 LOGIN
LOGIN“น้องเหยา เจ้ามาทำอะไรที่นี่” จ้าวเฟิ่งถามเสียงพร่า
หญิงผู้นี้มีนามว่า หวังซูเหยา บิดาคือหวังซวี่ ขุนนางใหญ่ในราชสำนัก นับเป็นขุนนางน้ำดีผู้หนึ่ง ส่วนมารดาคือญาติผู้น้องของอดีตฮองเฮาผู้ล่วงลับซึ่งเป็นมารดาของเฉิงอ๋อง กล่าวก็คือ หวังซูเหยานับเป็นสตรีที่ไม่อาจดูเบาในเรื่องสายสัมพันธ์
หวังซูเหยามองจ้าวเฟิ่งด้วยสายตาตัดพ้อ มีน้ำตาเอ่อคลอน่าสงสาร สื่อนัยคล้ายต่อว่าสามีที่มิค่อยกลับบ้านมาดูดำดูดีภรรยา
“พี่เฟิ่ง รัชทายาททรงให้เหยาเอ๋อร์เข้าวังมาเพื่อพูดคุยกับท่านเรื่อง...เอ่อ...การหมั้นหมายของเราเจ้าค่ะ”
ไม่พูดเปล่า นางยังโถมกายอ้อนแอ้นเข้าใกล้ ส่งกลิ่นหอมเชิญชวนให้คนต้องโอบกอดเกินห้ามใจ
สองแขนงามราวหยกที่เกาะเกี่ยวไหล่หนาคล้ายเกาะเกี่ยวเข้าไปในอณูเนื้อตรงอกด้านซ้าย ความรู้สึกนี้แทรกผ่านเสื้อผ้าเข้าปะทะกล้ามเนื้อหน้าอกทำเอาหัวใจเต้นรัว จ้าวเฟิ่งขนลุกเกรียว
ลำคอบุรุษแห้งผาก หากเขาคล้อยตามนางสักเล็กน้อย แม้จะกึ่งผลักไสกึ่งโอนอ่อน นางย่อมเป็นของเขาโดยสมบูรณ์ดังใจ
ทว่าจ้าวเฟิ่งแค่ขมวดคิ้ว เม้มริมฝีปากบาง ก้มมองนางนิ่งๆ มิได้กอด แค่ไม่หลบเลี่ยง
อาจเพราะร่างกายของเขาตอนนี้กำลังมีความต้องการที่เข้มข้นมากขึ้นทุกขณะ สตรีผู้หนึ่งจึงเข้าประชิดได้อย่างง่ายดาย
หวังซูเหยายื่นมือจับสาบเสื้อตรงคอแกร่งแน่นขึ้น นางเงยหน้านวลที่มีแก้มแดงเรื่อ ช้อนดวงตาวาวฉ่ำ ริมฝีปากเผยอน้อยๆ ราวกับกลีบดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน มีน้ำหวานมากมายในนั้นเข้าใกล้เขามากกว่าเดิม
“พี่เฟิ่ง...”
จ้าวเฟิ่งมิทันได้ตอบหรือเผยปฏิกิริยาใด พอสิ้นเสียงหวาน นางยื่นหน้า ประกบริมฝีปากกับเขาทันที
ทั่วตัวนางมีกลิ่นหอมไม่เว้นโพรงปาก รสชาติยังหวานมาก ยามนางยื่นปลายลิ้นนุ่มชื้นมาไล้เลียริมฝีปากเขา สัมผัสวาบหวามจากกลีบปากอ่อนนุ่มยิ่งแผ่ความร้อนขุมหนึ่งซาบซ่านไปทั่วร่าง ชายหนุ่มเบิกตากว้าง สั่นสะท้านไปทั้งตัว
แต่ยังไม่ทันที่ปลายลิ้นน้อยๆ จะอาจหาญมากไปกว่านั้น จ้าวเฟิ่งพลันเบี่ยงหน้าเม้มปากอย่างรังเกียจ หมัดของเขากำแน่น เพียรระงับโทสะมิให้เผลอฟาดฝ่ามือใส่ร่างเล็กจนตายตก
หวังซูเหยาเองก็ไม่ย่อท้อ นางรวบรวมความกล้าที่มีทั้งหมดในชีวิตสิบหกปี ปลิดความขวยเขินสะเทิ้นอายไปสิ้น เบียดกายนุ่มแนบชิดแผงอกแข็งแรง สองมือเล็กโอบเอวสอบไว้แน่น ลูบเบาๆ ส่งสัญญาณพร้อมทอดกายให้เขา ช่วยเขาจากยาเยี่ยงคนใจงาม
