หลังจากส่งถังเสี่ยวจิ่วออกจากบ้านตระกูลซูไปแล้ว ซูหวั่นถึงได้อธิบายที่มาที่ไปของถังเสี่ยวจิ่วให้นางหลี่ฟัง นางหลี่เป็นคนที่ซื่อๆ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนที่สูงศักดิ์ นางก็ต้องรู้สึกประหม่าเป็นธรรมดา“อาหวั่น งั้นท่านชายคนนี้ เจ้ารู้ตื้นลึกหนาบางของเขาหรือเปล่า หากไปมาหาสู่กันแบบนี้ มันจะเป็นการนำอันตรายมาสู่เจ้าหรือไม่ แม่เกรงว่า...” “ท่านแม่ ท่านแม่วางใจได้ ข้าคิดทบทวนเรื่องนี้ดีแล้วนะคะ” ถังเสี่ยวจิ่วไม่ใช่คนที่เลวร้ายอะไรเลย ไม่อย่างนั้นนางก็คงจะไม่ตั้งใจเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ส่วนเรื่องตื้นลึกหนาบางนั้น มันคงไม่จำเป็นแต่อย่างใด ในยุคสมัยแบบนี้ มีเพียงทวนดาบเท่านั้นที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ หากขี้ขลาดและอดกลั้นอย่างโง่งมก็รนแต่จะเหมือนพ่อและแม่ของนางเท่านั้น และมันก็ยิ่งจะทำให้คนอย่างแม่เฒ่าเซี่ยงยิ่งเหิมเกริมเข้าไปใหญ่ คำพูดเหล่านี้ ซูหวั่นเก็บไว้แค่ในใจ โดยไม่ได้พูดกับนางหลี่แต่อย่างใด เพราะเกรงว่าจะทำให้นางหลี่เป็นกังวลเสียเปล่า เมื่อเห็นว่าซูหวั่นมั่นใจ นางหลี่ถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมาได้“อาหวั่น เรื่องในบ้านเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลขนาดนั้
อายุยังน้อย แต่กลับคิดที่จะข่มขู่คนอื่นแล้วงั้นรึ ซูหวั่นจ้องเขม็งมาที่ซานหลาง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเย็นชา ลูกที่นางหวางเลี้ยงดูมา มันก็ไม่ได้ซื่อสัตย์อย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ เมื่อกี้ยังพูดจาน่าสงสารอยู่เลยนะ และมันก็เปลี่ยนไปเพียงชั่วพริบตาเดียว ซูหวั่นปัดมือออก ความสูงของนางพอๆกับซานหลาง แต่ซานหลางมักจะกินเยอะ เลยดูบึกบึนกว่านางมาก ในระยะเวลาอันสั้น นางก็ไม่สามารถสะบัดเขาออกไปได้ นางจึงใช้ทักษะการแตะจุดบนตัวของซานหลางไปสองสามครั้ง แล้วพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า“ไม่เชื่อก็ไม่ต้องเชื่อ ยังไงเสียไก่ตัวนั้น ข้าก็จับมันได้จากที่นี่แหละ” “แว้!” ซานหลางแผดเสียงออกมาด้วยความเจ็บปวด โดยที่เสียงนั้นดังสนั่นไปทั่ว พวกนกต่างก็ตกใจ ทันใดนั้นป่าก็มีชีวิตชีวามากขึ้น นกกระพือปีก และขนนกจำนวนมากร่วงหล่นลงมา ซื่อหลางตกใจกับเสียงร้องไห้แบบนี้ของซานหลาง แล้วพูดอย่างร้อนใจว่า“พี่สาม พี่ร้องทำไม?” “เจ็บ!” หลังจากพูดจบ ซานหลางก็กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนพื้น ซูหวั่นหยิบตะกร้าและจอบเล็กๆขึ้นมา จากนั้นก็เดินต่อไป ราวกับไม่ได้ยินเสียงร้องแ
