“ก่อนที่คนพวกนั้นจะมาถึง ข้าคิดว่าท่านควรจะกินอาหารก่อนนะขอรับ
อาหารเหล่านี้ปรุงจากผักที่ข้าปลูกด้วยความรัก หวังว่าท่านจะ...กินมันจนหมด” ก็ใช่นะสิ...ขนาดเขาเองยังแทบมิกล้าจะทานเลย แล้วท่านแม่ทัพที่นั่งทำหน้ามิค่อยจะแน่ใจว่าอาหารบนโต๊ะกินได้หรือเปล่าจะมิลังเลใจได้อย่างไรกันล่ะเก้าเทียนรุ่ยแอบอมยิ้ม ผัดผัก...ที่ใส่พริกสดตำพอแตกลงไปพอให้มีรสชาติเผ็ดร้อน
ซุปไข่และผักรวมเขาก็ผสมพริกป่นไปอีกช้อนใหญ่ ไหนจะโจ๊กเปล่าที่สามารถกินกับผัดผักและผักดอกสูตรพิเศษที่เขามักจะใช้รักษาคนป่วยเป็นไข้ได้ผลมาแล้วหลายรายอีกล่ะ รวมไปถึงต้มผักที่เคี่ยวกับกระดูกหมูที่เขาเพิ่งจะคิดได้ว่าควรจะต้องเพิ่มรสชาติให้หวานกลมกล่อมหากต้องเข้มข้นด้วยยาที่จะช่วยปรับธาตุร้อนและเย็นในร่างกายของท่านแม่ทัพให้สมดุล ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น...ทุกอย่างก็เพื่อท่านแม่ทัพผู้เดียวเท่านั้น
“กินได้” คิ้วเรียวยาวเลิกขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาเข้มเต็มไปด้วยความสงสัย ขณะมือก็หยิบตะเกียบเขี่ยผักในจานด้วยความสนใจระคนสงสัย
“ทำไมจะกินมิได้ล่ะ ท่านรู้ไหมว่าข้าปรุงสุดฝีมือเลยนะ เพื่อบำรุงรักษาให้ท่านหายดีมีพละกำลังรวมถึงฟื้นฟูพลังปราณของท่านให้กลับเร็ว ๆ ด้วย” เก้าเทียนรุ่ยคลี่ยิ้มอย่างที่คิดว่าหวานที่สุด พลางส่งสายตาเปล่งประกายเต็มไปด้วยความคาดหวังยามที่มองท่านแม่ทัพด้วย
“ข้าก็เตรียมตัวมากินของพวกนี้กับท่านเช่นกัน” โชคดีที่เขาคุ้นชินกับรสชาติพวกนี้อยู่แล้ว ก็เลยมิมีปัญหา หากแต่เมื่อกินเสร็จก็จำเป็นต้องกินยาป้องกันไว้ก่อน มิเช่นนั้นก็คงจะต้องท้องร่วงวิ่งเข้าห้องน้ำหลายครั้งเป็นแน่
“มา...ข้าป้อนท่านแล้วกัน” เก้าเทียนรุ่ยทำเป็นมิรู้มิชี้ รีบหยิบตะเกียบมาคีบผัดผักยื่นไปชิดปากท่านแม่ทัพในทันที
“หรือท่านพี่มิไว้วางใจฝีมือการปรุงอาหารของข้า ถึงมิกล้ากิน” เก้าเทียนรุ่ยไถ่ถามน้ำเสียงแผ่วเบา พลางเสแสร้งทำใบหน้าอย่างที่คิดว่าหม่นหมองเศร้าและในดวงตาก็ฉายความผิดหวังเสียใจให้มากที่สุด
“เปล่า หากข้าคิดว่า กินแบบนี้คงจะมิอร่อย ในเมื่อเจ้าป้อนแล้ว ก็ควรที่จะ...”
