มนสิชารอไม่นานนักนายแพทย์ท่านหนึ่งก็ออกมาแจ้งอาการของผู้ป่วย
“หมอคะ ยายของฉันเป็นยังไงบ้างคะ” หญิงสาวถามด้วยความร้อนใจ
“ยายของคุณมีอาการน้ำท่วมปอดอาจจะต้องให้นอนโรงพยาบาลเพื่อให้ยาขับปัสสาวะจากนั้นก็ต้องประเมินดูอีกทีหนึ่งว่าหัวใจเป็นยังไงบ้าง”
“แล้วเรื่องที่จะต้องทำบอลลูนล่ะคะ”
“เรื่องนั้นเราค่อยดูกันอีกทีครับ ตอนนี้เราต้องรีบรักษาภาวะหัวใจวายเฉียบพลันก่อน เดี๋ยวเราจะย้ายยายของคุณไปนอนบนวอร์ดก่อนเพื่อรักษาอาการต่อครับ”
“หมอคะยายจะไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมคะ”
“หมอยังให้คำตอบไม่ได้เพราะร่างกายของคนไข้ค่อนข้างอ่อนแออีกครั้งโรคต่างๆ ก็รุมเร้าตอนนี้ท่านยังตรวจเจอเบาหวานอีกด้วย”
“อะไรนะคะ ยายเป็นเบาหวานเหรอคะ” มนสิชาตกใจเพราะไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย
“ครับระดับน้ำตาลในเลือดสูงมาก คงต้องตรวจละเอียดอีกครั้งถึงจะรู้ ระหว่างนี้จนถึงเช้าอย่าเพิ่งให้ยายคุณทานอะไรนะครับ จนกว่าจะเจาะเลือดในตอนเช้าของวันพรุ่งนี้”
“ได้ค่ะคุณหมอ แล้วมันจะอันตรายมากไหมคะ”
“ผมไม่รู้ว่าท่านเป็นมานานหรือยังนะ”
“ยายไม่เคยบอกเลยค่ะว่าเป็นเบาหวาน”
“แต่เท่าที่ตรวจวันนี้ระดับน้ำตาลในเลือกสูงมาก และถ้าระดับน้ำตาลสูงมากๆ มันก็อาจจะทำให้ท่านหมดสติได้ ถ้าตรวจแล้วท่านเป็นโรคเบาหวานจริงๆ พยาบาลจะให้คำแนะนำคุณเองว่าควรดูแลท่านยังไงบ้าง”
“ค่ะ คุณหมอ ขอบคุณมากๆ นะคะ”
ถ้ามนสิชารู้สึกว่าตัวเองนั้นผิดมากที่ทิ้งให้ยายของตนเองอยู่ตามลำพัง เธอคิดว่าถ้าอยู่ดูแลยายที่นี่อย่างใกล้ชิด สุขภาพของยายคงไม่แย่ขนาดนี้
หลังจากแพทย์เจ้าของไข้ออกไปแล้วพยาบาลกับพนักงานก็เข็นร่างของยายที่ยังหลับสนิทออกมาจากห้องฉุกเฉิน มนสิชารีบเดินเข้าไปหาทันที
“เดี๋ยวญาติเดินตามมาทางนี้นะคะ เราจะพาคนไข้ไปวอร์ดอายุรกรรมค่ะ”
“ขอโทษนะคะ ที่นี่มีห้องพิเศษไหมคะ” มนสิชาถามพยาบาล
“มีค่ะ แต่อาการของคนไข้ยังไม่คงที่หมอเลยอยากให้อยู่ห้องผู้ป่วยรวมไปก่อนค่ะ ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นจะได้ช่วยเหลือทันค่ะ” พยาบาลประจำห้องฉุกเฉินบอกกับมนสิชา
เมื่อมาถึงวอร์ดพยาบาลก็แจ้งระเบียบการสำหรับการเฝ้าผู้ป่วยและการเยี่ยมให้กับมนสิชาและพ่อเลี้ยงทิศเหนือที่ขอเดินตามมาด้วยทราบ
“เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงถึงจะหมดเวลาเยี่ยม ผมว่าคุณไปทานข้าวและเตรียมของใช้ที่จำเป็นสำหรับมานอนเฝ้ายายดีกว่าไหม”
“ฉันห่วงยาย ถ้าท่านตื่นมาแล้วไม่เจอฉันกลัวท่านเสียใจ”
“ผมจะอยู่เป็นเพื่อนท่านเอง หมอก็บอกแล้วว่าท่านอาจจะหลับถึงเช้าเพราะยาที่ท่านได้จะทำให้ท่านได้นอนพักอย่างเต็มที่”
“คุณจะกลับก่อนก็ได้ เดี๋ยวฉันจะโทรตามน้าสายหยุดมาเอง”
“คุณจะเฝ้าเองหรือให้น้าสายหยุดเฝ้าล่ะครับ”
“ฉันจะเฝ้าเองค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องให้น้าสายหยุดมาหรอก กว่าจะมาถึงก็หมดเวลาเยี่ยมกันพอดี คุณรีบไปเถอะ”
“ขอบคุณนะคะพ่อเลี้ยง ฉันไปไม่นานฝากยายด้วยนะคะ ถ้ามีอะไรด่วนคุณต้องรีบโทรหาฉันนะคะ”
หญิงสาวจึงรีบกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมของใช้ที่จำเป็นสำหรับการนอนเฝ้าและของใช้สำหรับยายช่อเอื้องซึ่งพยาบาลบอกแล้วว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง เธอกลับมาถึงโรงพยาบาลก็เกือบจะสองทุ่ม
“ผมขอตัวกลับก่อนนะ ถ้ามีอะไรก็โทรมาตามผมได้ตลอด” พ่อเลี้ยงทิศเหนือบอกกับมนสิชาที่ดูแล้วยังวิตกกังวลกับอาการป่วยของยายช่อเอื้องจนเห็นได้ชัด
“แค่นี้ฉันก็เกรงใจคุณมากแล้ว ถ้าไม่ได้คุณไม่รู้ว่ายายจะเป็นยังไงบ้าง”
“อย่าคิดมากเลยตอนนี้ยายคุณก็อยู่ใกล้หมอแล้ว อย่าลืมนะ มีอะไรโทรหาผมได้ตลอด”
“ค่ะ พ่อเลี้ยง”
พ่อเลี้ยงทิศเหนือออกจากโรงพยาบาลแล้วก็แวะทานข้าวที่ร้านอาหารตามสั่งด้านหน้าโรงพยาบาลก่อนตรงกลับบ้านของตนเอง
พอมาถึงแม่เลี้ยงบุปผาที่นั่งดูทีวีอยู่ก็รีบถามถึงการไปทานอาหารกับมนสิชาทันที
“เป็นยังไงบ้าง หนูน้ำปิงน่ารักไหม คุยสนุกหรือเปล่า แม่ว่าเราคงไม่ทำเฉยชาใส่เธอนะ แล้วนัดครั้งต่อไปเมื่อไหร่ล่ะ”
“ใจเย็นสิครับแม่” เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะนั่งลงข้างๆ ผู้เป็นมารดา
“แม่อยากรู้ว่าเรากับหนูน้ำปิงพอจะมีโอกาสได้คบหาดูใจกันไหม”
“ผมว่าเรื่องนั้นเธอคงยังไม่คิดกรอกครับ”
“อ้าว! ทำไม หรือลูกทำให้เธอไม่พอใจอะไรหรือเปล่า”
“ที่ผมบอกว่าเธอคงยังไม่คิดอะไรเพราะตอนนี้เธอมีเรื่องให้ต้องคิดเยอะครับ ยายช่อเอื้องเพิ่งจะเข้าโรงพยาบาลเมื่อกี้นี้เอง”
“ตายจริง แล้วยายแกเป็นอะไรเยอะไหม หมอว่ายังไงบ้าง”
“หมอว่ายายมีน้ำท่วมปอดจากภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน แล้วก็ระดับน้ำตาลในเลือดสูงครับ”
