เสียงเด็กชายตัวเล็กร้องด้วยความเจ็บปวดทำให้หญิงสาวที่ง่วนอยู่ในครัว รีบเงยหน้าขึ้นหันไปทางทิศทางของเสียงที่ได้ยิน นางรีบวางมือจากงานตรงหน้า ก้าวเร็วๆ ไปที่ด้านนอก สายตากวาดมองหาร่างเด็กชายผอมกะหร่องผู้หนึ่ง แต่มองหาอยู่นานก็ไม่เห็น
“จ้าวต้า” หญิงสาวร้องเรียกแต่ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับ มองหญิงรับใช้ผู้อื่นที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก เห็นเพียงพยักพเยิดไปทางห้องเก็บฟืน นางจึงรีบเดินไปพลางเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนที่คาดเอวบางของตนอยู่
“จ้าวต้า” หญิงสาวเรียกอย่างอ่อนโยน มองเข้าไปในห้องเก็บฟืน กวาดตามองก็เห็นร่างเล็กขดตัวที่มุมห้อง นางเดินเข้าไปนั่งข้างๆ ดึงร่างนั้นเข้ามากอดอย่างไม่รังเกียจ แม้อีกฝ่ายสกปรกมอมแมมเพียงใด
“คุณหนูหนิงเหมย ตัวข้าสกปรกนัก ท่านอย่ามากอดข้าเลย” เด็กชายวัยสิบเอ็ดขวบเอ่ยขึ้น เขาพูดจาอู้อี้ พลางยกหลังมือปาดน้ำตา
“ข้าก็สกปรกไม่เห็นเป็นไรเลย” หญิงสาวพูดปนหัวเราะ พิศดู
ใบหน้าของเด็กชาย หัวใจกระตุกวูบแต่ฝืนยิ้มให้ “เจ้าโดนคุณชายทั้งสองแกล้งเอาอีกละสิ”
เด็กชายไม่ตอบแต่กลั้นเสียงสะอึกสะอื้นไว้ หัวใจของหญิงสาวพลอยเจ็บปวดไปด้วย นางเองก็ใช่ว่าจะมีฐานะปกป้องผู้ใดได้ จึงได้แต่ปลอบประโลมโดยการโอบกอดเด็กชายตัวน้อย
“เอาอย่างนี้ ประเดี๋ยวพี่หนิงเหมยคนนี้จะทำขนมปลอบใจเจ้าเอง เจ้าอย่าร้องไห้ไปเลยนะ” นางช่วยเช็ดน้ำตาให้เด็กน้อย “ถ้าข้าหาบ้านดีๆให้เจ้าอยู่ได้ก็ดีสินะ”
“ไม่เอา ข้าไม่ไป ข้าจะอยู่รับใช้คุณหนูหนิงเหมย” เด็กชายเผลอพูดเสียงดังออกมา
“แต่เจ้าอยู่กับข้าแบบนี้ จะถูกผู้อื่นรังแกเอาอยู่เรื่อยนะสิ”
“คุณหนูไม่ต้องการข้าแล้วหรือ”
“แต่ข้าไม่อยากให้เจ้าถูกผู้อื่นรังแกเช่นนี้” นางยิ้มให้ แม้เป็นรอยยิ้มปนเศร้าก็ตาม “เจ้าเรียกข้าว่าคุณหนู แต่กลับช่วยอะไรเจ้าไม่ได้ ข้าลำบากใจไม่น้อย”
เด็กชายเช็ดน้ำตาด้วยตนเอง จ้องมองหญิงสาวด้วยท่าทีมุ่งมั่น “ข้าจะเข้มแข็งและจะไม่ร้องไห้อีก ข้าจะปกป้องคุณหนู ตอบแทนพระคุณที่คุณหนูซื้อตัวข้ามา ขอเพียงคุณหนูไม่ผลักไสข้าก็พอแล้ว”
“ขอบใจเจ้า ขอบใจที่เจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้านะ” หญิงสาวลูบผมของเด็กชายให้เข้าที่เข้าทางแล้วจูงมือออกมาจากห้องเก็บฟืน
