 LOGIN
LOGINรัชศกจิ้นหยวนปีที่สิบเก้า กลางเดือนสาม
ในโถงงานเลี้ยงอันโอ่อ่าหรูหรา เบื้องบนฝั่งแท่นประธานปรากฏเรือนร่างสูงศักดิ์ขององค์รัชทายาทเด่นสง่า
ใบหน้าคมสันหล่อเหลาและงดงามเป็นเอกมีรอยยิ้มน้อยๆ ประดับริมฝีปากสีแดงสดตลอดเวลา ให้ความรู้สึกอบอุ่นน่าค้นหา ทั้งน่าหลงใหลชวนฝันถึง
พระองค์สวมผ้าแพรสีม่วงลายมังกรสีขาวปักดิ้นสีทองอร่าม ขับเน้นให้เผยคำว่า ‘รูปงาม’ ยากหาใดเทียม
เขาคือองค์รัชทายาทแคว้นจิน นามจ้าวไท่หรง
ด้านข้างพระวรกายสูงค่าขององค์รัชทายาทจ้าวไท่หรงคือเรือนร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์สีดำเข้มของเฉิงอ๋อง นามจ้าวเฟิ่ง
เดิมทีหากไม่มีบุรุษสูงศักดิ์ผู้อื่นนอกจากรัชทายาท ทุกสายตาของบรรดาคุณหนูวัยกำดัดทั้งหลายต่างย่อมต้องมองเพียงว่าที่ประมุขแผ่นดินผู้นี้ผู้เดียว ทว่าวันนี้นั้นแตกต่าง เมื่อในงานเลี้ยงมีเฉิงอ๋องอยู่ด้วย ทุกสายตาจึงเปลี่ยนมาจับจ้องที่จ้าวเฟิ่งเป็นตาเดียว
เหล่าสาวงามนางรำในห้องรับรองก็เช่นกัน พวกนางต่างแอบมองบุรุษหนุ่มเจ้าของใบหน้าคมคายเปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์เหลือร้ายอย่างจ้าวเฟิ่งจนตาเป็นมัน
หากเอ่ยว่ารัชทายาทหนุ่มทรงหล่อเหลารูปงามเหนือผู้คน บุรุษผู้เหมาะสมเปรียบเทียบเท่าเทียมย่อมมีหนึ่งเดียวคือเฉิงอ๋อง
เพราะนอกจากความคมคายสง่างามที่มีเฉกบุรุษสูงศักดิ์ เขากลับมีความคมคร้ามโดดเด่นเหนือพี่ชายอย่างจ้าวไท่หรง
เฉิงอ๋องผู้นี้ร้อยวันหมื่นราตรียากนักจะมีโอกาสได้พบพาน ความทรงเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์นี้เป็นที่โจษจัน แค่สายตาของเขาที่มองมาอย่างไม่ตั้งใจก็สามารถสะกิดใจสตรีให้ว้าวุ่นหวั่นไหวได้แล้ว เหล่าสตรีได้เห็นเขาเพียงครั้ง ล้วนเก็บไปฝันสมคำร่ำลือ
งานเลี้ยงในตำหนักบูรพาเกิดขึ้นและดำเนินเหมือนทุกครา
ทว่าในจอกเหล้าวันนี้คล้ายมีสิ่งหนึ่งเปลี่ยนไป มิใช่รสชาติ แต่เป็นความรู้สึกหลังดื่มเข้าปากเพียงไม่กี่จอก
จ้าวเฟิ่งรู้สึกร้อนรุ่มอย่างประหลาดมากขึ้นทุกขณะ
ภายในงาน ผู้คนต่างสรวลเสเฮฮา จ้าวไท่หรงร่ำสำราญกับสาวงามที่คอยประกบสงบยอมอยู่ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา หันไปด้านหนึ่งมือเรียวเสลาก็ยื่นกับแกล้มถึงริมฝีปากอันสูงค่า หันอีกฝั่งยังมีมือนุ่มประคองจอกสุราส่งให้อย่างแช่มช้าชดช้อย
เขาหันมายกจอกสุราขึ้น สองตาเจ้าชู้เสเพลเหล่มองน้องชายผู้ทำตัว ‘สุภาพชนผู้สง่างาม’ ด้วยรอยยิ้มเยาะ
“น้องพี่ เจ้าเอาแต่วางท่าเช่นนี้ไม่เมื่อยหรือไร?”