“อยู่โรงพยาบาลไหน พรุ่งนี้แม่จะได้ไปเยี่ยมแต่เช้า”
“โรงพยาบาลให้เข้าเยี่ยมได้แค่เที่ยงบ่ายโมงแล้วก็หกโมงเย็นถึงสองทุ่มครับแม่”
“ทำไมเยี่ยมได้นิดเดียว”
“มันเป็นโรงพยาบาลรัฐบาลนะครับแม่ เขาต้องกำหนดเวลา”
“หนูน้ำปิงเฝ้าคุณยายเองหรือให้สายหยุดเฝ้าล่ะ”
“เธอเฝ้าเองครับ”
“เธอคงลำบากแน่เลยนะ แม่เคยไปเฝ้าพ่อของเราอยู่เป็นเดือนต้องปูเสื่อนอนตรงพื้นระหว่างเตียงปวดเนื้อปวดตัวไปหมดเลยแหละ ถ้ายังไงแม่ว่าหนูน้ำปิงคงต้องหาคนมาเปลี่ยนเธอเฝ้าบ้าง”
“พรุ่งนี้แม่ก็ลองคุยกับเธอสิครับ”
“เหนือจะไปกับแม่ไหม”
“ถ้าว่างก็จะไปครับ” เขาตั้งใจจะไปอยู่แล้วเพราะรู้สึกเห็นใจมนสิชา แต่ถ้าตอบมารดาไปก็ไม่วายว่ามารดาจะรีบจับคู่ให้เขากับเธอซึ่งเขายังไม่คิดกับเธอไกลขนาดนั้น
“ว่างไม่ว่างก็ควรจะไปนะ หนูน้ำปิงกับยายช่อเอื้องไม่มีญาติที่ไหนเลย เราควรไปเยี่ยมนะ เธอคงกำลังเสียขวัญ”
“แล้วญาติคนอื่นๆ ละครับ ผมว่าเธอคงแจ้งข่าวไปทั่วแล้ว”
“เท่าที่แม่รู้ยายช่อเอื้องไม่เหลือญาติที่ไหนแล้วล่ะ เธอมีกันแค่สองคน ตั้งแต่เธอย้ายมาทำงานเป็นครูที่นี่ก็ไม่เคยเห็นเธอติดต่อกับใครอื่นเลย”
แม่เลี้ยงบุปผาเล่าเรื่องในอดีตของยายช่อเอื้องที่ย้ายมาทำงานเป็นครูที่นี่เมื่อ 26 ปีก่อน เธอมาพร้อมกับลูกสาวที่กำลังตั้งครรภ์ ไม่เคยมีใครเห็นว่าสามีของลูกสาวเป็นใคร พอชาวบ้านถามเธอก็บอกว่าพ่อของเด็กในท้องตายไปแล้ว และหลังจากคลอดลูกสาวได้ไม่กี่วันแม่ของมนสิชาก็กินยาฆ่าตัวตาย จากนั้นยายช่อเอื้องก็เลี้ยงหลานมาตามลำพัง
พอได้ฟังเรื่องครอบครัวของหญิงสาวความเห็นใจที่มีต่อมนสิชาก็มีมากขึ้นก็มากขึ้น
“ถ้างั้นผมจะเคลียร์งานให้เสร็จแล้วเราไปเยี่ยมด้วยกันตอนเที่ยงก็ได้”
“แม่จะทำอาหารไปให้ยายช่อเอื้องด้วย”
“ไม่ต้องหรอกครับแม่ ผมว่ายายไม่น่าจะทานอาหารปกติได้”
“งั้นเราเอาไปให้หนูน้ำปิงก็ได้”
“แล้วแต่แม่เลยครับ”
กว่าคู่บ่าวสาวจะตื่นนอนก็เกือบจะเที่ยงของอีกวัน เพราะทั้งสองเพลียจากงานแต่งอีกทั้งเมื่อคืนก็ใช้เวลาเข้าหอกันอย่างคุ้มค่าพ่อเลี้ยงหนุ่มไม่คิดเลยว่าการรอคอยของตนมันจะทำให้มีความสุขอย่างที่ไม่เคยได้รับจากใครมาก่อนเลย แม้มนสิชาจะมีเขาเป็นคนแรกแต่ร่างกายของเธอก็ตอบสนองไปตามสัญชาตญาณได้ในแบบที่เขาคิดไม่ถึง เธอเร่าร้อนและมีอารมณ์ร่วมไปกับเขาในทุกท่วงท่า พ่อเลี้ยงไม่เคยมีความสุขมากมายแบบนี้มาก่อน