ปรายฝนปวดเมื่อยตามเนื้อตัว ด้วยความไม่ค่อยคุ้นชินกับการทำ งานในไร่สักเท่าไรนัก แม้งานดูไม่ยากอะไร แต่การเก็บพืชผักผลไม้จำนวนมากก็เหนื่อยเอาเรื่องและยังปวดไปหมดในทุกส่วนบนร่างกายเลยทีเดียว
“ไหนว่าให้มาเป็นผู้ช่วยแม่นาย” ปรายฝนบ่นพึมพำ
“ตอนมาใหม่ๆ ปลาก็คิดเหมือนปรายนั่นแหละ แต่อีกสักพักก็ชินไปเอง อย่าไปบ่นให้แม่นายได้ยินเข้าล่ะ มีหวังได้โดนใช้งานหนักกว่าเดิมแน่ๆ ทุกคนโดนมาหมดแล้ว” ปลาหัวเราะ เมื่อเห็นปรายฝนยิ้มเจื่อนๆ
“เดี๋ยวต้องขับรถพาแม่นายไปงานเลี้ยงอีก อยากนอนชะมัดเลย”
“งานเลี้ยงของอร่อยเยอะ ข้าวเย็นที่โรงอาหารไม่ต้องกินเลย”
“ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่า ถ้าเสร็จช้ากว่าแม่นายมีหวังโดนเอ็ดไปอีกหลายเพลา” ปรายฝนหัวเราะเล็กๆ เมื่อได้พูดนินทาเจ้านาย
แม่นายใจเดียวมองดูตัวเองผ่านกระจกเงาที่อยู่ตรงหน้า ริ้วรอยมีให้เห็นเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ แต่นั่นไม่ได้ทำให้รู้สึกไม่ดีแต่อย่างใด การต้องไปงานเลี้ยงมากกว่าที่สร้างความรู้สึกอึดอัดให้
“ค่อยดูเป็นผู้เป็นคนหน่อย” แม่นายใจเดียวพูดขึ้น เมื่อออกจากห้องเห็นปรายฝนมารออยู่ก่อนแล้ว
“น่ารักล่ะไม่ว่า” ปรายฝนพูดพึมพำ
“อย่าไปสร้างความวุ่นวายล่ะ ฉันไม่อยากมีปัญหากับใครที่นั่น”
“เคยสร้างปัญหาให้ที่ไหนล่ะคะ” ปรายฝนพูดเสียงอ่อยๆ
“ตั้งแต่ลากกระเป๋าเข้ามาแล้วไหม ไปได้แล้วจะได้รีบกลับ”
“งานเลี้ยงมีด้วยหรือคะ รีบไปรีบกลับ เราต้องกินของอร่อยๆ ก่อนค่อยกลับค่ะ แม่นาย แต่งตัวสวยซะขนาดนี้” ปรายฝนพูดยิ้มๆ มองดูผู้หญิงที่ดูอ่อนกว่าวัยค่อนข้างมาก
“สาวในกรุงเทพสวยๆ เยอะแยะไป” แม่นายใจเดียวบอก
“ไม่รู้สิคะ แม่นายคงสวยทั้งภายนอกและภายใน” ปรายฝนยิ้ม
“อยากกินของอร่อยที่งานให้อิ่มก่อนกลับ ไม่เห็นต้องลงทุนมาชมฉันขนาดนี้เลย” แม่นายใจเดียวพูดแล้วออกเดินนำหน้าไปก่อน
“แต่งนิดแต่งหน่อยก็สวย โชคดีจริงๆ เลย แต่ตอนเป็นแม่นายที่ดูเข้มๆ เวลาทำงานน่ารักกว่านะ ปรายว่า” ปรายฝนยิ้มๆ และรีบวิ่งไปเปิดประตูรถให้เป็นการเอาหน้า
บ้านหลังงามที่เห็นทำเอาปรายฝนถึงกับจ้องมองดูผ่านกระจกด้าน หน้าตัวรถ เพราะใหญ่กว่าที่ไร่ใจเดียวถึงสามเท่าเลยก็ว่าได้ เจ้าของไร่แห่งนี้น่าจะมั่งคั่งเอาการอยู่ปรายฝนคิด แต่ทำไมแม่นายใจเดียวที่ชอบความสงบถึงได้ยอมมางานเลี้ยงที่ดูโอ่อ่าแบบนี้ได้
