“เธออยากกลับไปนอนพักก่อนไหม”
“ฉันอยากอยู่ข้างนอกมากกว่าค่ะ”
“ได้เลย ฉันจะปลุกเธอตอนที่จะเลือกอาหารเย็นละกัน”
จากนั้นเขาก็ปล่อยหญิงสาวไว้ที่ห้องนั่งเล่น ส่วนเขาขึ้นไปที่ห้องทำงาน เขาต้องเตรียมใจโทรหาบวรพจน์ รู้ดีว่าอีกฝ่ายจะต้องโกรธเขามาก ซึ่งเขามีสิทธิ์ที่จะโกรธ แต่แค่หวังว่าบวรพจน์จะรับฟัง แม้ว่าจะไม่ยอมรับคำขอโทษของในตอนแรกก็ตาม
ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทำงานและหยิบโทรศัพท์ออกมา จ้องหน้าจอโทรศัพท์เป็นเวลาหลายวินาทีก่อนที่จะกล้ากดโทรออก
เขาต้องทำสิ่งนี้เพื่อธาริกา
โทรศัพท์ดังหลายครั้งก่อนที่บวรพจน์จะรับสาย จักรินทร์รอคอยด้วยใจจดจ่อ ลุ้นว่าอีกฝ่ายจะยอมรับสายหรือไม่
โชคดีที่บวรพจน์ยอมกดรับ และสิ่งแรกที่จักรินทร์ได้ยินคือเสียงตะคอกด้วยความโมโหสุดขีด
“หมอจักรินทร์ ถ้าไม่ให้เหตุผลดี ๆ ว่าทำไมฉันควรคุยกับนายในห้าวินาทีนี้ ฉันจะวางส
จักรินทร์ตัดสินใจว่าจะจัดงานเลี้ยงสังสรรค์อีกครั้ง เขานำเรื่องนี้มาปรึกษากับธาริกา หลังจากที่โทรศัพท์พูดคุยกับบิดาของเธอ โดยให้เหตุผลว่าเขาต้องการแสดงให้ทุกคนประจักษ์ ว่าเขาภาคภูมิใจเพียงใดที่ได้คบหากับเธอ และต้องการประกาศความสัมพันธ์ของทั้งคู่ให้เป็นที่รับรู้โดยทั่วกันทว่าพอได้ลองปรึกษาหารือกัน กลับได้ข้อยุติว่ายังไม่ถึงเวลาอันสมควรที่จะประกาศเรื่องการตั้งครรภ์ อย่างน้อยก็มิใช่ในห้วงเวลานี้การประกาศข่าวดีเรื่องทายาทตัวน้อยในครรภ์ในเวลานี้ อาจจะนำมาซึ่งความสนใจใคร่รู้ และการจับจ้องจากผู้คนภายนอกมากจนเกินไปและธาริกายังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ยังไม่พร้อมที่จะเปิดเผยให้โลกภายนอกได้รับรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อครอบครัวของเธอเองก็ยังมิอาจยอมรับเรื่องนี้ได้ในส่วนลึกของจิตใจ ธาริกาแอบหวังว่าบิดามารดาจะมาร่วมงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้หลังจากถูกบิดาไล่ออกจากบ้าน ธาริกาพยายามส่งข้อความ และโทรศัพท์ติดต่อท่านทั้งสอง หากแต่ทุกช่อ
“เธออยากกลับไปนอนพักก่อนไหม”“ฉันอยากอยู่ข้างนอกมากกว่าค่ะ”“ได้เลย ฉันจะปลุกเธอตอนที่จะเลือกอาหารเย็นละกัน”จากนั้นเขาก็ปล่อยหญิงสาวไว้ที่ห้องนั่งเล่น ส่วนเขาขึ้นไปที่ห้องทำงาน เขาต้องเตรียมใจโทรหาบวรพจน์ รู้ดีว่าอีกฝ่ายจะต้องโกรธเขามาก ซึ่งเขามีสิทธิ์ที่จะโกรธ แต่แค่หวังว่าบวรพจน์จะรับฟัง แม้ว่าจะไม่ยอมรับคำขอโทษของในตอนแรกก็ตามร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทำงานและหยิบโทรศัพท์ออกมา