คำพูดรัชทายาทแฝงนัยชัดเจนว่ารู้ตัวตนที่แท้จริงของน้องชายที่เหมือนเสือร้ายไม่ต่างจากพี่ชายคนนี้สักนิด
ช่วงเวลางดงามยามค่ำคืน คนย่อมหื่นกระหายไม่ต่างกัน
คำพูดเมื่อครู่หาใช่ต้องการคำตอบใดเพียงหยอกเย้าเท่านั้น ยิ่งเห็นน้องชายมีสีหน้านิ่งครึมข่มอารมณ์ก็ยิ่งชอบใจ รัชทายาทมองยิ้มๆ ก่อนหันไปสนใจสองสาวงามเหนือสามัญข้างกายตนต่อ
จ้าวเฟิ่งสวมชุดสีดำสนิทปักลายสีแดงสดตัดกันอย่างดุดัน ยิ่งขับเน้นให้ใบหน้าที่ขึ้นสีระเรื่อแลดูทรงเสน่ห์เกินบรรยาย
เขานั่งนิ่งๆ เอนกายอิงพนักเก้าอี้เงียบๆ ทำตัวสงบราวกับไร้ตัวตน แต่กลับไม่มีผู้ใดมองข้ามรัศมีเปล่งประกายของเขาได้
อ๋องหนุ่มมิอาจปลีกตัวออกได้ตามแต่ใจ จำต้องนั่งมองนางรำโยกย้ายบั้นท้าย พาตัวนุ่มนิ่มราวไร้กระดูกพลิ้วกายยั่วเย้าเร้าอารมณ์ไม่สิ้นสุด
ยังไม่นับรวมสาวงามหยาดเยิ้มอย่างหาตัวจับยากนางหนึ่งที่นั่งขนาบอยู่ข้างกายคอยปรนนิบัติรินสุราพะเน้าพะนอเอาใจ แสดงออกชัดเจนว่าปรารถนาตำแหน่งใดในตำหนักอ๋องก็ได้ ขอเพียงคืนนี้ได้มีช่วงเวลาหอมหวานด้วยกันจนล่วงพ้นราตรีวสันต์
นางผู้นี้มีกลิ่นกายหอมหวนชวนสนเท่ห์ยิ่งนัก “ท่านอ๋อง สุราเพคะ”
สาวงามยื่นเรียวนิ้วขาวผ่องนวลเนียนส่งจอกสุราให้จนถึงริมฝีปากหยักได้รูปด้วยกิริยาเย้ายวน น้ำเสียงไพเราะอ่อนหวาน ดวงตาพราวระยับมองอย่างเชิญชวนพร้อมขึ้นเตียงตลอดเวลา
งานสังสรรค์ค่อยๆ ล่วงพ้น คนหลายคนร่ำสำราญมัวเมา ข้างกายพวกเขามีสาวงามเอาใจ พวกเขาจึงเอาแต่ใจกับสาวงาม
เปลวเพลิงในตะเกียงเผาไหม้เวลาไปพอควร ทั้งสุราปลุกอารมณ์และคนงามเร้าอารมณ์ บุรุษผู้หนึ่งจะทนอยู่อย่างไรไหว ในที่สุดจ้าวเฟิ่งก็สะกดกลั้นไฟในใจเอาไว้มิได้
เขาแค่นสบถเสียงหนึ่ง มองอย่างเย็นชา แววตาดำดิ่งราวบ่อลึก ยื่นมือเรียวยาวที่มีเส้นเลือดปูดนูนเด่นปัดจอกสุราออกห่าง พรวดพราดลุกขึ้นทันที เดินไปอย่างไม่ไยดีต่อมารยาทพึงมีด้วยซ้ำ
รัชทายาทจ้าวไท่หรงมองตามยิ้ม ในดวงตาดอกท้อเผยความเจ้าเล่ห์ร้าย
ร่างสูงในชุดดำแลดูสง่างามเป็นพิเศษแม้เดินโอนเอนในความมืดสลัว
จ้าวเฟิ่งที่ลำตัวร้อนผ่าว กลางกายปวดหนึบเพราะดื่มสุราที่มียาบางอย่างผสมอยู่ ยามนี้ริมฝีปากบางเม้มแน่น เร่งรุดเดินไปตามทางศิลาอย่างคนที่ยากสะกดกลั้นอาการรุ่มร้อนเกินทานทน
จู่ๆ ตรงหน้าพลันปรากฏหญิงสาวในชุดงามหรูหราบอกฐานะไม่ธรรมดา ใบหน้าสะสวยหมดจด เดินมาขวางทางเอาไว้
“พี่เฟิ่ง”
นางเรียกจ้าวเฟิ่งอย่างสนิทสนมด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานปานน้ำผึ้ง