“พี่เฟิ่ง ข้ารักท่าน อย่าหมางเมินเย็นชาต่อข้าอีกเลย”
ด้านข้างเพียงสามก้าวคือห้องๆ หนึ่ง ซึ่งถูกจัดเตรียมไว้แล้ว พยานรู้เห็นที่ไว้ใจได้ก็พร้อมพรั่ง คืนนี้คือการเดิมพันครั้งสุดท้าย นางต้องได้แต่งงานกับเขา เป็นพระชายาเฉิงอ๋อง
“พี่เฟิ่ง แค่ท่านพยักหน้า ข้าหวังซูเหยา ต่อให้มิได้เป็นเอก มิได้รอง ข้าก็ยินดีทั้งนั้น ข้าพร้อมเคียงท่านโดยไม่โต้แย้งเจ้าค่ะ”
หากไม่ทำเช่นนี้ บุรุษที่หวงเนื้อหวงตัวเกินเอื้อมเช่นเขา นางก็ไม่รู้แล้วว่าต้องทำอย่างไรจึงจะได้ครอบครอง
เงาร่างสองสายพลันปรากฏเป็นภาพให้เห็นว่ากำลังกอดกระหวัดรัดรึงเข้าไปในห้องจนถึงเตียงนอน สองแขนบุุรุษโอบกอดสตรีร่างนุ่มอย่างคุมอารมณ์ไม่อยู่ ทั้งคู่พากันพลิกตัวจนพบความสุขสมหวานล้ำ เรือนร่างชุ่มเหงื่อไร้อาภรณ์ห่มกายเสียดสีกันครั้งแล้วครั้งเล่า พายุอารมณ์ที่จู่โจมทำคนเคี่ยวกรำจนรุ่งสาง…
แต่ใครจะคาด ทั้งๆ ที่มียาปลุกกำหนัดเร่งเร้า จนนางสัมผัสได้ถึงบางอย่างในร่างกายเขาที่แทบจะปริแตกอยู่ร่อมร่อผ่านเสื้อผ้า พริบตาเดียว ร่างของนางพลันถูกดึงให้หลุดจากภวังค์เพ้อฝันไปสิ้น ด้วยมือใหญ่ที่จับไหล่นางแล้วดันไปชิดกำแพงดังอึก
ภาพชายหญิงบนเตียงเมื่อครู่ล้วนเป็นหวังซูเหยาจินตนาการไปเองคนเดียว เพราะยามนี้ จ้าวเฟิ่งเพียงก้มมองด้วยดวงตาแดงก่ำ กล่าวเพียงสามคำ
“ไสหัวไป!”
จากนั้นสาวน้อยที่คาดหวังเต็มเปี่ยมว่าพ้นคืนนี้จะได้หมั้นดังใจหมายจึงทำได้เพียงมองตามแผ่นหลังเฉิงอ๋องที่ค่อยๆ ห่างไป
สาเหตุที่หวังซูเหยาร้อนรนอยู่ไม่สุขจนต้องลุกขึ้นมาทำการลงแรงกายแรงใจ ทำตัวหน้าด้านไร้ยางอายระดับสูงสุดขนาดนี้ เพราะเพิ่งได้ข่าวว่าเฉิงอ๋องกลับมาคราวนี้เหมือนจะมีหญิงในใจ
เขามีคนรักแล้ว เพียงแต่เป็นสตรีที่เขาไม่มีทางได้เคียงคู่ ตัวคนอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้
หญิงสาวกัดฟัน แววตาหรี่แคบฉายประกายเด็ดเดี่ยว
สองมือในแขนเสื้อของนางกำแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ แววตาที่มองตามร่างสง่ามีแต่ความรักท่วมท้นที่ไม่เคยลดลง