“เจ้าไปล้างหน้าล้างตาเสียหน่อย ข้าจะไปทำขนมให้เจ้ากิน”
หญิงสาวมองดูร่างเล็กของเด็กชายวัยสิบเอ็ดขวบรีบเดินจากไป ว่านหนิงเหมยถอนหายใจเบาๆ นางเองแม้ถูกเรียกว่า ‘คุณหนู’ แต่เพราะเป็นเพียงแค่ ‘ลูกอนุ’ ซ้ำยังมีแผลเป็นบนใบหน้า ทำให้ไม่ใคร่มีใครใส่ใจนางนัก อาจหลงลืมไปแล้วว่ามีนางอยู่ในบ้าน แต่สำหรับนางแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องดียิ่ง เพราะนางเองชอบชีวิตสงบท้ายเรือนมากกว่าไปวุ่นวายที่เรือนหลังใหญ่
หญิงสาวเดินกลับไปที่ครัว ล้างมือแล้วไปช่วยงานในครัวอย่างไม่นึกรังเกียจ บิดาของนางคือใต้เท้าว่านรองเจ้ากรมอากร นางเป็นเพียงลูกอนุ แม้แต่มารดาก็ยังชิงชังที่นางเกิดมาเป็นหญิง ไม่ใช่ชาย ซึ่งไม่อาจช่วยในฐานะอนุของท่านแม่ดีขึ้นแต่อย่างใด ท่านพ่อมีอนุถึงสี่คน นางจำได้ว่า เดิมทีภรรยาเอกของท่านพ่อมีบุตรสาวเพียงคนเดียว หลังจากนั้นก็ไม่ตั้งครรภ์อีก จึงเป็นสาเหตุทำให้บิดารับอนุมาเพิ่มอีกสี่คนในเวลาไล่เลี่ยกัน จนกระทั่งอนุตั้งครรภ์ ภรรยาเอกก็ตั้งครรภ์แต่ครั้งนี้ได้ลูกชายสมใจ ส่วนอนุได้ลูกหญิง จากนั้นบรรดาอนุต่างแข่งกันตั้งครรภ์เพื่อมีบุตรชาย ทว่ากลับมีแต่บุตรสาวมาเกิด นั่นรวมถึงนางด้วย แล้วภรรยาเอกตั้งครรภ์อีกครั้งและได้บุตรชายอีก
คุณชายว่านซือสือ ปีนี้อายุสิบแปดปีเท่ากับนาง ส่วนคุณชายว่านซือจี๋อายุสิบสองปี รุ่นราวคราวเดียวกับจ้าวต้า แต่เพราะเป็นลูกชาย จึงได้รับความรัก ความเอาใจใส่จากบิดามาก จะเรียกว่ามากจนเสียนิสัยก็ย่อมได้ กระนั้นไม่มีผู้ใดกล้าตำหนิ รวมถึงตัวนางเองด้วย
ว่านหนิงเหมยชินชากับโชคชะตาของตน บิดาไม่รักไม่เท่าไหร่
มารดาไม่ใส่ใจอีกต่างหาก คนที่เลี้ยงดูนางไม่ใช่แม่นมกลับเป็นแม่ครัว ‘ป้าฮุยเหอ’ คนเก่าคนแก่อยู่มานานและไม่มีลูก ป้าฮุยเหอเองรักและเอ็นดูนางประดุจลูกในไส้ แม้ตนเองเป็นเพียงแม่ครัวก็ตาม แต่สิ่งที่นางเป็นอยู่ตอนนี้ นางไม่เห็นเป็นเรื่องราวให้ชวนน้อยใจ การที่มีป้าฮุยเหอดูแลนาง ก็ทำให้นางกินอิ่มทุกมื้อ แน่ละ เพราะนางเติบโตในครัวเสียมากกว่า จะไม่ให้อิ่มได้อย่างไร
