จือหลินเมื่อเข้ามาในเรือนแล้ว นางก็นำสิ่งของออกมา ก่อนที่จะส่งถุงในใหญ่ที่เดิมที่ใส่เห็ดหลินจือ แต่ตอนนี้บรรจุตั๋วเงินจนแน่นขนัดให้ลี่อิน
“สวรรค์ มากถึงเพียงนี้” ลี่อินไม่รู้ว่าเงินมีมากเท่าใด แต่นางดูจากจำนวนตั๋วเงินที่เห็น
“ทั้งหมด สองหมื่นเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบห้าตำลึงทองเจ้าค่ะ”
เมื่อจือหลินพูดจบ ตั๋วเงินในมือของลี่อินก็ร่วงหล่นเต็มพื้น จือหลินส่ายหน้าก่อนจะก้มเก็บตั๋วเงินทั้งหมดใส่ถุงตามเดิม
“ท่านแม่ ท่านดื่มน้ำเสียก่อน” จือหลินรินน้ำส่งให้ลี่อิน
“หากผู้ใดรู้เข้าคงได้มาขโมยไปจนหมดแน่” ลี่อินเอ่ยพูดอย่างลนลาน
“หากท่านทำอาการเช่นนี้ต่อหน้าผู้อื่นคงได้มีคนสงสัยเป็นแน่เจ้าค่ะ” จือหลินกลอกตาอย่างเหนื่อยใจ เรือนของนางนอกจากชาวบ้านที่อยู่ใกล้ไม่กี่หลังก็ไม่มีผู้ใดคิดจะมา
จือหลินนำตั๋วเงินไปเก็บไว้ที่ห้องของนาง เพราะหากให้มารดาเป็นผู้เก็บเห็นทีคืนนี้นางคงนอนไม่หลับเป็นแน่
“ท่านแม่ข้าจะนำเห็ดดอกเล็กไปท่านปู่จง ท่านป้าหลิว และท่านป้าหั่ว เจ้าค่ะ”
ลี่อินนางพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เพราะทั้งสามเรือนล้วนแล้วแต่หยิบยื่นสิ่งของให้นางสองคนแม่ลูกอยู่เสมอ
จือหลินเอ่ยเตือนมารดาไม่ให้ทำท่าทางประหลาดก่อนจะเดินออกจากเรือนไปที่เรือนทั้งสามหลัง
“ท่านปู่จง ท่านย่าจงอยู่หรือไม่เจ้าคะ” จือหลินเอ่ยร้องเรียกอยู่หน้าเรือน
“มาแล้ว มาแล้ว ผู้ใดกัน” ลุงจงกับป้าจงเดินออกมาจากเรือนอย่างสงสัย เพราะในตอนนี้แต่ละเรือนก็ล้วนแต่หุงหาผู้ใดกันที่มาหาในเวลาเช่นนี้
“อ้าวอาอินกับหลินเออร์มีอันใดให้ข้าช่วยรึ” ทั้งสองร้องถามอย่างแปลกใจ
“เข้าไปค่อยในเรือนก่อนเถิดเจ้าค่ะ” ลี่อินเอ่ยเสียงเบา เพราะนางไม่ค่อยได้ออกมาจากเรือนเท่าใดนัก
เมื่อเข้ามาในเรือน ท่านป้าจงก็เดินไปหาน้ำมาให้สองแม่ลูก
“ท่านลุง ท่านป้า หลินเออร์ขึ้นเขาเมื่อวาน ข้าไม่รู้จะตอบแทนท่านเช่นไรที่มีน้ำใจกับข้าสองแม่ลูก จึงนำเห็ดที่หาได้มาแบ่งให้ท่านไว้กินเจ้าค่ะ” ลี่อินเอ่ยพูดพร้อมทั้งส่งถุงในมือให้ทั้งสองคน
เมื่อทั้งคู่เปิดออกต่างก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อ สองแม่ลูกรู้หรือไม่ว่านำสิ่งใดมาให้พวกเขา