เพ่ยหนิงปรือตามองก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาประชิดมา ก่อนที่ริมฝีปากร้อนผ่าวจะประกบอย่างอุกอาจเอาแต่ใจ หญิงสาวถูกจุมพิตที่ไม่หยาบกระด้างแต่ก็ไม่อ่อนโยนถาโถมเข้าใส่จนมึนงงลมหายใจของนางกำลังถูกลมหายใจของเขาที่ร้อนเร่ายิ่งกว่าเตาไฟเผาไหม้จนแทบละลาย ความแข็งขืนมิผ่อนปรนของเขาทำหัวใจของนางเต้นแรง ริมฝีปากของนางถูกเขาครอบครอง ฝ่ามือยังถูกเขากอบกุมยากปัดป้อง เนื้อตัวถูกเขารุกเร้าเอาแต่ใจมากขึ้นเรื่อย ๆเพ่ยหนิงรู้สึกเหมือนวิญญาณถูกสูบ สมองขาวโพลน คล้ายถูกมอมเมาด้วยจุมพิตอันร้อนแรง ร้ายที่สุดก็คือถูกชักจูงด้วยสิ่งที่ฝ่ามือนางกุมแทบไม่หมดนั้นและก่อนที่นางจะขาดอากาศหายใจ เขาค่อยๆ ผละออก แต่ยังคลอเคลียไม่ห่าง ปลายลิ้นที่ไล้เลียเปลี่ยนจูบเร่าร้อนเป็นการละเลียดชิมริมฝีปากอย่างเว้าวอน คล้ายอ้อนวอนให้ช่วยเหลือกัน“ท่านอ๋อง” นางเสียงสั่น“ช่วยหน่อย” เขาสั่งเสียงเข้ม แฝงนัยร้องขอสาวน้อยหลับตา ข่มอารมณ์ข่มใจอย่างยากลำบาก นางปวดมือมากยิ่งนางขยับ เขาก็เหมือนยิ่งขยาย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป...“ท่านเอาแต่ใจเกินไปแล้วนะ”“คืนนั้นเจ้าเอาแต่ใจมากกว่านี้มิใช่หรือไร
หลังจากนั้นไม่นานตัวนางก็ร้อนรุ่ม รู้สึกถึงเพลิงผลาญที่แล่นพล่านจะไปทั่วตัวก่อนจะพุ่งขึ้นสูงและดิ่งลงต่ำไปที่ท้องน้อย ท้ายที่สุดนางก็ควบคุมตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ ร้องขอเขาเสียงสั่นเครือ ขณะทิ้งตัวลงนั่งบนตักของเขาเขาตัวเกร็ง นิ่วหน้ามองพวกเราต่างไม่รู้ว่าในน้ำชามีอันใดขันทีที่อยู่นอกห้องถูกเฉิงอ๋องเรียกมาสอบถามถึงได้รู้ว่าเป็นชาพระราชทานจากฮ่องเต้ที่รัชทายาทแบ่งมาให้สองมือแกร่งที่ประคองบั้นท้ายของนางซึ่งกำลังถูไถไปมาบนหน้าขาของเขาชะงักค้างไปทันที“ไหวหรือไม่?” เขาถามเสียงเครียดนางตอบเสียงสั่น “ไม่ไหว...”หลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่เป็นอยู่ทุกค่ำคืน คือนางไม่ได้ออกจากห้องลับ และเขาก็จะกลับมานอนด้วยแทบทุกคืนไม่รู้ว่าใครติดใจใครเฉิงอ๋องจ้าวเฟิ่งที่แค่กระดิกนิ้วก็มีสาวงามวิ่งตามเป็นพรวนกับนางที่เรียกร้องเขาเพราะยาแค่ครั้งเดียว...หญิงสาวถอนหายใจให้กับความโง่เขลาของตัวเองเป็นครั้งที่เท่าใดมิอาจนับ จากนั้นพลันลุกขึ้น กระชับชุดนางกำนัลไร้สีสันให้แน่นขึ้น ทำท่าจะเดินไปทางเตียงนอนในตอนนี้เอง ประตูเล็กฝั่งที่ติดกับห้องอาบน้ำก็เปิดออก ร่างบุรุษสูงสง่าสวมเพียงเสื้อคลุมเผยแผ่นอกตึงแน่น
