อากาศในยามอรุณรุ่งยังคงมีหมอกลงหนาทึบ ทำให้บรรยากาศทั่วอาณาบริเวณหนาวเย็นเหมือนเช่นทุกเช้า โดยเฉพาะในช่วงเวลาตีสี่กว่าๆ แบบนี้ หากเช้านี้จันทริกากลับรู้สึกว่าความหนาวเย็นนั้นไม่ได้กระทบผิวกายของเธอมากเท่าไหร่ เพราะมีความอบอุ่นบางอย่างที่คอยโอบล้อม ทำให้ร่างบางเผลอซุกเข้าหาความอบอุ่นนั้นอย่างลืมตัว ครั้นพอลืมตาตื่นก็รีบถอยห่างแบบเป็นอัตโนมัติเช่นกัน ทว่าแค่แรงดิ้นเบาๆ นั้นก็ทำให้คนที่นอนอยู่ข้างๆ ตวัดแขนคว้าเอาร่างบางเข้าไปนอนกอดอีกครั้ง จันทริกาแก้มแดงซ่านท่ามกลางความมืดเพราะรู้สึกได้ว่า ร่างกายของรังสิมันต์ยังคงเปลือยเปล่า
“จะขยับไปไหน” เขาพึมพำทั้งที่ยังไม่ลืมตา แขนแกร่งกอดร่างบางมาแนบชิดแน่นกว่าเดิม
“จันทร์ต้องลุกแล้วค่ะ คุณปล่อยจันทร์เถอะนะคะ”
“ไม่ปล่อย จะรีบตื่นไปไหนแต่เช้า”
“ตื่นไปเตรียมอาหารให้คุณ และเตรียมตัวไปทำงานไงคะ”
“วันนี้เธอไม่ต้องไปทำงาน ส่วนอาหารเช้าฉันก็ไม่กิน เพราะฉะนั้นตอนนี้เธอมีหน้าที่นอนนิ่งๆ ให้ฉันกอดก็พอ ห้องเธอหนาวจะตายไม่รู้หรือไง”
“ไหนคุณบอกว่าจะให้จันทร์ไปทำงานที่ห้างวันนี้อีกวันไม่ใช่เหรอคะ” จันทริกาถามอย่างไม่เข้าใจต่อคำสั่งที่เปลี่ยนแปลงไปของเขา
“ก็ฉันไม่อยากให้เธอ...” รังสิมันต์เกือบจะหลุดคำพูดออกมาอย่างเผลอไผลแล้วว่า เพราะเขาไม่อยากให้ผู้ชายคนไหนเข้าใกล้จันทริกาเหมือนเมื่อวาน เขาไม่ได้หึง แต่เขาแค่หวง ถึงยังไงตอนนี้เธอก็ยังมีหนี้แค้นที่เขาชำระยังไม่หมด ดังนั้นจึงไม่ควรมีผู้ชายคนไหนได้เข้าใกล้จำเลยแค้นของเขา
“จันทร์ทำงานไม่ดีเหรอคะ”
“ฉันสั่งอะไรก็ทำอย่างนั้น อย่าถามมาก มันน่ารำคาญ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยจันทร์เถอะค่ะ จันทร์จะได้ลุกไปทำงานบ้าน” ปากเอ่ยขอร้องพร้อมกับที่มือบางยกขึ้นผลักอกที่แน่นหนาดั่งกำแพงหินออกห่าง
“เธอนี่มันชอบหาเรื่องใส่ตัวจริงๆ เลยนะ”
“จันทร์เปล่าหาเรื่องค่ะ จันทร์แค่อยากลุก”
“แต่เธอขัดคำสั่งฉัน และกำลังทำให้ฉันโมโหหิว”
“งั้นก็รีบปล่อยจันทร์สิคะ จันทร์จะได้รีบไปเตรียมอาหารให้คุณ”
“ฉันไม่ได้หิวข้าว ฉันหิวเธอต่างหาก”
ว่าแล้วคนโมโหหิวก็พลิกร่างเปลือยเปล่าของตัวเองขึ้นคร่อมทับร่างบางทันที ไม่นานซอกคอของจันทริกาก็ถูกปากและจมูกโด่งๆ ซุกไซ้
“ยะ...อย่าค่ะ...”