เห็ดหลินจือแดงในถุงที่ให้ลุงจงมีขนาดเพียงแค่ฝ่ามือเล็กๆ ของจือหลินเท่านนั้น หากทั้งคู่ได้เห็นเห็ดที่จือหลินนางนำไปขายไม่รู้จะทำหน้าเช่นใด
“เจ้า เจ้า ข้ารับไว้ไม่ได้” ทั้งสองพูดอันใดไม่ออกได้แต่ผลักถุงคืนกลับไปตรงหน้าสองแม่ลูกแทน
“รับไว้เถิดท่านปู่ ท่านย่าจง หากไม่มีพวกท่านไม่รู้ว่าข้ากับท่านแม่จะมีชีวิตอยู่มาจนถึงวันนี้ได้หรือไม่” เมื่อเห็นสายตาที่จริงจังของจือหลินทั้งคู่ก็ถอนหายใจออกมา เมื่อคืนว่าน้ำใจที่หยิบยื่นให้เพียงเล็กน้อยทั้งสองจะตอบแทนกลับมามากถึงเพียงนี้
“ข้าจะรับไว้ ต่อไปหากมีเรื่องอันใดก็มาหาข้าได้ตลอด อย่างไรข้าก็เห็นเจ้าสองคนแม่ลูกเป็นลูกเป็นหลานมาโดยตลอด” ท่านป้าจงปาดน้ำตาที่ไหลออกมาจากหางตาของนาง
ลี่อินกับบุตรสาวอยู่พูดคุยอีกเล็กน้อยก็เดินไปที่เรือนหลังอื่นต่อ เพราะอยู่ไม่ห่างกันจึงใช้เวลาเดินไม่มากนัก
ทั้งสองเรือนก็มีอาการไม่ต่างจากเรือนตระกูลจงนัก พวกเขาล้วนอยากให้ทั้งคู่นำไปขายเพื่อแลกเงินมาซ่อมแซมเรือน แต่เมื่อเห็นทั้งคู่บอกว่าตนยังมีอีกสองดอกเหมือนกันจึงรับไว้อย่างเต็มใจ
ทั้งสามเรือนล้วนแต่รับปากทั้งคู่ว่าพวกตนจะเก็บเรื่องที่จือหลินพบเห็ดหลินจือให้เป็นความลับ แต่เมื่อใดที่ถูกผู้อื่นสงสัยเหตุใดถึงมีเงินมาซ่อมเรือนพวกเขาก็จะช่วยออกหน้าให้ว่าเป็นคนพาจือหลินไปหาของป่าแล้วพบเจอโชคในครั้งนี้เอง
สองแม่ลูกจึงกลับเรือนของตนไปจัดการทำอาหารที่จือหลินนางได้ซื้อมา
วันต่อมาเรื่องที่ทั้งสามตระกูลพาจือหลินน้อยไปหาของป่าก็ถูกชาวบ้านในหมู่บ้านรับรู้ เพราะทั้งสามตระกูลล้วนเข้าเมืองไปขายเห็ดหลินจือพร้อมกัน เรื่องที่ต้องการปกปิดจึงไม่อาจจะทำได้
ทั้งสามได้เงินกันมาคนละถึงหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึงทอง ข่าวในเมืองล้วนกันแต่พูดถึงความโชคดีของหมู่บ้านไห่เหอที่พบเจอเห็ดล้ำค่าในครั้งนี้
ทั้งสามตระกูลล้วนพูดคุยตกลงกันที่จะมาช่วยสองแม่ลูกซ่อมแซมเรือน ส่วนเงินที่จือหลินนางขายเห็ดได้ทั้งสามตระกูลคิดตรงกันว่าควรให้ทั้งสองเก็บไว้รักษาตัวมารดาของนาง
ชาวบ้านต่างก็มาสอบถามทั้งสามตระกูลอย่างคึกคัก มีบางส่วนที่อยากจะมาสอบถามจือหลินแต่ก็ถูกพวกเขาห้ามไว้ ทั้งบอกว่าจือหลินจำทางที่ไปหามิได้ เพราะพวกตนเป็นผู้นำทาง ทั้งสามตระกูลบอกตำแหน่งมั่วๆ ให้พวกเขาไปหากันเอง
