้กลับคืนสู่ภาวะปกติ เมื่อทุกสิ่งเริ่มเข้าที่เข้าทาง พวกเขาทั้งสองจึงเริ่มออกเดินทางกลับสู่เรือน จบสิ้นการฝึกฝนอันแสนทรหดในวันนี้

---

สามวันให้หลังจากการพักผ่อนและปรับสภาพร่างกายให้คุ้นชินกับการฝึกฝนอันหนักหน่วง อวี้เหวินก็ออกเดินทางสู่เทือกเขาอีกครั้ง คราวนี้เขาสามารถก้าวล่วงเข้าไปได้ลึกกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด สองเท้าเหยียบย่ำไปบนผืนดินที่แห้งแล้งและแตกระแหง ไอแดดร้อนระอุแผดเผาผิวกายราวกับเปลวเพลิง

เขายังคงดำเนินกระบวนการฝึกฝนเช่นเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า หล่อหลอมร่างกายของตนให้แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าที่ผ่านการตีแผ่และเผาหลอมมานับครั้งไม่ถ้วน ผ่านพ้นไปหลายราตรีที่ดวงจันทร์ทอแสงสีเงิน บัดนี้อวี้เหวินเข้าใกล้ถิ่นฐานของพยัคฆ์หางแมงป่องเกินกว่าครึ่งทางแล้ว

ขณะที่เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนลานหินทราย ดูดซับพลังไอความร้อนที่แผ่กระจายอยู่โดยรอบกาย ราวกับมีเสียงเดือดปุดๆ ดังมาจากภายในร่างของเขา คล้ายน้ำที่ถูกต้มจนถึงจุดเดือด ปุๆ ควันสีขาวจางๆ เริ่มเคลื่อนออกจากรูขุมขนทั่วทั้งร่างกาย ราวกับไอน้ำที่ระเหยขึ้นจากผิวดิน ฉ่า~ พรึ่บ! เปลวเพลิงสีแดงฉานลุกโชนขึ้นจากภายในร่างของเขา เผาไหม้เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่จนมอดไหม้กลายเป็นเถ้าธุลีในพริบตา

ตึง! เสียงดังก้องกังวานมาจากภายในร่างของอวี้เหวิน ราวกับมีกุญแจที่ปิดผนึกพลังเอาไว้ถูกปลดปล่อย พลังอันมหาศาลไหลเวียนไปทั่วทุกส่วนของร่างกายดุจกระแสธาราที่เชี่ยวกราก กล้ามเนื้อและอวัยวะต่างๆ แข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผิวหนังเปล่งประกายสีทองแดงเรืองรอง ราวกับโลหะที่ถูกขัดเงาจนขึ้นวาว

บึ้ม! เขาปลดปล่อยพลังที่สะสมไว้ออกมาด้วยการออกหมัดขวาโจมตีโขดหินที่อยู่ข้างกาย แรงปะทะมหาศาลราวกับภูเขาถล่ม ทำให้โขดหินแกรนิตขนาดใหญ่ระเบิดแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ฝุ่นผงและเศษหินปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ

"ในที่สุดข้าก็สำเร็จสู่ระดับแรกเริ่มของขั้นแรกแห่งวิชาเตาอัสนีวิบัติแล้ว! แถมยังโชคดีทะลวงสู่ขั้นกลางของระดับก่อตั้งรากฐานได้อีกด้วย ฮ่าๆ!"

เขาเปล่งเสียงหัวเราะก้องกังวานด้วยความปิติยินดีอย่างสุดจะกล่าว ราวกับนักรบผู้พิชิตที่ได้รับชัยชนะในสนามรบ

'เจ้าหนุ่มผู้นี้ ผ่านมาเพียงไม่กี่วันก็สามารถสำเร็จสู่ขั้นแรกของวิชาได้ แถมยังทะลวงสู่ระดับก่อตั้งรากฐานขั้นกลางได้อีก ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก คงมิอาจประมาทเขาได้เสียแล้ว หึ!' ซ่งเหยียนเฟยซึ่งเฝ้ามองอยู่ห่างๆ ครุ่นคิดในใจด้วยความประหลาดใจระคนชื่นชม

"เป็นอย่างไรบ้าง? ข้าเก่งกาจใช่หรือไม่เล่า? ฮ่าๆ!" อวี้เหวินกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างภาคภูมิใจ เมื่อเห็นซ่งเหยียนเฟยกำลังจับจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา

"หึ! สำเร็จเพียงเท่านี้ก็ทำเป็นคุยโว หากเจ้าสามารถสำเร็จสู่ขั้นแรกระดับสูงสุดได้ภายในหนึ่งเดือนค่อยมากล่าวคำโอ้อวดกับข้า" ซ่งเหยียนเฟยเบือนหน้าหนีเล็กน้อย ทำท่าทางไม่สบอารมณ์ แต่ในดวงตากลับแฝงไว้ด้วยความพึงพอใจ

"เจ้าคอยดูเถิด ภายในหนึ่งเดือน ข้าจะต้องทำให้สำเร็จได้อย่างแน่นอน!" เขาพูดด้วยสายตาที่มุ่งมั่นและเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น พร้อมกับหัวเราะเบาๆ ในใจที่เขาสามารถยั่วโทสะซ่งเหยียนเฟยได้บ้างแล้ว

"พวกเราเดินทางกันต่อเถอะ..." อวี้เหวินกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น พร้อมกับก้าวเท้าเข้าใกล้ถิ่นที่อยู่ของพยัคฆ์หางแมงป่องมากยิ่งขึ้น ท่ามกลางไอแดดที่แผดเผาและผืนดินที่แห้งแล้ง

---

ณ ดินแดนภาคกลางของแคว้นตงชิง ที่แห่งนี้เป็นผืนพสุธาอันกว้างใหญ่ซึ่งทอดตัวเป็นที่ราบต่ำ ดุจแผ่นกระจกเรียบล้อรับแสงตะวัน แม้นมิได้สูงตระหง่านดังขุนเขาแห่งแดนเหนือ ทว่าโดยรอบยังมีเทือกเขาน้อยใหญ่ขนาบข้าง ราวเป็นกำแพงธรรมชาติที่ล้อมรอบคุ้มกัน มองดูแล้วเปี่ยมด้วยอำนาจและความเกรียงไกร สายลมพัดพาความเย็นชื้นของแผ่นดินผสานกับกลิ่นอายแห่งป่าเขา ชวนให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสถึงความยิ่งใหญ่และลี้ลับของสถานที่แห่งนี้

ณ ใจกลางของดินแดนภาคกลาง มีเมืองหนึ่งตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่ภายใต้ร่มเงาแห่งขุนเขา เมืองนั้นมีนามว่า "เมืองเฉิน" อันเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจและความรุ่งเรือง ตระกูลเฉิน ซึ่งเป็นเชื้อสายที่สืบทอดกันมายาวนานได้ปกครองที่แห่งนี้มาหลายชั่วอายุคน ทั่วทั้งแผ่นดินต่างยำเกรงและสรรเสริญในอำนาจของพวกเขา เทือกเขาที่โอบล้อมเมืองเฉิน ราวกับมังกรโบราณที่ขดตัวปกปักษ์คุ้มครอง สายหมอกจาง ๆ ลอยเรี่ยอยู่เบื้องบน เติมเต็มบรรยากาศให้ลี้ลับและน่าครั่นคร้ามแก่ผู้มาเยือน

เมืองเฉินมีอาณาเขตปกครองอันกว้างขวางสุดลูกหูลูกตา รัศมีการปกครองขยายออกไปไกลถึงหนึ่งล้านลี้ หากมิใช่บุคคลที่ได้รับอนุญาตหรือมิได้มีธุระจำเป็น ย่อมมิอาจก้าวเท้าเข้าสู่เขตปกครองของเมืองได้โดยง่าย ประตูทางเข้าเมืองเฉินมีเพียงแห่งเดียว นั่นคือประตูใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้า ก่อสร้างขึ้นจากศิลาอันแข็งแกร่ง สูงใหญ่เสียจนหากมนุษย์ยืนอยู่เบื้องหน้าก็ไม่ต่างจากมดปลายตีนช้าง ใต้ซุ้มประตูนั้นมียามสองนายยืนเฝ้าอยู่ตลอดเวลา ดวงตาคมปลาบจับจ้องผู้คนที่เข้าออกทุกขณะ ไม่มีสิ่งใดเล็ดลอดสายตาไปได้โดยง่าย

