Войтиหลายนาทีผ่านไป มีเพียงเสียงเข็มนาฬิกาแขวนผนังที่ดังคล้ายกับจะถ่วงความเงียบเอาไว้ กระทั่งจังหวะที่นทีจัดการกับมื้ออาหารของเขาเสร็จพอดี เหลือเพียงแค่อัจฉราที่ยังกินอยู่ แต่ก็เหลือไม่มากแล้ว ประตูห้องทำงานที่ปิดสนิทเพราะไม่มีใครกล้ารบกวน ก็ถูกเปิดเข้ามาโดยไม่ได้เคาะก่อน
“พี่ที! เนยเป็นไงบ้างคะ?! ณะเอากระเป๋ากับเสื้อผ้าของเนยมาให้แล้ว!” ณดาวส่งเสียงดังลั่น ปฏิกิริยาของเธอเต็มไปด้วยความลนลานและความกังวลอย่างออกนอกหน้า ทำเอาหญิงสาวที่กำลังตักข้าวเข้าปากถึงกับชะงักค้างต้องวางช้อนลง สายตามองไปยังหญิงสาวรุ่นเดียวกัน น้องสาวของนทีที่จู่ ๆ ก็โผล่พรวดเข้ามา “เนย... ฉันไม่รู้ว่าเธอป่วย... ขอโทษนะ” อัจฉราอ้าปากค้าง หน้าเหวอเล็กน้อยด้วยความตกใจกับปฏิกิริยาที่คาดไม่ถึงของหญิงสาวตรงหน้า รวมไปถึงคำขอโทษจากปากของหล่อนด้วย ทว่ายังไม่ทันจะได้ตั้งรับ อีกฝ่ายก็ปรี่เข้ามาหานั่งลงข้าง ๆ ทันทีโดยที่ไม่สนใจพี่ชายของตัวเองเลยสักนิด “เป็นไงบ้าง... แล้วหาหมอมาหรือยัง?” ณดาววางสัมภาระลงบนโต๊ะตรงหน้า เอื้อมมือทั้งสองข้างออกไปทาบแก้มเนียนที่ซูบลงไปเล็กน้อยของอัจฉรา ทำให้เจ้าของร่างกายสะดุ้งถอยหนีอย่างไม่ได้ตั้งใจด้วยความไม่เคยชิน การกระทำนั้นทำให้คนที่มองอยู่กระตุกยิ้มมุมปากออกมาเบา ๆ “เอ่อ... เนยไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ... คุณนที... พาไปหาหมอมาแล้วค่ะ” “ไม่จริงอะ... ฉันรู้สึกได้... พี่ทีพาไปหาหมอมายังไงคะ? ทำไมเนยยังตัวร้อนอยู่เลย” ชายหนุ่มเฝ้ามองสองสาวด้วยแววตาที่พราวระยับอย่างสนใจ เมื่อน้องสาวตัวแสบเปลี่ยนเป้าหมายมาถามเขา คิ้วหนาก็เลิกขึ้นเบา ๆ พลางหันไปมองคนป่วยที่ยังคงทำเมินใส่อยู่ โดยที่ยังคงมีรอยยิ้มเล็ก ๆ แตะมุมปากของเขาอยู่ให้เห็น “ก็มีคนดื้อ... โดนจิ้มไปเข็มหนึ่ง แล้วคิดว่าจะหายดี... พอไข้กลับให้กินยาก็ไม่ยอมกิน... ข้าวก็เพิ่งจะได้กินพร้อมพี่นี่แหละ” “.....” นัยน์ตาสียางไม้กระตุกเล็กน้อยเมื่อถูกแดกดันโดยเจ้าของเสียงทุ้มที่ชัดเจนเต็มสองรูหู แต่เธอกลับไม่หันไปให้ความสนใจหรือแก้ต่างแบบที่มักจะทำกับเขาเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา แถมครั้งนี้ยังแอบพยศในใจด้วยความรู้สึกขุ่นมัวนิด ๆ อย่างไม่ปิดบังตัวเอง ‘ดื้อ?... ทำไมไม่บอกณดาวไปด้วยล่ะ ว่าพี่ชายอย่างเขารังแกคนป่วย’ ความคิดหนึ่งแวบขึ้นมาในหัวอย่างนึกหมั่นไส้ ‘รังแกคนอื่นแล้วยังกล้าเรียกว่าคนดื้ออีกเหรอ’ ณดาวขมวดคิ้ว