สี่โมงเย็นของวันนั้น รังสิมันต์ออกจากห้องทำงานแล้วลงมาหาจันทริกาที่ห้องล็อกเกอร์ สั่งให้เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าและกลับบ้านพร้อมเขา ทั้งๆ ที่เวลาเลิกงานของพนักงานกะเช้าคือหกโมงเย็น
“เธอยังกินยาคุมอยู่หรือเปล่า” รังสิมันต์ถามขณะนั่งรับประทานมื้อเย็นอยู่ที่โต๊ะในห้องอาหารของคฤหาสน์หลังใหญ่
“กินค่ะ” คำตอบนั้นเป็นคำตอบที่สั้นๆ น้ำเสียงราบเรียบ แต่หัวใจหม่นหมองมากเหลือเกิน เพราะรังสิมันต์ดูเหมือนจะกังวลและย้ำเรื่องนี้กับเธออยู่บ่อยครั้ง เขาคงกลัวว่าจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นและเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาจะอุบัติในท้องของผู้หญิงที่เขามองว่าเลวร้ายอย่างเธอ
“งั้นก็ดี คืนนี้เธอขึ้นไปนอนกับฉัน”
ช่างเป็นคำสั่งที่พูดออกมาได้อย่างเฉยเมยเย็นชาราวกับสั่งไปเธอทำงานทั่วไป แต่คนไม่มีทางเลือกอย่างเธอจะต่อต้านหรือปฏิเสธอะไรได้ ในเมื่อความต้องการของเขาคือสิ่งที่เธอต้องทำตาม
หลังจากเก็บโต๊ะเสร็จ จันทริกาก็เข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า บอกให้เมสซี่นอนรออยู่ที่ห้อง เพราะรู้ดีว่าเมื่อรังสิมันต์บรรลุความต้องการของเขาแล้ว เธอก็จะต้องกลับลงมานอนที่ห้องเล็กๆ ห้องนี้ดังเดิม
แม้ครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรก แต่ความกระดากอายยามที่ต้องมาเคาะห้องของรังสิมันต์ในยามค่ำคืนเช่นนี้ก็ไม่เคยลดน้อยลง เขาเดินมาเปิดประตูให้ ตวัดร่างของเธอไปกอด กดปากลงจูบอย่างเร่าร้อนดูดดื่มราวกับปรารถนาร่างกายของเธอเหลือเกิน ซึ่งจันทริกาก็เป็นเช่นเดิมทุกครั้ง ถึงช่วงเริ่มต้นเธอจะเกร็งและต่อต้านเขา หากสุดท้ายร่างกายก็อยู่นอกเหนือจากการควบคุมเช่นเดิม
เธอถูกอุ้มไปวางบนเตียง เตียงที่เธอไม่เคยได้นอนถึงเช้า หากแต่วันนี้มันไม่ได้มีแต่กลิ่นเฉพาะตัวของรังสิมันต์และกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มเท่านั้น บนเตียงนุ่มนั้นยังมีกลิ่นน้ำหอมที่ไม่คุ้นจมูกปะปนอยู่ด้วย จันทริการู้ดีว่านั่นคือกลิ่นน้ำหอมของสะบันงา เพราะหลังจากคืนนั้น เธอก็ยังไม่ได้ขึ้นมาเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้รังสิมันต์ใหม่ เนื่องจากถูกเขาสั่งให้ไปทำความสะอาดห้องน้ำ
น้ำตาอุ่นๆ อาบลงสองแก้มอย่างไม่อาจหักห้าม เมื่อรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยและด้อยค่าเหลือเกิน ที่ต้องมานอนเกลือกกลั้วอยู่บนรอยรักรอยสวาทของเขากับผู้หญิงอื่น
ปากที่กำลังพรมจูบไปตามแก้มนวลชะงัก เมื่อได้ลิ้มรสเค็มปร่าและความชื้นจากน้ำตาที่ไหลลงมาเป็นทาง ร่างสูงชะงักพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าหวานเศร้าที่จู่ๆ ก็เกิดร้องไห้ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“เป็นอะไรไป” แม้เสียงนั้นจะฟังดูเหมือนห้วน หากคนพูดรู้ดีว่ามันไม่ใช่การถามเพราะรำคาญหรือหงุดหงิดเพียงอย่างเดียว แต่มันมีความรู้สึกอย่างอื่นแฝงเร้นอยู่ด้วย
“เปล่าค่ะ...”
