หลังจากเกลี้ยกล่อมอยู่นาน นางหลี่ถึงตอบตกลงที่จะไม่ไปซูหวั่นอาศัยเวลากลางคืนในการขับเกวียนออกไป โดยที่สภาพการมองเห็นไม่ค่อยจะดีนักและนางไม่ได้ไปยังตัวอำเภอตามที่กล่าวเอาไว้แต่พวกเขามายังถ้ำแห่งหนึ่งที่คุ้นเคย โดยช่วยกันประคองซูเหลียนเฉิงให้เข้าไปด้านในพร้อมกับซูลิ่วหลางซูเหลียนเฉิงปวดระบมไปทั้งตัว โดยเฉพาะร่างกายส่วนล่างและเอว เพียงแค่ขยับตัวนิดเดียวก็ทำให้เขาโอดครวญออกมาด้วยความเจ็บปวด และเขาก็ไม่รู้ว่าซูหวั่นทำไมถึงพาเขามาในถ้ำแห่งนี้ด้วยแต่ในใจลึกๆแล้ว เขารู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้สามารถประหยัดเงินอัดไว้ให้พวกเขาทั้งสามได้นิดหน่อยก็ยังดี!ซูหวั่นก่อกองไฟ และปาดน้ำฝนที่ใบหน้า“ท่านพ่อ ข้าสามารถรักษาท่านได้ ท่านเชื่อข้าหรือเปล่า?”ซูเหลียนเฉิงรู้สึกมั่นใจขึ้นเมื่อได้ยินซูหวั่นพูดแบบนี้ออกมา“พ่อเชื่อเจ้า”“ดีค่ะ ท่านพ่อต้องอดทนหน่อยนะคะ เดี๋ยวจะรู้สึกเจ็บขึ้นมาเล็กน้อย”ซูหวั่นกำชับให้ซูลิ่วหลางออกไปข้างนอกเพื่อดูต้นลม แม้ว่าคืนที่ฝนตกหนักขนาดนี้จะไม่มีใครเข้ามา แต่ก็ต้องป้องกันเอาไว้เสียก่อนนางหลีกเลี่ยงจากสายตาของซูเหลียนเฉิง แล้วหยิบยาชาออกจากพื้นที่จิ
ซูลิ่วหลางมองออกไปด้านนอกด้วยสายตาที่ง่วงนอน“ท่านพี่ คนคนนั้นไปแล้วเหรอ”“อืม เจ้าก็งีบอีกสักหน่อยเถอะ เดี๋ยวพี่จะเฝ้ายามเอง”ซูหวั่นให้ซูลิ่วหลางนอนกับซูเหลียนเฉิง ขณะที่นางเฝ้ายามอยู่ด้านนอกภายนอกถ้ำมืดมิดและฝนตกกระหน่ำเสียงฟ้าร้องครืนๆ ดังสนั่นหวั่นไหวไปหมด ฟังแล้วน่าหดหู่เป็นอย่างมากนางรู้ดีแก่ใจว่า ชายที่มาเมื่อสักครู่นั้นไม่ใช่เป็นคนที่จะรับมือได้ง่ายๆ เขาได้รับบาดเจ็บแต่ก็ยังไม่ให้ลิ่วหลางตะโกนร้องออกมา นั่นก็หมายความได้เพียงอย่างเดียวว่าเขากำลังถูกคนตามล่าอยู่อย่างแน่นอนและในตอนนี้นางก็ได้แต่หวังว่า หยาดเม็ดฝนด้านนอกจะสามารถชะล้างร่องรอยของชายคนเมื่อสักครู่นี้ออกไปได้ เพื่อให้คนอีกกลุ่มตามมาไม่เจอเขา เพราะนางไม่อยากจะเข้าไปยุ่งวุ่นวายด้วยโชคดีที่คืนนั้นไม่มีใครเข้ามาอีกแล้วซูหวั่นนำหยกและเงินอัดใส่ไว้ในพื้นที่จินตนาการ จากนั้นก็เดินทางเข้าเมืองในตอนกลางคืนเพื่อซื้อยารักษาอาการบาดเจ็บที่ขา แล้วก็รีบกลับมาที่ถ้ำนางยื่นซาลาเปาเนื้อร้อนๆให้กับซูลิ่วหลาง“รีบกินเถอะ กินเสร็จเราก็จะกลับกันแล้ว”“ท่านพี่ พี่ก็กินด้วยสิครับ”ซูลิ่วหลางกะพริบตาปริบๆ และแบ่งซาลาเปาให้ซูหวั่น