นางมองทุกส่วนที่ทรงเสน่ห์นั้นอย่างหลงใหลยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกหวงแหนลำพองใจ ไม่ว่าใครหากได้มองล้วนรู้สึกเฉกเดียวกับนาง“หม่อมฉันหนิงเอ๋อร์เพคะ ท่านอ๋องทรงให้หม่อมฉัน...”ยังพูดไม่จบ นางพลันรับรู้ถึงกลิ่นอายอันตราย ได้ยินบุรุษในถังไม้แค่นเสียงลอดไรฟันว่า “ออกไป”“แต่ว่า ท่านอ๋องเพคะ...”จ้าวเฟิ่งช้อนตาขึ้นมองแวบหนึ่ง “หากเข้ามาอีกครึ่งก้าว เปิ่นหวางจะฆ่าเจ้า”ได้ยินดังนั้น ใครจะกล้ารั้งอยู่ “พ่ะ เพคะ ไปแล้วเพคะ”“ช้าก่อน”เมื่อเสียงเข้มนี้กระทบโสตประสาท หนิงเอ๋อร์พลันชะงักฝีเท้า ในใจลิงโลดทันใด คิดว่าท่านอ๋องต้องทนไม่ไหว คิดเปลี่ยนใจให้นางปรนนิบัติแน่แล้วทว่ายังไม่ทันหันไปยิ้มหวานกลับได้ยินคำพูดเย็นเยียบแทน“ต่อไปอย่าให้เปิ่นหวางได้ยินว่าเจ้าใช้ชื่อนี้อีก”“...!?”“และอย่ามาให้เห็นหน้าอีก ออกไป!”“เอ่อ...ท่ะ”ยังไม่ทันอ้าปาก หลี่อี้ที่ได้ยินพลันเข้ามากระชากตัวนางลากออกไปทันทีประตูห้องอาบน้ำปิดลงอีกครั้ง จ้าวเฟิ่งหลับตาขบกราม จัดการกับตัวเองต่อไปผ่านไปค่อนคืน น้ำในถังกระฉอกไปเกือบครึ่ง แต่พายุอารมณ์ในกายก็ยังไม่ยอมสงบลง จ้าวเฟิ่งหอบหายใจหนักหน่วง ทั้งกระเส่าและถี่กระชั้น
หญิงสาวรวบรวมความกล้าครั้งสุดท้าย วิ่งไปดักหน้าเขา“พี่เฟิ่ง ท่านรู้ดีว่าตั้งแต่ข้าเป็นเด็กหญิงไม่ประสา ในใจข้าก็มีเพียงท่านแล้ว ทำไมเล่า ทำไมท่านไม่มองข้าบ้าง ไยต้องมองหาสตรีที่ไม่คู่ควรที่หายตัวไปทางใดก็ไม่รู้ผู้นั้นด้วย”ฝีเท้าอันหนักอึ้งชะงักกึก หางตาจ้าวเฟิ่งกระตุกเบาๆ หวังซูเหยาเห็นดังนั้นก็เริ่มลำพองใจ สองตาปริ่มน้ำแลดูงดงามหยาดเยิ้มจึงส่งให้ไม่มีลดละ จ้องมองอย่างลึกซึ้งเข้าไปในดวงตาคมดำไร้ก้นบึ้งของเขาอย่างจงใจด้วยสภาพของเขายามนี้หากถูกสตรียื้อเวลาให้ร่วมเสวนา เกรงว่าพรุ่งนี้คงต้องส่งแม่สื่อไปเจรจาหมั้นหมายตามแผนการหวังซูเหยาลอบแย้มยิ้มอยู่ในใจ เมื่อเห็นหนทางสำเร็จรำไรทว่าท้ายที่สุด จ้าวเฟิ่งกลับไม่ใส่ใจว่านางจะรู้เรื่องส่วนตัวของเขามากน้อยแค่ไหน แววตาของเขายังคงเฉยเมยคล้ายผลักไส น้ำเสียงของเขาเย็นเยียบผิดกับอาการร้อนรุ่มในอก“ไม่เกี่ยวว่าข้ามีใครเคียงหรือครองตัวสันโดษ เพราะสิ่งเดียวคือข้าไม่ต้องการเจ้า”กล่าวจบเขาปรายตามองนางนิ่งๆ เดินจากไปอย่างเย็นชาอีกคราที่หวังซูเหยาทำได้เพียงมองเงาร่างสูงสง่าจนลับตา รับรู้เพียงกลิ่นอายรังเกียจที่เขาทิ้งไว้ให้แผ่ซ่าน