“แล้วร้องไห้ทำไม”
“จันทร์แค่เหนื่อยค่ะ” จันทริกาคิดว่าตัวเองไม่ได้โกหกเขา เธอไม่ได้เหนื่อยกาย แต่หัวใจอ่อนแอและอ่อนล้ามากเหลือเกิน
“โอเค งั้นฉันจะไม่ทำอะไรเธอก็ได้”
ได้ยินเช่นนั้นจันทริกาก็ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาป้อยๆ และยันมือกับที่นอนคล้ายกำลังจะลุกขึ้น
“เธอจะไปไหน?”
“จันทร์จะกลับห้องค่ะ”
“ไม่ได้...ในเมื่อฉันยอมอ่อนข้อให้โดยไม่ทำอะไรเธอแล้ว เธอก็ต้องชดเชยให้ฉันด้วยการนอนกับฉันบนเตียงนี้ทั้งคืน”
“ได้โปรดเถอะนะคะ อย่าให้จันทร์นอนที่นี่เลย” จันทริกาเอ่ยวอนขอพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ
“ทำไมเธอถึงนอนที่นี่ไม่ได้”
“จันทร์ไม่คุ้นกลิ่นค่ะ ถ้าคุณให้จันทร์นอนกับคุณ จันทร์คงนอนไม่หลับ”
“ทำไมถึงไม่คุ้น ตัวฉันเธอก็ทั้งกอดทั้งจูบมาแล้วทุกตารางนิ้ว เตียงก็เตียงเดิม ผ้าปูที่นอนก็อันเดิม” รังสิมันต์พูดเสร็จก็สะดุดตรงคำว่าผ้าปูที่นอน ใช่สินะ...มันมีกลิ่นที่แปลกไปกลิ่นหนึ่งคือกลิ่นน้ำหอมของสะบันงานั่นเอง น่าแปลกที่หัวใจของเขาพองขึ้นคับอกชั่วขณะ เมื่อคิดว่าที่จันทริกาเป็นเช่นนี้ก็เพราะหึงหวงเขา
“อ้อ...คงเป็นกลิ่นน้ำหอมของสะบันงาสินะที่เธอไม่คุ้น”
จันทริกานิ่งแทนคำตอบ ทำให้รังสิมันต์เกือบจะหลุดยิ้ม เมื่อมั่นใจว่าที่จันทริกางอแงกับเขาก็เพราะเรื่องนี้
“โอเค เธอไม่อยากนอนที่นี่ก็ไม่ต้องนอน แต่ฉันจะลงไปนอนกับเธอเอง”
ว่าแล้วรังสิมันต์ก็ลุกขึ้นและอุ้มร่างบางลอยหวือขึ้นมาในวงแขน จากนั้นก็พาจันทริกากลับลงไปห้องนอนของเธอที่ชั้นล่าง เมสซี่ซึ่งนอนอยู่บนเตียง เห็นเจ้านายเข้ามาพร้อมกันสองคน มันก็รีบกระโดดลงไปนั่งบนพื้นพรมอย่างรู้หน้าที่
ร่างบางถูกวางลงบนเตียง ตามมาด้วยร่างสูงใหญ่ที่ทาบทับลงมานอนเบียดบนเตียงขนาดห้าฟุต ซึ่งมันแคบไปถนัดตา หากรังสิมันต์ก็ไม่คิดจะสนใจ เขาเอื้อมมือไปปิดไฟ ห้องทั้งห้องมืดลงพร้อมกับที่ลำแขนแข็งแรงกระชับร่างบางเข้ามาในอ้อมแขน
“คราวนี้เธอคุ้นกลิ่นหรือยัง” เสียงทุ้มเอ่ยกระซิบถามข้างหูท่ามกลางความมืด
“คุ้นแล้วค่ะ แต่คุณกลับขึ้นไปนอนข้างบนเถอะนะคะ เตียงนี้มันแคบคุณคงนอนไม่สบาย”
“แคบก็ใช่ว่าฉันจะไม่เคยนอนนี่ ดีออกเธอจะได้ไม่มีพื้นที่ขยับหนีฉันไปไหน” พูดจบปากและจมูกโด่งก็เริ่มซุกไซ้ที่ข้างแก้มและใบหูของจันทริกาจนเธอเริ่มซ่านสยิว
“อย่าค่ะ...”