อ๋องหนุ่มหรี่ตาลง ความงามพิสุทธิ์แต่กลับยวนใจตรงหน้าทำกล้ามเนื้อตึงแน่นยิ่งเคร่งครัดกว่าเดิม

เพ่ยหนิงปรือตามองก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาประชิดมา ก่อนที่ริมฝีปากร้อนผ่าวจะประกบอย่างอุกอาจเอาแต่ใจ หญิงสาวถูกจุมพิตที่ไม่หยาบกระด้างแต่ก็ไม่อ่อนโยนถาโถมเข้าใส่จนมึนงงลมหายใจของนางกำลังถูกลมหายใจของเขาที่ร้อนเร่ายิ่งกว่าเตาไฟเผาไหม้จนแทบละลาย ความแข็งขืนมิผ่อนปรนของเขาทำหัวใจของนางเต้นแรง ริมฝีปากของนางถูกเขาครอบครอง ฝ่ามือยังถูกเขากอบกุมยากปัดป้อง เนื้อตัวถูกเขารุกเร้าเอาแต่ใจมากขึ้นเรื่อย ๆเพ่ยหนิงรู้สึกเหมือนวิญญาณถูกสูบ สมองขาวโพลน คล้ายถูกมอมเมาด้วยจุมพิตอันร้อนแรง ร้ายที่สุดก็คือถูกชักจูงด้วยสิ่งที่ฝ่ามือนางกุมแทบไม่หมดนั้นและก่อนที่นางจะขาดอากาศหายใจ เขาค่อยๆ ผละออก แต่ยังคลอเคลียไม่ห่าง ปลายลิ้นที่ไล้เลียเปลี่ยนจูบเร่าร้อนเป็นการละเลียดชิมริมฝีปากอย่างเว้าวอน คล้ายอ้อนวอนให้ช่วยเหลือกัน“ท่านอ๋อง” นางเสียงสั่น“ช่วยหน่อย” เขาสั่งเสียงเข้ม แฝงนัยร้องขอสาวน้อยหลับตา ข่มอารมณ์ข่มใจอย่างยากลำบาก นางปวดมือมากยิ่งนางขยับ เขาก็เหมือนยิ่งขยาย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป...“ท่านเอาแต่ใจเกินไปแล้วนะ”“คืนนั้นเจ้าเอาแต่ใจมากกว่านี้มิใช่หรือไร
หลังจากนั้นไม่นานตัวนางก็ร้อนรุ่ม รู้สึกถึงเพลิงผลาญที่แล่นพล่านจะไปทั่วตัวก่อนจะพุ่งขึ้นสูงและดิ่งลงต่ำไปที่ท้องน้อย ท้ายที่สุดนางก็ควบคุมตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ ร้องขอเขาเสียงสั่นเครือ ขณะทิ้งตัวลงนั่งบนตักของเขาเขาตัวเกร็ง นิ่วหน้ามองพวกเราต่างไม่รู้ว่าในน้ำชามีอันใดขันทีที่อยู่นอกห้องถูกเฉิงอ๋องเรียกมาสอบถามถึงได้รู้ว่าเป็นชาพระราชทานจากฮ่องเต้ที่รัชทายาทแบ่งมาให้สองมือแกร่งที่ประคองบั้นท้ายของนางซึ่งกำลังถูไถไปมาบนหน้าขาของเขาชะงักค้างไปทันที“ไหวหรือไม่?” เขาถามเสียงเครียดนางตอบเสียงสั่น “ไม่ไหว...”หลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่เป็นอยู่ทุกค่ำคืน คือนางไม่ได้ออกจากห้องลับ และเขาก็จะกลับมานอนด้วยแทบทุกคืนไม่รู้ว่าใครติดใจใครเฉิงอ๋องจ้าวเฟิ่งที่แค่กระดิกนิ้วก็มีสาวงามวิ่งตามเป็นพรวนกับนางที่เรียกร้องเขาเพราะยาแค่ครั้งเดียว...หญิงสาวถอนหายใจให้กับความโง่เขลาของตัวเองเป็นครั้งที่เท่าใดมิอาจนับ จากนั้นพลันลุกขึ้น กระชับชุดนางกำนัลไร้สีสันให้แน่นขึ้น ทำท่าจะเดินไปทางเตียงนอนในตอนนี้เอง ประตูเล็กฝั่งที่ติดกับห้องอาบน้ำก็เปิดออก ร่างบุรุษสูงสง่าสวมเพียงเสื้อคลุมเผยแผ่นอกตึงแน่น