“ท่านแม่ เรื่องนี้ให้ข้าจัดการเถอะ ท่านแม่แค่ปักก็พอแล้ว” นางหลี่เชื่อมั่นลูกสาวอย่างไม่มีเงื่อนไข เมื่อเห็นว่าซูหวั่นมั่นใจขนาดนี้ นางก็ไม่ได้พูดอะไรอีก แค่พยักหน้ายอมรับเท่านั้น เพราะกลัวว่าคนของบ้านใหญ่จะมาอาละวาด สองแม่ลูกจึงเริ่มกินมื้อเย็นตั้งแต่เนิ่นๆ โดยขอให้ซูชิงและคนอื่นๆทนเสร็จและกลับไปก่อน หลังจากนางหลี่ป้อนข้าวซูเหลียนเฉิงเสร็จ ตัวนางเองถึงเริ่มจะเริ่มกิน ส่วนซูหวั่นก็ไปต้มน้ำอาบ ซูลิ่วหลางคอยช่วยซูหวั่นอยู่ข้างๆ ซูหวั่นหยิบฟืนท่อนหนึ่งมา และเขียนไปบนพื้น“นี่คือคำว่าซู เป็นแซ่ของเจ้า ส่วนนี่คือหวั่น ตัวหนังสือชื่อของพี่ รู้จักหรือเปล่า?” ซูลิ่วหลางมองดูอย่างตั้งใจ ท้ายที่สุดก็ส่ายหน้าไปมา เพราะเขาจำไม่ได้“ท่านพี่ ข้าไม่เข้าใจ” ซูหวั่นลูบศีรษะของซูลิ่วหลาง แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม“นี่คือตัวอักษร เจ้าไม่เข้าใจ งั้นเราก็ค่อยๆเรียนรู้ พี่จะสอนเจ้าช้าๆนะ” “ข้าจะตั้งใจเรียนอย่างแน่นอน!” ซูลิ่วหลางพยักหน้า หยิบกิ่งไม้ที่อยู่ข้างๆมาวาดรูปคนเล็กๆสองคน ตัวโตหนึ่งคน ตัวเล็กหนึ่งคน แม้ว่าจะเป็นนามธรรมมาก แต่ก็สามารถบ่งบอกความห
มาเป็นพยานอะไรกัน? ยังไงเสียหากซานหลางไม่ยอมรับออกมาด้วยตัวเอง ซูหวั่นก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี นางหวางได้ใจจนยิ้มกว้างออกมา มือเท้าสะเอวแล้วพูดว่า“อาหวั่น เจ้าพาคนพวกนี้มาเป็นพยาน แล้วเจ้ามีหลักฐานหรือเปล่าว่าเจ้าไม่ได้เป็นคนผลักซานหลางลงไปในน้ำ? หากไม่มี งั้นเจ้าก็ชดใช้ข้ามาเสียดีๆ!” ซูหวั่นเงียบไปสักพัก จากนั้นก็มองไปที่นางหวางแล้วพูดว่า“น้าสาม ข้าก็ต้องมีอยู่แล้วนะ เดี๋ยวน้าจะต้องบันทึกหลักฐานการเป็นหนี้ให้ข้าด้วย แล้วก็ไปสถานีตำรวจเพื่อแจ้งความ ไม่งั้นข้าก็ไม่มั่นใจว่าท่านน้าจะชดใช้ข้าหรือเปล่า” นางหวางตื่นตระหนก รูม่านตาหดลงอย่างเห็นได้ชัด นังเด็กคนนี้คงไม่ได้มีหลักฐานจริงๆหรอกนะ ไม่งั้นทำไมต้องพูดวางไพ่ไม้ตายขนาดนี้ด้วย แต่นางถามซานหลางมาแล้วนะ โดยมั่นใจว่าไม่มีใครอยู่รอบๆอย่างแน่นอน เมื่อคิดได้ดังนี้ นางหวางก็ชักสีหน้า และพูดอย่างมั่นอกมั่นใจไปว่า“ได้สิ” เมื่อได้ยินคำพูดแบบนี้ ซูหวั่นก็หัวเราะเยาะออกมา นางกลัวเหลือเกินว่านางหวางจะไม่กระโดดลงหลุมพราง หากเป็นเช่นนั้นสิ่งที่พร่ำมาทั้งหมดก็คงจะสูญเปล่า นางไม่เคยเป็นคนดีอะไรอยู่แล้ว