“อย่าห้ามฉันจันทริกา ฉันต้องการเธอ” ในยามนั้นรังสิมันต์กระซิบบอกความต้องการของตัวเองด้วยเสียงสั่นพร่า ฟ้องความปรารถนาที่แท้จริงของเขา
“แต่เมสซี่...”
“เมสซี่มันนอนอยู่ที่พื้น อีกอย่างห้องก็มืดขนาดนี้ มันไม่เห็นหรอกว่าฉันกับเธอทำอะไรกัน”
“แต่จันทร์เหนื่อยค่ะ” หญิงสาวใช้ข้ออ้างเดิมที่เคยได้ผลเมื่อตอนที่อยู่บนเตียงของเขา
“เธอไม่ได้เหนื่อยหรอก เธอแค่งอแงและหึงฉัน”
ท่ามกลางความมืดจันทริการู้สึกว่ารังสิมันต์กำลังพูดพร้อมกับยิ้ม
“จันทร์ไม่ได้หึงค่ะ จันทร์รู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์รู้สึกอะไรกับคุณ”
“เธอนี่มันผู้ร้ายปากแข็งตลอด แต่ไม่เป็นไร ฉันไม่สนหรอกว่าเธอรู้สึกยังไงกับฉัน ฉันแค่อยากได้ยินเสียงครางแผ่วๆ แต่กระเส่าและเร้าใจชะมัดของเธอเท่านั้น”
คราวนี้รังสิมันต์ไม่เปิดโอกาสให้จันทริกาได้โต้แย้งใดๆ เพราะหลังจากพูดประโยคนั้นจบ เรียวปากหยักได้รูปก็ประกบกลีบปากอิ่มนุ่มของเธอและบดจูบอย่างเร่าร้อนทันที จากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็ดำเนินไปตามที่เขาต้องการ
บทที่ 44ผู้หญิงดีพร้อมที่เขาหมายถึงก็คือธรินดา น้องสาวบุญธรรมของปรัชญ์นั่นเอง เขารู้ดีว่าปรัชญ์รู้สึกลึกซึ้งกับธรินดามากกว่าน้องสาวนอกไส้ แต่มันก็ทำปากแข็งไม่เคยยอมรับความจริงกับเขาออกมาตรงๆ จนเขานึกอยากแกล้ง ถึงขนาดต้องลงทุนว่าจะไปหาธรินดาที่กรุงเทพฯ ซึ่งมันได้ผลเพราะไอ้บ้านั่นร้อนรนจนเปลี่ยนใจไปกับเขาเพื่อกันท่า ทั้งๆ ที่ตอนแรกปฏิเสธเสียงแข็งว่าจะไม่ไป ส่วนอีกเหตุผลที่เป็นเหตุผลส่วนตัวแบบไม่ได้บอกใคร ก็คืออยากทำให้ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้รู้ว่า แม้เขาจะร่วมรักกับเธอบ่อยแค่ไหนและบางครั้งอาจจะเผลออ่อนโยนไปบ้าง แต่เธอก็ไม่เคยมีความหมายมากไปกว่าเมียบำเรอ ที่เขาไม่เคยคิดจะยกย่องเชิดชู เขายังมองหาผู้หญิงอื่นมาอยู่เคียงข้างในฐานะภรรยาตัวจริงแทนที่ศศิประภา ซึ่งจันทริกาไม่มีวันจะได้เป็น ไม่มีวัน!“ค่ะ”‘ค่ะ’ สั้นๆ เหมือนกลัวดอกพิกุลจะร่วงออกจากปากเช่นเดิม จากนั้นก็ทำหน้านิ่งจนอ่านความรู้สึกไม่ออก ยิ่งทำให้คนที่กำลังจะไปหงุดหงิดมากกว่าเดิม ทั้งๆ ที่เขาบอกว่าจะไปหาผู้หญิงที่ดีพร้อมมากกว่า เพราะอยากเห็นสีหน้าและแววตาที่เจ็บปวดของเธอ แต่จันทริกากลับนิ่งเฉย นิ่งจนกลายเป็นเขาที่ออกอาการเ