ชายทั้งสองเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับ "หลอมรวมกายา" อันเป็นระดับชั้นที่ยังมิมีลมปราณ ทว่ามีกายาอันแข็งแกร่งเหนือมนุษย์ทั่วไป พวกเขาหาใช่เพียงยามเฝ้าประตูธรรมดา หากแต่เป็นยอดฝีมือที่สามารถข่มขวัญศัตรูได้เพียงแค่ยืนอยู่เฉย ๆ แม้มิได้แผ่ลมปราณออกมา ทว่ารัศมีแห่งพลังอันหนักแน่นยังคงแผ่ซ่านออกจากร่างกาย สร้างความกดดันให้แก่ผู้คนที่ผ่านเข้าออกโดยมิอาจหลีกเลี่ยง เมืองเฉินนั้นหาใช่สถานที่ที่ผู้ใดจะมากระทำการอุกอาจได้โดยง่าย ทุกคนต่างรู้ดีว่า หากผู้ใดล่วงเกินตระกูลเฉิน ย่อมเป็นการรนหาที่ตายอย่างแท้จริง

ด้วยเหตุนี้ คู่กรณีมากมายที่หนีหัวซุกหัวซุนจากการไล่ล่า มักจะมุ่งหน้าสู่เมืองเฉิน เพราะแม้แต่ศัตรูที่โหดเหี้ยมเพียงใด ก็ยังมิกล้าก่อเรื่องในสถานที่แห่งนี้ กระนั้น ความสงบสุขที่ได้รับก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น เมื่อถึงคราวที่ต้องออกจากเมือง วันนั้นอาจเป็นวันสุดท้ายของชีวิตที่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับคู่แค้น เมืองเฉินจึงได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่ปลอดภัยที่สุดของแคว้นตงชิง ทว่าก็มิใช่ทุกผู้คนจะสามารถพำนักอยู่ได้นาน ผู้ที่มิใช่ประชาชนของเมือง หากมิได้เป็นพ่อค้าหรือมีหนังสือรับรองจากทางราชการ ก็จะได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น ครั้นพ้นกำหนด ย่อมต้องออกไปโดยไม่มีข้อยกเว้น

ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลเข้าสู่เมืองเฉิน บ้างมาลำพัง บ้างมากันเป็นหมู่คณะ คาราวานสินค้าขบวนใหญ่เดินทางมาพร้อมเสียงกุบกับของเกือกม้าที่กระทบพื้นดิน ผู้บ่มเพาะพลังจากทั่วแคว้นต่างมุ่งหน้ามายังที่แห่งนี้ หาใช่เพียงเพื่อซื้อหาสิ่งของล้ำค่าหรือวัตถุดิบหายากที่หามิได้จากที่อื่นเท่านั้น แต่ยังมีผู้มากมายที่ใฝ่ฝันจะได้รับใช้ตระกูลเฉิน แม้เพียงได้เป็นยามเฝ้าประตู ก็นับเป็นเกียรติแห่งชีวิตอันเพียงพอให้ตระกูลของตนภาคภูมิสืบไปอีกนับร้อยรุ่น

เหนือท้องนภาของเมืองเฉิน มักปรากฏเงาของผู้บ่มเพาะระดับสูงควบขี่พาหนะวิถีเซียน บ้างเหยียบบนกระบี่บิน บ้างขี่สัตว์อสูรเทพ สายเลือดมังกรและหงส์ บ้างแม้แต่ขี่อสูรในตำนานที่ไม่เคยมีผู้ใดรู้จักมาก่อน สัตว์อสูรแปลกประหลาดปรากฏให้เห็นทั่วท้องฟ้า ดั่งภาพฝันเหนือโลกมนุษย์ ทว่ากฎของเมืองเฉินย่อมเป็นกฎ ไม่ว่าผู้ใดปรากฏตัว ณ ประตูเมือง ไม่ว่ายิ่งใหญ่เพียงใด ต้องปล่อยพาหนะของตนไว้ด้านนอกแล้วเดินเท้าเข้าเมืองอย่างสงบเสงี่ยม มิมีข้อยกเว้นให้แก่ผู้ใด

ณ เมืองเฉิน ผังเมืองถูกออกแบบอย่างวิจิตรบรรจง ดั่งต้องการสะท้อนความรุ่งเรืองของตระกูลเฉิน ถนนทุกสายเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ สะท้อนถึงความปราณีตและการวางแผนที่รอบคอบ สิ่งปลูกสร้างทั้งหลายตั้งตระหง่านอย่างสง่างาม ถูกจัดวางอย่างลงตัว ไร้ซึ่งความยุ่งเหยิงแม้เพียงเล็กน้อย ถนนหลักของเมืองปูด้วยหินแกรนิตชั้นเลิศ มีความแข็งแกร่งยากจะหาใดเทียบ แม้รถม้านับสิบจะวิ่งเรียงกัน ก็ยังเหลือพื้นที่กว้างขวางให้ผู้คนสัญจรไปมาได้อย่างสะดวกสบาย

หากแหงนมองสู่ฟากฟ้า จะพบว่าบรรดาตำหนักสูงตระหง่านและหอคอยงดงามลอยล่องเหนือขุนเขาขนาดย่อม ราวกับแผ่นดินเบื้องบนเต็มไปด้วยความพิศวง ม่านหมอกบางเบาลอยเอื่อยอยู่ทั่วทั้งเมือง น้ำตกไหลรินลงมาตามหน้าผา เสียงน้ำกระทบโขดหินดังคลอเคลียไปกับเสียงนกที่ขับขานแข่งกันอย่างไพเราะ ผู้ใดก็ตามที่ได้มาเยือนล้วนรู้สึกราวกับย่างกรายเข้าสู่แดนสวรรค์ บรรยากาศทั่วทั้งเมืองเฉินอบอวลไปด้วยพลังปราณอันบริสุทธิ์ ก่อให้เกิดการไหลเวียนของพลังฟ้าดินอย่างหนาแน่น เป็นดั่งสวรรค์สำหรับผู้บ่มเพาะ แม้แต่ผู้คนธรรมดายังได้รับประโยชน์จากพลังปราณนี้ ส่งผลให้ร่างกายแข็งแกร่งและอายุยืนยาวกว่าผู้คนทั่วไป

ความอัศจรรย์นี้หาใช่เรื่องบังเอิญ หากแต่เป็นผลลัพธ์ของค่ายกลนภาแปดทิศ ค่ายกลศักดิ์สิทธิ์ที่โอบล้อมปกป้องเมืองเฉินไว้เสมือนกำแพงอันมองไม่เห็น นอกจากเป็นเกราะป้องกันแล้ว ยังสามารถปรับสมดุลพลังแห่งฟ้าดิน เสริมสร้างสภาพแวดล้อมภายในเมืองให้เปี่ยมด้วยพลังเซียนอย่างหาใดเปรียบ เป็นหนึ่งในมรดกอันล้ำค่าของตระกูลเฉินที่สืบทอดกันมาเนิ่นนาน

ใจกลางของเมืองเฉิน คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลเฉิน ประตูขนาดมหึมาและกำแพงสูงเสียดฟ้ากั้นขอบเขตไว้อย่างแน่นหนา เผยให้เห็นถึงอำนาจและเกียรติยศที่มิอาจมีผู้ใดล่วงละเมิด หน้าประตูหลัก มียามเฝ้าเวรยืนตระหง่าน ดวงตาคมกริบเปี่ยมไปด้วยไอสังหาร พวกเขาเป็นยอดฝีมือระดับปราณขั้นสูง สวมชุดเกราะเต็มยศ มือขวากุมดาบยาวไว้แน่น แผ่รังสีอันเย็นเยียบให้ผู้พบเห็นต้องสะท้านเกรงกลัว