เมื่อทุกคนได้ยินซูซานหลางพูดแบบนั้น ยังไม่อะไรที่ไม่เข้าใจอยู่งั้นเหรอ โดยต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่ว “เพื่อกระต่ายตัวเดียวถึงกับคิดฆ่าพี่สาวของตัวเอง คนแบบนี้น่ะ ช่างโหดเหี้ยมเสียจริงๆ!” “ใช่ๆ นางหวางยังพาคนมาอาละวาดอย่างไม่อายแบบนี้อีก! ช่างเลอะเลือน และร้ายกาจเสียจริงๆ!” และนางหวางก็เดินเข้ามา เงื้อมือแล้วตบไปที่ซูซานหลางหนึ่งฉาด การตบฉาดนี้ทำให้เสียงร้องไห้ของซูซานหลางหยุดลงในทันที ใบหน้าของเขาหันไปอีกข้าง และเลือดมุมปากก็ได้ไหลออกมา ในสมองของเขาเต็มไปด้วยเสียงหึ่งๆ ก่อนที่จะรู้สึกหน้ามืดตาลายขึ้นมา นางหวางดึงหน้าของเขา แล้วพูดว่า“ร้องไห้ทำไมกัน เจ้ากำลังพูดเพ้อเจ้ออะไรอยู่!” และซูซานหลางก็ดึงสติกลับมาได้“ท่านแม่ ไม่ใช่ข้า ข้า...” “น้าสาม ความจริงก็ถูกเปิดเผยแล้ว งั้นก็คงไม่ต้องพิสูจน์อะไรแล้ว เอาเงินห้าตำลึงมาให้ข้าเถอะ!” ซูหวั่นพูดอย่างสงบและมีน้ำใจ นางหวางมีเงินซะที่ไหนกันล่ะ? เงินส่วนตัวที่ออมเอาไว้ก็ต้องใช้จ่ายในส่วนอื่น ส่วนที่เหลือก็อยู่ในมือของแม่เฒ่าเซี่ยงเสียหมดแล้ว “อาหวั่น เราเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เจ้
เดิมทีมันก็เป็นความผิดของบ้านใหญ่ คิดที่จะปีนป่ายคนใหญ่คนโต แต่คิดไม่ถึงเลยว่าใครเขาจะไม่ต้องการซูฝูเสียแล้ว โดยยังทำให้ตระกูลซูต้องวุ่นวายไปหมดอีก และก็ไม่รู้ว่าซูฝูไปเอาความกล้ามาจากไหนที่อุ้มท้องโตกลับมาบ้านแบบนี้ แม่เฒ่าเซี่ยงเหล่ตามองมายังนางหวาง และคิดทบทวนเรื่องนี้ในใจไปด้วย เพราะท้องของซูฝูโตขึ้นทุกวัน หากผ่านไปอีกสองเดือนก็คงจะปิดบังเอาไว้ไม่อยู่แล้ว ตอนนี้พ่อเฒ่าซูยังอยู่ที่บ้าน นางก็ไม่กล้าที่จะช่วยซูฝูคิดหาวิธีอย่างเปิดเผยได้ด้วยเช่นกัน มีเรื่องมีราวได้ทุกวัน ไม่มีใครที่จะทำให้สบายใจได้เลย! นางหวางถูกมองจนประหม่า จึงลองถามหยั่งเชิงออกมาว่า“ท่านแม่ หากทางบ้านตระกูลเจียงไม่มีจดหมายมาก็ให้ซูฝูทำแท้งเด็กเถอะนะ ไม่งั้นท้องใหญ่ขึ้นมา มันจะเป็นผลเสียกับชื่อเสียงของซูฝูได้นะคะ” “ปังๆ!” นางจางผลักประตูแล้วเดินเข้าไป ด้วยสีหน้าที่บูดบึ้ง นางมองไปยังนางหวางเป็นอันดับแรก และมองมาที่แม่เฒ่าเซี่ยงอีกครั้ง“ท่านแม่ เรื่องของอาฝูข้ามีวิธีแล้ว ขอแค่ท่านพ่อออกจากบ้าน ข้าก็จะให้อาฝูแต่งกับตระกูลเจียงทันที” ดวงตาของแม่เฒ่าเซี่ยงเป็นประกาย น