ดวงตาของซูหวั่นร้อนเผ่าขึ้นมา“ท่านพ่อ ท่านพ่อคิดว่าตัวเองขาพิการแล้วจะทำงานหาเลี้ยงพวกเราและท่านแม่ไม่ได้ใช่ไหมคะ?”คงไม่ต้องคิด ซูเหลียนเฉิงจะต้องคิดแบบนี้อย่างแน่นอนในยุคสมัยนี้ เมื่อขาพิการและไม่รู้หนังสือก็เท่ากันเป็นคนไร้ค่าไปแล้ว และหากขาดแคลนแรงงานภายในบ้านไปก็เท่ากับว่าได้สูญเสียชีวิตไปแล้วครึ่งหนึ่งเมื่อเห็นว่าซูเหลียนเฉิงไม่พูดอะไร ซูหวั่นก็พูดเกลี้ยกล่อมต่อไปอีกว่า“หากท่านย่าต้องการแยกครอบครัว แต่ท่านพ่อยังคงดึงดันที่จะไม่แยกอยู่แบบนั้น มันก็รนแต่ทำให้พวกเราและท่านแม่ยิ่งจะอยู่ยากขึ้นนะครับ!”ซูเหลียนเฉิงจ้องมองลูกสาวด้วยขอบตาที่แดงก่ำเขาไม่รู้จริงๆว่าจะต้องทำอย่างไรดี ตัวเขาไม่เอาไหนเลยสักอย่าง ลูกชายก็เป็นเด็กหัวช้าอีก ลูกสาวก็ผอมบาง ไม่มีใครที่จะสามารถพึ่งพาได้เลยปัก!เขายกมือขึ้นและทุบไปที่เสื่อหญ้าด้วยความคับแค้นใจ และโทษที่ตัวเองไม่เอาไหน“อาหวั่น เพราะพ่อไม่เอาไหนเอง!”“ท่านพ่อ ข้าขอสัญญาว่า ขอแค่ท่านพ่อตกลงที่จะแยกครอบครัวออกมา ข้าจะดูแลท่านแม่และน้องๆให้ดี โดยที่ขาของท่านพ่อก็จะต้องรักษาจนหายได้เช่นกัน ข้าเชื่อว่าเทพเจ้าจะไม่โกหกข้า”ซูเหลียนเฉิงตกตะลึงข
คำพูดประโยคนี้ของซูหวั่นไม่ได้พูดกับแม่เฒ่าเซี่ยง แต่พูดให้พ่อเฒ่าซูหัวหน้าสกุลซูที่แท้จริงฟังเสียต่างหากพ่อเฒ่าซูดูมีเหตุผลกว่าแม่เฒ่าเซี่ยงมาก“เอะอะโวยวายอะไร เรื่องมันยังไม่ใหญ่พองั้นรึ!”พ่อเฒ่าซูเคาะไปที่โต๊ะเตี้ยอย่างเต็มแรง แล้วถลึงตาใส่แม่เฒ่าเซี่ยง“ที่เจ้ารองบาดเจ็บก็เป็นเพราะข้า จะจ่ายไปเท่าไหร่มันก็คุ้มค่าอยู่แล้ว!”แม่เฒ่าเซี่ยงไม่กล้าต่อปากต่อคำกับพ่อเฒ่าซู นางทำได้เพียงฟึดฟัดไปสองสามทีเท่านั้น“บ้านสกุลซูของเราไม่เลี้ยงคนที่ไม่มีประโยชน์เอาไว้หรอกนะ ครอบครัวของเจ้ารองแยกออกไป ข้าจะยกเรือนฝั่งตะวันออกให้อยู่ก็แล้วกัน!”พ่อเฒ่าซูมองไปยังซูเหลียนเฉิง แล้วก็มองไปยังแม่เฒ่าเซี่ยงอีกครั้ง“เจ้าพูดเพ้อเจ้ออะไรน่ะ!”“ท่านพ่อ ที่ท่านแม่พูดก็ถูกนะครับ ตอนนี้พี่รองกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว ไม่มีเหตุผลที่เราจะเลี้ยงทั้งครอบครัวของเขา ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราเองก็ไม่ได้อยู่ดีกินดีสักเท่าไหร่ ให้พวกเขาแยกออกไปก็จะเป็นผลดีต่อพวกเขาด้วยนะครับ”ซูฉางโซว่พูดเก่งและมีวาทศิลป์อยู่เสมอ จากนั้นเขาก็ขยิบตาไปที่ซูฉางฝูอีกครั้งพ่อเฒ่าซูมองมาที่ซูฉางฝู“เจ้าล่ะว่าไง?”“ข้าคิดว่าน้องสามพูดถูก ท่านพ่อ