บทที่ 43 อากาศในยามอรุณรุ่งยังคงมีหมอกลงหนาทึบ ทำให้บรรยากาศทั่วอาณาบริเวณหนาวเย็นเหมือนเช่นทุกเช้า โดยเฉพาะในช่วงเวลาตีสี่กว่าๆ แบบนี้ หากเช้านี้จันทริกากลับรู้สึกว่าความหนาวเย็นนั้นไม่ได้กระทบผิวกายของเธอมากเท่าไหร่ เพราะมีความอบอุ่นบางอย่างที่คอยโอบล้อม ทำให้ร่างบางเผลอซุกเข้าหาความอบอุ่นนั้นอย่างลืมตัว ครั้นพอลืมตาตื่นก็รีบถอยห่างแบบเป็นอัตโนมัติเช่นกัน ทว่าแค่แรงดิ้นเบาๆ นั้นก็ทำให้คนที่นอนอยู่ข้างๆ ตวัดแขนคว้าเอาร่างบางเข้าไปนอนกอดอีกครั้ง จันทริกาแก้มแดงซ่านท่ามกลางความมืดเพราะรู้สึกได้ว่า ร่างกายของรังสิมันต์ยังคงเปลือยเปล่า “จะขยับไปไหน” เขาพึมพำทั้งที่ยังไม่ลืมตา แขนแกร่งกอดร่างบางมาแนบชิดแน่นกว่าเดิม “จันทร์ต้องลุกแล้วค่ะ คุณปล่อยจันทร์เถอะนะคะ” “ไม่ปล่อย จะรีบตื่นไปไหนแต่เช้า” “ตื่นไปเตรียมอาหารให้คุณ และเตรียมตัวไปทำงานไงคะ” “วันนี้เธอไม่ต้องไปทำงาน ส่วนอาหารเช้าฉันก็ไม่กิน เพราะฉะนั้นตอนนี้เธอมีหน้าที่นอนนิ่งๆ ให้ฉันกอดก็พอ ห้องเธอหนาวจะตายไม่รู้หรือไง” “ไหนคุณ
บทที่ 42สี่โมงเย็นของวันนั้น รังสิมันต์ออกจากห้องทำงานแล้วลงมาหาจันทริกาที่ห้องล็อกเกอร์ สั่งให้เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าและกลับบ้านพร้อมเขา ทั้งๆ ที่เวลาเลิกงานของพนักงานกะเช้าคือหกโมงเย็น“เธอยังกินยาคุมอยู่หรือเปล่า” รังสิมันต์ถามขณะนั่งรับประทานมื้อเย็นอยู่ที่โต๊ะในห้องอาหารของคฤหาสน์หลังใหญ่“กินค่ะ” คำตอบนั้นเป็นคำตอบที่สั้นๆ น้ำเสียงราบเรียบ แต่หัวใจหม่นหมองมากเหลือเกิน เพราะรังสิมันต์ดูเหมือนจะกังวลและย้ำเรื่องนี้กับเธออยู่บ่อยครั้ง เขาคงกลัวว่าจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นและเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาจะอุบัติในท้องของผู้หญิงที่เขามองว่าเลวร้ายอย่างเธอ“งั้นก็ดี