บิดาเชิญอาจารย์มาสอนหนังสือคุณชายทั้งสอง แต่เพราะตามใจคุณชายมาก ทั้งสองจึงไม่ใคร่ใส่ใจการเล่าเรียน นางที่คอยยกน้ำชาและขนมของว่าง จึงได้แอบจดจำ เรียนรู้และฝึกฝนด้วยตนเอง เรื่องใดที่ไม่รู้ก็แอบถามท่านอาจารย์ นางโชคดีที่ท่านอาจารย์เมตตาคอยให้คำแนะนำ แม้ไม่สอนนางโดยตรงก็ตามที นางจึงพอมีความรู้บ้าง เรื่องงานเย็บปักถักร้อย นางต้องทำแทนพี่น้องผู้อื่น นางทำบ่อยจนคุ้นชิน สองมือเรียวบางจึงไม่ได้อ่อนนุ่ม แต่มีปุ่มเนื้อด้านอยู่หลายแห่ง เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้นางไม่มีผู้ใดมาสู่ขอ แต่เพราะรอยแผลเป็นคล้ายพระจันทร์เสี้ยวบนแก้มขวาต่างหาก แผลเป็นที่หนานูนอัปลักษณ์ชวนให้รู้สึกสยดสยอง หากเวลาที่อยู่ต่อหน้าผู้อื่น นางจะมีผ้าโปร่งปิดครึ่งหน้า มิให้เห็นรอยแผลน่าเกลียดของนาง
หากเมื่ออยู่ในครัวเช่นนี้ นางไม่จำเป็นต้องใช้ผ้าโปร่งปิดครึ่งใบหน้า เพียงคิดถึงรอยแผลเป็นนี้ หัวใจก็เต้นรัวทุกทีไป รอยแผลนี้เกิดเมื่อตอนที่นางอายุสิบสอง ครานั้นได้ติดตามพี่สาวร่วมบิดาเข้าวังไปงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิในวังหลวง แต่เพราะนางเป็นเพียงลูกอนุ จึงไม่ใคร่มีใครอยากสนทนาด้วย ด้วยความสนใจต้นไม้ดอกไม้นานาพรรณแสนงดงาม ซึ่งไม่ได้พบเห็นทั่วไป ทำให้นางชื่นชมเพลิดเพลินจนพลัดหลงกับพี่น้องคนอื่นๆ
บุรุษร่างสูงสง่ายืนใต้แสงตะวัน เขาดูงดงามดุจภาพวาด แม้สวมชุดสีดำขลิบแดง ซึ่งนางไม่เคยพบเห็นมาก่อน รวมทั้งปลายผมยาวของคนผู้นั้น มีสีแดงราวกับจุ่มหมึกโลหิตด้วย ภาพเบื้องหน้าดึงดูดนางให้เดินเข้าไปใกล้ราวกับถูกมนตร์สะกด บุรุษผู้นั้นรู้ตัวจึงหันมามอง ดวงตาคมจ้องมองทำเอานางแทบหยุดหายใจ นางมิได้หวาดกลัว แต่เพราะเขาหล่อเหลาดุจเทพเซียน จนหัวใจน้อยๆ ของนางเต้นไม่เป็นจังหวะ พวงแก้มร้อนผ่าวอย่างไม่เคยเป็น ร่างสูงสง่าหมุนตัวแล้วเดินตรงมาทางนาง ท่าทางคุกคามของเขาทำให้อยากถอยหนีแต่ทำไม่ได้ นางเห็นเพียงเขายกมือขึ้นก็รีบหลับตาแน่นด้วยความตกใจ เพียงพริบตา นางรู้สึกเจ็บแปลบที่แก้มขวา เมื่อลืมตาขึ้นจึงเห็นสีหน้านิ่งขรึมแต่แววตาฉายความประหลาดใจ มือเรียวยกขึ้นแตะแก้มตนเอง รู้สึกถึงน้ำเหนียวหนืดเมื่อหงายฝ่ามือขึ้นดู จึงรู้ว่ามีเลือดไหลออกมา
ลมหายใจของเขามีไว้เพื่อนาง ลมหายใจของนางมีไว้เพื่อ เรื่องย่อ เรื่องราวระหว่างเทพมังกรดิน ฮวงหลง และหญิงสาวเดินดินนามซิ่นฮวา เมื่อโชคชะตาเล่นตลกให้หญิงสาวมองเห็น ‘เทพมังกรดิน’ เขาจำ(ใจ)ต้องปรากฏกายทุกครั้งที่นางเรียกขานนามของเขา ทำให้เทพเซียนชั้นฟ้ากลายเป็นพี่เลี้ยงของเด็กหญิงตัวน้อย