หลังจากแม่เฒ่าเซี่ยงล้มลง นิ้วมือของนางก็กระตุก เห็นได้ชัดว่านางแสร้งทำเป็นขึ้นมาขณะที่นางกำลังจะกระซิบคำพูดสองสามคำกับนางจาง ก่อนที่จะได้เอ่ยอะไรออกมา ซูหวั่นก็รีบกระโจนเข้ามา แสร้งทำเป็นห่วงใยเพื่อบีบนางจางออกไป“ท่านย่า ท่านย่าจะต้องไม่เป็นอะไรนะคะ!”ซูเหลียนเฉิงและนางหลี่ก็เงยหน้าขึ้นอย่างเป็นกังวลด้วยเช่นกัน แต่ซูเหลียนเฉิงไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ จึงต้องการให้นางหลี่เข้าไปดูแทนแต่ซูลิ่วหลางได้รับคำสั่งมาจากซูหวั่นแล้ว เขาจึงพยายามดึงนางหลี่เอาไว้ไม่ให้นางเดินเข้าไปเพราะหากนางหลี่เดินเข้าไปแล้วแม่เฒ่าเซี่ยงเกิดคิดแว้งกัดขึ้นมาอีกครั้งก็คงต้องหมดกัน!“พี่รอง ดูสิพี่ทำให้แม่โกรธขนาดไหน”ซูฉางโซว่บ่นพึมพำออกมาสองสามคำ“ถ้าเป็นข้านะ ข้ามีที่ซุกหัวนอนก็พอใจแล้ว ทำไมจะต้องทำให้ท่านแม่ลำบากใจด้วย มันไม่เหมือนพี่คนเดิมเลยนะ หรือว่าพี่ไปได้ยินใครเขาพูดมา”เพราะซูเหลียนเฉิงเป็นที่ซื่อๆมาโดยตลอดจู่ๆก็มีความคิดอย่างอื่นขึ้นมาจะต้องเป็นเพราะฟังคำใส่ร้ายจากนางหลี่อย่างแน่นอนคำพูดแบบนี้มันคือการตีวัวกระทบคราดชัดๆ จากนั้นเขาก็ยังขยิบตาให้กับภรรยาของตัวเองอีกด้วยและนางหวางก็ยิ้มกว้างพร้
พอพูดจบ นางก็กลิ้งลงจากเตียงอิฐไฟและพยายามจะวิ่งไปชนกำแพงเอาเสียให้ได้นางจางและคนอื่นๆรีบเข้าไปคว้าตัวเอาไว้ โดยไม่ได้ออกแรงอะไรมากนักก็สามารถดึงแม่เฒ่าเซี่ยงเอาไว้ได้“ท่านแม่ ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย!”ใบหน้าของแม่เฒ่าเซี่ยงแดงก่ำ“พ่อของพวกเจ้าบีบบังคับข้า พวกเจ้าว่าข้าจะทำอะไรได้!”ซูฉางโซว่รู้ดีว่าแม่ของเขาแสดงเก่งสักแค่ไหน และเขาก็บีบน้ำตาแล้วร้องไห้ตามแม่เฒ่าเซี่ยงด้วยเช่นกัน“ท่านพ่อ ท่านพ่อจะบีบให้ท่านแม่ตายไปจริงๆเหรอ?”และเสียงนั้นก็ดังมากขึ้นเรื่อยๆแทบอยากจะระเบิดหลังคาบ้านออกมาได้แล้ว พวกเขาร้องไห้ไปพลางและมองดูสีหน้าของพ่อเฒ่าซูไปพลาง เพราะกลัวว่าจะทำให้พ่อเฒ่าซูขุ่นเคืองใจขึ้นมาจริงๆและนางหวางก็เข้ามาพูดสมทบด้วยเช่นกัน โดยหยิบผ้าหยาบขึ้นมาเช็ดหางตาที่ไม่มีน้ำตาอยู่จริง“ท่านพ่อ บ้านเราจะไม่มีท่านแม่ไม่ได้นะคะ พี่รองได้แยกออกไปแล้วก็ควรที่จะหุงหาอาหารเอาเอง มีอย่างที่ไหนที่จะมากินข้าวร่วมกันแบบนี้อีก”“พวกเราจะยังไงก็ได้ แต่ท่านแม่ไม่ยอมนะคะ......”ในสกุลซู นางหวางเป็นลูกสะใภ้ที่พูดเก่งที่สุดนางฉลาดพูดและก็ยังขี้เกียจสันหลังยาวอีก แต่เนื่องจากการพูดเก่งของนาง มันจึงท