“เฮ้ย!” จะมิให้เขาตกใจจนอ้าปากค้างพลางทำตาปริบ ๆ ได้อย่างไรกันล่ะ ก็ยังมิทันจะได้คิดว่าที่ท่านแม่ทัพกล่าวออกมานั้นหมายถึงสิ่งใด กายเล็กเพรียวก็ถูกจับไปนั่งบนตักกว้างที่มีแขนแกร่งโอบรัดรอบเอวเสียแล้วนะสิ
“นั่นเช่นนี้อาซวงน่าจะป้อนข้าได้ถนัดกว่า”
ถนัดบ้าอะไรล่ะ! นั่งแบบนี้กว่าจะป้อนเสร็จ เขาได้เข็ดเมื่อยและถูกความชาเล่นงานเอาก่อนนะสิ
“ท่านปล่อย...ท่านแม่ทัพ!” เก้าเทียนรุ่ยได้แต่โมโหจนมิรู้ว่าจะทำอย่างไรดี ไหนจะแก้มนุ่มที่ถูกท่านแม่ทัพตัวร้ายหอมครั้งแล้วครั้งเล่า
“ท่าน!”
“อาซวงจำมิได้หรือ ข้าให้เรียกว่าอย่างไร”
“ขออภัยขอรับ...ท่านพี่ เป็นเพราะข้าเผอเรอไปหน่อย แต่นับจากนี้จะมิเป็นเช่นนั้นอีกแล้วขอรับ” เก้าเทียนรุ่ยกัดฟันกล่าวขณะตักอาหารบนโต๊ะมาป้อนท่านแม่ทัพ
“ผักที่ใช้ปรุงอาหารเหล่านี้ ล้วนเป็นข้าที่ปลูกเองทั้งหมดเลยนะขอรับ ตอนนี้ข้ายังทำแปลงปลูกผักไว้ในจวนท่านด้วย ให้ทหารของท่านมาช่วยรดน้ำพรวนดิน อา...ข้าทำเช่นนี้ท่านพี่มิโกรธเคืองกันใช่ไหมขอรับ” ปากก็ชวนเจรจาไป มือก็ต้องจัดการนำอาหารส่งเข้าปากท่านแม่ทัพมิให้ได้หยุดพัก อา...ช่างน่าสงสารนัก ปากที่เคยซีดตอนนี้เริ่มแดงจัดแล้วล่ะ ใบหน้าก็เช่นกัน เริ่มมีสีแดงแต่งแต้มแล้วล่ะ ถือว่าดียิ่ง
“ท่านพี่ต้องทานอาหารที่ข้าปรุงมาให้หมดนะขอรับ ข้าจะได้มีกำลังปลูกเพิ่มอีกเยอะ ๆ ” เก้าเทียนรุ่ยคลี่ยิ้มหวานให้กับท่านแม่ทัพ
“นี่ข้ายังคิดเลยนะขอรับ จะปลูกผักเหล่านี้ให้เยอะหน่อย จะได้ให้ทหารของท่านพี่ได้กินด้วย ทุกคนจะได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง จะได้ป้องกันบ้านเมือง ป้องกันพวกข้าที่อยู่แนวหลังให้ได้กินอิ่มนอนหลับสบาย มิต้องกังวลกับโจรร้ายและเหล่าศัตรูที่จะมารุกราน...ต้มผักนี่ข้าปรุงอย่างสุดฝีมือเลย ท่านพี่รับอีกสักคำนะขอรับ” เก้าเทียนรุ่ยรีบถือโอกาสป้อนอาหารบนโต๊ะให้กับท่านแม่ทัพที่ตอนนี้ทั้งปากและใบหน้าแดงไปหมดแล้ว
ฮึ! ดี สมน้ำหน้า อยากจะแอบกินเต้าหู้ข้าดีนัก
“ปากท่าน...พี่แดงมากเลย คงจะเผ็ดมาก ถ้าเช่นนั้นดื่มน้ำซุปสักหน่อยนะขอรับ”
“ข้าว่า...มีวิธีการอื่นแก้เผ็ดได้ดีกว่านะ”
รอยยิ้มที่แต้มบนใบหน้าและสายตาคมเข้มเปล่งประกายของท่านแม่ทัพทำให้เก้าเทียนรุ่ยรู้สึกเหมือนกับว่าสิ่งที่กระทำลงไปนั้นจะพาตนเองไปสู่เรื่องร้ายและมันก็จริง เมื่อท่านแม่ทัพจับปลายคางเขาไว้มิให้เบือนหนี ก่อนจะจรดริมฝีปากที่ร้อนผ่าวลงมาบนหน้าผาก เรื่อยลงมาถึงแก้มนุ่มก่อนจะหยุดนิ่งอยู่บนริมฝีปาก