จวบจนนางเติบโตเป็นหญิงสาวงามสะพรั่ง กฎสวรรค์ทำให้เขาต้องหักห้ามใจ แต่เพราะนางและเขามีชะตาที่ต้องชดใช้กรรมร่วมกัน และมีเพียง ‘ลมหายใจมังกร’ เท่านั้น ที่จะต่อลมหายใจของนางได้ เส้นทางที่เขาเลือกมิใช่สิ่งที่นางปรารถนา เพียงหนึ่งชาติภพเพื่อให้ใจได้ ‘รัก’ แม้ช่วงเวลานั้นจะแสนสั้น.... นางก็ยินดี จาก ‘ท่อนแขนมังกร’ สู่ ‘ลมหายใจมังกร’ (ท่อนแขนมังกรรุ่นลูก) ‘ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ข้าจะอยู่ข้างกายท่าน จะไม่มีวันทอดทิ้งท่านอย่างเด็ดขาด’ “แม้ว่าข้าจะกลายเป็นคนอัปลักษณ์ เจ้าก็ยังอยู่เคียงข้างข้าหรือ?” ‘แน่นอน’ นางยืนยันด้วยแววตาใสซื่อ ‘ข้ามิได้รักท่านที่หน้าตา แต่เพราะจิตใจของท่านต่างหากที่ข้าหลงรัก’ “เจ้ารักข้า?” คำสารภาพรักของนางนั้น เขาได้ยินมานับร้อยนับพันครั้งแล้วกระมัง แต่ครั้งนี้ แม้นางไม่ไ
“เช่นนั้นเจ้าไม่ลองมีลูกสาวให้เป็นเพื่อนซิ่นฮวาอีกคนเล่า เด็กๆในตำหนักมีแต่เด็กผู้ชาย ถ้ามีลูกผู้หญิงเพิ่มขึ้นอีกคนก็คงดีไม่น้อย ตอนนี้ซิ่นสือก็สามขวบแล้ว ถ้าเจ้าจะมีลูกอีกสักคนก็...”บุรุษหนุ่มผู้กรำศึกมานับไม่ถ้วนถึงกับสะอึกไปเมื่อเห็นสายตาดุๆ ของภรรยาตัวน้อย“ข้ามิใช่แม่หมูนะ” เหตุใดมาเคี่ยวเข็ญให้นางตั้งท้องขนาดนี้นะ“โธ่! เพราะเห็นเจ้าเป็นภรรยาหนึ่งเดียวของข้าถึงได้ชวนเจ้ามีลูกอีกสักคนหรือสองคนก็ได้” เขาโอบไหล่นางพานางกลับเข้าห้องพัก ปล่อยให้จ้าวต้าอยู่กับลูกชายสองคนของเขา คงเป็นวิธีเบี่ยงเบนความสนใจจากว่านหนิงเหมยให้จ้าวต้าไปรับตัวซิ่นฮวาจากสวนกระจ่างใจจ้าวต้าโคลงศีรษะไปมาแล้วมองเด็กน้อยทั้งสอง แม้ฐานะของเขาต้อยต่ำนัก แต่เขาเสมือนพี่ใหญ่ที่ต้องดูแลเด็กๆ เหล่านี้ เขาถอนหายใจก่อนยิ้มอ่อนโยน จูงมือซิ่นหลิงและอุ้มซิ่นสือไปส่งป้าฮุยเหอก่อนแล้วค่อยไปรับเด็กหญิงแสนซุกซนผู้นั้นเด็กหญิงตัวต้นเรื่องนั่งหน้าบึ้งตึงในศาลาหกเหลี่ยมของสวนกระจ่างใจ ท่านแม่ให้นางนั่งสำนึกผิดอยู่ผู้เดียว แต่กระนั้น นางก็รู้และมั่นใจว่าองครักษ์ของท่านพ่อคอยจับตาดูนางอยู่“เรื่องนิดเดียวเอง ไยท่านแม่ต้องโกรธถึงเ