“ที่ที่เจ้าบอกข้าไปหาแล้วไม่เห็นจะมี”
“ก็ข้าบอกแล้วว่าข้าหากันมาหมดแล้วพวกเจ้าก็ไม่เชื่อ” แต่เมื่อไม่พบต่างก็มาต่อว่า แต่คนอย่างป้าจงมีหรือจะยอม
“เหอะ อยากเก็บไว้แต่ผู้เดียวสิท่า”
“โอวโยว ปากเจ้าเช่นนี้สวรรค์คงจะให้ของดีกับพวกเจ้าหรอก” ป้าจงตอบโต้อย่างไม่ยอม
เมื่อเห็นว่าไม่อาจทำอันใดได้ ต่างก็แยกย้ายกันกลับเรือนไป บางส่วนจึงเปลี่ยนทิศทางไปบ้านของจือหลินแทน
พอแถมนางเรื่องตำแหน่งที่พบนางก็ทำหน้าใสซื่อบอกจำไม่ได้ ไม่ว่าถามเรื่องอันใดก็จะเห็นเพียงใบหน้าขมวดคิ้วนึกหรือหน้าตาไม่เข้าใจคำถาม
“แล้วเห็ดของเจ้าเล่า ขายไปหรือยัง” บางคนโลภก็อยากจะขอจากจือหลินที่เป็นเพียงเด็กน้อยอย่างหน้าด้านๆ
"ข้าต้มให้ท่านแม่กินไปแล้วเจ้าค่ะ" จือหลินเอียงคอพูดอย่างไร้เดียงสา
“ห๊า เจ้าโง่ไปแล้วหรือ” ชาวบ้านต่างต่อว่าจือหลินเสียงดังไปทั่ว
“ข้าจะโง่ได้อย่างไร ในเมื่อมีของกินก็ต้องกินเจ้าค่ะ หรือเห็ดที่ได้จะมีพิษ” จือหลินแสร้งทำหน้าตกใจ
ลี่อินที่หลบอยู่ในบ้านเพราะบอกว่านางเจ็บป่วยก็กลั้นหัวเราะเสียท้องแข็ง เมื่อได้ยินคำพูดของบุตรสาว
จือหลินนางพาชิงชางเข้าไปภายในมิติ ชิงชางเมื่อรู้ตอนนี้ตนอยู่ที่ใดเขาก็อุ้มจือหลินเข้าไปในห้องของนางนางรู้ว่าเขาต้องการทำสิ่งใดกับนางก็อดที่จะเอ่ยถามอย่างสงสัยไม่ได้“ท่านอยู่ในขั้นใด”“ข้าเร่งเดินลมปราณ เพื่อวันนี้หลินหลิน”ชิงชางไม่ยอมบอกนางแต่เขากับจุมพิตนางอย่างดูดดื่มแทน จือหลินราวกับต้องมนต์เมื่อได้รับสัมผัสที่อ่อนโยนของเขาชิงชางไล้นิ้วไปตามเรือนร่างของนาง พร้อมทั้งปลดชุดของนางอย่างรวดเร็ว“เจ้างามยิ่งนักหลินหลิน” เมื่อได้เห็นเรือนร่างที่เปลือยเปล่าไร้เสื้อผ้าของนาง เขาก็อดที่จะจ้องมองอย่างตกตะลึงมิได้จือหลินนางก็ไม่ได้มีท่าทีที่เขินอายเช่นหญิงสาวทั่วไป กลับใจกล้ากว่าที่เขาคิด เพียงนางช้อนสายตายั่วยวนเขา ชิงชางก็รีบปลดชุดออกด้วยมือที่สั่นเทาก่อนจะขึ้นคร่อมตัวนางพร้อมกับมอบจุมพิตที่ร้อนแรงเต็มไปด้วยไฟปรารถนา จือหลินโอบรอบคอของเขาไว้ พร้อมทั้งใช้มือที่ซุกซนของนางสัมผัสไปที่เครื่องเพศของเขาโดยตรง“หลินหลิน เจ้าช่าง ซุก ซนนัก” ชิงชางเอ่ยแสงสั่นเทาออกมาอย่างไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้จือหลินนางเงยหน้าขึ้นหัวเราะอย่างชอบใจเมื่อเห็นสีหน้าที่อดกลั้นของเขา แต่ต่อมานางก็รู้ตัวว่านางนั้นคิดผ