แววตาที่ฉายความกังวลชัดเจนในตอนแรกหรี่ลงเล็กน้อย ละสายตาจากพี่ชายกลับมามองหน้าอัจฉรา ก่อนจะหันไปดูข้าวกล่องที่เธอเพิ่งจะสังเกตเห็นชัด ๆ เป็นครั้งแรก พลันริมฝีปากสีสวยก็คลี่ยิ้มออกอย่างแฝงความนัย พลางพยักหน้าเบา ๆ กับตัวเอง “อ๋อ พี่ทีหาอะไรให้กินแล้ว แต่ยังไม่ได้กินยาสินะ... งั้นก็แล้วไป” “ค่ะ ก็อย่างที่คุณณดาวเห็น” อัจฉราพยายามฝืนยิ้มออกมา เป็นไปได้ยากยิ่งกว่าการเสแสร้งใด ๆ ที่เคยถนัดทำเสียอีก ณดาวเห็นเช่นนั้นก็ยอมชักมือกลับ หลังจากที่เผลอทาบแก้มอุ่นของหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีแดงนานไปหน่อย ส่วนเจ้าตัวที่อยู่ตรงกลางระหว่างคนพี่และคนน้องจากตระกูลเลิศธารินทร์ก็ทำตัวไม่ถูก นั่งทื่อแบบไม่รู้จะขยับไปไหนดี ความประหม่าของเธอแม้จะเล็กน้อย แต่นทีสังเกตเห็นมันทั้งหมด ทว่าเขากลับไม่มีความคิดที่จะขยับไปไหน... ปล่อยให้เธอทรมานใจเล่น “จริงสิ ส่วนเรื่องค่าจ้างถ่ายแบบเมื่อเช้า ฉันโอนเข้าบัญชีให้แล้วนะ” ณดาวเป็นฝ่ายทำลายความเงียบลง เธอพูดเสียงดังจนบรรยากาศที่ตึงเครียดในความรู้สึกของอัจฉราพอที่จะเบาบางได้บ้าง สิ้นประโยคหล่อนก็หยิบซองเอกสารสีน้ำตาลออกมาจากกระเป๋าพร้อมกับปากกาด้ามหนึ่ง “อันนี้คือสัญญาที่เธอต้องเซ็นนะเนย เป็นข้อตกลงจ้างงาน เรื่องสิทธิ์การใช้ภาพของแบรนด์ แค่นั้นเลย นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว” “อ๋อ... ได้ค่ะ เดี๋ยวเนยเซ็นให้” อัจฉราคลี่ยิ้มตอบเพียงแค่พอแต้มหน้าเท่านั้น หล่อนทำตัวแทบไม่ถูก ข้าวก็กินไม่อร่อยอีกต่อไป แม้ตอนแรกจะมีคนขู่ว่าให้กินให้หมดก็ตาม กลีบปากอิ่มเม้มเข้าหากันเบา ๆ มือทั้งสองข้างที่ประสานกันแน่นบนตักในตอนแรก ยื่นออกไปรับปากกาด้ามนั้นและซองสีน้ำตาล เธอหยิบเอกสารออกมาจากซอง เลื่อนกล่องข้าวออกไปเล็กน้อย ให้มีพื้นที่วางกระดาษแผ่นสีขาวลงบนโต๊ะกระจก ไล่สายตาหาที่ต้องเซ็นทันทีโดยไม่อ่านเนื้อหาด้วยซ้ำ ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในไม่ถึงห้าวินาที หล่อนก็หันกลับไปหาณดาวพร้อมกับยื่นทั้งสัญญาที่เซ็นแล้วและปากกาส่งคืนให้เธอรับกลับไป “ถ้าอย่างนั้น ไม่มีอะไรแล้ว... ของก็มาแล้ว... เนยว่าเนยไม่อยู่รบกวนแล้วดีกว่าค่ะ” หญิงสาวลุกขึ้นพรวดทันที หันไปเก็บเศษซากที่เหลือบนโต๊ะรวมถึงกล่องข้าวของนทีที่หมดไปแล้วด้วย ใส่ถุงขยะเตรียมไปทิ้งด้วยความเคยชิน และเป็นการแสดงออกอ้อม ๆ ถึงสถานะที่ยังคงมีเส้นกั้นระหว่างกัน ก่อนที่เธอจะถอดแจ็กเกตสูทของชายหนุ่มที่เขาให้ยืมใส่คืนไป “คืนค่ะ” อัจฉราพูดแค่สั้น ๆ ยื่นเสื้อคืนให้เจ้าของโดยที่ไม่มองหน้าเขาเลยแม้แต่น้อย ความตึงเครียดระหว่างทั้งสองคนยังมีอยู่ แม้เมื่อครู่ณดาวจะเข้ามาเจือจางไปบ้างก็ตาม “รีบไปเหลือเกินนะ... แต่ก็ตามใจ... แค่เปลี่ยนชุดก่อนออกไปข้างนอกด้วยล่ะ” นทีเอนหลังพิงโซฟาในท่าทีที่ผ่อนคลาย การแสดงออกนี้ไม่ทำให้อีกฝ่ายที่พูดด้วยประหลาดใจอีกแล้ว ทว่าเหมือนจะเป็นคนน้องสาวของเขามากกว่าที่แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองเลย เพราะภาพจำพี่ชายคือคนที่ไม่เคยเหลียวแล รักษาภาพลักษณ์อยู่ตลอด โดยเฉพาะ... ต่อหน้าอัจฉรา คนเป็นน้องสาวมองสลับกันระหว่างพี่ชายกับคนใช้สาว ขณะที่ทั้งคู่ยังคงเงียบใส่กันอยู่อย่างไม่มีใครยอมใครหลังจากประโยคนั้น นทีเองก็ไม่ยอมรับคืนเสื้อจากคนตรงหน้าในทันทีเหมือนกัน จนอัจฉราเป็นฝ่ายทนไม่ไหวเสียเอง “ขอบคุณที่เตือน... ทีหลังจะไม่รบกวนแล้วค่ะ... ขอตัวอีกครั้งค่ะ ส่วนชุดของคุณณดาวเดี๋ยวเนยคืนให้พรุ่งนี้นะคะ” หญิงสาวผ่อนลมหายใจออกมาอย่างแผ่วเบาจนแทบจับสังเกตไม่ได้ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมรับคืนเธอจึงวางเอาไว้ให้บนโต๊ะเสีย พูดจบก็รอให้อีกฝ่ายอนุญาต ก่อนจะหันหลังให้เขาพร้อมกับกระเป๋าและถุงขยะติดมือออกไปจากห้องทำงานใหญ่โตแห่งนี้ทันที ดวงตาคู่คมเฝ้ามองร่างบางห่างออกไปจนกระทั่งประตูปิดลงเบื้องหน้า ริมฝีปากหยักได้รูปคลายออกเล็กน้อยจนกลายเป็นเส้นตรง สีหน้ากลับมาไร้อารมณ์ แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่อ่านไม่ออกคลุมเครืออยู่ในนั้น ‘หึ... ไม่รบกวนอีกเหรอ... ปากกล้าขึ้น... แบบนี้สิค่อยน่าสน’ นทีคิดในใจ สายตายังคงจ้องมองบานประตูที่ปิดสนิท ก่อนที่ณดาวจะทำลายความเงียบลงด้วยการขยับเข้ามาใกล้และถามด้วยแววตาที่ฉายประกายเจ้าเล่ห์ปนอยากรู้อยากเห็น “พี่ที... ยังไง... ไหนว่าไม่สนใจคนพี่?” “หึ... ว่าแต่เราเถอะ รู้สึกผิดหรือยังไง ที่เขาเป็นลมไปต่อหน้าต่อตาแบบนั้น?” “ก็นิดหนึ่ง แต่เพราะณะไม่รู้ว่าเขาป่วย แต่ป่วยขนาดนั้นทำไมไม่บอกกันก็ไม่รู้ แถมช่วงหลัง ๆ มานี่... เนยเปลี่ยนไปเยอะนะคะ เหมือนมีเรื่องเครียด ๆ ดูไม่ค่อยเข้าหาพี่เหมือนก่อนด้วย” นทีไม่ตอบคำถามแสดงความคิดเห็นต่อคำพูดของณดาว เขาทำเพียงแค่ยกยิ้มมุมปากเท่านั้น พลางยกมือใหญ่วางบนหัวทุยของน้องสาวเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู นัยน์ตาสีนิลเคลือบประกายบางอย่าง