“เจ้าว่า...อย่างนี้คลายรสชาติเผ็ดร้อนได้ดีมากกว่าหรือไม่เล่าอาซวง”
ว่าแล้วท่านแม่ทัพก็บดคลึงขบกัดปากเขาอย่างหนักหน่วง เรียวลิ้นสอดแทรกเข้าไปในโพรงปาก ที่ทำให้เขาได้ลิ้มรสฝาดเฝื่อนและเผ็ดร้อนหากก็แฝงไว้ด้วยความหวานละมุน จูบเม้มหนักสลับแผ่วเบา หยอกเย้าสลับดูดดื่มความหวาน
“เจ้าคิดอย่างที่ข้ากล่าวหรือไม่เล่า...อาซวง”
เก้าเทียนรุ่ยได้แต่กระอึกกระอัก มีโทสะขณะเดียวกันก็เขินอายอย่างบอกมิถูก “ข้าว่า...ท่านพี่รีบทานอาหารให้หมดดีกว่าขอรับ มินานคนที่ท่านรองแม่ทัพบอกไว้คงจะมาถึงกัน ถึงตอนนั้นแก้ตัวอย่างไรก็เห็นทีว่าคนพวกนั้นจะมิเชื่อนะขอรับ”
“นั่นสิ ฝีมือการทำอาหารของอาซวงก็ดียิ่ง ข้ายังมิอิ่มเลย หากตอนนี้มือไม้มันยังมิค่อยมีเรี่ยวแรงเลย มิรู้ว่าอาซวงจะยังใจดีป้อนข้าอยู่อีกหรือไม่”
แล้วเขามีทางเลือกไหมล่ะ...เก้าเทียนรุ่ยได้แต่กลอกตาไปมา
“เหตุใดท่านพี่ถึงได้คิดเช่นนั้นละขอรับ มีหรือที่ข้ามิยินดีป้อนท่าน จะดีใจมากกว่าที่ท่านชอบอาหารที่ข้าทำและยังจะกินจนหมดด้วย” เขายอมเปลืองเนื้อเปลืองอีกสักหน่อยก็ได้ แต่ก็จะคอยหาวิธีเอาคืนท่านแม่ทัพ เชื่อเถอะ...มันจะต้องมีสักวิธีสิน่า
“แต่...ท่านพี่ห้ามรังแกข้าเช่นเมื่อครู่อีกนะขอรับ”
“ทำไมล่ะ อาซวงมิชอบให้ข้าแตะต้อง รู้สึกมิดียามที่ข้า...จูบเหรอ” มิเพียงแค่กล่าวหากนิ้วยาวยังลากไล้บนแก้มนุ่มใสซับสีเลือดฝาด ยังจะมีใบหน้าที่คลอเคลียลำคอ สร้างความหวั่นไหวและสมองมิค่อยจะสั่งการด้วย
“แล้วเด็กสองคนนั้น” เสวียนลิ่วหลางเอ่ยถามเพราะหนานชวนส่งข่าวให้รู้บ้างแล้ว“ดูเป็นเด็กดีอยู่ขอรับ” นับตั้งแต่ที่เขาอยู่กับเสวียนลิ่วหลางมา มิเพียงแค่ร่างกายที่เปลี่ยนไป หากรับรู้ว่าภายในกายเริ่มมีพลังลมปราณมากพอที่จะสัมผัสได้ว่าใครมีวรยุทธ์และพอจะมองออกว่าผู้ใดมาดีหรือร้าย ทำให้มองออกว่าเด็กน้อยสองคนเป็นเด็กดีจริง ๆ จึงยินดีเป็นอย่างมากที่มารดามีคนดี ๆ มาคอยดูแล“แล้วท่านพี่ละขอรับ พบเจอเรื่องใดหรือไม่”หากเสวียนลิ่วหลางมิทันจะได้บอกกล่าวเรื่องที่ได้ไปตรวจสอบมา...