จ้องหน้าจอโทรศัพท์เป็นเวลาหลายวินาทีก่อนที่จะกล้ากดโทรออกเขาต้องทำสิ่งนี้เพื่อธาริกาโทรศัพท์ดังหลายครั้งก่อนที่บวรพจน์จะรับสาย จักรินทร์รอคอยด้วยใจจดจ่อ ลุ้นว่าอีกฝ่ายจะยอมรับสายหรือไม่โชคดีที่บวรพจน์ยอมกดรับ และสิ่งแรกที่จักรินทร์ได้ยินคือเสียงตะคอกด้วยความโมโหสุดขีด“หมอจักรินทร์ ถ้าไม่ให้เหตุผลดี ๆ ว่าทำไมฉันควรคุยกับนายในห้าวินาทีนี้ ฉันจะวางส
จักรินทร์กลับถึงบ้าน ใช้เวลาไม่นานนักในการหาธาริกา หญิงสาวนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นพร้อมกับโกโก้ร้อนที่ยังคงมีควันลอยอยู่เหนือขอบถ้วย และหนังสือเล่มหนึ่งที่อยู่ในมือเขายิ้มให้ตัวเอง เธอดูสมบูรณ์แบบเหลือเกินที่นั่งอยู่ตรงนั้น มันทำให้เขาจินตนาการได้ว่าตัวเองกลับบ้านมาหาเธอแบบนี้ทุกวันแต่แล้วเธอก็มองขึ้นมา และสิ่งที่ปรากฏในดวงตาของเธอไม่ใช่ความสงบ แต่เป็นความโกรธทำเอาเขาตกใจ ร่างสูงเดินมาทรุดนั่งลงข้างหญิงสาว“ที่รัก เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น”“คุณหมอไม่แม้แต่จะทิ้งโน้ตไว้ให้ฉัน” น้ำเสียงน้อยใจอย่างเห็นได้ชัด“ฉันไม่ได้…อะไรนะ” คำกล่าวโทษของหญิงสาวทำให้จักรินทร์สับสน จับต้นชนปลายไม่ถูก เธอคาดหวังให้เขาทิ้งโน้ตไว้ให้เธอเหรอ“คุณหมอไม่ได้ทิ้งโน้ต หรือแม้แต่ส่งข้อความ ตอนที่คุณหมอออกไปทำงาน คุณหมอรู้ว่าฉันรู้สึกยังไงเมื่อคืน”น้ำเสียงและสีหน้าแง่งอนเกือบทำเอาจักรินทร์แ
“เอวา ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเริ่มตรงไหน มันรู้สึกเหมือนมีเรื่องมากมายเต็มไปหมด”“งั้นก็เริ่มจากเรื่องที่เธอสบายใจก่อน หรือว่าอยากบอกฉันไหมว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อวาน”เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อวาน ในอกพลันสะท้าน“ตอนที่ฉันบอกพ่อแม่ พวกท่านตกใจมาก ฉันรู้สึกแย่เพราะ...เธอก็รู้ ฉันไม่อยากทำให้พวกท่านผิดหวัง พ่อบอกว่าฉันทรยศความไว้วางใจของพวกท่าน เขายังคิดว่าคุณหมอจักรินทร์หลอกฉัน”เอวาขมวดคิ้ว “แล้วเธอเชื่อแบบนั้นไหม”ธาริส่ายหัว “ไม่ ฉันไม่รู้สึกแบบนั้นเลย แต่ว่า...ฉันก็เข้าใจว่าทำไมพ่อถึงคิดแบบนั้น คุณหมอจักรินเป็นเจ้านายฉันและมีอำนาจที่จะทำอะไรก็ได้”เอวาพยักหน้า “ใช่ นั่นคือเหตุผลที่ฉันกังวลมาตั้งแต่แรก ฉันว่าเธอควรพูดเรื่องนี้กับคุณหมอจักรินทร์นะ อย่างเช่นย้ายแผนกหรือว่าเปลี่ยนที่ทำงานอาจช่วยให้พ่อแม่เธอรู้สึกดีขึ้นกับเรื่องนี้”“คงยาก ตอนนี้พวกท่านแค่อยากให้ฉันทำเห