นางมองทุกส่วนที่ทรงเสน่ห์นั้นอย่างหลงใหลยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกหวงแหนลำพองใจ ไม่ว่าใครหากได้มองล้วนรู้สึกเฉกเดียวกับนาง“หม่อมฉันหนิงเอ๋อร์เพคะ ท่านอ๋องทรงให้หม่อมฉัน...”ยังพูดไม่จบ นางพลันรับรู้ถึงกลิ่นอายอันตราย ได้ยินบุรุษในถังไม้แค่นเสียงลอดไรฟันว่า “ออกไป”“แต่ว่า ท่านอ๋องเพคะ...”จ้าวเฟิ่งช้อนตาขึ้นมองแวบหนึ่ง “หากเข้ามาอีกครึ่งก้าว เปิ่นหวางจะฆ่าเจ้า”ได้ยินดังนั้น ใครจะกล้ารั้งอยู่ “พ่ะ เพคะ ไปแล้วเพคะ”“ช้าก่อน”เมื่อเสียงเข้มนี้กระทบโสตประสาท หนิงเอ๋อร์พลันชะงักฝีเท้า ในใจลิงโลดทันใด คิดว่าท่านอ๋องต้องทนไม่ไหว คิดเปลี่ยนใจให้นางปรนนิบัติแน่แล้วทว่ายังไม่ทันหันไปยิ้มหวานกลับได้ยินคำพูดเย็นเยียบแทน“ต่อไปอย่าให้เปิ่นหวางได้ยินว่าเจ้าใช้ชื่อนี้อีก”“...!?”“และอย่ามาให้เห็นหน้าอีก ออกไป!”“เอ่อ...ท่ะ”ยังไม่ทันอ้าปาก หลี่อี้ที่ได้ยินพลันเข้ามากระชากตัวนางลากออกไปทันทีประตูห้องอาบน้ำปิดลงอีกครั้ง จ้าวเฟิ่งหลับตาขบกราม จัดการกับตัวเองต่อไปผ่านไปค่อนคืน น้ำในถังกระฉอกไปเกือบครึ่ง แต่พายุอารมณ์ในกายก็ยังไม่ยอมสงบลง จ้าวเฟิ่งหอบหายใจหนักหน่วง ทั้งกระเส่าและถี่กระชั้น
หญิงสาวรวบรวมความกล้าครั้งสุดท้าย วิ่งไปดักหน้าเขา“พี่เฟิ่ง ท่านรู้ดีว่าตั้งแต่ข้าเป็นเด็กหญิงไม่ประสา ในใจข้าก็มีเพียงท่านแล้ว ทำไมเล่า ทำไมท่านไม่มองข้าบ้าง ไยต้องมองหาสตรีที่ไม่คู่ควรที่หายตัวไปทางใดก็ไม่รู้ผู้นั้นด้วย”ฝีเท้าอันหนักอึ้งชะงักกึก หางตาจ้าวเฟิ่งกระตุกเบาๆ หวังซูเหยาเห็นดังนั้นก็เริ่มลำพองใจ สองตาปริ่มน้ำแลดูงดงามหยาดเยิ้มจึงส่งให้ไม่มีลดละ จ้องมองอย่างลึกซึ้งเข้าไปในดวงตาคมดำไร้ก้นบึ้งของเขาอย่างจงใจด้วยสภาพของเขายามนี้หากถูกสตรียื้อเวลาให้ร่วมเสวนา เกรงว่าพรุ่งนี้คงต้องส่งแม่สื่อไปเจรจาหมั้นหมายตามแผนการหวังซูเหยาลอบแย้มยิ้มอยู่ในใจ เมื่อเห็นหนทางสำเร็จรำไรทว่าท้ายที่สุด จ้าวเฟิ่งกลับไม่ใส่ใจว่านางจะรู้เรื่องส่วนตัวของเขามากน้อยแค่ไหน แววตาของเขายังคงเฉยเมยคล้ายผลักไส น้ำเสียงของเขาเย็นเยียบผิดกับอาการร้อนรุ่มในอก“ไม่เกี่ยวว่าข้ามีใครเคียงหรือครองตัวสันโดษ เพราะสิ่งเดียวคือข้าไม่ต้องการเจ้า”กล่าวจบเขาปรายตามองนางนิ่งๆ เดินจากไปอย่างเย็นชาอีกคราที่หวังซูเหยาทำได้เพียงมองเงาร่างสูงสง่าจนลับตา รับรู้เพียงกลิ่นอายรังเกียจที่เขาทิ้งไว้ให้แผ่ซ่าน