ทว่าการกระทำกลับอบอุ่นแตกต่างจากความตึงเครียดที่เย็นเฉียบตอนอยู่กับอัจฉราสองต่อสองอย่างสิ้นเชิง ราวกับว่า... หญิงสาวผมแดงคนนั้น มีบางอย่างที่ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องเสแสร้ง แกล้งทำดีด้วยเหมือนอยู่ต่อหน้าคนอื่น กับอัจฉรา... นทีไม่จำเป็นต้องรักษาน้ำใจ เขาจะทำจะพูดอะไรก็ได้ ในขณะที่เธอทำได้แค่ ‘ฟัง’ และ ‘ทำตาม’ เท่านั้น พยศนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร... ดีกว่าตอนที่ทำเป็นไม่กล้า แต่ใจจริงแทบอยากจะถวายตัวให้เป็นไหน ๆ แบบนี้มันทำให้น่าสนใจขึ้นกว่าเยอะคำถามด้วยน้ำเสียงที่ขมขื่นนั่นร้ายกาจไม่ใช่เล่น คำพูดของเธอในครั้งนี้กระทบใจนทีอย่างจัง ไม่ว่าอีกฝ่ายจะตั้งใจพูดหรือไม่ก็ตาม รอยยิ้มเลือนหายไปจากใบหน้า บรรยากาศที่เคยร้อนระอุเย็นเยียบขึ้นถนัดตา“หึ... กล้าถามขนาดนี้ แสดงว่ายังไม่สิ้นฤทธิ์”น้ำเสียงทุ้มกดต่ำลงอย่างอันตราย เรียบเหมือนผิวน้ำที่กำลังโหมคลื่นใหญ่อยู่ก้นบึ้ง ปลายนิ้วโป้งกดลงบนริมฝีปากอิ่มของอัจฉราด้วยแรงที่ทำให้กลีบเนื้ออ่อนนุ่มนั้นเผยอออกและอุทาน ‘โอ๊ย’ ออกมาด้วยความเจ็บก่อนจะพลิกร่างเล็กกลับขึ้นมาและคร่อมเธอเอาไว้อย่างรวดเร็ว โดยไม่สนว่าทั้งคู่จะเปลือยเปล่า โน้มหน้าลงไปจนปลายจมูกชนกัน ผสานลมหายใจที่ร้อนระอุเข้ากับจังหวะหายใจที่ขาดห้วงเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นของอัจฉรา“เธอมองว่าฉันเป็นคนดีมาตลอดเหรอ? หึ... นั่นแหละที่ทำให้เธอไม่แตกต่างจากคนอื่น... มองแค่ผิวเผิน... ใจง่ายไปเอง ทั้งที่ฉันยังไม่ได้ทำอะไรให้ด้วยซ้ำ”นัยน์ตาสีนิลแข็งกร้าว แต่ก็มีชั่วแวบหนึ่งที่มันฉายประกายอย่างซับซ้อน คล้ายกับความเจ็บปวดจากบางอย่าง ทว่าก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว นทีกระตุกยิ้มมุมปากเมื่อเห็นความหวาดหวั่
“อึก... อื้ออ...” สองมือยึดสะโพกเอาไว้มั่น ขณะที่ใบหน้าหล่อเหลาแหงนหน้าขึ้นฟ้า ปล่อยธารรักอุ่นร้อนพุ่งเป็นสายหนาเคลือบแผ่นหลังเนียนที่บัดนี้เต็มไปตราประทับกลีบกุหลาบและรอยขบกัด สะท้านสะเทือนเพราะแรงรักที่เขาปรนเปรอให้ใจจริงนทีอยากที่จะปลดปล่อยเคลือบผนังกำมะหยี่ แต่เขาก็รักษาคำพูดของตัวเองพอที่จะไม่ลดตัวลงไปฝากน้ำรักของเขาในกายของหล่อน... ถ้าเกิดพลาด อัจฉราท้องขึ้นมาจะเป็นเรื่องใหญ่“อ่าห์... โคตรดี... เธอเป็นของฉันแล้วนะ เนย”เสียงทุ้มพร่ากระซิบชิดกับใบหูที่ร้อนผ่าวของคนใต้ร่าง หลังจากที่ปลดปล่อยจนสุดทางรัก ทรุดตัวลงนอนทับเธอ โดยระวังน้ำหนักไม่ให้ทับคนตัวเล็กกว่าจนร่างแหลกไปเสียก่อนเขายกยิ้มอย่างพึงพอใจ พลางเลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นไปตามแนวสีข้างของเธอ จนมาถึงข้างแก้มที่ถูกปกคลุมด้วยเส้นผมสีแดงบดบังใบหน้าของคนที่เขาอยากเห็นสีหน้าที่สุดจนมองไม่เห็น“พูดอะไรบ้างสิ... หรือว่าโดนของฉันไปเลยจุกพูดไม่ออก”นทีถามเสียงเย้าแหย่ แต่แฝงความเป็นเจ้าของที่เพิ่มพูนขึ้นกว่าเดิม รู้สึกพึงพอใจที่สามารถยึดครองร่างกายเธอมาเป็นของเขาได้ด้วย
พรึ่บ! นทีไม่สนท่าทีที่กลับมาขัดขืนงอัจฉรา เขากระชากกางเกงยีนและกางเกงในตัวจิ๋วลงไปกองรวมกันอยู่ที่ข้อเท้าเล็กอย่างไม่ปรานี เผยให้เห็นเงาสามเหลี่ยมที่ซ่อนอยู่หว่างขาขาว เท่านั้นยังไม่พอใจ กวาดสายตามองร่างเปลือยเปล่าตั้งแต่หัวจรดเท่าสายตาจวบจ้วงนั่นทำให้หญิงสาวหัวใจเต้นแรงด้วยความกลัวและความอายอย่างถึงที่สุด เธอพยายามถดตัวหนี ปิดบังตัวเองด้วยมือและแขนอย่างน่าสมเพช แต่มันกลับดูยั่วยวน กระตุ้นความอยากของนทีอย่างร้ายกาจคว้าข้อเท้าเล็กทั้งสองข้างเอาไว้มั่น รับรู้ได้ถึงแรงต้านที่พยายามจะหนีบขาเข้าหากัน แต่พละกำลังที่มากกว่าก็สามารถจับเรียวขาสวยของเธอแยกออกจากกันได้ไม่ยาก เผยให้เห็นกลีบเนื้ออวบอูมที่บัดนี้ฉ่ำวาวแล้ว“ไม่นะ! อย่ามอง!”“แฉะแล้ว... อย่าหลอกตัวเองเลยเนย...”.นทีเลียกลืนน้ำลาย สายตาจับจ้องส่วนรับของอัจฉราอย่างกระหาย ความงามของเธอเกือบทำให้ลืมหายใจ นัยน์ตาสีนิลวาวโรจน์ รีบแทรกกายเข้าไประหว่างขาของเธอ รับรู้ถึงความปวดร้าวของตัวเองที่ร้องหาปลดปล่อยใต้เนื้อผ้า“คุณนที... ฮึก...”น้ำตาของเธอ... ร้องไห้อีกแล้ว ความปรารถ
“คุณนทีอย่า!”อัจฉราประท้วงเสียงเครือ ดวงตาคู่ฉ่ำน้ำใส ไหวสั่นระริก ความร้อนซ่านประดับพวงแก้มใสราวกับผลตำลึงสุก ทั้งอายและอัปยศอย่างถึงที่สุด หลังจากที่นทีเปิดเผยร่างกายท่อนบนของเธอ มองเขาด้วยสายตาที่อ้อนวอน ผิดจากความดื้อรั้นก่อนหน้า“อย่านะคะ... ฮึก... เนยขอร้อง”เธอขอร้องทั้งน้ำตา ปลายจมูกรั้นแดงเรื่อ หายใจติดขัด ภาพตรงหน้าของนทีช่างดูน่าสงสาร เขากำลังทำร้านอัจฉราย่อมรู้ดี แต่ความต้องการของเขามันบดบังความรู้สึกผิดชอบชั่วดีไปหมด สำคัญเขากำลังมองว่าความอ่อนแอของเธอมันน่าขย้ำให้จมเขี้ยว เหมือนสัตว์ตัวน้อย ๆ อ่อนแอ หวาดกลัว... สิ้นหวังแต่ก็ยังดิ้นรนที่จะขอร้อง“อย่าร้องไห้...”เขายื่นมือไปเช็ดน้ำตาที่อาบหน้าคนใต้ร่างอย่างแผ่วเบา สัมผัสเย็นเยียบไม่ใกล้เคียงกับคำว่าปลอบใจเลยแม้แต่น้อย ซึ่งใช่... นทีไม่ได้กำลังปลอบประโลม“คุณนที... เนยขอร้องนะ... อย่าทำแบบนี้เลย”ร่างเล็กตัวสั่น สัมผัสของปลายนิ้วที่เฉียดผ่านแก้มเนียนยามที่เขาเช็ดน้ำตาให้ แม้รู้ดีว่ามันคือการกระทำเสแสร้งที่สุด ทว่ากลับรู้สึกสะท้านใจอย่างอดไม่ได้ ยิ่งเปิดเปลือ
