พี่ชายเธอที่ให้มั่วมั่วหลีโย่วร้องเฮอะเบา ๆ อยู่ในใจ คิดว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นผู้ชายตรง ๆ ได้ถึงขนาดนี้เชียวเหรอ แถมยังใช้แผนอ้อม ๆ แบบนี้อีกเขาต้องได้ยินคำพูดสุดท้ายที่มั่วมั่วพูดผ่านสายโทรศัพท์ตอนนั้นแน่ หรือไม่ก็รู้ว่ามั่วมั่วไม่ได้ต้องการของขวัญอะไร ถึงได้ใช้วิธีแบบนี้ซูมั่วมองสีหน้าของเพื่อนซี้ที่เดี๋ยวก็ขมวดคิ้วสงสัย เดี๋ยวก็ทำหน้าเคร่งขรึมเอาจริงเอาจัง มาตอนนี้ยังยิ้มประหลาด ๆ ออกมาอีก ซูมั่วเลยได้แต่งงงวยไปหมด“ในเมื่อไม่มีปัญหาอะไร แต่สีหน้าแบบนี้ของเธอ...” ซูมั่วว่า“อ๋อ ฉันดีใจน่ะ” หลีโย่วยิ้มเล็กน้อยพลางว่า“มั่วมั่ว ยินดีกับเธอด้วยนะ เธอนี่โชคดีสุด ๆ ของแท้เลย!”ซูมั่วมองกระเป๋า ทั้งทรงกระเป๋า ทั้งรูปแบบ ไหนยังจะสัมผัสกับความวิบวับอีก เธอชอบมาก ๆ เลยครั้นได้ฟังคำพูดของหลีโย่วแล้ว ตอนนี้เธอถึงเพิ่งรู้สึกดีใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าช่างเป็นเรื่องน่ายินดีที่คาดไม่ถึงจริง ๆช่วงเวลาดื่มชายามบ่ายของทั้งคู่ดำเนินต่อไป หลีโย่วที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแอบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความไปหาพี่ชายของเธอ พลางหยอกล้อยั่วเย้าภายในร้านค้าเคาน์เตอร์แบรนด์ในเวลานี้หลังจากผู้จัดการร้าน
“สวัสดีค่ะคุณผู้หญิงทั้งสอง ต้องขอโทษเป็นอย่างยิ่งที่เข้ามารบกวนเวลาดื่มชายามบ่ายของพวกคุณทั้งสองนะคะ แต่คุณหนูคนสวยท่านนี้ได้รับรางวัลนำโชคจากทางร้านของเรา ดิฉันเลยนำของรางวัลมาส่งให้เป็นการเฉพาะค่ะ” ผู้จัดการร้านยิ้มพลางค้อมตัว แล้วกล่าวเธอมองซูมั่ว แล้ววางถุงของขวัญไว้บนโต๊ะซูมั่วเองก็มองเธอ แล้วมองถุงของขวัญสีขาว ตอนนี้ถึงเพิ่งรู้สึกจริง ๆ ว่าได้รับรางวัล ทว่าเธอไม่ได้ยื่นมือออกไป แต่ถามเพียงว่า“ฉันต้องเพิ่มเงินอีกเท่าไรเหรอคะ?”ไม่มีทางให้เปล่า ๆ แน่จริงไหม? นำของมาให้แก่ลูกค้าที่ไม่เคยเข้าไปใช้จ่ายในร้านมาก่อนคนหนึ่งแบบนี้ ซึ่งกระเป๋าที่ราคาถูกที่สุดในร้านนี้ก็มีราคาเป็นแสนแล้ว“ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มเติมเลยค่ะ!” ผู้จัดการร้านรีบกล่าว“คุณเป็นดาวนำโชคในวันนี้ หวังว่ากระเป๋าใบนี้จะมอบโชคดีให้คุณได้นะคะ~” เธอยิ้มเล็กน้อยพลางว่า“ในเมื่อส่งของขวัญถึงมือแล้ว งั้นพวกเราต้องขอตัวก่อน หากคุณมีข้อสงสัยหรือความต้องการอะไรก็กรุณาติดต่อดิฉันได้ทุกเมื่อเลยนะคะ~”ท่าทางของเธอเรียกได้ว่าเป็นการปฏิบัติต่อลูกค้าระดับวีวีไอพีได้เลยทีเดียว เพราะตอนที่ยื่นนามบัตรมาให้ก็ถึงขั้นที่ต้องคอยค้อ