ภายในเขตตระกูลเฉินถูกแบ่งออกเป็นขุนเขาหลายแห่ง แต่ละขุนเขาล้วนเป็นที่พำนักของเหล่าผู้อาวุโสและบุคคลสำคัญ โดยเฉพาะขุนเขาที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งเป็นที่ประทับของประมุขตระกูล ที่แห่งนี้สง่างามดั่งแดนสวรรค์ ลอยตัวสูงเหนือผืนดิน รายล้อมไปด้วยแม่น้ำใสสะอาด น้ำตกที่ไหลลงมาจากหน้าผาสูงชันส่งเสียงก้องกังวานไปทั่วปฐพี เหล่าภูตพฤกษาและสัตว์วิหคสยายปีกลอยล่องไปในสายลม เผยถึงความอุดมสมบูรณ์เกินกว่าคำบรรยาย

ย่างก้าวเข้าสู่เขตของตระกูลเฉิน ราวกับหลุดเข้าไปยังอีกโลกหนึ่ง โลกที่เต็มไปด้วยความลึกลับ อำนาจ และความยิ่งใหญ่จนผู้มาเยือนอดมิได้ที่จะเกิดความหวั่นเกรง ภูมิทัศน์ทุกสิ่งทุกอย่างสะท้อนถึงความรุ่งเรืองแห่งยุทธภพ และความแข็งแกร่งของตระกูลเฉินที่ไม่มีวันสั่นคลอน!

ภายในตำหนักสูงสุดของยอดเขาประมุขตระกูลเฉิน เปลวไฟจากตะเกียงทองเหลืองส่องแสงวูบไหว ทอประกายสีอำพันทอดเงาทาบลงบนผนังไม้แกะสลักลวดลายวิจิตร ราตรีบนขุนเขาเงียบสงัด มีเพียงเสียงสายลมพัดผ่านและเสียงใบไม้เสียดสีเป็นจังหวะ

หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนอยู่ริมหน้าต่าง นางสวมอาภรณ์ไหมพรมชั้นเลิศสีเขียวมรกต ท่วงท่าสง่างาม แม้กาลเวลาจะทิ้งร่องรอยไว้บนใบหน้า ทว่าความงดงามในวันวานยังคงสะท้อนออกมาอย่างเด่นชัด นางทอดสายตาผ่านบานหน้าต่างไปยังผืนฟ้ากว้าง พลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“เซี่ยงกง ท่านไม่เห็นว่าท่านเข้มงวดกับเยว่เออร์เกินไปหรือ นางถูกกักให้อยู่แต่ในห้องเช่นนี้ จะไม่อึดอัดจนทนไม่ได้หรือ”

ชายชราในอาภรณ์สีแดงเข้มขลิบทองยืนสงบนิ่ง ดวงตาของเขาคมปลาบราวกับดาบโบราณสะท้อนแสงจันทร์ ผมขาวโพลนดุจหิมะบนยอดเขาสูง สัญลักษณ์ดาบทองอันเป็นเครื่องหมายแห่งประมุขตระกูลเฉินเด่นชัดบนแผ่นหลังอันทรงอำนาจ

“หึ เจ้าหมายถึงนางหรือ? เจ้าจะปล่อยให้นางหลบหนีออกไปอีกครั้งรึ?” น้ำเสียงของเขาเย็นเยียบ ทว่าภายใต้ความเคร่งขรึม กลับแฝงไว้ด้วยความผิดหวังที่ไม่อาจระงับ

หญิงงามถอนหายใจ นางหันกลับมาประจันหน้ากับสามี ดวงตาสะท้อนความกังวลลึกซึ้ง

“เวลาผ่านไปเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ท่านยังไม่อาจให้อภัยนางได้หรือ”

ประมุขเฉินขมวดคิ้ว เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ไม่ใช่เพราะนางหรือที่ทำให้พวกเราเป็นตัวตลกในหมู่ผู้บ่มเพาะทั่วแคว้น นางมีพรสวรรค์สูงส่ง แต่กลับ...”

เขากำมือแน่น ทว่าหลังจากนั้นกลับสะบัดแขนเสื้อคล้ายต้องการสลัดความไม่พอใจออกไป

“ช่างเถิด! หากเจ้ากังวลนัก เช่นนั้นข้าจะยอมให้นางออกมาเดินเล่นบ้าง แต่ต้องจำกัดอยู่แค่บนภูเขานี้เท่านั้น และให้ผู้คนจับตาดูนางอย่างใกล้ชิด มิให้นางคิดหลบหนีอีก” กล่าวจบเขาหันหลังเดินออกจากห้องไป

หญิงงามยืนมองแผ่นหลังของสามีที่ห่างออกไปทุกที นางระบายลมหายใจแผ่วเบา ริมฝีปากขยับพึมพำเบา ๆ

“เซี่ยงกง ต่อให้เยว่เออร์ทำผิดเพียงใด ท่านก็ไม่มีวันลงโทษนางอย่างแท้จริงได้อยู่ดี...เพราะสุดท้ายนางก็คือลูกสาวของท่าน”

แสงแดดยามสายยังคงสาดส่องลงมายังลานกว้างเบื้องล่าง ลมอุ่นเอื่อยพัดพากลีบดอกเหมยให้ร่วงหล่น ลอยลิ่วตามสายลมราวกับบอกเล่าถึงชะตากรรมที่ยังไม่อาจคาดเดาได้ของสตรีนางหนึ่ง นางทอดสายตาไปยังฟากฟ้าไกล ก่อนจะก้าวออกจากห้องอย่างเงียบงัน

---

ณ ขุนเขาอันยิ่งใหญ่ตระหง่านฟ้า กินอาณาเขตกว้างไกลสุดลูกหูลูกตานับร้อยลี้ ผืนป่าดกครึ้มแผ่ปกคลุมไปทั่ว ทุกมวลสรรพชีวิตล้วนหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ บนภูผาอันอุดมสมบูรณ์แห่งนี้ ปรากฏสิ่งปลูกสร้างมากมาย หลากหลายล้วนสะท้อนถึงรากเหง้าของวัฒนธรรมอันรุ่งเรือง

ท่ามกลางแนวไม้สูงตระหง่าน มีบ้านไม้หลังหนึ่งตั้งอยู่โดดเด่น งดงามดั่งสรวงสวรรค์ต้องมนต์ บ้านหลังนี้ถูกออกแบบตามสถาปัตยกรรมจีนโบราณ หลังคาทรงโค้งล้อไปกับสายนภา เสาไม้แกะสลักลวดลายงามวิจิตร รายล้อมด้วยสวนไผ่เขียวขจี ที่เบื้องล่างของเรือนงามแห่งนี้ ธารน้ำตกสายใหญ่ไหลรินไม่ขาดสาย น้ำใสกระเซ็นเป็นฟองขาวดั่งเกล็ดหิมะต้องแสงจันทร์ เบื้องล่างของน้ำตกเป็นวังน้ำลึกกว้าง ฝูงปลาหลากสีสันพากันว่ายเวียนกระโจนขึ้นลงดั่งร่ายรำ รื่นรมย์ยิ่งนัก

หน้าประตูไม้แกะลวดลายสลักทอง บุรุษร่างสูงใหญ่ ยืนตระหง่านเป็นสง่า รูปร่างของเขากำยำดั่งขุนเขา กล้ามเนื้อแน่นหนันประหนึ่งเหล็กกล้า แววตาคมกริบดุจพยัคฆ์ สอดส่องทั่วบริเวณโดยรอบมิให้คลาดสายตา เสียงลมหายใจของเขาสม่ำเสมอ ท่วงท่ายืนองอาจเผยถึงวรยุทธ์อันแข็งแกร่ง ไม่มีสิ่งใดสามารถหลุดรอดจากการจับตามองของเขาไปได้

ภายในตัวเรือน เมื่อก้าวผ่านบานประตูเข้าไป จะพบกับห้องหับมากมายถูกจัดวางอย่างมีระเบียบ ขณะนี้ในห้องหนึ่ง หญิงสาววัยกลางคนรูปโฉมงดงามประหนึ่งเทพธิดากำลังนั่งทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง นางสวมชุดยาวสีขาวบริสุทธิ์ อาภรณ์พลิ้วไหวไปตามสายลมอ่อน นั่งพิงพนักเก้าอี้ไม้แกะสลักอย่างสง่างาม ใบหน้างามหมดจดของนางฉายแววโศกเศร้า บรรยากาศรอบข้างเงียบงัน มีเพียงเสียงธารน้ำไหลรินและเสียงลมกระซิบผ่านไผ่

ใต้เบื้องบัลลังก์ไม้ สาวใช้ผู้หนึ่งคุกเข่านั่งอย่างนอบน้อม เฝ้ารอคำสั่งจากนายหญิงโดยมิกล้าเปล่งวาจาใดๆ นางเพียงเงยหน้ามองเจ้านายของตนด้วยสายตาเคารพ

นางทอดถอนใจแผ่วเบา สายตามองฝูงนกที่บินเป็นแนวแถบไกลสุดขอบฟ้า เฝ้าดูฝูงปลากระโดดโลดเต้นอยู่ในวังน้ำ เสียงสายลมพัดแผ่ว เสียงน้ำตกดังเป็นจังหวะดุจดนตรีจากสรวงสวรรค์ หากแต่จิตใจของนางกลับมิอาจสงบลงได้

'เหวินเอ๋อร์... ท่านพี่... เวลานี้พวกท่านเป็นเช่นไรบ้าง?'