นางหวางจึงตอบรับไปว่า“มาแล้วค่ะ แต่ไปตักน้ำแล้ว”นางรู้อยู่แล้วว่า คนของห้องรองนั้นรับมือไม่ได้ง่ายๆเลย!แม่เฒ่าเซี่ยงถ่มน้ำลายลงบนพื้น“คอยเฝ้าห้องครัวเอาไว้ดีๆ อย่าให้คนของบ้านรองนั่นมาขโมยน้ำมันกับเกลือไปได้!”นางจางและนางหวางตอบรับอย่างพร้อมเพรียงกัน และรับปากเสียงดังว่าพวกนางจะคอยจับตาดูเอาไว้ให้ดี“ท่านย่า”ซูฝูเดินเข้ามาอย่างสง่างาม โดยมีซูหรงตามหลังมาด้วยเมื่อแม่เฒ่าเซี่ยงเห็นสองพี่น้องเดินเข้ามา แววตาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ห้องรองเป็นพวกที่มาทวงหนี้ แต่พี่น้องสองคนนี้ไม่ใช่“นังหนูฝูเจ้ามาที่ห้องครัวทำไมกัน ที่นี่สกปรกจะตายไป อีกอย่างเจ้าก็ยัง......”ขณะที่พูด นางก็มองไปยังท้องของซูฝูแม้ว่าจะยังไม่เห็นท้องโตก็ตาม แต่ท้ายที่สุดด้านในนั้นก็มีลูกของท่านชายเจียงในเมืองอยู่หากทำได้ดี สกุลซูก็อาจจะบินขึ้นฟ้าไปเลยก็ได้!“มีอาการเป็นยังไงบ้าง?”แม่เฒ่าเซี่ยงดึงซูฝูเข้ามาและกระซิบข้างหู โดยกดเสียงให้เบาที่สุดซูฝูหน้าแดงระเรื่อย แล้วพูดอย่างเคอะเขินออกมาว่า“ท่านย่า ข้าไม่มีอาการอะไรเลย แค่หิวเร็วและกินเยอะกว่าปกติไปสักหน่อย อาการอื่นๆไม่มีนะคะ”“กินเยอะจะต้องได้ลูกผู้ชายอย่างแน่
ซูหวั่นก้มหน้าเพื่อคิดทบทวนสีหน้าที่จริงจังของนางทำให้ผู้คนที่กำลังมุงดูอยู่ต่างก็อดกลั้นหายใจเพื่อรอคำตอบจากนางซูหวั่นเข้าใจดีว่า วันนี้นางต้องสร้างชื่อเสียงด้านทักษะทางการแพทย์ และหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัวเป็นอันดับแรก“ท่านปู่ยังสอนข้าเรื่องการรักษาอาการไอและขาอีก แล้วยังบอกว่าครั้งหน้าจะสอนข้าในความฝันอีก”หากเป็นก่อนหน้านี้ คนในหมู่บ้านอาจจะยังคงสงสัยกับข้อเท็จจริงให้คำพูดนี้แต่บุญคุณที่นางได้ช่วยโก่วต้านเอาไว้ก็อยู่ตรงหน้าแล้ว และวันนี้ทุกคนก็รู้สึกสงสัยเลยแม้แต่น้อยผู้คนต่างมองมายังซูหวั่นด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดว่า“อาหวั่น งั้นเจ้าต้องรักษาให้พวกข้านะ ต่อไปหากเทพเจ้าเข้าฝันเจ้าอีกก็บอกกับเราบ้างนะ!”“ตกลงค่ะ!”ซูหวั่นเป็นคนพูดคุยได้ง่าย แถมเป็นเด็กดีอีกต่างหาก คนในหมู่บ้านซีสุ่ยส่วนใหญ่ต่างก็รู้จักนางดีแต่น่าเสียดายที่นางมีย่าที่ไม่ค่อยจะปกติสักเท่าไหร่ พ่อแม่ก็ยังเป็นคนที่ซื่อๆอีกด้วย แต่ก็โชคดีแล้วที่แยกครอบครัวออกมาแบบนี้“ท่านลุงท่านป้าทุกท่านคะ อีกไม่กี่วันบ้านของข้าจะมีการสร้างห้องครัวและห้องส้วมใหม่ ถึงเวลานั้นรบกวนพวกท่านเจียดเวลาไปช่วยหน่อยนะคะ”การขอให้คนมาช่ว