“สายตาอะไรของพวกคุณ ดูถูกคนหรือไง?” ชายหนุ่มมองพวกเธอที่มองเขาด้วยสายตาสงสัยระคนสำรวจ พลางกล่าวอย่างไม่พอใจ“ไม่ใช่นะคะ คุณเข้าใจผิดแล้ว เพราะไม่รู้ว่าคุณมีความสัมพันธ์เจ้านายท่านนั้นค่ะ” พนักงานเก็บเงินยิ้มเล็กน้อยพลางว่าแน่นอนว่าเขาไม่อาจเปิดเผยฐานะของเขาได้ เลยปั้นเรื่องไปว่า“ผมเป็นคนขับรถของเขา รีบคิดเงินเถอะ ผมต้องรีบไป”แม้ว่าข้ออ้างนี้จะทำให้พวกเธอเชื่อไม่ค่อยได้ก็ตาม เพราะ “คนขับรถ” คนนี้ออกจะดูสภาพย่ำแย่เกินไป ปกติแล้วไม่ใช่ว่าคนขับรถของครอบครัวเศรษฐีจะต้องใส่สูทผูกเนกไทกันหรอกเหรอ?แต่คำพูดนี้ก็เป็นที่แน่นอนว่าไม่กล้าถามออกไป ยิ่งไปกว่านั้นใครจะไปปฏิเสธคนเขาอุตส่าห์รีบมาจ่ายเงินแบบนั้น?นอกจากนี้คือตั้งแต่แรกผู้ชายน่าสงสัยคนนี้ก็เข้ามาถามเรื่องของลูกค้าสองท่านนั้นจริง ๆณ คาเฟ่ชายามบ่ายแห่งหนึ่งภายในห้างสรรพสินค้าในขณะนี้“หืม? คุณว่าฉันถูกรางวัลเหรอ?” หลีโย่วถามผ่านสายโทรศัพท์หลังได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย เธอจึงเงยหน้ามองเพื่อนซี้ที่นั่งตรงกันข้าม“เพื่อนฉันถูกรางวัล?” เธอว่าซูมั่วชะงักไป เดิมทีเธอกำลังเตรียมแสดงความยินดีกับหลีโย่วอยู่เลย ทำไมถึงกลายมาเป็นเธอเองแล
ผู้จัดการร้านได้ยินก็เข้าใจ จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปรียบเทียบและเลือกซื้อไม่ถึงสองนาที เธอก็ถือกระเป๋ารุ่นลิมิเต็ดที่ออกใหม่ในฤดูร้อนใบหนึ่งมา ขณะเดียวกันก็เป็นกระเป๋ามุกสีขาวที่แพงที่สุดในร้าน และอธิบายอย่างกระตือรือร้น“คุณฟู่คะ ฉันช่วยเลือกกระเป๋ารุ่นแกรนนีให้คุณผู้หญิงท่านนั้นค่ะ มันเป็นรุ่นลิมิเต็ดเอดิชันที่แบรนด์จีเอสเปิดตัวใหม่ในฤดูร้อนปีนี้ ตอนนี้ที่เคาน์เตอร์ของฉันมีเพียงใบเดียวค่ะ”“ดีไซเนอร์ของกระเป๋าใบนี้ชื่อชาร์ลสัน แนวคิดในการออกแบบของเขาคือ...”ได้ยินทางฝั่งผู้จัดการร้านพูดยาวเหยียด ฟู่ก็อี้ชวนขมวดคิ้ว และพูดขัด“หยุด ผมไม่มีความสนใจในเบื้องหลังและการออกแบบของกระเป๋าใบนั้น”เสียงของผู้จัดการร้านหยุดชะงักทันที เผยรอยยิ้มกระอักกระอ่วน และพูด“...ถ้างั้น? เอารุ่นนี้เลยไหมคะ?”“แค่เธอชอบก็พอ สิ่งที่ผมต้องการคือให้เธอรับไว้ด้วยความพอใจ” ฟู่อี้ชวนพูดผู้จัดการร้านเข้าใจ และพูดรับรอง“โปรดวางใจได้ค่ะ กระเป๋ารุ่นนี้มีความหรูหราแต่ก็ยังมีความน่ารักสง่างาม เหมาะกับบุคลิกของคุณผู้หญิงท่านนั้นเป็นอย่างมากค่ะ”ฟู่อี้ชวนไม่ได้พูดอะไรอีก ในเมื่อเป็นสายตาของผู้จัดการร้าน งั้น