คืนนี้เธอขึ้นไปนอนกับฉัน”ช่างเป็นคำสั่งที่พูดออกมาได้อย่างเฉยเมยเย็นชาราวกับสั่งไปเธอทำงานทั่วไป แต่คนไม่มีทางเลือกอย่างเธอจะต่อต้านหรือปฏิเสธอะไรได้ ในเมื่อความต้องการของเขาคือสิ่งที่เธอต้องทำตามหลังจากเก็บโต๊ะเสร็จ จันทริกาก็เข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า บอกให้เมสซี่นอนรออยู่ที่ห้อง เพราะรู้ดีว่าเมื่อรังสิมันต์บรรลุความต้องการของเขาแล้ว เธอก็จะต้องกลับลงมานอนที่ห้องเล็กๆ ห้องนี้ดังเดิมแม้ครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรก แต่ความกระดากอายยา
บทที่ 41รถที่สมรรถสูงสมราคาแล่นฉิวเข้ามาในที่จอดประจำโดยใช้เวลาไม่นานนัก รังสิมันต์ก้าวลงจากรถแล้วสั่งให้จันทริกาเดินไปหาหัวหน้าแม่บ้านที่ห้องล็อกเกอร์ ส่วนตัวเองตรงขึ้นไปยังห้องทำงานเพราะเมื่อวานนี้ทราบแล้วว่าห้องล็อกเกอร์อยู่ตรงไหน จันทริกาจึงไปหาหัวหน้าแม่บ้านที่นั่นโดยไม่ต้องมีใครพาไป หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จเธอได้รับมอบหมายให้ทำความสะอาดห้องน้ำที่ชั้นสามและชั้นสี่เช่นเดิม หญิงสาวพยายามมองหาคนในบ้านที่รังสิมันต์ให้มาทำงานที่นี่ ทว่าก็ไม่ได้พบใคร เพราะทุกคนอยู่ในแผนกอาหารสดกันหมด เธอจึงได้แต่ทำหน้าที่ของตัวเองโดยไม่มีโอกาสได้พูดคุยทักทายกับใครเลย ร่างเล็กบางที่กำลังหิ้วถังน้ำและไม้ถูพื้นเข้าไปห้องน้ำ ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตัวเองตกเป็นเป้าสายตาของรังสิมันต์อยู่แทบจะทุกย่างก้าว เพียงแต่วันนี้เขายืนมองอยู่ไกลๆ ไม่ได้เข้ามาคุมแจอยู่ข้างในเหมือนเมื่อวาน หลังจากที่เข้าไปทำความสะอาดห้องน้ำชั้นสามเสร็จ จันทริกาถืออุปกรณ์ทั้งหมดออกมาด้านนอก เตรียมจะไปทำความสะอาดที่ห้องน้ำชั้นสี่ต่อ แต่เธอต้องหันหลังกลับไปมอง เมื่อมีใครบางคนเรียกชื่อเธออย่างคุ้นเคย