“น้องเหยา เจ้ามาทำอะไรที่นี่” จ้าวเฟิ่งถามเสียงพร่าหญิงผู้นี้มีนามว่า หวังซูเหยา บิดาคือหวังซวี่ ขุนนางใหญ่ในราชสำนัก นับเป็นขุนนางน้ำดีผู้หนึ่ง ส่วนมารดาคือญาติผู้น้องของอดีตฮองเฮาผู้ล่วงลับซึ่งเป็นมารดาของเฉิงอ๋อง กล่าวก็คือ หวังซูเหยานับเป็นสตรีที่ไม่อาจดูเบาในเรื่องสายสัมพันธ์หวังซูเหยามองจ้าวเฟิ่งด้วยสายตาตัดพ้อ มีน้ำตาเอ่อคลอน่าสงสาร สื่อนัยคล้ายต่อว่าสามีที่มิค่อยกลับบ้านมาดูดำดูดีภรรยา“พี่เฟิ่ง รัชทายาททรงให้เหยาเอ๋อร์เข้าวังมาเพื่อพูดคุยกับท่านเรื่อง...เอ่อ...การหมั้นหมายของเราเจ้าค่ะ”ไม่พูดเปล่า นางยังโถมกายอ้อนแอ้นเข้าใกล้ ส่งกลิ่นหอมเชิญชวนให้คนต้องโอบกอดเกินห้ามใจสองแขนงามราวหยกที่เกาะเกี่ยวไหล่หนาคล้ายเกาะเกี่ยวเข้าไปในอณูเนื้อตรงอกด้านซ้าย ความรู้สึกนี้แทรกผ่านเสื้อผ้าเข้าปะทะกล้ามเนื้อหน้าอกทำเอาหัวใจเต้นรัว จ้าวเฟิ่งขนลุกเกรียวลำคอบุรุษแห้งผาก หากเขาคล้อยตามนางสักเล็กน้อย แม้จะกึ่งผลักไสกึ่งโอนอ่อน นางย่อมเป็นของเขาโดยสมบูรณ์ดังใจทว่าจ้าวเฟิ่งแค่ขมวดคิ้ว เม้มริมฝีปากบาง ก้มมองนางนิ่งๆ มิได้กอด แค่ไม่หลบเลี่ยงอาจเพราะร่างกายของเขาตอนนี้กำลังมีความต้อ
รัชศกจิ้นหยวนปีที่สิบเก้า กลางเดือนสามในโถงงานเลี้ยงอันโอ่อ่าหรูหรา เบื้องบนฝั่งแท่นประธานปรากฏเรือนร่างสูงศักดิ์ขององค์รัชทายาทเด่นสง่าใบหน้าคมสันหล่อเหลาและงดงามเป็นเอกมีรอยยิ้มน้อยๆ ประดับริมฝีปากสีแดงสดตลอดเวลา ให้ความรู้สึกอบอุ่นน่าค้นหา ทั้งน่าหลงใหลชวนฝันถึงพระองค์สวมผ้าแพรสีม่วงลายมังกรสีขาวปักดิ้นสีทองอร่าม ขับเน้นให้เผยคำว่า ‘รูปงาม’ ยากหาใดเทียมเขาคือองค์รัชทายาทแคว้นจิน นามจ้าวไท่หรงด้านข้างพระวรกายสูงค่าขององค์รัชทายาทจ้าวไท่หรงคือเรือนร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์สีดำเข้มของเฉิงอ๋อง นามจ้าวเฟิ่งเดิมทีหากไม่มีบุรุษสูงศักดิ์ผู้อื่นนอกจากรัชทายาท ทุกสายตาของบรรดาคุณหนูวัยกำดัดทั้งหลายต่างย่อมต้องมองเพียงว่าที่ประมุขแผ่นดินผู้นี้ผู้เดียว ทว่าวันนี้นั้นแตกต่าง เมื่อในงานเลี้ยงมีเฉิงอ๋องอยู่ด้วย ทุกสายตาจึงเปลี่ยนมาจับจ้องที่จ้าวเฟิ่งเป็นตาเดียวเหล่าสาวงามนางรำในห้องรับรองก็เช่นกัน พวกนางต่างแอบมองบุรุษหนุ่มเจ้าของใบหน้าคมคายเปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์เหลือร้ายอย่างจ้าวเฟิ่งจนตาเป็นมันหากเอ่ยว่ารัชทายาทหนุ่มทรงหล่อเหลารูปงามเหนือผู้คน บุรุษผู้เหมาะสมเปรียบเทียบเท่าเท