เสียงรำพึงแผ่วเบาราวกระซิบ นางขบเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาเจือแววโศกเศร้า 'แม้ว่าบัดนี้ข้าจะได้กลับมาอยู่ ณ บ้านเกิดแห่งนี้ ที่ซึ่งข้าได้ลืมตาดูโลก เติบใหญ่และเจริญวัยมา หากแต่เหตุใดเล่า ความอบอุ่นในใจจึงมิอาจหวนคืน…'

หยาดน้ำตาใสค่อยๆ เอ่อคลอที่ขอบตาคู่งาม หัวใจของนางปวดร้าวดุจคมมีดกรีดเฉือน

'ข้าคิดถึงพวกเจ้าจับใจ หวังว่าพวกเจ้าจะสุขสบาย ไร้ทุกข์โศก หวังว่าเหวินเอ๋อร์จะเติบโตเป็นเด็กดี ใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์ธรรมดาทั่วไป… อย่าได้เกี่ยวข้องกับโลกแห่งผู้บ่มเพาะอีกเลย'

เมื่อความคิดดำดิ่งลึกลงไป น้ำตาก็เริ่มพร่างพราย สายตาของนางพร่ามัวลง ทว่าท่ามกลางความเศร้าโศกนั้น กำปั้นเล็กของนางกลับค่อยๆ กำแน่นขึ้น

'ข้าจะหาโอกาสกลับไปหาพวกเจ้าให้จงได้…'

นางเช็ดหยาดน้ำตาบนแก้ม ขับไล่ความอ่อนแอออกจากใจ แววตาที่สั่นไหวพลันแปรเปลี่ยนเป็นแน่วแน่ ดุจอัคคีที่ถูกโหมไฟให้ลุกโชน นางมิอาจรอชะตากำหนดอีกต่อไป…

*1ลี้=0.5กม.

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทที่เกี่ยวข้อง

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่9 ราตรีลึก ณ เหมยเหว่ย เงาอำนาจและหมากในกระดาน

    ท่ามกลางเมืองเฉินอันคึกคัก มีร้านอาหารหรูแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ในย่านเก่าแก่ของเมือง แม้ขนาดของมันจะมิได้ใหญ่โตโอฬาร ทว่ากลับแฝงไปด้วยร่องรอยของกาลเวลาที่สั่งสมมาเนิ่นนาน ร้านอาหารแห่งนี้มีชื่อว่า "美味" (Měiwèi, ของกินเลิศรส) ซึ่งนับเป็นร้านอาหารที่มีเกียรติและได้รับการยอมรับสูงสุดในเมืองเฉิน เมื่อย่างกรายเข้ามาเบื้องหน้าร้าน ผู้อาจหาญทั้งหลายย่อมต้องหยุดสายตาลงยังป้ายไม้เก่าแก่ที่แขวนอยู่เหนือประตู ป้ายไม้แผ่นนี้ถูกสลักด้วยลายมือวิจิตรงดงาม บ่งบอกถึงชื่อร้านที่สืบทอดมาแต่โบราณ ด้านข้างของร้าน อักษรสลักบนผนังทั้งสองฝั่งยิ่งเสริมความหนักแน่นให้แก่สถานที่แห่งนี้ ทางขวาคือคำว่า "张进鸿" (เตียจิงฮ้ง, เจริญก้าวหน้าเกริกก้องเกรียงไกร) และทางซ้ายคือ "荣耀" (Róngyào, มีเกียรติอันประเสริฐรุ่งโรจน์) หากบุคคลทั่วไปได้พบเห็น คงเข้าใจว่านี่เป็นเพียงคำอวยพรเพื่อเสริมสิริมงคล ทว่าผู้ที่ล่วงรู้เบื้องลึกแห่งร้านเหมยเหว่ยย่อมตระหนักดีว่า นี่มิใช่เพียงถ้อยคำมงคล หากแต่เป็นปณิธานอันหนักแน่นของสถานที่แห่งนี้ อักษรด้านขวาถูกจารึกขึ้นเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้คนที่แวะเวียนมารับประทานอาหาร ณ ที่แห่งนี้ โดยเฉ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่10 ข้าไม่ได้ตั้งใจ!!

    "ช่างเป็นเคล็ดวิชาที่ลึกล้ำเกินหยั่งถึง!" อวี้เหวินอุทานด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ดวงตาเป็นประกายราวกับค้นพบขุมทรัพย์ล้ำค่า เขาทอดสายตามองไปยังห้วงความคิด พลางหวนรำลึกถึงเนื้อหาของเคล็ดวิชาอีกครา 'เคล็ดวิชาหมัดอัคนีสังหารนั้น แบ่งออกเป็นสามขอบเขตใหญ่ อันได้แก่ ปฐพี อัคคี และวารี แต่ละขอบเขตยังแบ่งย่อยออกเป็นสามระดับ คือ เเรกเริ่ม กลาง และสูงสุด ในขอบเขตปฐพีนั้น เป็นการวางรากฐานแห่งกระบวนท่าของหมัดอัคนีสังหาร พลังอำนาจแห่งหมัดในระดับเริ่มต้นอยู่ที่สามร้อยจิน ระดับกลางอยู่ที่หกร้อยจิน และระดับสูงสุดอยู่ที่เก้าร้อยจิน' ภาพกระบวนท่าอันสลับซับซ้อนเริ่มฉายชัดในมโนสำนึกของอวี้เหวิน ราวกับมีผู้มาสาธิตอยู่ตรงหน้า เขาสังเกตทุกการเคลื่อนไหว จดจำทุกรายละเอียด เมื่อเริ่มเข้าใจในแก่นแห่งวิชาแล้ว อวี้เหวินจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เริ่มต้นร่ายรำตามภาพที่ปรากฏในห้วงนิมิต ฝ่ามือและหมัดถูกส่งออกไปในอากาศอย่างหนักแน่น สลับหมุนเวียนราวกับพายุโหมกระหน่ำ เท้าก้าวไปตามจังหวะ ท่วงท่าการยืนมั่นคงดุจขุนเขา ทุกอิริยาบถที่แสดงออกมาล้วนสง่างามและหนักแน่นราวกับผืนปฐพีอันกว้างใหญ่ ในระหว่างที่ฝึกฝนเพลงหมัด อวี้เหวินมิไ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่11 "สองบุรุษ" หนึ่งหิน...วุ่นวายยกใหญ่!

    ยามเมื่อสุริยันเยื้องย่างลงจากนภา โลกธาตุพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มชาด แสงสุดท้ายสาดส่องทาบทาทิวเมฆราวกับผ้าไหมปักลาย เด็กหนุ่มนามว่าอวี้เหวินก้าวเดินอย่างเชื่องช้า ทอดฝีเท้าหนักแน่นแต่มิได้เร่งรีบ จุดหมายปลายทางคือบ้านหลังน้อย แสงไฟสลัวริบหรี่ลอดออกมาจากบานหน้าต่างไม้ในอีกไม่กี่ก้าวเบื้องหน้า ความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักตลอดวันเกาะกุมหัวใจ ทว่าเมื่อย่างเท้าเข้าสู่เรือน ได้รับการต้อนรับอันอบอุ่นและการดูแลเอาใจใส่จากผู้เป็นบิดา ความอ่อนล้าทั้งมวลก็มลายหายสิ้นดุจไอหมอกยามรุ่งอรุณ หลังจากอวี้เหวินและบิดาได้ร่วมโต๊ะทานอาหารค่ำ พูดคุยสารทุกข์สุกดิบจนกระทั่งราตรีเริ่มย่างเข้าสู่ยามดึกสงัด อวี้เหวินจึงนั่งลงขัดสมาธิ สงบจิตใจปรับลมปราณอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะล้มตัวลงนอน ณ ห้วงความมืดมิดภายในเม็ดหินอัญมณีสีดำสนิทที่ห้อยอยู่บนคอของอวี้เหวิน ปรากฏร่างหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวอย่างอ้อยอิ่ง “สามสิบสี่… สามสิบห้า… เวลาล่วงเลยมาเกือบเดือน ข้ากลับเคลื่อนกายมาได้เพียงสามสิบห้าก้าวเท่านั้น เบื้องหน้าจักมีสิ่งใดซ่อนอยู่อีกเล่า?” ซ่งเหยียนรำพึงรำพันกับตนเอง พลางหายใจหอบถี่ราวกับคนจมน้ำ เขานั่งลง หลับตาลงเพื่อ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่12 ขบวนสินค้าตระกูลหวัง

    เปลือกตาที่หนักอึ้งราวกับถูกถ่วงด้วยตะกั่วค่อยๆ เปิดขึ้น เผยให้เห็นดวงตาที่ยังคงพร่าเลือนและง่วงงุน ร่างกายที่อ่อนล้าประหนึ่งถูกบั่นทอนเรี่ยวแรงของอวี้เหวินค่อยๆ ขยับเขยื้อนอย่างเชื่องช้า ก่อนจะพยุงกายลุกขึ้นนั่งบนเตียงไม้เนื้อดี มือเรียวลูบไล้ใบหน้าของตนเองเบาๆ เพื่อขับไล่ความง่วงงุนให้จางหายไป หลังจากเหตุการณ์พลิกผันเมื่อสามราตรีล่วงผ่าน อาการบาดเจ็บของอวี้เหวินก็สมานหายราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รุ่งอรุณแห่งวันนี้ เขาตื่นขึ้นด้วยความสดชื่น เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางไปฝึกฝนวิชาอีกครั้ง อวี้เหวินเริ่มบริหารร่างกายด้วยท่วงท่าที่คุ้นเคยเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม ก่อนจะจัดเตรียมสัมภาระต่างๆ สำหรับการเดินทาง ในขณะที่เขากำลังตรวจตราสิ่งของภายในห่อผ้าอยู่นั้น เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นในห้วงความคิด "วันนี้เป็นวันที่จะต้องบุกเข้าไปในเขตแดนของพยัคฆ์หางแมงป่อง ซึ่งด้วยพละกำลังของเจ้าในยามนี้ ยังมิอาจบุกเข้าไปโดยลำพังได้ จำเป็นต้องมีสิ่งป้องกันไอความร้อนอันร้อนระอุจากรังของพวกมัน" อวี้เหวินแสดงสีหน้าเข้าใจ ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยถามด้วยความสงสัย "อย่าว่าแต่สิ่งใดใช้ป้องกันเลย แม้แต่ชื่อของมัน ข้

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่13 คุณสมบัติของผู้ยิ่งใหญ่

    "ฟ่อๆๆ!" เสียงขู่คำรามดุดันราวอสูรร้ายคำรามก้องกังวาน พร้อมกับร่างของอสรพิษลายพาดกลอนตัวเขื่อง พุ่งทะยานจากเงามืดแห่งโขดหินด้านหลัง หมายจะฉกกัดอวี้เหวินด้วยความเร็วราวสายฟ้าฟาด เขี้ยวแหลมคมสีเหลืองอำพันเผยให้เห็นถึงพิษร้ายที่พร้อมจะคร่าชีวิตในพริบตา"ฉัวะ!" อวี้เหวินที่ประสาทสัมผัสว่องไวดุจเหยี่ยวล่าเหยื่อ พลิกกายหลบหลีกได้อย่างหวุดหวิด พร้อมกับเหวี่ยงมือขวาออกไปราวกับแส้เหล็ก ฟาดเข้าที่กลางลำตัวของอสรพิษอย่างแม่นยำ เสียงเนื้อแตกดังสนั่น ร่างกายของงูร้ายพลันแหลกเหลว เลือดสีแดงฉานกระเซ็นเปรอะเปื้อนไปทั่วบริเวณ ราวกับพู่กันยักษ์สาดสีลงบนผืนดิน อวี้เหวินชักมือกลับ ดวงตาคมกริบจ้องมองซากอสรพิษด้วยความเหนื่อยล้า"นี่ก็เป็นตัวที่สามสิบแล้วกระมัง มิหนำซ้ำพลังของพวกมันยังเพิ่มพูนขึ้นอีกด้วย" เขาเอ่ยพลางยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลอาบแก้ม ดวงหน้าหล่อเหลาปรากฏร่องรอยความอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด ลมหายใจเริ่มถี่กระชั้น"เพียงเท่านี้เจ้าก็หอบเสียแล้วหรือ? แค่งูหางแมงป่องตัวเล็กกระจ้อยร่อยพวกนี้" เสียงทุ้มนุ่มของบุรุษผู้หนึ่งดังกระซิบข้างใบหูของอวี้เหวิน ราวกับภูตพรายปรากฏกายขึ้นจากความว่างเปล่า พร้อมกับร

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่14 พยัคฆ์หางเเมงป่อง

    ตึง! เงาร่างนั้นโผล่ออกมาท่ามกลางอากาศอันร้อนระอุ มันเป็นเงาร่างใหญ่ทะมึน แผ่กลิ่นอายอันร้อนแรงทั่วบริเวณ ขนทั่วกายแดงฉานดั่งเปลวเพลิง รูปร่างเป็นพยัคฆ์ล่ำสัน ทว่าสิ่งที่น่าสะพรึงยิ่งกว่ากลับเป็นหางแหลมคมที่คล้ายหางแมงป่อง สั่นไหวอยู่เบื้องหลัง เพียงแค่จ้องมอง ก็ทำให้ผู้พบเห็นต้องหวาดหวั่นจนหัวใจสั่นสะท้านทันทีที่มันเห็นซ่งเหยียนเฟยอยู่เบื้องหน้า ดวงตาแดงฉานพลันฉายแววดุร้าย มันอ้าปากกว้างส่งเสียงคำรามก้อง 'กรรร!' เสียงสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ ราวกับประกาศถึงความโกรธเกรี้ยวของมัน ดวงตาอำมหิตจับจ้องบุรุษร่างเล็กเบื้องหน้าอย่างไม่ลดละ มันเห็นเขาเป็นผู้บุกรุกที่ล่วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตของมัน โดยไม่รอช้า มันยกอุ้งเท้าตบลงหนักๆ หนึ่งครั้งก่อนกระโจนเข้าใส่ซ่งเหยียนเฟยอย่างดุดัน!ซ่งเหยียนเฟยมองเห็นร่างอสูรตรงหน้า นัยน์ตาพลันทอประกายเย็นเยียบ เขาจ้องมันเขม็งก่อนกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่น "พยัคฆ์หางแมงป่อง!"ไม่รอช้า มือข้างหนึ่งพลันยื่นออก ก่อนสะบัดเบาๆ ทว่ากลับทรงพลัง แสงสีแดงเลือดพลันปรากฏขึ้น วาบผ่านอากาศด้วยความเร็วเหนือคาด เพียงพริบตาเดียว แสงนั้นก็ทะลุผ่านร่างอสูร ราวกับคมมีดอันเฉียบคมแล่