ภายในมิติผ่านมาได้สองปี แต่ด้านนอกเพียงผ่านไปแล้วสี่เดือนเท่านั้น ชิงชางก็คิดจะออกไปจัดการเรื่องของตนในวังหลวง แม้แต่ขั้นระดับเขาก็ไม่ให้จือหลินตรวจสอบนางก็ไม่ว่าอันใด พาเขาออกไปส่งด้านนอกอย่างที่เขาต้องการ ชิงชางมองจือหลินอย่างลึกซึ้งก่อนจะเดินจากไปโดยที่เขาไม่เอ่ยอันใดสักคำจือหลินยืนมองแผ่นหลังของเขาอย่างสะท้านในอก นางคิดว่าตัวนางไม่อยากยึดติดหรือหวังในตัวของชิงชางแล้วแต่ก็ยังอดเศร้าใจไม่ได้“ชางเออร์เจ้ากลับมาเสียที” หลีจิ้งมองบุตรชายที่รูปร่างและกลิ่นอายที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างแปลกใจ“เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ลูกมีเรื่องจะพูดกับพวกท่าน”“หากเป็นเรื่องของหลินเออร์ พ่อเข้าใจ แต่เจ้าก็ต้องรู้ว่าต่อไปเจ้ามิอาจมีนางเพียงผู้เดียวได้”หลีจิ้งมองบุตรชายอย่างจริงจัง เพราะตัวเขาที่คิดจะมีเพียงอี้หนิงในวังหลังเพียงหนึ่งเดียวยังไม่อาจทำได้เขาจำต้องรับบุตรสาวของตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ทั้งผู้ที่เคยช่วยเหลือจนเขาได้นั่งในบัลลังก์ครั้งนี้ไว้อย่างเสียไม่ได้เพียงปีเดียวก็มีพระสนมมากถึงนับสิบคนแล้วชิงชางฟังคำพูดของบิดาหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด“ลูกไม่คิดจะเป็นฮ่องเต้เช่นเสด็จพ่อ ลูกต้องการออกเดิ
ชิงชางอับอายจนใบหูของเขาแดงก่ำ ตัวเขาจะเคยทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร ที่ทำกับนางก็เป็นครั้งแรกของเขาเช่นกันแล้วสตรีเช่นนางกับพูดเรื่องเช่นนี้ออกมาได้อย่างไม่อายบอก หรือว่านางเคยถูกผู้ใดจุมพิตมาแล้วชิงชางยิ่งคิดก็ยิ่งเกิดอาการหึงหวง เขาเดินเข้าไปจับใบหน้าของนางไว้แล้วจุมพิตนางอีกครั้งอย่างรุนแรงแต่ครั้งนี้จือหลินนางตกตะลึงอย่างแท้จริง เพราะไม่คิดว่าชิงชางจะจุมพิตนางอีกครั้ง นางคิดว่าคำพูดของนางจะทำให้เขาเกิดอยากเปลี่ยนใจจือหลินกลับเป็นฝ่ายดึงรั้งคอของชิงชางไว้ แล้วเริ่มใช้เรียวลิ้นของนางหยอกล้อกับเรียวลิ้นของชิงชางแทนในตอนแรกชิงชางก็นิ่งชะงักอย่างตกตะลึง เขาไม่คิดว่านางจะจุมพิตได้ช่ำชองเช่นนี้ แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นความรัญจวนที่นางมอบให้ทั้งสองไม่รู้ว่าตนจุมพิตกันนานเพียงใด แต่เมื่อจือหลินนางถอนริมฝีปากออก ชิงชางกลับอาลัยอาวรณ์อย่างไม่สิ้นสุด“หลินเออร์ เหตุใดเจ้า”“ท่านอยากจะรู้ว่าเหตุใดข้าถึงจุมพิตเป็นใช่หรือไม่”จือหลินนางจ้องมองเด็กน้อยตรงหน้าอย่างหยอกล้อ ก่อนจะเล่าเรื่องที่นางไม่ใช่คนในภพนี้ให้ชิงชางได้ฟังทั้งคู่เข้ามานั่งในห้องนั่งเล่นที่โซฟาแทนห้องทดลองของจือหลินนางบอกเล่า
บ่าวไพร่ในจวนตระกูลถานรวมทั้งองครักษ์ของชิงชางต่างแตกตื่นกันให้วุ่น เพราะเรื่องที่จือหลินและชิงชางหายตัวไปจากห้องนอนในเรือนของป๋อฉิวอย่างไร้ร่องรอยลี่อินที่ยังไม่หายดีก็ให้ตงฟางประคองตนมาที่ห้องของจือหลินอย่างร้อนใจจือหลินนางออกทันเห็นคนกำลังเข้าช่วยมารดาที่หมดสติอยู่ในห้องของนางพอดี“เกิดเรื่องใดขึ้นหรือเจ้าคะ” เสียงของนางทำให้ทุกคนหยุดนิ่งอยู่กับที่ คนที่มีสติที่สุดเห็นจะเป็นตงฟางที่วิ่งเข้ามากอดเอวพี่สาวไว้แน่น แล้วปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใครจือหลินต้องลูบหลังปลอบประโลมเขาอยู่พักใหญ่กว่าจะเงียบเสียงลง คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าตงฟางต้องแสร้งเข้มแข็งมากเพียงใด เมื่อเกิดเรื่องขึ้นกับพี่สาวของตน เพราะเขาต้องดูแลมารดาที่ล้มป่วยทั้งยังน้องชายคนเล็กที่เสียขวัญอีกด้วย“หลินเออร์ เจ้ากลับมาหาแม่แล้ว” ลี่อินเมื่อได้สติก็ลุกขึ้นดึงตัวบุตรสาวเข้ามาสวมกอดอย่างหวงแหนท่านผู้เฒ่ากับฮูหยินผู้เฒ่าเมื่อบ่าวไปแจ้งว่าพบตัวจือหลินแล้วก็รีบร้อนเดินมาทันที“หลินเออร์” ผู้เฒ่าถานมองหลานสาวด้วยดวงตาที่เออคลอไปด้วยน้ำตาส่วนฮูหยินผู้เฒ่าถานเดินเข้ามาสวมดอกนางไม่ต่างจากที่ลี่อินทำเลย“พวกท่านใจเย็นก่