“น้องเหยา เจ้ามาทำอะไรที่นี่” จ้าวเฟิ่งถามเสียงพร่าหญิงผู้นี้มีนามว่า หวังซูเหยา บิดาคือหวังซวี่ ขุนนางใหญ่ในราชสำนัก นับเป็นขุนนางน้ำดีผู้หนึ่ง ส่วนมารดาคือญาติผู้น้องของอดีตฮองเฮาผู้ล่วงลับซึ่งเป็นมารดาของเฉิงอ๋อง กล่าวก็คือ หวังซูเหยานับเป็นสตรีที่ไม่อาจดูเบาในเรื่องสายสัมพันธ์หวังซูเหยามองจ้าวเฟิ่งด้วยสายตาตัดพ้อ มีน้ำตาเอ่อคลอน่าสงสาร สื่อนัยคล้ายต่อว่าสามีที่มิค่อยกลับบ้านมาดูดำดูดีภรรยา“พี่เฟิ่ง รัชทายาททรงให้เหยาเอ๋อร์เข้าวังมาเพื่อพูดคุยกับท่านเรื่อง...เอ่อ...การหมั้นหมายของเราเจ้าค่ะ”ไม่พูดเปล่า นางยังโถมกายอ้อนแอ้นเข้าใกล้ ส่งกลิ่นหอมเชิญชวนให้คนต้องโอบกอดเกินห้ามใจสองแขนงามราวหยกที่เกาะเกี่ยวไหล่หนาคล้ายเกาะเกี่ยวเข้าไปในอณูเนื้อตรงอกด้านซ้าย ความรู้สึกนี้แทรกผ่านเสื้อผ้าเข้าปะทะกล้ามเนื้อหน้าอกทำเอาหัวใจเต้นรัว จ้าวเฟิ่งขนลุกเกรียวลำคอบุรุษแห้งผาก หากเขาคล้อยตามนางสักเล็กน้อย แม้จะกึ่งผลักไสกึ่งโอนอ่อน นางย่อมเป็นของเขาโดยสมบูรณ์ดังใจทว่าจ้าวเฟิ่งแค่ขมวดคิ้ว เม้มริมฝีปากบาง ก้มมองนางนิ่งๆ มิได้กอด แค่ไม่หลบเลี่ยงอาจเพราะร่างกายของเขาตอนนี้กำลังมีความต้อ
รัชศกจิ้นหยวนปีที่สิบเก้า กลางเดือนสามในโถงงานเลี้ยงอันโอ่อ่าหรูหรา เบื้องบนฝั่งแท่นประธานปรากฏเรือนร่างสูงศักดิ์ขององค์รัชทายาทเด่นสง่าใบหน้าคมสันหล่อเหลาและงดงามเป็นเอกมีรอยยิ้มน้อยๆ ประดับริมฝีปากสีแดงสดตลอดเวลา ให้ความรู้สึกอบอุ่นน่าค้นหา ทั้งน่าหลงใหลชวนฝันถึงพระองค์สวมผ้าแพรสีม่วงลายมังกรสีขาวปักดิ้นสีทองอร่าม ขับเน้นให้เผยคำว่า ‘รูปงาม’ ยากหาใดเทียมเขาคือองค์รัชทายาทแคว้นจิน นามจ้าวไท่หรงด้านข้างพระวรกายสูงค่าขององค์รัชทายาทจ้าวไท่หรงคือเรือนร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์สีดำเข้มของเฉิงอ๋อง นามจ้าวเฟิ่งเดิมทีหากไม่มีบุรุษสูงศักดิ์ผู้อื่นนอกจากรัชทายาท ทุกสายตาของบรรดาคุณหนูวัยกำดัดทั้งหลายต่างย่อมต้องมองเพียงว่าที่ประมุขแผ่นดินผู้นี้ผู้เดียว ทว่าวันนี้นั้นแตกต่าง เมื่อในงานเลี้ยงมีเฉิงอ๋องอยู่ด้วย ทุกสายตาจึงเปลี่ยนมาจับจ้องที่จ้าวเฟิ่งเป็นตาเดียวเหล่าสาวงามนางรำในห้องรับรองก็เช่นกัน พวกนางต่างแอบมองบุรุษหนุ่มเจ้าของใบหน้าคมคายเปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์เหลือร้ายอย่างจ้าวเฟิ่งจนตาเป็นมันหากเอ่ยว่ารัชทายาทหนุ่มทรงหล่อเหลารูปงามเหนือผู้คน บุรุษผู้เหมาะสมเปรียบเทียบเท่าเท