“ความเป็นส่วนตัวอะไรกัน ผมแค่ถามว่าใครเป็นคนซื้อกระเป๋าเองไม่ใช่เหรอ?” ชายคนนั้นพูดพนักงานเก็บเงินยิ้มเล็กน้อย แล้วอธิบาย“เพราะกระเป๋าในเคาน์เตอร์แบรนด์ของฉันล้วนราคาสูง จึงห้ามให้ข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับลูกค้าแก่บุคคลภายนอกค่ะ”อีกฝ่าย “...”นี่มองเขาเป็นโจรปล้นเหรอ? หรือมองว่าเป็นแมงดาที่อยากไปเกาะขาคนรวยกัน?แต่เขาก็ไม่ได้เถียงกับอีกฝ่ายเช่นกัน เพราะหากทะเลาะกันขึ้นมา พนักงานเก็บเงินคนนี้ก็คงจะแจ้งพวกเธอว่ามีคนมาสอบถามเรื่องของพวกเธอ แล้วเขาก็จะถูกเปิดโปงเขาออกจากเคาน์เตอร์ไปข้างนอก ส่วนด้านใน เหล่าพนักงานขายต่างมองเขา รู้สึกว่าคน ๆ นั้นน่าสงสัยมาก และตัดสินใจว่าถ้ามาอีกครั้งก็จะโทรแจ้งตำรวจทันทีชายคนนั้นโทรหาผู้ว่าจ้าง หลังจากรับสาย เขาก็รายงานสถานการณ์ตัวเองไม่มีเงินไม่มีสถานะทางสังคม แต่ผู้ว่าจ้างมีเงินและมีสถานะทางสังคม ยิ่งไปกว่านั้นการที่เขาออกหน้า ยังสามารถป้องกันไม่ให้เรื่องการตามสืบรั่วไหลไปถึงตัวเป้าหมายและเพื่อนของเธอด้วยฟู่อี้ชวนเปิดลำโพงโทรศัพท์ หลังฟังจบ ก็แค่ส่งเสียง ‘อืม’ อย่างหดหู่ครั้งหนึ่ง และไม่ได้พูดอะไรอีกสักคำสั่งให้คนไปประสานงานกับผู้จัดการเคาน์เ
มิน่าล่ะซูมั่วถึงมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังเขา หลีกเลี่ยงราวกับเห็นงูพิษ แม้แต่จะพูดกับเขาสักประโยคก็ยังไม่อยากพูดที่คุณปู่พูดว่าเชื่อซูมั่ว ความจริงเขาก็ยืนอยู่ข้างเธอเหมือนกัน แต่ว่า...เพราะตอนนั้นเขาอุ้มเย่ซินหย่าออกไป และทิ้งเธอที่บาดเจ็บหนักกว่าไว้ และถึงขั้นพูดจาทำร้ายจิตใจ...เขาไม่กล้า เขาไม่อยาก เขากลัวกลัวว่าทั้งหมดจะเป็นฝีมือของเย่ซินหย่า กลัวว่าตัวเองจะกลายเป็น ‘คนบาป’ โดยสมบูรณ์ถ้าเป็นแบบนั้น เขาจะยังขอร้องให้ซูมั่วให้อภัยเขาได้เหรอ?ตัวเขาเองก็ไม่อาจให้อภัยตัวเองได้ด้วยซ้ำกล้องวงจรปิดที่ส่งกลับมาของโรงแรมทำให้เขาไม่อาจระบุและยืนยัน ‘ความจริง’ ได้ เขาจึงสามารถทำตัวต่ำช้าเพื่อฉกฉวยความสบายใจเล็กน้อย โดยเลือกที่จะหนียังเหลือเรื่องแก๊สรั่วอีกเมื่อแฮ็กเกอร์กู้ข้อมูลจากกล้องวงจรปิดได้แล้ว เขาก็จะรู้ทุกอย่างแต่... ตอนนี้เขารู้แล้วจะยังมีประโยชน์อะไร?ซูมั่วจากเขาไปนานแล้ว และเดิมทีซูมั่วก็ไม่ได้รักเขาอยู่แล้วสมองที่ควบคุมไม่ได้เข้าสู่สภาวะสุดโต่งซึ่งตรงข้ามกับตอนที่เขาใช้เหตุผลโดยสิ้นเชิง ฟู่อี้ชวนบังคับให้ตัวเองตั้งสติเพราะเขาต้องการภาพกล้องวงจรปิ