เขาไม่เคยร่วมรักกับใครอย่างยาวนานอย่างนี้เลย แม้จะสุขสมไปแล้ว แต่ร่างกายก็ยังคงเรียกร้องอยู่อย่างต่อเนื่อง ถ้าไม่เห็นว่ามนสิชาแทบจะหมดแรงในครั้งสุดท้ายพ่อเลี้ยงหนุ่มก็คงไม่ยอมหยุดเขาก้มหน้ามองเจ้าสาวของตนที่ยังคงนอนหลับสนิทอยู่บนแผงอกข้างซ้ายแล้วยิ้มกว้าง เมื่อคิดว่าในทุกๆ วันตนเองจะตื่นนอนมาแล้วเห็นมนสิชากอดอยู่อย่างนี้เมื่อวานมีเพื่อนของเธอบางคนบอกว่าอิจฉามนสิชาที่ได้สามีทั้งหล่อทั้งรวยแต่เขากลับคิดว่าคนที่น่าอิจฉาน่าจะเป็นเขามากกว่าเพราะได้ภรรยาที่ทั้งสวย ทำงานเก่งอีกทั้งเรื่องบนเตียงก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลยแม้แต่น้อย“ตื่นแล้วเหรอ”“กี่โมงแล้วคะ เราจะกลับบ้านกันตอนไหน” มนสิชาเงยหน้าขึ้นมองพ่อเลี้ย
พ่อเลี้ยงหนุ่มขยับเข้าใกล้คนรักสองมือประคองใบหน้าสวยเข้ามาใกล้ๆ สายตาสบประสานบอกถึงความต้องการจากส่วนลึกก่อนจะโน้มใบหน้าลงประกบปากหยักได้รูปเข้ากับปากบางสีสวยมนสิชาเปิดปากยอมให้เขาเข้ามากวาดต้อนน้ำหวานในโพรงปากยังไม่ขัดขืน การจูบของพ่อเลี้ยงครั้งนี้มันต่างจากครั้งก่อนมากมันทั้งเร่าร้อนและเรียกร้องจนคนที่คิดว่ารับมือไหวอย่างมนสิชาสั่นจนทำอะไรแทบไม่ถูก หญิงสาวรู้สึกว่าเขากำลังจะสูบเอาวิญญาณออกจากร่างของเธอเธอประท้วงเมื่อรู้สึกว่าเขารุกหนักขึ้นเรื่อยๆ พ่อเลี้ยงหนุ่มหัวเราะในลำคอก่อนปล่อยปากบางให้เป็นอิสระเขากดจูบไล่ต่ำลงมาตามซอกคอหอมกรุ่นสูดดมความหอมจากกายสาวที่เขาเคยจินตนาการถึง“เราจะทำกันจริงๆ เหรอคะพ่อเลี้ยง”“มาถึงขั้นนี้แล้วไม่มีอะไรหยุดพี่ได้หรอกนะน้ำปิง คืนนี้เป็นคืนเข้าหอพี่ไม่อยากพลาด”ชายหนุ่มพูดจบก็ค่อยๆ ดันร่างคนรักให้นอนลงบนเตียงขณะที่เขาก็ขึ้นคร่อมสองมือใหญ่ถอดชุดนอนวาบหวิวที่มารดาเป็นคนจัดให้อีกทั้งชั้นในตัวบางลายลูกไม้ตัวก็ถูกออกอย่างรวดเร็วเผยให้เห็นเรือนร่างขาวเนียนซึ่งเขาเคยจินตนาการถึงมานับครั้งไม่ถ้วน“สวยมาก สวยที่สุด”“พ่อเลี้ยงจะไม่ปิดไฟหน่อยเหรอคะ”เขายิ้มเพราะ
แม่เลี้ยงบุปผากลับมาจากฮ่องกงก็ดีใจมากที่ได้รับข่าวดีจากลูกชาย เธอรีบจัดการหาฤกษ์ที่ดีที่สุดให้กับทั้งสองคน ซึ่งมีเวลาเตรียมตัวเพียงสองเดือนเท่านั้นงานแต่งงานของพ่อเลี้ยงทิศเหนือและมนสิชาถูกจัดขึ้นที่บ้านในช่วงเช้าซึ่งมีแขกมาร่วมงานไม่มากส่วนใหญ่ก็จะเป็นเพื่อนสนิทของพ่อเลี้ยงทิศเหนือและแม่เลี้ยงบุปผา