มิได้มีสิ่งใดร้ายแรง ก็เป็นพวกมารปลายแถวกับเผ่าปีศาจที่มิชอบหน้ากันมาทะเลาะกัน แล้วกลุ่มจอมยุทธ์รุ่นใหม่เขาอยากแสดงว่าตนมีฝีมือเท่านั้น ก็มีบางคนเดินเข้ามา“มาทำไม” เสวียนลิ่วหลางเอ่ยเสียงเข้มดุ หากเด็กน้อยตรงหน้ากลับมิสนใจแล้วยังจะส่งยิ้มให้กับเก้าเทียนรุ่ยเพื่อยั่วโทสะยักษ์ใหญ่ตรงหน้าอีกด้วย“มิได้มาหาเจ้าเสียหน่อย มาหานั่น...” ปากเล็กสีแดงสดบุ้ยใบ้ไปทางเก้าเทียนรุ่ย “ต่างหากล่ะ...คิดถึงมากเลย”“ที่นี่เรือนข้า...ไปคิดถึงไกล ๆ หากมิอยากถูกจับโยนออกไป”“กล้ารึ...ข้าพี่ชายสองนะ เจ้ากล้าทำร้ายพี่ชายเมียเจ้ารึ”“ฮึ! พี่ชายที่นอก
“อึก...อ้ายฉี!” ชิงชวนร้องเรียกด้วยความเกรี้ยวกราดเพราะยังมิทันได้เตรียมกายรับอ้ายฉีก็แทรกแท่งใหญ่ร้อนเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วยังจะหัวเราะร่าพร้อมกับกลั่นแกล้งเขาด้วยการขยับกายออกแล้วเคลื่อนกลับเข้าไปใหม่จนสุด“ไอ้เจ้าบ้าอ้ายฉี!”“อา...ข้ามันคนบ้านี่น่า เขาว่าคนบ้าทำอะไรก็มิผิด” ว่าแล้วอ้ายฉีก็เร่งเคลื่อนกายจู่โจมเข้าในพื้นที่เร้นลับของชิงชวนอย่างหนักหน่วงซ้ำแล้วซ้ำเล่า...จากนุ่มนวลกลับเป็นรุนแรงเมื่อถูกผนังอ่อนนุ่มบีบรัด“เจ้าว่า...ข้าจะบ้าได้มากกว่านี้ไหมอาชวน”“หยุดทำอย่างที่เจ้าคิดเลยนะอ้ายฉี” ชิงชวนห้ามปรามเมื่อพอจะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดทำการสิ่งใด เขามิอยากเดินออกจากห้องพักอย่างอับอายเพราะถูกอีกฝ่ายจับกดจนเตียงพังอย่างเช่นโรงเตี้ยมที่ก่อนหน้าอ้ายฉีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยขณะกล่าวออกไป “ข้ายังมิได้คิดอะไรสักหน่อย”“ฮึ! เจ้าอย่าคิดว่าข้าจะมิล่วงรู้ ข้าอยู่กับเจ้ามานานเท่าใดแล้ว ยามนี้หากมิใช่เพราะคิดว่าเดินทางกันพอแล้วกับในยุทธภพมีเรื่องมากมายชวนปวดหัว คิดว่าเจ้ากับข้าจะคิดกลับไปหาท่านแม่ทัพ...นายท่านกับคุณชายหรือไงกัน”“ครั้งนี้ข้ายอมก็ได้” หากมิใช่เพราะจะทำให้ชิงชวนอับอาย แต่เขาสัมผัสได้ว
“ใบหน้าเมียข้ายามนี้ช่างงดงามเหลือเกิน เร่งอีกหน่อยสิท่านพี่ ข้าอยากได้ยินเสียงร้องของอาเหว่ย” จวินต้าเกอเอ่ยยามทอดสายตามองใบหน้าที่แสดงออกถึงความสุขสมยามถูกกระแทกด้วยความต้องการ“ได้สิน้องข้า” เฮยต้าเกอตอบรับ ผนังอ่อนนุ่มช่างบีบรัดเสียจนเขาถึงหายใจหอบแรงทำให้เขาขยับโยกกายด้วยความหนักหน่วงรุนแรงตามความต้องการที่มันเพิ่มมากขึ้น...และมากขึ้นจางเหว่ยสัมผัสได้ถึงกระแสความร้อนที่ไหลพุ่งเข้าสู่ร่างกายพร้อมกับเสียงครางของเฮยต้าเกอ ก่อนคลื่นความร้อนครั้งใหม่จะถาโถมเข้าหา“ข้าถูกพี่ใหญ่กลั่นแกล้ง แล้วยังจะต้องพาหมูป่ากลับมา ระหว่างทางก็ยังจะพลัดตกลงไปในแม่น้ำด้วย กว่าจะถึงบ้านก็เหนื่อยมิใช่น้อย เมียข้าช่วยปลอบโยนข้าหน่อยนะ” จวินต้าเกอเอ่ยขณะสองมือใหญ่ลูบคลำไปทั่วร่างกายพร้อมกับใช้แท่งใหญ่ยักษ์ของตนเองกดรุกล้ำเข้าไปในร่องทางด้านหลังของจางเหว่ยยามถูกผนังอบอุ่นห่อหุ้มและรัด ความต้องการของจวินต้าเกอก็เพิ่มมากขึ้น เขาขยับกายตัวราวกับพายุฝนที่กำลังกระหน่ำสาดซัดอย่างรุนแรง“หากเมียข้ายังจะทำสีหน้าเช่นนั้น...วันนี้เราคงจะมิได้ไปหานายท่านกับคุณชายเป็นแน่” เฮยต้าเกอกล่าวขณะวางมือลูบไล้บนอกเมียรัก“ข้า
“ท่าน...ท่านพี่” จางเหว่ยเอ่ยทักสองบุรุษที่เดินเข้ามาในบ้านเสียงแผ่วเบา ด้วยอย่างไรเขาก็ยังมิชินกับการเป็นฟูเหรินของบุรุษด้วยกัน แต่มิใช่เพราะเขาจำต้องผูกพันธสัญญาหรือมิเต็มใจอยู่กับกระทิงสองพี่น้องหรอกนะ แต่เพราะใจของเขาก็รู้สึกดีกับทั้งสองคนอยู่มิน้อย ยิ่งเมื่อผ่านพ้นค่ำคืนผูกพันธสัญญาไปแล้ว เฮยต้าเกอและจวินต้าเกอก็ดูแลเขาอย่างดี“มิสบายหรือเมียข้า” เฮยต้าเกอเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง“ข้ามิได้เป็นอะไร หากแต่ท่านพี่กับท่านพี่จวิน เหตุใดถึงได้กลับมาเรือนเร็วเช่นนี้ ยังมิทันจะเที่ยงเลย ท่านมิสบาย...บาดเจ็บใช่หรือไม่” จางเหว่ยเอ่ยถามพลางมองดูว่าบุรุษตรงหน้ามีบาดแผลที่ส่วนใดของร่างกายบ้าง“มิได้เป็นเช่นนั้น วันนี้โชคดี ได้หมูป่าตัวใหญ่มา เลยคิดกันว่ารีบกลับบ้านจะดีกว่า หมูป่าตัวใหญ่เช่นนี้ถ้าได้นั่งล้อมวงกินกันหลาย ๆ คนคงจะดีมิใช่น้อย อาเหว่ยอยากพามันไปกินกับนายท่านกับคุณชายหรือไม่” เฮยต้าเกอกล่าวถึงเสวียนลิ่วหลางกับเก้าเทียนรุ่ย“แต่กว่าท่านพี่จะจับมันได้...มิง่ายเลยนะขอรับ” แม้จะดีใจที่กระทิงสองพี่น้องยังคิดถึงความรู้สึกของเขา“สัตว์มีอยู่เต็มป่า จะจับเมื่อไหร่ก็ได้ แต่นายที่ดีอย่างนายท่