รุ่งเช้า ธาริกาลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความสับสน สัมผัสได้ถึงความไม่คุ้นเคยจากสัมผัสของเครื่องนอน ราวกับว่าเหตุการณ์เลวร้ายเมื่อวานเพิ่งจะเกิดขึ้นซ้ำรอยอีกครั้ง หากแต่ในคราวนี้ เธอพอจะประมวลเหตุการณ์ได้ว่าตนเองอยู่ที่ใด และเพราะเหตุใดเธออยู่ในห้องนอนของจักรินทร์ นอนอยู่บนเตียงนุ่มของเขาภายใต้ผ้าห่มผืนหนาหลายชั้น หากแต่ไร้ร่องรอยของเจ้าของห้อง แม้จะลุกขึ้นนั่ง และกวาดสายตาสำรวจไปทั่วห้อง ก็ยังคงไม่พบแม้แต่เงาของชายหนุ่มธาริกาเอื้อมมือคว้าโทรศัพท์ขึ้นมา หวนนึกถึงเวลาที่ล่วงเลยไป ป่านนี้คงจะสายโด่งจนจักรินทร์ออกไปทำงานแล้วกระมัง หากแต่ไร้ซึ่งข้อความใด ๆ จากเขา และเมื่อลุกขึ้นจากเตียง เดินสำรวจไปทั่วห้อง ก็กลับไม่พบว่าไม่มีโน้ตข้อความใด ๆ ทิ้งไว้ให้เธอทั้งสิ้นธาริกาเองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่สิ่งที่เกิดขึ้น กลับทำให้เธอรู้สึกกระวนกระวายใจมากยิ่งกว่าเดิมในส่วนลึกของจิตใจ เธอปรารถนาให้เขาแสดงออกให้เห็นว่ารักและใส่ใจเธออย่างแท้จริง
จักรินทร์รู้ว่าคำตอบที่ถูกต้องคือ...‘ไม่เป็นไร ฉันไม่อยากเก็บเรื่องนี้เป็นความลับอีกแล้ว’แต่ความจริงคือเขายังต้องนึกถึงหน้าที่การงาน“โอเค แต่สัญญากับฉันก่อนว่าจะโทรหาฉันถ้าเธอต้องการอะไร”“ค่ะ”“เด็กดี” จักรินทร์เอ่ยชมด้วยความเอ็นดู “เอาล่ะ ในระหว่างนี้…เรายังมีเวลาช่วงเย็นวันนี้เหลืออยู่อีกตั้งเยอะแยะแนะ เราจะทำอะไรก็ได้ตามที่เธออยากทำ ว่าแต่…ฉันจะช่วยให้เธอรู้สึกผ่อนคลายขึ้นได้บ้างไหม”ธาริกาส่ายหน้าช้า ๆ อีกครั้ง “ฉันไม่แน่ใจเลยค่ะว่านั่นคือสิ่งที่ฉันอยากทำในตอนนี้หรือเปล่า”“ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นแบบที่เธอเข้าใจผิดหรอกนะที่รัก ฉันหมายความว่า เราอาจจะดูหนังสักเรื่อง หรือจะอ่านหนังสือ หรืออะไรทำนองนั้นน่ะ”ธาริกานิ่งคิดสักพัก“ก็ดีค่ะ”จากประสบการณ์ของจักร
ทันทีที่เห็นชื่อผู้ติดต่อบนหน้าจอโทรศัพท์ปรากฏเป็นชื่อของธาริกา จักรินทร์ก็รีบกดรับสายแทบจะในทันที ในใจนึกโทษตัวเองอยู่รอมร่อ ว่าเมื่อครู่ไม่น่าพลั้งปากกล่าวคำหยาบคายออกไปเลย เขาเกือบจะโทรศัพท์ไปหาเธออยู่แล้ว หากมิใช่เพราะทิฐิมานะในใจค้ำคอ อยากจะกล่าวคำขอโทษต่อเธอด้วยตนเอง หากแต่ส่วนลึกในใจก็ยังคงหวังลึก ๆ ว่าเธอจะเป็นฝ่ายโทรศัพท์มาหาเขาก่อนอัตตาในใจจักรินทร์ยอมรับได้เพียงเท่านี้ และคงจะง่ายดายกว่ากันมาก หากธาริกาเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอโทษเขาก่อน“แสตมป์...เธอเป็นอะไร” จักรินทร์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย เพราะสิ่งแรกที่ได้ยินเมื่อกรอกเสียงลงในโทรศัพท์ กลับเป็นเพียงเสียงสะอื้นไห้จากปลายสาย“ฉัน...