คำเดิมๆ หลุดออกมาจากเรียวปากอิ่มนุ่ม ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันไม่เคยใช้ได้ผลกับการห้ามปรามความต้องการของรังสิมันต์ได้เลยสักครั้ง
สุดท้ายปากของจันทริกาก็ถูกปิดด้วยเรียวปากหยัก จากนั้นเธอไม่มีโอกาสได้เปล่งคำพูดใดๆ อีก นอกจากเสียงครางกระเส่าที่เกิดจากความวาบหวาม ตามการนำพาของคนที่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอ นอกจากเห็นเธอเป็นแค่เครื่องมือระบายความแค้นและความปรารถนาของเขาเท่านั้น
จากเช้าตรู่ล่วงเลยเข้าสู่ยามเช้าอย่างแท้จริง กว่าที่ไฟปรารถนาอันร้อนแรงของรังสิมันต์จะสงบลงได้ เขาหยิบเสื้อผ้ามาใส่อย่างไม่ได้เร่งรีบ ในขณะที่จันทริกาหยิบผ้าห่มมาปกปิดเรือนกายเปลือยเปล่าของตัวเอง เพื่อรอให้เขาออกจากห้องไปก่อน
“เธอเก็บแผงยาคุมไว้ที่ไหน” รังสิมันต์หันมาถามหลังจากที่เขาแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว
“อยู่ในลิ้นชักโต๊ะค่ะ”
ร่างสูงขยับไปยังโต๊ะตัวเล็กๆ ที่วางอยู่ข้างหัวเตียงซึ่งแต่ก่อนเคยถูกใช้มันเป็นโต๊ะสำหรับอ่านหนังสือ แต่ตอนนี้มันถูกใช้แค่เก็บถุงยาที่รังสิมันต์ซื้อมาให้กินเพื่อควบคุมไม่ให้เธอตั้งท้องเท่านั้น
มือใหญ่แต่ขาวสะอาดอย่างคนไม่เคยทำงานหนักเปิดลิ้นชักแล้วหยิบแผงยาคุมออกมา เห็นร่องรอยของเม็ดยาที่ถูกแกะเรียงกันตามวัน จึงวางมันลงที่เดิม
“หวังว่าคงจะว่าง่ายแบบนี้ตลอดไปนะ”
เขาหันกลับมา ก่อนจะขยับไปที่เตียง แล้วโน้มหน้าไปหอมแก้มของจันทริกาหนักๆ ทีหนึ่ง ก่อนจะเดินออกจากห้องไป โดยเมสซี่ที่ตื่นนานแล้ววิ่งตามออกไปติดๆ
รังสิมันต์กลับบ้านมาในตอนเย็นพร้อมกับปรัชญ์ และหลังจากวันนั้นปรัชญ์ก็กลายมาเป็นแขกในช่วงเย็นอยู่เป็นประจำ ทำให้จันทริกามองเห็นถึงความสนิทสนมของทั้งคู่ ปรัชญ์มักจะขลุกอยู่จนดึกเกือบทุกครั้ง ซึ่งเธอก็ทำหน้าที่เพียงหาน้ำหากับแกล้มไปเสิร์ฟให้เท่านั้น เธอไม่กล้าที่จะทักทายหรือพูดคุยกับปรัชญ์นานๆ เหมือนเช่นครั้งแรก เพราะมีสายตาดุๆ ของใครอีกคน คอยจับจ้องมองเธออยู่อย่างไม่ยอมให้คลาดสายตา หากแต่เธอไม่รู้เลยว่าคล้อยหลัง ตัวเองกลับเป็นประเด็นที่ถูกพาดพิงถึงอยู่บ่อยครั้ง
เช้าวันศุกร์รังสิมันต์เดินลงมาจากบันไดพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบย่อม เขาไม่ได้แตะอาหารที่จันทริกาเตรียมไว้ให้ แต่ดื่มกาแฟแค่แก้วเดียว จากนั้นก็ขยับมาหาร่างบางซึ่งยืนอยู่ข้างโต๊ะอาหารเช่นเดียวกับทุกเช้า แล้วเอ่ยบางอย่างกับเธอ
“วันนี้ฉันจะเข้ากรุงเทพฯ กับปรัชญ์ อาจจะไปหลายวันหน่อย เธออยู่คนเดียวได้ไหม”