ภายนอกมิติต่างวิ่งวุ่นตามหมอกันไปทั่ว เพราะหลายวันแล้วที่จือหลินนางนอนอย่างไม่ได้สติ พวกเขาที่รอเวลาให้นางตื่นก็ไม่อาจทนรอได้อีกหมอที่มาตรวจก็ไม่อาจหาสาเหตุที่ทำให้จือหลินนางหมดสติเช่นนี้ได้ เพราะร่างกายของนางเหมือนกับคนที่หลับสนิทเท่านั้นหลีจิ้งเมื่อจัดการเรื่องภายในวังหลวงเสร็จสิ้นก็มารับอี้หนิงกับอวี่ซีกลับเข้าวังหลวง เพื่อสถาปนาตนเองขึ้นเป็นฮ่องเต้และฮองเฮาพระองค์ใหม่ป๋อฉิวถูกราชโองการแต่งตั้งเป็นเสนาบดีกรมกลาโหมทันทีที่หลีจิ้งขึ้นนั่งบัลลังก์ เขาไม่ได้รู้สึกยินดีกับตำแหน่งที่ได้จวนตระกูลถานยังไม่เปิดรับผู้คนที่เดินทางมาร่วมแสดงความยินดี เพราะบุตรสาวที่ยังนอนไม่ได้สติอยู่ในเรือนของเขาชิงชางเมื่อช่วยบิดาจัดการเรื่องในวังหลวงเสร็จสิ้น ตัวเขาก็แทบจะอยู่ที่จวนตระกูลถานไม่ยอมขยับไปที่ใด ได้แต่นั่งเฝ้าจือหลินที่นอนหลับอยู่บนเตียงเขามักจะนำตำรา หรือเรื่องที่พบเจอมาตลอดที่ไม่ได้อยู่กับนางมาเล่าให้นางฟัง จนคนที่เข้ามาพบเห็นอกเห็นใจเขาไม่ได้ป๋อฉิวก็ไม่ทำใจไล่เข้ากลับวังไม่ลง จึงปล่อยให้เขานั่งพูดอยู่เช่นนั้น เรื่องร้านค้าของจือหลินก็ไม่มีปัญหา เพราะของที่นางทำไว้ยังมีอีกมาก ลี่อินที่
ป๋อฉิวไม่เคยเห็นด้านที่อ่อนแอเช่นนี้ของนาง เขาอดที่จะจุกในอกไม่ได้ สุดท้ายแล้วอย่างไรนางก็เป็นเด็กสาวที่ต้องการคนปลอบประโลมชิงชางกับหลีจิ้งทรุดตัวลงอย่างสิ้นแรง ทุกคนล้วนได้รับผลกระทบจากการระเบิดพลังครั้งนี้ของจือหลินแต่เพียงไม่นาน ร่างกายที่ทุกคนได้รับบาดเจ็บ แม้แต่โรคที่รักษาไม่หายเมื่อถูกแสงสีขาวของจือหลินต่างก็หายราวปาฏิหาริย์ เรื่องนี้ชาวเมืองที่หนีไม่ทันจากแสงก็รับรู้ได้เช่นกันชาวชราที่เดินกลับเรือนเขาไม่อาจวิ่งหนีได้เช่นคนหนุ่มสาว เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งร่างกายที่ทรุดโทรมก็กลับแข็งแรงขึ้นอย่างน่าประหลาดใจคนขอทานที่ขาหัก ล้มอยู่ที่พื้น เพราะโดนชนจนหนีไม่ทันก็กลับมาลุกขึ้นเดินได้เมื่อแสงสีขาวหายไปกลายเป็นที่ร่ำลือไปทั่ว ชาวเมืองทั้งหมดต่างออกจากเรือนเพื่อมารอแสงสีขาวอีกครั้ง แต่ก็ไม่เคยปรากฏขึ้นอีกเลยป๋อฉิวประคองบุตรสาวขึ้น ก่อนที่ทั้งคู่จะร่ำลาสองพ่อลูกกับจวนของตนไป“หลินเออร์” ชิงชางร้องเรียกนาง“ท่านจัดการเรื่องของท่านเถิด ข้าจะกลับจวนเพื่อไปดูมารดาและน้องชาย” จือหลินนางไม่ได้หันไปมองชิงชางเลยสักนิดจือหลินพูดจบนางก็หมดสติไปทันที เพราะการระเบิดพลังและการเลื่อนขั้นที่เกิดข