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่15 เเหวนมิติ

    ยามรุ่งอรุณสาดส่องแสงทองอ่อนๆ ลงบนพื้นดิน พร้อมกับเสียงนกร้องเบาๆ ในยามเช้า อวี้เหวินรับประทานอาหารเช้าร่วมกับบิดาเสร็จสิ้น ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและแรงปรารถนาในการเดินทาง ครั้งนี้เขาตั้งใจเร่งมุ่งหน้าไปยังร้านค้าของชายหนุ่มนามหวังหลินล้วนเกิดจากที่อวี้เหวินเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของภาระที่ต้องพกพาไว้กับตัวเสมอ กระเป๋าที่เก็บของส่วนตัวกลายเป็นอุปสรรคในชีวิตประจำวัน เขาต้องพกพาสิ่งของมากมายไม่ว่าจะเป็นเเก่นพลังของอสูร สมุนไพร หรืออุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการฝึกฝน และทุกครั้งที่ต้องออกเดินทาง การบรรทุกสิ่งเหล่านั้นไปด้วยก็ย่อมสร้างความลำบากให้แก่เขา ความหนักหน่วงของสัมภาระทำให้เขาหยุดคิดและตระหนักถึงความจำเป็นของการมีที่เก็บของที่สะดวกและปลอดภัย จึงเป็นเหตุให้เขาเริ่มค้นหาวิธีการที่จะทำให้การเดินทางของเขาสะดวกสบายยิ่งขึ้น จึงได้ไปปรึกษาซ่งเหยียนเฟย ผู้ซึ่งเคยมีประสบการณ์ในวงการปราณยุทธ์ จนได้รู้จักกับสิ่งมหัศจรรย์หนึ่ง ซึ่งเป็นที่เก็บของที่ไม่ธรรมดา มันคือ "แหวนมิติ" ที่สามารถบรรจุสิ่งของไว้ได้ในช่องว่างของมิติ เหมือนกับการมีห้องส่วนตัวอยู่ท่ามกลางอากาศโดยที่ไม่ต้องพึ่

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่16 ดาบทลายฟ้าปรากฎตัว!

    ทันใดนั้น เสียงทุ้มลึกลับดังก้องขึ้นในห้วงสำนึกของเขา เป็นเสียงของซ่งเหยียนเฟยที่อยู่ในสร้อยคอ “อวี้เหวิน เจ้าสังเกตหรือไม่? พยัคฆ์หางแมงป่องพวกนี้ผิดแผกจากธรรมชาติเดิมของมัน สติปัญญาของพวกมันสูงกว่าที่ควรเป็น อีกทั้งสถานที่แห่งนี้ราวกับถูกแยกออกจากโลกภายนอก… บางที ราชันของพวกมัน อาจมิได้อ่อนแอเช่นที่เจ้าคิด” อวี้เหวินขมวดคิ้วแน่น ในใจพลันรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล แต่ยังไม่ทันได้ขบคิดมากกว่านี้ ซ่งเหยียนเฟยก็กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าบาดเจ็บหนัก ข้าจะช่วยจัดการพวกมันเอง” ทันใดนั้น ปราณสีแดงฉานดุจโลหิตพลุ่งพล่านออกมาจากสร้อยคอ มันแผ่กระจายไปทั่วถ้ำ ประหนึ่งดาบเทพสังหารที่พร้อมจะเชือดเฉือนทุกสิ่งให้แหลกสลาย พริบตาเดียว ปราณคมกริบดั่งคมมีดนับพันเส้นพุ่งออกไป เสียงแหวกอากาศดังสนั่น ฉัวะ! ร่างของพยัคฆ์หางแมงป่องระดับหลอมกายาที่ซุ่มมองอยู่ถูกปราณดาบสีโลหิตเฉือนขาดสะบั้น แขนขาขาดกระเด็น เลือดดำพุ่งกระจายราวกับสายฝนที่โรยตัวลงสู่พื้น เสียงกรีดร้องโหยหวนดังก้องทั่วถ้ำ ก่อนร่างมหึมาจะระเบิดออกเป็นเศษเนื้อกระจายไปทั่วบริเวณ กลิ่นคาวคลุ้งไปทั่ว อวี้เหวินเพ่งมองภาพนั้น พลันรู้สึกถึงแรง

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-04-20

บทล่าสุด

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่50 "มิได้ตั้งใจมอง!"...คำสารภาพที่มาพร้อมรอยฝ่ามือ!

    ประตูไม้เก่าเก็บของเพิงพักส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเมื่อถูกผลักเปิดออก เสาไม้ผุกร่อนเอียงตามแรงลมประหนึ่งจะถล่มลงได้ทุกเมื่อ กลิ่นอับชื้นจากเศษฝุ่นและไม้เก่าภายในชวนให้นึกถึงเพิงร้างไร้ผู้คน อวี้เหวินก้าวเข้าสู่ที่พักชั่วคราวนั้นอย่างระมัดระวัง แขนแข็งแรงประคองร่างบางในชุดขาวของสตรีเบื้องหน้าไว้แนบอก ราวกับกลัวเพียงแรงสะเทือนเพียงน้อยจะทำให้นางแตกสลายยามเมื่อร่างบอบบางถูกวางลงบนฟูกฟางเก่าเนื้อดี มือแกร่งค่อยประคองจัดท่าให้สตรีผู้นั้นนั่งลงอย่างนุ่มนวล แม้ใบหน้างามล่มเมืองจะถูกผืนแพรบางสีขาวปิดบังไว้ ทว่ารัศมีแห่งความงามราวเทพธิดาจำแลงก็มิอาจซ่อนเร้นได้ นางนั่งสงบนิ่งราวกับภาพวาดจากปลายพู่กันของจิตรกรสวรรค์ แสงจันทร์นวลผ่องสาดส่องลงมาเป็นลำ เส้นผมดำขลับยาวสลวยดั่งน้ำตกจากผา สูบประกายจากผิวขาวผ่องราวหิมะแรกต้องแสง จนบุรุษผู้พบเห็นมิกล้าแม้แต่จะสัมผัสอวี้เหวินสูดลมหายใจลึก มือหนึ่งค่อยเอื้อมไปปลดปมเสื้อคลุมเนื้อละเอียดทางด้านหลัง นิ้วมือที่เคยชาชินกับการจับดาบในสนามรบ กลับสั่นระริกเมื่อสัมผัสผืนผ้าบางเบาดุจกลีบเมฆ เสื้อคลุมสีขาวนวลค่อยๆ ร่วงหล่นจากบ่า เผยแผ่นหลังขาวเนียนราวมรกตไร้ตำหนิ นุ่มละ

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่49 คืนเเห่งความสูญสิ้น ดวงดาวดับเเสง

    ใต้ฟ้าค่ำ...ทะเลไร้คลื่นลมกลับโหมกระหน่ำด้วยกลิ่นอายแห่งการประทะอันเกรี้ยวกราด ริมฝั่งเกาะร้างท่ามกลางม่านรัตติกาล อวี้เหวินยืนนิ่งกลางพื้นทรายที่แตกร้าวเป็นตาข่ายโลหิต เบื้องหน้าเขา ร่างอสูรที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นหลิวหงกลับทรุดตัวลงอย่างยากจะหยัดยืน พลังที่เคยแข็งแกร่งเช่นขุนเขา บัดนี้กลับสั่นคลอนดั่งเสาหลักบ้านทรุดโทรมแววตาของอวี้เหวินเรืองแสงสีทองอ่อน ภายในนั้นแฝงไว้ด้วยรังสีแห่งเพลิงอัคคีและประกายแห่งอัสนีบาต มือขวาของเขาแน่นราวคีมเหล็ก ทั่วกายแผ่ไอร้อนระอุ สะท้อนกับเส้นผมยาวสลวยสีดำสนิทราวกับถูกเพลิงล้อมรอบ...กายาเขาถูกห่อหุ้มด้วยไอพลังสีน้ำเงินเข้มปนประกายทองแดง เสมือนชุดเกราะเงาไร้รูปลักษณ์ ขณะที่กล้ามเนื้อภายใต้ชุดคลุมสีทมิฬที่ขาดวิ่นเต้นระริกด้วยพลังดั่งภูตอัสนีแฝงสิง"เตาอัสนีวิบัติ" ขั้นที่สองระดับกลางยามเลื่อนถึงขั้นนี้ กายาของอวี้เหวินแปรเปลี่ยนเสมือนร่างเทพอัสนี ทุกฝีก้าวหนักแน่นปานทุ่มแผ่นดินทุกหมัดเปี่ยมด้วยพลังกระชากวิญญาณพลันเขากระโจนพุ่งเข้าหาร่างหลิวหงอีกครา มือซ้ายสะบัดเป็นวิถีกงล้อแห่งสายฟ้า มือขวากำรอบเป็นหมัดเพลิงคำราม“หมัดอัคนีสังหาร!”เสียงหมัดซัดผ่านอากาศรา