ป่วยเป็นอะไร นางไปดูแล้วถึงจะรู้ “ได้ๆ!” ป้าหวังปาดน้ำตาและเดินนำทางไป นางหลี่รีบเดินตามมาจากด้านหลัง และยังปิดประตูให้“ข้าจะไปด้วย!” ดึกดื่นขนาดนี้ ด้านนอกก็ไร้แสงไฟ ซูหวั่นไม่อยากให้นางหลี่ไปด้วย เพราะหากเกิดหกล้มขึ้นมา เด็กในท้องจะรักษาเอาไว้ไม่อยู่ แต่นางหลี่ยังคงยืนกรานอยู่อย่างนั้น นางเป็นห่วงซูหวั่น เพราะหากดูอาการฉ่ายอวิ๋นเสร็จแล้ว ซูหวั่นก็ต้องกลับมาเพียงลำพังไม่ใช่หรอกเหรอ? แม้ว่าหมู่บ้านซีสุ่ยจะค่อนข้างสงบ และไม่มีคนร้ายอะไร แต่ก็ต้องระมัดระวังเอาไว้ก่อน “อาหวั่น แม่ไม่ทำให้ลูกมีปัญหาหรอกนะ แม่ตามลูกไปเฉยๆ ระหว่างทางจะได้มีคนคุยด้วยไง ท่านพ่อไม่เป็นอะไรหรอก ยิ่งไปกว่านั้นซูลิ่วหลางก็นอนอยู่ข้างนอก ถ้าท่านพ่อเจ้าอย่างเข้าห้องน้ำก็สามารถเรียกลิ่วหลางได้นี่นา” เมื่อพูดถึงขั้นนี้แล้ว ซูหวั่นก็ไม่สามารถบอกปัดได้อีกต่อไป นางจึงทำได้แต่ขอให้ป้าหวังถือตะเกียงน้ำมันที่แสงอ่อนๆ และอาศัยแสงจันทร์ในยามค่ำคืน ประคองข้อมือของนางหลี่โดยมุ่งหน้าไปที่บ้านของป้าหวัง บ้านของทั้งสองครอบครัวไม่ได้ห่างกันมากนัก ห่างออกไปแค่สองร้อยเมตรเท่
ซูหวั่นจังมือของนางหลี่ แล้วพูดปลอบโยนว่า“เป็นพยาธิที่ดูดเลือดค่ะ แค่ฆ่าพวกมันให้ตาย ท้องของพี่ฉ่ายอวิ๋นก็จะยุบลงไปแล้ว พวกเราไม่มีหรอกค่ะ ท่านแม่สบายใจได้” นางหลี่รู้สึกหนาวสั่นเมื่อนึกถึงท้องของฉ่ายอวิ๋น และก็ไม่รู้ว่าจะดีขึ้นมาเมื่อไหร่ แต่ซูหวั่นกลับกำลังคิดถึงสาเหตุของอาการป่วยนี้อยู่ โดยคาดว่าพยาธิเหล่านั้นน่าจะมาจากแหล่งน้ำในเทศมณฑล ซึ่งฉ่ายอวิ๋นก็ได้ดื่มทุกวัน ถึงป่วยแบบนี้ได้ หลังจากกลับมาถึงบ้าน นางหลี่ก็ได้อธิบายให้ซูเหลียนเฉิงฟังคร่าวๆ แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องท้องที่ใหญ่ของฉ่ายอวิ๋นเลยแม้แต่น้อย เพราะมันเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของลูกผู้หญิง ยิ่งคนรู้น้อยเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น หลังจากนั้นไม่นาน ซูชิงและคนอื่นๆก็มาช่วยงาน ห้องน้ำและห้องครัวต้องใช้เวลาอีกครึ่งวันกว่าถึงจะเสร็จ ซูหวั่นได้คำนวณดูเวลา และคาดว่าจะไปตลาดไม่ทันแล้ว จึงทำได้เพียงแค่แบกกระบุงหาบขึ้นหลังและพาซูลิ่วหลางขึ้นไปบนเขา และสิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ กับดักที่นางได้ขุดไว้เอาไว้นั้น มีคนคอยเฝ้าอยู่ข้างๆเสียแล้ว และมันก็เป็นซูซานหลางและซูฉางโซว่นั่นเอง เมื่อพ่อลูกสองคนเห็น