ส่วนเพื่อนของมนสิชาก็มีวาริสาและเพื่อนสมัยมัธยมอีกหลายคนอีกทั้งลุงคำอินและเพื่อนเก่าของยายก็พากันมาร่วมงานในช่วงเช้าด้วย มันเลยทำให้มนสิชารู้สึกอบอุ่นมาก บรรยากาศงานแต่งงานเลยเต็มไปด้วยความสุข หญิงสาวยิ้มอย่างมีความสุข มันเป็นความสุขที่เธอไม่คิดว่าจะได้รับหลังจากที่ตนเองเสียยายไปเมื่อเกือบหนึ่งปีก่อนแม้งานแต่งจะถูกจัดขึ้นอย่างกระชั้นชิดแต่ทุกอย่างก็เป็นไปได้ด้วยดีช่วงเย็นเป็นงานเลี้ยงที่จัดขึ้นในโรงแรมใหญ่กลางใจเมือง แขกที่มาร่วมงานต่างพากันแสดงความยินดีกับพ่อเลี้ยงทิศเหนือซึ่งตอนนี้พ่อเลี้ยงหนุ่มนั้นยิ้มหน้าบานเพราะใครๆ ต่างก็พากันชมเจ้าสาวของเขาว่าสวยมากและต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าทั้งสองคนนั้นเหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก อีกคนที่ยิ้มไม่หุบก็คือแม่เลี้ยงบุปผาเพราะเธอรักลูกสะใภ้คนนี้รา
พ่อเลี้ยงทิศเหลือและมนสิชามาดูบ้านไม้สักที่เจ้าของประกาศขาย ทั้งสองใช้เวลาตรวจและประเมินราคาไม่นานเจ้าของบ้านก็ตกลงจะขายให้โดยทำสัญญาและรับเงินมัดจำพร้อมทั้งกำหนดวันรื้อถอนในอีกสามวันข้างหน้า “เพราะคุณให้ราคาสูงกว่าคนอื่นใช่ไหมคะ ชาวบ้านถึงชอบติดต่อให้คุณมาซื้อ” มนสิชาถามหลังจากที่ทั้งสองออกมาจากบ้านหลังนั้นได้ไม่นาน“ผมให้ราคาตามสมควรครับ แต่สำหรับคนอื่นบางครั้งเขาต้องซื้อแล้วเอาไปขายต่ออีกทีก็เลยอาจจะกดราคาหน่อย” “แล้วไม้ที่คุณซื้อไปมันเอาไปทำเฟอร์นิเจอร์ได้ทุกชิ้นไหม” “มันก็ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่ามันยังได้กำไรอยู่ ผมโชคดีที่มีช่างที่เก่ง พวกเขาเลยใช้ประโยชน์จากไม้ที่ซื้อไปได้ดี” พ่อเลี้ยงอธิบายเพิ่ม เขาอยากให้มนสิชาเรียนรู้งานจากเขาให้ได้มากที่สุดเพราะในอนาคตเธอก็จะกลายเป็นคนในครอบครัวของเขา“งานเสร็จแล้วเราจะกลับกันเลยไหมคะ” “เดี๋ยวเราหาอะไรกินก่อนแล้วผมว่าจะแวะไปเยี่ยมเพื่อนพ่อสักหน่อย คุณไม่รีบกลับใช่ไหม” “ไม่ค่ะ” พ่อเลี้ยงทิศเหนือพามนสิชามายังบ้านไม้หลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่กลางสวนส้มกว้างสุดลูกหูลูกตา“ลมอะไรหอมมาหาลุงถึงที่นี่ล่ะเหนือ” ชายสูงวัยทักทายเมื่