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่48 เพลิงแค้นมิยอมมอด

    อวี้เหวินในยามนี้ ทรุดเข่าลงเบื้องหน้าหาดคลื่นซัด... ดวงตาเคยคมดุจมีดกระบี่ บัดนี้พร่าเลือนราวหมอกเช้า เสียงฟ้าครวญลมร้องกลับกลายเป็นเพียงเสียงแผ่วเบาในโสตประสาทของเขา จิตใจของเขาถูกกัดกร่อนราวเหล็กที่แช่กรด คลื่นความมืดมนปะทะซัดเข้าราวพายุพัดจิต “เฮ้! เจ้าหนู อวี้เหวิน... เจ้าไหวรึไม่!?” เสียงหนึ่งดังขึ้นภายในมโนสำนึก..แหบพร่าแต่แฝงไปด้วยความร้อนรน ห้วงเสียงนั้นคือซ่งเหยียนเฟย... สหายจากมิติสร้อยคอ ผู้เคยปากกล้าท้าโลกหล้า ซ่งเหยียนเฟยกำลังจะก้าวออกจากมิติมา เเต่ทันใดนั้น ร่างกายของเขาก็ถูกตรึงแน่นด้วยพลังลึกลับ ไม่อาจขยับเขยื้อนได้แม้เพียงปลายนิ้ว เขายังเพียรเรียกหาเสียงแล้วเสียงเล่า “บัดซบ... ไออสูรหน้าคน!” ซ่งเหยียนเฟยสบถพลางตวัดฝ่ามือไปมาในมิติจำกัด “หากข้าก้าวออกไปได้ละก็..ท่านปู่ผู้นี้จะฉีกกระชากร่างมันจนกระดูกแหลก!” แต่เสียงของเขา กลับสะท้อนอยู่เพียงในเงาจิต ไม่อาจเข้าถึงจิตอวี้เหวินที่กำลังจมดิ่งลงสู่ห้วงว่างอันไร้ปลาย..เข่าทั้งสองแนบทราย ดวงหน้าหล่อเหลาหม่นหมอง ผมยาวหลุดรุ่ยคลอเคลียหน้าผาก ดั่งรัตติกาลที่คลุมร่างเทวะให้กลายเป็นมนุษย์ผู้ตกสู่ขุมนรก เสียงของซ่งเหยียนเฟยยัง

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่47 ร้อยเล่ห์พันลวง มารบงการจิต

    ใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาเหนือชายฝั่งอันวิเวก เสียงคลื่นกระทบโขดหินดังเป็นจังหวะอ้อยอิ่ง ทว่าภายใต้ความสงบนั้น คือบรรยากาศที่ตึงเครียดประหนึ่งสายฟ้าเงื้อมคมรอจู่โจม ร่างในชุดดำของอวี้เหวินยืนนิ่งประหนึ่งเงาสลัวในม่านรัตติกาล สองตาจับจ้องไปยังบุรุษตรงหน้า ผู้ซึ่งบัดนี้หาใช่เพียงชายวัยกลางคน หากแต่ครึ่งหนึ่งของใบหน้ากลับกลายเป็นอสูรอันน่าสะพรึง ร่างกายแปรเปลี่ยน กล้ามเนื้อปูดโปน เกล็ดสีดำสนิทผุดขึ้นราวอสรพิษจำแลง เงาของง้าวดำในมือขยับไหวเพียงนิด กลับแผ่กลิ่นอายสังหารออกมาราวกับทะลวงอากาศ อวี้เหวินไม่กล่าววาจาใดให้เปลืองถ้อยคำ ขณะที่จันทราเบื้องบนยังไม่ทันเคลื่อนคล้อยจากยอดฟ้า เขาก็พุ่งออกประหนึ่งอัสนีสาดฟาด! หมัดแรกพุ่งทะลวงอากาศเป็นประกายเพลิง ปะทะตรงกับเคียวมารของหลิวหง เสียงดังสนั่นดั่งเหล็กกล้ากระทบหินผา แรงสั่นสะเทือนสะท้านไปทั่วร่างของหลิวหงจนเขาต้องถอยหลังพลางยกเคียวขึ้นยันตัวไว้ กลับถูกแรงมหาศาลผลักให้ลอยขึ้นจากพื้นไปเล็กน้อย “โอ้…” เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังแผ่ว ราวเสียงกระซิบของปีศาจร้าย “…เจ้ามีเรี่ยวแรงเหนือกว่าเด็กหญิงผู้นั้นเสียอีก เช่นนี้...การสังหารเจ้าจึงนับว่าคุ้มค่าม

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่46 หมัดสังหาร... ทะลวงขีดจำกัด

    ใต้เงาราตรีแห่งฟากฟ้าปราศจากจันทร์ ดวงดาวพลันหลบเร้นอยู่หลังม่านเมฆทะมึน เสียงลมหอบหวิวผสานกับเสียงคลื่นที่ซัดกระแทกชายฝั่งมิได้สงบลงเลยแม้แต่น้อย ท่ามกลางกลิ่นเค็มของไอทะเลและกลิ่นคาวโลหิตที่ฟุ้งกระจาย ฉากการประมือของสองสายเลือดมนุษย์กับสัตว์อสูรและมารชั่วคลุ้งไปทั่วชายหาดอันเคยสงบงาม กลับกลายเป็นแดนประหัตประหารที่เต็มไปด้วยหลุมลึก โขดหินที่ถูกแรงกระแทกจนแหลกละเอียด ต้นไม้ชายฝั่งก็ถูกถอนราก เศษกิ่งใบปลิวว่อนราวใบไม้ร่วงในวสันต์ “โฮกกกก!!!” เสียงคำรามอันบ้าคลั่งของ หลงหมิ่น แผดก้องดั่งเสียงมังกรโกรธเกรี้ยว มันมีบาดแผลลึกหลายแห่ง โลหิตสีครามสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนพื้นทราย แต่แทนที่จะอ่อนแรงลง พลังของมันกลับพวยพุ่งขึ้น ร่างมหึมาพุ่งทะยานดั่งเงาวารีใต้สมุทรอันเชี่ยวกราก ลำคอและเขี้ยวยาวเปล่งประกายด้วยพลังอาภรณ์วารีอันเข้มข้น มุ่งสังหารเด็กหนุ่มตรงหน้าโดยไร้ความปรานี! อวี้เหวิน ไม่คิดหลบ ร่างของเขาสวมเสื้อคลุมดำแนบลู่กับลม เส้นผมยาวสะบัดอย่างองอาจ สองดวงตาคมกล้าฉายแววสงบ เย็นเยียบยิ่งน้ำแข็งแต่เร่าร้อนด้วยเพลิงภายใน “มาเถิด! ข้ากำลังร้อนมืออยู่พอดี!” ทันใดนั้น! กำปั้นข้างขวาของเ