“อ่า...รอค่ำคืนนี้ก่อนนะเมียรักของข้า รุ่งสางแล้วเราต้องเร่งทำเวลา” ยามนี้จวนแม่ทัพยังมีงานให้เขาทำอยู่ อีกทั้งยังบางคนที่มิอยากให้เขาออกไปใช้ชีวิตที่อื่นก็มาคอยอ้อนวอนขอร้อง“อื้อ...” เก้าเทียนรุ่ยรับคำก่อนจะยกตนเองขึ้นเพื่อตอบรับเจ้ายักษ์ใหญ่ที่ค่อย ๆ สอดดันเข้ามาในร่างก่อนจะถอนออกอย่างเชื่องช้า แล้วย้อนกลับเข้ามาอีกครั้ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกครั้งจะลึกขึ้นเรื่อย ๆร่างเล็กบางไหวโยกตามแรงเคลื่อนไหว ผนังด้านในรับรู้สึกแท่งร้อนที่บุกรุกเข้ามาในกายครั้งแล้วครั้งเล่า บ้างก็เชื่องช้า บ้างก็รวดเร็ว“ท่านพี่”ใบหน้าแดงระเรื่อของเก้าเทียนรุ่ย ดวงตากลมใสที่ยามนี้ฉายแววปรารถนาอย่างชัดเจนทำให้เสวียนลิ่วหลางยิ่งถาโถมแท่งร้อนบุกรุกเข้าไปในพื้นที่หวงห้ามด้วยความปรารถนาที่รุนแรง เสียงสะท้อนของร่างกายที่กระทบกันดังทั่วห้องเช่นเดียวกับเสียงหอบของสองคนที่ดำดิ่งกับความใกล้ชิดเสวียนลิ่วหลางพลิกกายบางให้ลงนอนคว่ำ ใบหน้าเก้าเทียนรุ่ยแนบกับหมอนหนุน แขนแกร่งสอดรัดเอวเล็กขณะกดสะโพกพาแท่งเหล็กร้อนให้ดำดิ่งสอดแทรกไปในช่องทางที่อ่อนนุ่มครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนเสียงคำรามจะแผดดังขึ้นพร้อมกระแสความร้อนไหลพุ่งเข้าสู่
“เอาเป็นข้า...” เด็กน้อยเคลื่อนไหวกายเพียงเล็กน้อยแต่กลับรวดเร็วเสียจนแทบจะมองมิทัน เพียงแค่มิถึงหนึ่งจิบชาดูเหมือนว่าทุกคนที่ยังคงอ่อนแรงยกเว้นเสวียนลิ่วหลางก็ดีขึ้น“ข้าช่วยพวกเจ้าได้เพียงแค่นี้ ส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่องของพวกเจ้าเองแล้ว”“เดี๋ยว!” เก้าเทียนรุ่ยร้องเรียกเด็กน้อยตรงหน้าที่หันกายจะจากไป“มีอะไรอีก ข้ามิได้คิดร้ายกับพวกเจ้านะ”“เปล่า ข้ามิได้คิดเช่นนั้น แต่...” เก้าเทียนรุ่ยขบเม้มปากเข้าหากัน มิรู้ว่ามันเป็นความรู้สึกของเขาเองหรือเปล่าที่รู้สึกคุ้นเคยกับเด็กน้อยตรงหน้าประมาณหนึ่ง จนมันอดที่จะคิดมิได้“หากเจ้ามิพูดอะไร ข้าจะไปแล้วนะ”“เจ้า...คุณเป็นหนึ่ง” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยเสียงแผ่วเบา“หือ...” คิ้วของเด็กน้อยเลิกขึ้น“ใช่หรือไม่”เด็กน้อยคลี่ยิ้ม ก่อนจะเอ่ยออกไปว่า “จะใช่หรือมิใช่ จะมีสิ่งใดแตกต่างไปล่ะ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมิอาจย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งใดได้แล้ว เจ้านั่นแหละ...ได้โอกาสแล้วก็ใช้ชีวิตนับจากนี้ไปให้มีความสุขเถอะ” กล่าวจบเด็กน้อยที่มิบอกกล่าวให้ทุกคนรู้เป็นผู้ใดจากไปพร้อมกับร่างของเสวียนลิ่วหลางที่ทรุดล้มลงศีรษะแนบชิดกับลำคอเก้าเทียนรุ่ย“ท่านพี่!”“ท่านแม่ทัพ!”