ชายหนุ่มวัยสิบหกพาเรือนร่างกำยำเดินเข้าไปพร้อมรอยยิ้มประดับใบหน้าคมเข้ม แม้อายุเพียงแค่สิบหกปีแต่เพราะฝึกฝนวรยุทธ์อย่างเข้มงวด ทำให้เขาดูสูงใหญ่กว่าชายหนุ่มวัยเดียวกัน แทบไม่เหลือเค้าโครงเด็กชายผอมกะหร่องที่ค่อยติดตามพระชายาเลยแม้แต่น้อย เพียงร่างสูงเดินเข้าไปในห้องโถง พลันประสาทรับรู้ถึงการพุ่งเข้าใส่ ทว่าเขากลับไม่ปัดป้องหรือหลบหลีก ยอมให้ร่างเล็กโถมเข้าใส่สุดแรงจนเสียหลักหงายหลังล้มลงให้เด็กชายตัวน้อยวัยห้าขวบนั่งทับ “พี่จ้าวต้ากลับมาแล้ว!” มือน้อยของเด็กชายขยุ้มคอเสื้ออีกฝ่าย สีหน้าตื่นเต้นดีใจทั้งที่ไม่เจอกันแค่สามเดือน “คุณชายซิ่นหลิง” ชายหนุ่มหัวเราะขบขันกับท่าทางดีอกดีใจของอีกฝ่าย เพราะรู้ว่าผู้ที่พุ่งเข้ามาเป็นใครจึงยอมให้นั่งทับบนร่างตัวเองเช่นนี้ เขาจับไหล่เด็กชายตัวน้อย ยกตัวขึ้นเพื่อให้ตัวเองลุกขึ้นยืนได้ “พี่จ้าวต้ามาแล้ว ไปช่วยซิ่นฮวาเร็วๆ เข้า” มือน้อยกระตุกมือใหญ่แล้วชี้ไปทางด้านหลังของตำหนักดุจตะวัน “หือ? คุณหนูเป็นอะไรไปขอรับ” เขาถามพลางมองไปตามทิศทางที่นิ้วป้อมๆ ชี้ไป ถ้าคุณหนูตัวน้อยอยู่ที่สวนก
พูดได้แค่นั้นก็อยากจะอาเจียนหรือหาของเปรี้ยวมากิน คราวนี้ฮองไทเฮาอดหัวเราะไม่ได้ ในขณะที่หลานรักอย่างเขากลับรู้สึกอับอายยิ่งนัก เพราะหลบสายตาของผู้เป็นย่าจึงปะทะกับสายตาล้อเลียนขององครักษ์ฝาแฝดทั้งสอง ทำได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างไม่พอใจ ก็ใครใช้ให้เขารักนางมากขนาดนี้กันเล่า เฮ้อ!“เอาเถิดๆ อย่างไรข้าจะเป็นยายแก่หนังเหนียวรอเจ้าพาเหลนและสะใภ้กลับมาเยี่ยมอยู่ที่นี่”องค์ชายเฟยเทียนโค้งตัวอำลาฮองไทเฮา คราวนี้เขาไม่รั้งอยู่นาน ใช้วิชาตัวเบาราวล่องหนหายออกไปจากวังหลวงพร้อมองครักษ์ทั้งสองอย่างรวดเร็ว เพื่อกลับไปดูแลคนที่ทำให้เขาต้องออกอาการแพ้ท้องแทนอยู่อย่างนี้ตุนหวงรถม้ามาหยุดหน้าตำหนักดุจตะวัน หญิงวัยกลางคนโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างรถอย่างไม่มั่นใจนัก จนกระทั่งเห็นเด็กชายที่เคยเลี้ยงดูรีบวิ่งเข้ามาหา นางจึงยิ้มกว้างออกมา“จ้าวต้า”“ป้าฮุยเหอมาแล้ว” จ้าวตารีบไปประคองให้นางลงจากรถม้า ก่อนท่านอ๋องเดินทางไปเมืองหลวงได้สอบถามเขาถึงคนสนิทหญิงรับใช้ที่บ้านเดิม ท่านอ๋องต้องการให้พระชายามีคนคุ้นเคยอยู่ใกล้ๆ คอยช่วยเหลือยามตั้งครรภ์แรก เขาจึงนึกถึงป้าฮุยเหอที่ดูแลเขาและพระชายามาตั้งแต่เกิด แต่เ