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่45 สองสมรภูมิใต้เงาจันทร์

    ภายใต้เงาจันทราซีดเซียวที่ทอดแสงนวลลงบนผืนน้ำทะเลอันมืดมิด กลิ่นไอเค็มยังคงล่องลอยเคล้าคลอกับลมราตรี อวี้เหวินยืนหยัดดุจขุนเขาที่มิหวั่นไหวเบื้องหน้าบุรุษวัยกลางคน ดวงตากลับฉายแววกระวนกระวายราวถูกเพลิงแผดเผา แสงจันทร์สาดส่องลงบนใบหน้าคมคายราวสลักเสลา เงาร่างในอาภรณ์ดำสนิทดุจเงามัจจุราชขยับเพียงเล็กน้อย ก่อนจะเปล่งวาจาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงไว้ด้วยร่องรอยแห่งความระแวงแคลงใจ “เหตุใดข้าจึงมิได้ยินเสียงของมัน…?” น้ำเสียงของเขานั้นเยือกเย็น ทว่าในแววตาแฝงความเคร่งเครียดและจับสังเกตอย่างลึกซึ้ง เป็นคำถามที่ราวกับเขาโยนหินลงสระ เพื่อรอดูคลื่นสะท้อนกลับมาจากคำพูดของชายผู้นั้น ชายวัยกลางคนผู้มีผิวคล้ำจากแสงแดด มองสบตาอวี้เหวินพลางขมวดคิ้ว สีหน้าร้อนรนแฝงความกลัว “ท่านจอมยุทธ์!” เขากล่าวเสียงสั่น “ท่านอย่ารอช้าเถิด วันนี้มันมิได้ส่งเสียงคำรามก้องเช่นทุกครา แต่กลับคลานขึ้นฝั่งโดยไร้สุ้มเสียง…ข้าหวั่นว่า มันตั้งใจจะลิ้มลองเลือดเนื้อมนุษย์แล้ว!” เขากลืนน้ำลายฝืดคอ ก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน “และ...จุดที่มันขึ้นมานั้น มีเด็กคนหนึ่งอยู่พอดี!” คำพูดสุดท้ายดั่งสายฟ้าฟาดลงกลางอ

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่44 คลื่นทมิฬกลืนกินนภา ใครคือผู้บงการอสูร?

    เบื้องหน้าแมกไม้สูงใหญ่ที่โอบล้อมบึงใสกลางป่า เงาสะท้อนของเมฆสีเทารางเลือนวาดทับผิวน้ำดั่งม่านหมอกชะล้างใจ เมื่อเสียงสายลมโอบพัดใบไม้ให้ไหวเอน เด็กน้อยเบื้องข้างขอนไม้ก็ก้มหน้าลงแผ่วเบา คล้ายกำลังรวบรวมใจเพื่อกล่าวต่อ “เมื่อเดือนก่อน…” เสียงของเขาแผ่วพร่า ราวกลัวว่าหากเอื้อนเอ่ยถ้อยคำออกมาแล้ว ความเศร้าที่ซุกซ่อนจะพรั่งพรูไม่อาจห้าม “มีคนจากภายนอกกลุ่มหนึ่งมาถึงหมู่บ้าน…” ดวงตาเล็กจ้องมองบึงอย่างเหม่อลอย สะท้อนแววอ้างว้างเจือปนระลึกถึง “พวกเขาสวมอาภรณ์ดูสง่า บางคนมีกระบี่แนบกาย บางคนมีกระบี่หลังสะพาย บางคนมีดวงตาที่เปล่งแสงราวจิตวิญญาณไม่ธรรมดา… ข้าคิดว่าพวกเขาคงเป็นผู้ฝึกปราณที่มีฝีมือ” เขาสูดหายใจเข้าแผ่วเบาก่อนหลุบตามองดินร่วนใต้เท้า “แต่ไม่กี่วันให้หลัง พวกเขากลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีใครล่วงรู้ว่าพวกเขาไปทางใด ไม่มีแม้เสียงร่ำลา… แม้แต่ร่างก็ไม่ปรากฏให้เห็น” เสียงแผ่วพร่าของเด็กน้อยพลันสั่นไหว น้ำใสคลอหน่วยดวงตากลมโตก่อนหยาดหยดลงบนหลังมืออันสั่นเครือ เขาปาดน้ำตาอย่างเงียบงัน ก่อนพึมพำด้วยเสียงสะอื้นแผ่วเบา “หนึ่งในนั้น… คือคนที่ข้ารู้จัก” ดวงตาน้อยคู่นั้นค่

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่43 กระซิบจากริมบึง เงาปีศาจในคราบมนุษย์

    อวี้เหวินยังคงจ้องมองเขาอย่างแน่วแน่ ราวกับต้องการอ่านความจริงจากลึกในดวงจิตของอีกฝ่าย เฒ่าเจียนสูดลมหายใจลึก ก่อนเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย “ราวหนึ่งเดือนก่อน ข้าออกเรือไปยังทะเลทางทิศตะวันตก จุดนั้นห่างจากชายฝั่งไกลพอควร ตั้งใจเพียงจะหาปูหาหอยไปขายแลกเบี้ย… แต่สิ่งที่ข้าเจอนั้น…” เขาหยุดนิ่ง ขยับถ้วยชามาแนบอก มือทั้งสองสั่นไหวเล็กน้อย “มัน… มันใหญ่โตราวกับเนินเขาเคลื่อนที่ได้ ลำตัวเรียวยาว ราวงูทะเลที่คลานบนผืนน้ำ… แววตามันวาววับ เยียบเย็นดั่งคมดาบในหิมะขาว ข้าแน่ใจว่า มันไม่ใช่สัตว์อสูรธรรมดา หากแต่เป็นสิ่งที่ผู้คนเล่าขาน… ‘เงามังกรใต้สมุทร’…” อวี้เหวินขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสบตากับเซี่ยชิงหลัวซึ่งนิ่งฟังอยู่ข้างกาย แม้นใบหน้านางจะถูกผ้าขาวบางปิดบัง แต่เพียงแค่ดวงตางามที่ทอแววบางอย่างเจือแสงครุ่นคิด เขาก็รู้ได้ในบัดดลว่านางเองก็เข้าใจในสิ่งเดียวกัน “ท่านเคยได้ยินชื่อมันหรือไม่?” อวี้เหวินเอ่ยเสียงต่ำ เฒ่าเจียนพยักหน้าเบา ๆ “เคย… เคยได้ยินจากพวกชาวเรือเฒ่าในอดีต พวกเขาเรียกมันว่า ‘หลงหมิ่น’ …อสูรโบราณที่สืบสายโลหิตแห่งอสรพิษทะเลจากยุคดึกดำบรรพ์ มันไม่ค่อยปรากฏตัวบนผิวน้ำ และไม

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่42 หลงหมิ่น—มังกรเงาแห่งสมุทร

    ยามอรุณรุ่งแผ่แสงอ่อนบางลงแตะต้องริมขอบฟ้า เฉกเช่นม่านทองที่คลี่คลุมผืนนภา สีฟ้าเรื่อแซมประกายสีส้มจางไล้ผ่านยอดไม้ และแนบอิงผิวคลื่นเบื้องล่าง จนผืนน้ำคล้ายพลิ้วไหวไปด้วยแสงทองนั้น สายลมยามเช้าพัดเอื่อยพาไอเค็มของทะเลโชยมาแตะปลายจมูก อ่อนโยนและเย็นสบายนัก ใต้เงาไม้ริมชายฝั่ง ร่างบอบบางในอาภรณ์สีขาวนวลนั่งสงบนิ่งอยู่ข้างขอนไม้ ดวงหน้างดงามราวภาพวาดยังคงเคลิ้มในห้วงนิทราอย่างสงบเสงี่ยม แสงแดดเบาบางส่องต้องผ่านซอกกิ่งไม้ แผ่วพาดลงบนเรียวแก้มนวลเนียนประหนึ่งหยาดหิมะแรกของฤดูหนาว ดวงตางามล้ำคู่นั้นพลันขยับกระพริบไหว ลืมขึ้นอย่างเชื่องช้าและแผ่วเบา ราวกลีบบุปผาที่แย้มรับแสงแรกของวัน เมื่อสติกลับคืน คิ้วเรียวเล็กพลันขมวดเข้าหากันอย่างแผ่วเบา ราวกับผืนน้ำต้องลมแผ่ว รำลึกขึ้นได้ว่าตนเอ่ยปากจะร่วมเฝ้ายามเคียงข้างบุรุษผู้นั้น ทว่ากลับเผลอหลับใหลไปโดยมิรู้ตัว ความรู้สึกผิดพลันแผ่ซ่านไปทั่วอุรา ใบหน้านวลผ่องราวหยกขาวพลันแต้มสีชมพูระเรื่อ ดุจกลีบเหมยแรกแย้มต้องหิมะยามอรุณรุ่ง งดงามจับตา ราวกับภาพวาดสวรรค์ที่รังสรรค์ขึ้นอย่างพิถีพิถัน นางขยับกายเล็กน้อย พลิกตัวไปมองหาร่างของบุรุษผู้เป็นสหายร่วม

สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status