“อยู่ได้ค่ะ” จันทริกาตอบเรียบๆ ไม่ได้บอกความรู้สึกใดๆ ออกมากับน้ำเสียงเช่นเดิม ทำให้รังสิมันต์นึกหงุดหงิดขึ้นมาครามครัน ที่เธอทำเหมือนไม่รู้สึกรู้สากับการไปไหนมาไหนของเขา
“เธอจะไม่ถามหน่อยเหรอ ว่าฉันจะไปทำอะไรที่กรุงเทพฯ”
“จันทร์ไม่มีสิทธิ์ถามไม่ใช่เหรอคะ” เสียงหวานเอ่ยย้อนในสิ่งที่เขาตอกย้ำอยู่บ่อยๆ
“แต่ครั้งนี้ฉันอยากให้เธอถาม ถามสิจันทริกา”
“คุณจะไปทำไมเหรอคะ” จันทริกาคร้านจะมีเรื่องจึงถามออกไปอย่างที่เขาต้องการ หากคำตอบที่ได้รับก็ทำให้หัวใจของเธอปวดแปลบอย่างอดไม่ได้
“ฉันจะไปหาผู้หญิงที่ดีพร้อมคนหนึ่ง ดีมากพอที่จะมาแทนศศิได้ ซึ่งเธอเทียบไม่ได้เลยแม้แต่ขี้เล็บ”
บทที่ 44ผู้หญิงดีพร้อมที่เขาหมายถึงก็คือธรินดา น้องสาวบุญธรรมของปรัชญ์นั่นเอง เขารู้ดีว่าปรัชญ์รู้สึกลึกซึ้งกับธรินดามากกว่าน้องสาวนอกไส้ แต่มันก็ทำปากแข็งไม่เคยยอมรับความจริงกับเขาออกมาตรงๆ จนเขานึกอยากแกล้ง ถึงขนาดต้องลงทุนว่าจะไปหาธรินดาที่กรุงเทพฯ ซึ่งมันได้ผลเพราะไอ้บ้านั่นร้อนรนจนเปลี่ยนใจไปกับเขาเพื่อกันท่า ทั้งๆ ที่ตอนแรกปฏิเสธเสียงแข็งว่าจะไม่ไป ส่วนอีกเหตุผลที่เป็นเหตุผลส่วนตัวแบบไม่ได้บอกใคร ก็คืออยากทำให้ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้รู้ว่า แม้เขาจะร่วมรักกับเธอบ่อยแค่ไหนและบางครั้งอาจจะเผลออ่อนโยนไปบ้าง แต่เธอก็ไม่เคยมีความหมายมากไปกว่าเมียบำเรอ ที่เขาไม่เคยคิดจะยกย่องเชิดชู เขายังมองหาผู้หญิงอื่นมาอยู่เคียงข้างในฐานะภรรยาตัวจริงแทนที่ศศิประภา ซึ่งจันทริกาไม่มีวันจะได้เป็น ไม่มีวัน!“ค่ะ”‘ค่ะ’ สั้นๆ เหมือนกลัวดอกพิกุลจะร่วงออกจากปากเช่นเดิม จากนั้นก็ทำหน้านิ่งจนอ่านความรู้สึกไม่ออก ยิ่งทำให้คนที่กำลังจะไปหงุดหงิดมากกว่าเดิม ทั้งๆ ที่เขาบอกว่าจะไปหาผู้หญิงที่ดีพร้อมมากกว่า เพราะอยากเห็นสีหน้าและแววตาที่เจ็บปวดของเธอ แต่จันทริกากลับนิ่งเฉย นิ่งจนกลายเป็นเขาที่ออกอาการเ
บทที่ 43 อากาศในยามอรุณรุ่งยังคงมีหมอกลงหนาทึบ ทำให้บรรยากาศทั่วอาณาบริเวณหนาวเย็นเหมือนเช่นทุกเช้า โดยเฉพาะในช่วงเวลาตีสี่กว่าๆ แบบนี้ หากเช้านี้จันทริกากลับรู้สึกว่าความหนาวเย็นนั้นไม่ได้กระทบผิวกายของเธอมากเท่าไหร่ เพราะมีความอบอุ่นบางอย่างที่คอยโอบล้อม ทำให้ร่างบางเผลอซุกเข้าหาความอบอุ่นนั้นอย่างลืมตัว ครั้นพอลืมตาตื่นก็รีบถอยห่างแบบเป็นอัตโนมัติเช่นกัน ทว่าแค่แรงดิ้นเบาๆ นั้นก็ทำให้คนที่นอนอยู่ข้างๆ ตวัดแขนคว้าเอาร่างบางเข้าไปนอนกอดอีกครั้ง จันทริกาแก้มแดงซ่านท่ามกลางความมืดเพราะรู้สึกได้ว่า ร่างกายของรังสิมันต์ยังคงเปลือยเปล่า “จะขยับไปไหน” เขาพึมพำทั้งที่ยังไม่ลืมตา แขนแกร่งกอดร่างบางมาแนบชิดแน่นกว่าเดิม “จันทร์ต้องลุกแล้วค่ะ คุณปล่อยจันทร์เถอะนะคะ” “ไม่ปล่อย จะรีบตื่นไปไหนแต่เช้า” “ตื่นไปเตรียมอาหารให้คุณ และเตรียมตัวไปทำงานไงคะ” “วันนี้เธอไม่ต้องไปทำงาน ส่วนอาหารเช้าฉันก็ไม่กิน เพราะฉะนั้นตอนนี้เธอมีหน้าที่นอนนิ่งๆ ให้ฉันกอดก็พอ ห้องเธอหนาวจะตายไม่รู้หรือไง” “ไหนคุณ