ดวงเนตรเบิกกว้างอย่างตกใจ ไม่คิดว่าจะได้ยินโอรสที่ทรงหมางเมินกล่าวออกมาเช่นนี้ จ้องมองบุรุษเบื้องหน้าที่ใบหน้าละม้ายคล้ายกันนัก สิ่งที่ลูกชายพูดออกมานั้นล้วนอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ ทุกครั้งที่มองใบหน้านี้จึงเหมือนมองตนเองในวันวัยเดียวกัน ยามที่เป็นเพียงองค์รัชทายาทก็ราวกับเป็นเพียงหุ่นเชิดให้ใครต่อใครบงการ พยายามอย่างยิ่งให้เป็นที่ยอมรับ ได้รับความรักจากบิดาหรือก็คืออดีตฮ่องเต้องค์ก่อน แม้รู้ว่าสิ่งที่ตนทำไปนั้นไม่ถูกต้อง แต่ไม่อาจแก้ไขอะไรได้สิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในใจ ไม่คิดเลยว่าบุรุษเบื้องหน้าผู้ถอดแบบเขาออกมาแทบทุกกระเบียดนิ้ว จะมองออกจนทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ “สิ่งที่กระหม่อมทำก็เพื่อแผ่นดินมังกรแห่งนี้ ศึกภายในกระหม่อมไม่ขอยุ่งเกี่ยว กระหม่อมมิสนใจว่าผู้ใดต้องการกำจัดกระหม่อม แต่ชีวิตของกระหม่อมขอเพียงได้ปกป้องราษฎรและรักษาแผ่นดินที่แลกมาด้วยหยาดโลหิตและชีวิตทหาร หากกำจัดกระหม่อมไปแล้ว เห็นทีว่าจะไม่เป็นผลดีต่อแผ่นดินนี้”“เจ้ากำลังข่มขู่ข้ากระนั้นรึ” “มิได้ กระหม่อมแค่ต้องการย้ำให้พระบิดาเข้าใจ อย่าได้สิ้นเปลืองสมองมาระแวงกระหม่อม”เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกครั้ง
เทพมังกรดินดูผลงานของตน เฝ้ามองเหล่ามารปีศาจกลับคืนสู่นรกแล้ว จึงกลายร่างเป็นบุรุษเจ้าของเส้นผมสีเงินยวง เดินเข้าไปหาคนทั้งสอง หญิงสาวพลิกตัวใช้ร่างของตนบังร่างของชายที่นางรักไว้ แม้นางรูปร่างเล็ก แต่กางแขนออกเพื่อปกป้องเขา“หนิงเหมย” เขาปรามนาง อยากจะหัวเราะที่เวลานี้มีหญิงสาวตัวเล็กกางแขนปกป้องเขาเต็มที่ ในชีวิตของเขา จะมีใครสักกี่คนที่ยอมอยู่เคียงข้างเช่นนี้ เพียงหนึ่งชีวิตอันแสนสั้น ได้รู้จักรัก หัวใจได้รับความรักก็นับว่ามีค่าและมีเกียรติให้ตายได้อย่างสงบแล้วเป็นนางเท่านั้นที่ทำให้เขาได้เรียนรู้ที่จะรัก ได้สัมผัสความรัก เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว พอแล้วจริงๆ เทพมังกรดินจ้องมองชายหนุ่มหญิงสาวทั้งสองแล้วก็ลอบถอนหายใจ นี่แหละหนา จึงเป็นได้เพียงมนุษย์ไม่อาจละทิ้งอาวรณ์ได้ เขายื่นมือไปใช้เพียงปลายนิ้วแตะน้ำตาของหญิงสาว ว่านหนิงเหมยเบิกตาโต เห็นน้ำตาของตนกลั่นกลายเป็นก้อนกลมเล็กดุจลูกแก้ววาววับลอยเหนือฝ่ามือของเทพมังกรดิน แล้วยื่นไปที่เบื้องหน้าขององค์ชายเฟยเทียน “นี่คือ...” ว่านหนิงเหมยพึมพำ “กลืนมันลงไป” เทพมังกรดินสั่งน้ำเสียงเฉียบขาด องค์ช