“คุณคิดว่าแม่เลี้ยงจะเห็นด้วยกับเราสองคนเหรอคะ”“คุณกลัวเรื่องนี้เหรอน้ำปิง”“ค่ะ ฉันรักและเคารพแม่เลี้ยงเหมือนแม่และฉันคงไม่กล้าขัดใจท่าน แค่ที่ฉันรู้สึกกับคุณฉันก็รู้สึกผิดต่อท่านมากแล้ว ท่านอุตส่าห์มีเมตตากับฉัน แต่ฉันกลับคิดเกินเลยกับลูกชายของท่าน”“คุณคงเคยได้ยินคนอื่นพูดถึงแม่ใช่ไหม”“ใช่ค่ะ”“เขาพูดว่ายังไง”“เท่าที่ได้ยินมาคือเขาบอกว่าแม่คุณเป็นคนที่หวงลูกชายมาก”“แม่ผมไม่ได้หวงหรอกครับแม่ก็แค่ห่วงเท่านั้นเอง”“ห่วงเหรอคะ คุณโตขนาดนี้แล้วมีอะไรต้องห่วงกันล่ะคะ”“แต่ในสายตาของคนเป็นแม่ยังไงก็ต้องห่วงเป็นธรรมดา ที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าผมไม่เคยคบใครนะ แต่ผู้หญิงแต่ละคนที่เข้ามาในชีวิตผมในชีวิตผมเขาไม่ได้จริงใจกับผมสักเท่าไหร่”“หมายถึงพวกเธอหวังแต่เรื่องเงินใช่ไหมคะ” มนสิชารู้ว่าพ่อเลี้ยงนั้นรวยมากและคิดว่าผู้หญิงที่เข้าหาคงหวังจะสุขสบาย“มันก็ไม่ทุกคนหรอกครับ บางคนเขาก็ไม่สนใจเรื่องฐานะหรือเงินทอง เพียงแต่บางครั้งอะไรหลายๆ อย่างมันไปด้วยกันไม่ได้ คุณก็เห็นแล้วนี่ว่าผมทำแต่งานบางคนเขาก็ไม่ชอบ”“ถ้าคุณรักใครจริงๆ คุณจะยอมปรับปรุงตัวเพื่อเขาโดยไม่รู้สึกอึดอัด แต่ถ้าใจมันบอกว่าไม่ใช่ เวลา
ตลอดบ่ายของวันนี้พ่อเลี้ยงทิศเหนือและมนสิชาทำตัวราวกับเป็นคู่รักที่มาออกเดต พวกเขาเดินซื้อของด้วยกันเสร็จก็ดูหลังกันต่อ ก่อนจะพากันมาทานอาหารเย็นที่ร้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง“อาหารร้านนี้อร่อยมากค่ะ พ่อเลี้ยงนึกยังไงถึงพาฉันมากินสเต๊กล่ะคะ” “ผมเห็นคุณทานแต่อาหารไทยมานานก็เลยคิดว่าคุณน่าจะอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ร้านนี้เจ้าของเป็นคนฝรั่งเศสนะ แต่ที่ทำให้เราน่าจะเป็นรุ่นลูก” “พ่อเลี้ยงมากินบ่อยเหรอคะ” “แต่ก่อนมาบ่อยครับ แต่ช่วงหลังไม่ค่อยได้มาเพราะแม่มีร้านประจำอีกร้านที่เป็นเพื่อนของแม่ ผมเลยต้องเปลี่ยนร้านตามใจท่าน” แม้ชอบรสชาติอาหารร้านนี้มากแค่ไหนแต่เขาก็ยอมทำตามใจมารดา“ดูเหมือนว่าพ่อเลี้ยงไม่เคยขัดใจแม่เลยนะคะ” “ใช่ครับ เราเหลือกันแค่สองคนอะไรที่ทำให้ท่านสบายใจผมก็ยินดีทำ” “คุณจะทำตามท่านทุกอย่างเลยไหมคะ” มนสิชาถามเพราะถ้าเกิดว่าวันหนึ่งมารดาของเขาจะหาผู้หญิงมาให้เพราะเคยได้ยินแม่เลี้ยงบุปผาเปรยว่ายังไงปีนี้ลูกชายของแม่เลี้ยงจะต้องมีข่าวดีเรื่องคู่ครอง ซึ่งถ้าพ่อเลี้ยงตามใจมารดาขนาดนั้นมนสิชาก็คงไม่กล้าบอกความรู้สึกของตัวเองออกไป“ผมทำตามที่ท่านบอก ถ้านั่นมีเหตุผลพอครับ” พอได้ยินแ