บทที่ 40เวลาเกือบสี่ทุ่ม กว่าที่รังสิมันต์กับปรัชญ์จะแยกย้ายกันกลับบ้าน แม้ปากบอกว่าจะไปดื่มเหล้าด้วยกัน แต่ต่างคนต่างก็ไม่ได้ดื่มหนักอะไร ส่วนใหญ่จะเป็นคุยกันสัพเพเหระซะมากกว่า หรือถ้าให้พูดตรงๆ เรื่องดื่มเหล้ามันก็เป็นแค่ข้ออ้างสำหรับการออกไปเที่ยวเตร่ตามประสาผู้ชายโสดเท่านั้นออดี้สีเหลืองแล่นมาจอดที่หน้าบ้านอย่างคล่องตัว คนขับจัดการดับเครื่องดึงกุญแจออกแล้วเดินตรงเข้าไปในบ้านเลย โดยไม่ได้สนใจจะขับรถราคาแรงนั้นไปจอดในโรงรถแต่อย่างใด ด้านนอกไฟยังคงสว่างไสว ทว่าภายในบ้านไฟกลับถูกปิดเกือบทุกดวง ยกเว้นตรงบริเวณทางขึ้นบันไดชั้นสองเท่านั้นที่เปิดอยู่ร่างสูงก้าวขาไปยังบันไดเพื่อขึ้นห้อง ทว่าอยู่ๆ ก็เปลี่ยนใจกะทันหัน หันหลังกลับแล้วเดินตรงไปยังห้องนอนชั้นล่างแทนเขาหยิบกุญแจสำรองที่แอบเก็บไว้ติดตัวตลอดเวลาออกมา กำลังจะไขเข้าไปอย่างถือวิสาสะ แต่ก็ชะงักมือเอาไว้เมื่อได้ยินเสียงหวานแว่วดังออกมานอกห้องเบาๆ“นอนลงๆ เป็นเด็กว่าง่าย นอนได้แล้วเมสซี่ วันนี้จันทร์ง่วงมาก แล้วก็ไม่มีอะไรจะคุยให้เมสซี่ฟังด้วย ฝันดีนะ”แม้เสียงนั้นจะเล็ดลอดออกนอกห้องมาแค่แผ่วเบา แต่ด้วยบรรยากาศที่เงียบเชียบของบ้าน ร
บทที่ 39สินชัยเดินนำไปทางห้องล็อกเกอร์ของแม่บ้าน บอกหัวหน้าแม่บ้านให้หาชุดให้จันทริกาเปลี่ยน จากนั้นหญิงสาวก็ถืออุปกรณ์ทำความสะอาดเดินตามหัวหน้าแม่บ้านไปยังห้องน้ำที่อยู่ชั้นสาม “เดี๋ยวทำที่นี่เสร็จ ขึ้นไปทำที่ชั้นสี่ต่อเลยนะ” หัวหน้าแม่บ้านออกคำสั่งกับจันทริกาอีกคน “ค่ะ” “งั้นก็ลงมือได้เลย เดี๋ยวป้าจะไปตรวจความเรียบร้อยที่ชั้นอื่นก่อน เสร็จแล้วจะขึ้นมาตรวจดูที่ชั้นสามอีกรอบ” หัวหน้าแม่บ้านบอกเสร็จก็ออกไปจากห้องน้ำชั้นนั้น เพื่อไปตรวจความเรียบร้อยของชั้นอื่นๆ ตามหน้าที่ตัวเอง ประตูห้องน้ำที่ถูกแขวนป้ายด้านนอกว่ากำลังทำควาสะอาดถูกผลักเข้ามาอีกรอบ ทำให้จันทริกาซึ่งกำลังตั้งหน้าตั้งตาขัดล้างทำความสะอาดห้องน้ำอยู่หันขวับไปมอง แล้วก็เห็นว่าคนที่เข้ามานั้นก็คือรังสิมันต์นั่นเอง “คุณตะวัน…” “ฉันแค่เข้ามาดูเธอว่าทำความสะอาดได้เรียบร้อยดีหรือเปล่า” ได้ยินคำตอบแบบนั้นจันทริกาก็หันไปตั้งหน้าตั้งตาทำความสะอาดต่อ โดยไม่ได้พูดจาใดๆ กับเขาอีก เสร็จจากห้องนั้นก็ต่อห้องนี้ จนกระทั่งครบทุกห้