“น่ารำคาญมากไหมคะ... ฮึก... เนยน่ารำคาญในสายคุณนทีมากไหมคะ?”นทีชะงักจริง ๆ ในครั้งนี้ ดวงตาสั่นไหวเล็กน้อย ไม่ตอบคำถามแต่กลับจ้องใบหน้าที่เปื้อนหยาดน้ำใสจากตาของเธอ ก่อนที่รอยยิ้มร้ายกาจจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง น้ำตาของเธอ... ทำให้รู้สึกเดือดในใจอย่างประหลาดพร้อมด้วยเสียงหัวเราะต่ำ เขาปล่อยมือออกจากคางของเธอ ปลายนิ้วเกลี่ยน้ำตาออกจากแก้มนุ่มอย่างแผ่วเบา ก่อนที่เขาจะตอบคำถามของหล่อนด้วยน้ำเสียงเย็นจัดตรงข้ามกับสัมผัส“มาก... จนอยากปิดปากเธอให้เงียบเลยล่ะ”พูดจบก็ก้มลงประกบจูบอัจฉราอย่างแรง แบบไม่ให้เธอทันได้ตั้งตัว ดวงตาชุ่มน้ำเบิกกว้าง หัวใจเต้นแรงด้วยความตกใจท่ามกลางความรู้สึกเจ็บปวด ขณะที่นทีเลื่อนมือมาล็อกกรามของเธอเอาไว้ บังคับให้เงยหน้ารับจูบได้ถนัดมากขึ้น“อืม...”เสียงทุ้มคำรามในลำคออย่างขัดใจเล็กน้อย ที่กลีบปากนุ่มของหญิงสาวเม้มแน่น แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เขาบีบกรามเธอแน่นขึ้นจนอัจฉราแย้มริมฝีปากออกด้วยความเจ็บ นทีใช้จังหวะนั้นสอดลิ้นร้อนเข้าไปลิ้มรสความเค็มของน้ำตาผสมกับความหวานหอมของคนใต้ร่างอย่างดุเดือดกวาดต้อนลิ้นเ
อัจฉราหยุดฝีเท้าที่ปลายบันได แผ่นหลังบางตั้งตรงแม้จะสั่นไหวจากการร้องไห้ก็ตาม ดวงตาคู่สวยคมกล้าขึ้นเหนือความบอบบางที่เจ็บลึกสุดใจ “เนยไม่ได้หนี... แต่ถ้าจะหนีแล้วมันเรื่องอะไรของคุณนทีคะ?” เสียงหวานเครือย้อนถามคนข้างหลังโดยไม่หันไปมอง พูดจบหล่อนไม่รอคำตอบรับ หญิงสาวก็เคลื่อนไหวลงบันไดไปอีกครั้ง ทว่าเร็วไม่พอ ไม่ง่ายอย่างที่คิดนทีกล่าวไว้ไม่มีผิด “กล้าดีนี่!” หมับ! มือใหญ่ยื่นออกมาคว้าข้อมือเล็กของอัจฉราได้อย่างแม่นยำ พร้อมกันนั้นก็รวบร่างบางด้วยแขนอีกข้างที่ว่างเข้ามาหา ก่อนจะปล่อยมือออกจากข้อมือของหญิงสาว แล้วยกเธอขึ้นอุ้มทันที โดยไม่สนใจเสียงร้องห้ามหรือแรงขัดขืน “คุณนที! ปล่อยเนยนะ!” “ปล่อยเหรอ?! จะให้ปล่อยไปไหนล่ะ? ไปเสนอตัวให้ไอ้เจ้าหนี้ของเธอทำเมียหรือไง” น้ำเสียงทุ้มต่ำอันตรายยิ่งกว่าครั้งไหน เขาจับร่างเล็กพาดบ่าอย่างมั่นคง ก่อนจะหันกลับขึ้นบันได ตรงไปยังห้องนอนที่ประตูยังคงเปิดอ้าอยู่จากเมื่อครู่ ดวงตาสีนิลมืดครึ้มลงอย่างน่ากลัว ส