ฉันรู้สึกแย่” ปลายสายสะอื้นไห้อย่างหนักหน่วง จนจักรินทร์แทบฟังคำพูดของเธอไม่รู้เรื่อง“โอเค ๆ บอกฉันมา เกิดอะไรขึ้น” จักรินทร์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พยายามปลอบประโลมเธอ“คุณหมอ…มาหาฉันได้ไหมคะ” เสียงสะอื้นยังคงสั่นเครือ
ไม่นานหลังจากนั้น พ่อกับแม่ก็กลับมาถึงบ้าน แต่ธาริกากลับใช้เวลาอีกพักใหญ่ กว่าจะรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี ก้าวลงไปยังชั้นล่างของบ้าน เมื่อเวลาผ่านไป เธอกลับพบว่า ความปรารถนาที่จะเอ่ยปากบอกความจริงแก่ท่านทั้งสอง ค่อย ๆ เหือดหายไปจากจิตใจของเธอมือเรียวค่อย ๆ ลูบไล้หน้าท้องอย่างแผ่วเบา ภายในนี้ สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ กำลังเจริญเติบโตลูกของเธอ…หลานของพวกท่าน…ธาริกาเพียงหวัง หวังว่าพวกท่านจะรักและเมตตาเอ็นดูลูก และประคับประคองเธอในช่วงเวลาอันยากลำบากนี้เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ตัดสินใจก้าวลงบันได พ่อกับแม่ยังคงอยู่ในห้องนั่งเล่น พ่อนั่งบนเก้าอี้ตัวโปรด ทว่ามิได้อ่านนวนิยายสืบสวนในมือ หากแต่ปล่อยวางมันไว้ข้างกาย ส่วนแม่นั่งบนโซฟา นิตยสารศิลปะวางคว่ำอยู่บนตัก มิได้ถูกพลิกอ่านเช่นกัน“คุณแม่คะ…คุณพ่อคะ…” เธอเอ่ยเรียกท่านด้วยเสียงที่แผ่วกว่าปกติ ทอดสายตามองใบหน้าทั้งสองสลับกัน “หนูมีเรื่องสำคัญจะบอก
ธาริกากอดกระเป๋าแนบอก ขณะยืนรอรถแท็กซี่ที่หน้าคฤหาสน์ของจักรินทร์ ท้องฟ้ามืดครึ้มขมุกขมัวช่างไม่ต่างจากการซ้ำเติม เธอคิดจะหันหลังกลับเข้าไปรอในตัวบ้านจนกว่ารถที่เรียกจะมาถึง แต่ก็ไม่อยากเผชิญหน้ากับจักรินทร์ในเวลานี้ ได้แต่หวังว่าเขาจะมองเห็นร่างของเธอที่ยืนรออยู่ด้านนอกหวังว่าการกระทำเช่นนี้ จะช่วยเน้นย้ำถึงความตั้งใจอันแน่วแน่ของเธอให้ชัดเจนในที่สุด รถแท็กซี่ก็แล่นมาจอด และช่างเป็นเวลาที่เหมาะเจาะราวกับปาฏิหาริย์เพราะสายฝนเริ่มโปรยปรายลงมาแล้ว เธอจึงรีบเปิดประตูให้ขึ้นไปนั่งที่เบาะด้านหลังหลังจากขึ้นรถมาแล้วธาริกากลับเพียงแค่ทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างอย่างเงียบงัน จนกระทั่งถึงบ้าน เธอลงจากรถ จ่ายค่าโดยสารให้คนขับ แล้วจึงก้าวเท้าเข้าไปในบ้าน พบว่าแม่บ้านได้จัดเตรียมโกโก้ร้อน ๆ ไว้รอเธอแล้ว“วันนี้ท่าทางอากาศจะแย่ลงกว่าเดิมอีกนะคะ” แม่บ้านเอ่ยขึ้น พลางส่งแก้วโกโก้ร้อนให้ธาริกาเธอเอ่ยขอบคุณ และจิบโกโก้อย่างระมัดระวัง “คุณพ่อคุณแม่กำลังจะกลับใช่