บทที่ 42สี่โมงเย็นของวันนั้น รังสิมันต์ออกจากห้องทำงานแล้วลงมาหาจันทริกาที่ห้องล็อกเกอร์ สั่งให้เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าและกลับบ้านพร้อมเขา ทั้งๆ ที่เวลาเลิกงานของพนักงานกะเช้าคือหกโมงเย็น“เธอยังกินยาคุมอยู่หรือเปล่า” รังสิมันต์ถามขณะนั่งรับประทานมื้อเย็นอยู่ที่โต๊ะในห้องอาหารของคฤหาสน์หลังใหญ่“กินค่ะ” คำตอบนั้นเป็นคำตอบที่สั้นๆ น้ำเสียงราบเรียบ แต่หัวใจหม่นหมองมากเหลือเกิน เพราะรังสิมันต์ดูเหมือนจะกังวลและย้ำเรื่องนี้กับเธออยู่บ่อยครั้ง เขาคงกลัวว่าจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นและเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาจะอุบัติในท้องของผู้หญิงที่เขามองว่าเลวร้ายอย่างเธอ“งั้นก็ดี คืนนี้เธอขึ้นไปนอนกับฉัน”ช่างเป็นคำสั่งที่พูดออกมาได้อย่างเฉยเมยเย็นชาราวกับสั่งไปเธอทำงานทั่วไป แต่คนไม่มีทางเลือกอย่างเธอจะต่อต้านหรือปฏิเสธอะไรได้ ในเมื่อความต้องการของเขาคือสิ่งที่เธอต้องทำตามหลังจากเก็บโต๊ะเสร็จ จันทริกาก็เข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า บอกให้เมสซี่นอนรออยู่ที่ห้อง เพราะรู้ดีว่าเมื่อรังสิมันต์บรรลุความต้องการของเขาแล้ว เธอก็จะต้องกลับลงมานอนที่ห้องเล็กๆ ห้องนี้ดังเดิมแม้ครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรก แต่ความกระดากอายยา
บทที่ 41รถที่สมรรถสูงสมราคาแล่นฉิวเข้ามาในที่จอดประจำโดยใช้เวลาไม่นานนัก รังสิมันต์ก้าวลงจากรถแล้วสั่งให้จันทริกาเดินไปหาหัวหน้าแม่บ้านที่ห้องล็อกเกอร์ ส่วนตัวเองตรงขึ้นไปยังห้องทำงานเพราะเมื่อวานนี้ทราบแล้วว่าห้องล็อกเกอร์อยู่ตรงไหน จันทริกาจึงไปหาหัวหน้าแม่บ้านที่นั่นโดยไม่ต้องมีใครพาไป หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จเธอได้รับมอบหมายให้ทำความสะอาดห้องน้ำที่ชั้นสามและชั้นสี่เช่นเดิม หญิงสาวพยายามมองหาคนในบ้านที่รังสิมันต์ให้มาทำงานที่นี่ ทว่าก็ไม่ได้พบใคร เพราะทุกคนอยู่ในแผนกอาหารสดกันหมด เธอจึงได้แต่ทำหน้าที่ของตัวเองโดยไม่มีโอกาสได้พูดคุยทักทายกับใครเลย ร่างเล็กบางที่กำลังหิ้วถังน้ำและไม้ถูพื้นเข้าไปห้องน้ำ ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตัวเองตกเป็นเป้าสายตาของรังสิมันต์อยู่แทบจะทุกย่างก้าว เพียงแต่วันนี้เขายืนมองอยู่ไกลๆ ไม่ได้เข้ามาคุมแจอยู่ข้างในเหมือนเมื่อวาน หลังจากที่เข้าไปทำความสะอาดห้องน้ำชั้นสามเสร็จ จันทริกาถืออุปกรณ์ทั้งหมดออกมาด้านนอก เตรียมจะไปทำความสะอาดที่ห้องน้ำชั้นสี่ต่อ แต่เธอต้องหันหลังกลับไปมอง เมื่อมีใครบางคนเรียกชื่อเธออย่างคุ้นเคย
บทที่ 40เวลาเกือบสี่ทุ่ม กว่าที่รังสิมันต์กับปรัชญ์จะแยกย้ายกันกลับบ้าน แม้ปากบอกว่าจะไปดื่มเหล้าด้วยกัน แต่ต่างคนต่างก็ไม่ได้ดื่มหนักอะไร ส่วนใหญ่จะเป็นคุยกันสัพเพเหระซะมากกว่า หรือถ้าให้พูดตรงๆ เรื่องดื่มเหล้ามันก็เป็นแค่ข้ออ้างสำหรับการออกไปเที่ยวเตร่ตามประสาผู้ชายโสดเท่านั้นออดี้สีเหลืองแล่นมาจอดที่หน้าบ้านอย่างคล่องตัว คนขับจัดการดับเครื่องดึงกุญแจออกแล้วเดินตรงเข้าไปในบ้านเลย โดยไม่ได้สนใจจะขับรถราคาแรงนั้นไปจอดในโรงรถแต่อย่างใด ด้านนอกไฟยังคงสว่างไสว ทว่าภายในบ้านไฟกลับถูกปิดเกือบทุกดวง ยกเว้นตรงบริเวณทางขึ้นบันไดชั้นสองเท่านั้นที่เปิดอยู่ร่างสูงก้าวขาไปยังบันไดเพื่อขึ้นห้อง ทว่าอยู่ๆ ก็เปลี่ยนใจกะทันหัน หันหลังกลับแล้วเดินตรงไปยังห้องนอนชั้นล่างแทนเขาหยิบกุญแจสำรองที่แอบเก็บไว้ติดตัวตลอดเวลาออกมา กำลังจะไขเข้าไปอย่างถือวิสาสะ แต่ก็ชะงักมือเอาไว้เมื่อได้ยินเสียงหวานแว่วดังออกมานอกห้องเบาๆ“นอนลงๆ เป็นเด็กว่าง่าย นอนได้แล้วเมสซี่ วันนี้จันทร์ง่วงมาก แล้วก็ไม่มีอะไรจะคุยให้เมสซี่ฟังด้วย ฝันดีนะ”แม้เสียงนั้นจะเล็ดลอดออกนอกห้องมาแค่แผ่วเบา แต่ด้วยบรรยากาศที่เงียบเชียบของบ้าน ร
บทที่ 39สินชัยเดินนำไปทางห้องล็อกเกอร์ของแม่บ้าน บอกหัวหน้าแม่บ้านให้หาชุดให้จันทริกาเปลี่ยน จากนั้นหญิงสาวก็ถืออุปกรณ์ทำความสะอาดเดินตามหัวหน้าแม่บ้านไปยังห้องน้ำที่อยู่ชั้นสาม “เดี๋ยวทำที่นี่เสร็จ ขึ้นไปทำที่ชั้นสี่ต่อเลยนะ” หัวหน้าแม่บ้านออกคำสั่งกับจันทริกาอีกคน “ค่ะ” “งั้นก็ลงมือได้เลย เดี๋ยวป้าจะไปตรวจความเรียบร้อยที่ชั้นอื่นก่อน เสร็จแล้วจะขึ้นมาตรวจดูที่ชั้นสามอีกรอบ” หัวหน้าแม่บ้านบอกเสร็จก็ออกไปจากห้องน้ำชั้นนั้น เพื่อไปตรวจความเรียบร้อยของชั้นอื่นๆ ตามหน้าที่ตัวเอง ประตูห้องน้ำที่ถูกแขวนป้ายด้านนอกว่ากำลังทำควาสะอาดถูกผลักเข้ามาอีกรอบ ทำให้จันทริกาซึ่งกำลังตั้งหน้าตั้งตาขัดล้างทำความสะอาดห้องน้ำอยู่หันขวับไปมอง แล้วก็เห็นว่าคนที่เข้ามานั้นก็คือรังสิมันต์นั่นเอง “คุณตะวัน…” “ฉันแค่เข้ามาดูเธอว่าทำความสะอาดได้เรียบร้อยดีหรือเปล่า” ได้ยินคำตอบแบบนั้นจันทริกาก็หันไปตั้งหน้าตั้งตาทำความสะอาดต่อ โดยไม่ได้พูดจาใดๆ กับเขาอีก เสร็จจากห้องนั้นก็ต่อห้องนี้ จนกระทั่งครบทุกห้