“ทำไร่รวยขนาดนี้ ซื้อที่แถวนี้ทำไร่บ้างดีกว่า” ปรายฝนพูดยิ้มๆ แต่เมื่อหันไปเห็นแม่นายใจเดียวทำหน้านิ่งรอยยิ้มจึงจางลงทันที
“อย่าเดินไปไหนมาไหนคนเดียว อยู่ใกล้ๆ ฉันไว้เข้าใจไหม ถือเป็นคำสั่ง” แม่นายใจเดียวบอกหลังจากปรายฝนจอดรถ
“รับทราบค่ะ แต่เดินไปหาของกินนิดหน่อยไม่ได้หรือคะ” เสียงท้องร้องโครกครากทันที เมื่อพูดถึงเรื่องอาหาร
“นอกจากจะพูดมากแล้วยังตะกละอีก” แม่นายใจเดียวพูดดุ
“ยังเด็กอยู่นี่นา” ปรายฝนพูดเสียงอ่อยๆ ด้วยความอยากเอาใจจึงรีบลงจากรถและไปเปิดประตูให้พร้อมกับโค้งคำนับทำเอาเจ้านายอมยิ้ม
เจ้าของไร่ออกมารอต้อนรับตั้งแต่เห็นรถเลี้ยวเข้ามาจากด้านหน้าทางเข้าไร่ แต่ที่น่าสนใจก็คือ สองสาวที่อยู่ภายในรถไม่ได้ลงมาทันทีเหมือนอยู่พูดคุยกัน ก่อนสาวน้อยหน้าตาดีจะวิ่งลงมาเปิดประตูให้แม่นายใจเดียว
ปรายฝนพนมมือไหว้ หลังจากได้รับการแนะนำให้รู้จักกับเจ้าของไร่ ซึ่งก่อนหน้าคิดว่าแม่นายใจเดียวเจ้านายของตัวเองสวยแล้ว แต่เจ้าของไร่แห่งนี้สวยกว่าเสียอีก ปรายฝนอมยิ้มเมื่อนึกเปรียบเทียบ ถ้าเจ้านายรู้เข้ามีหวังถูกหักเงินเดือนแน่
“ได้ยินว่าเพิ่งมาไม่กี่วัน แต่ท่าทางสนิทกับเจ้าของไร่นะคะ” คำพูดที่ได้ยินทำเอาปรายฝนรู้สึกเหมือนถูกดุ หรือว่าตัวเองแสดงท่าทีทะลึ่งทะเล้นมากเกินไป
“แม่นายใจดีค่ะ ปรายอาจจะดูทะเล้นไปสักหน่อย ถ้าทำอะไรไม่ดี แม่นายแพรพรรณตักเตือนได้นะคะ” ปรายฝนรู้สึกโล่งใจ เมื่อหันไปมองสบตากับแม่นายใจเดียวแล้วยังมีรอยยิ้มน้อยๆ ให้เห็น
“ฉันไม่ได้ว่าอะไรหรอกค่ะ แปลกใจต่างหาก เพราะแม่นายใจเดียวสนิทกับคนยาก แต่หนูมาแค่ไม่กี่วันท่าทางดูสนิทกัน” แพรพรรณยิ้มน้อยๆมองสบตากับใจเดียว
ปรายฝนหลังจากเข้ามาในงานก็คอยชำเลืองมองดู เพราะเกรงว่า แม่นายใจเดียวจะคลาดสายตาไประหว่างตัวเองกำลังดื่มด่ำกับรสชาติอาหารที่ออกจะหรูหราเหมือนมาจากโรงแรมห้าดาวในกรุงเทพฯ
“ไม่หายไปไหนหรอก ไม่ต้องจ้องไปกินไปขนาดนั้น” เสียงพูดตาม มาด้วยเสียงหัวเราะทำเอาปรายฝนขมวดคิ้วก่อนจะหันไปมอง
“ก็ถูกสั่งมาให้คอยอยู่ใกล้ๆ ไม่ให้ไปซุกซนที่ไหน” ปรายฝนพูดขึ้น
“ซนด้วยหรือ โตแล้วนะ” หญิงสาวคนเดิมหัวเราะ
“ยังดูเด็กในสายตาผู้ใหญ่มั้งคะ”
“ไม่คิดว่า น้าเดียวจะเลือกผู้ช่วยเด็กขนาดนี้ เราชื่อ จันจิราเป็นลูกสาวแม่นายแพรพรรณ” ปรายฝนทำตาโตทันที เพราะเพิ่งพูดต่อปากต่อคำไปกับลูกสาวเจ้าของไร่ ถ้าแม่นายใจเดียวรู้เข้ามีหวังได้ถูกเล่นงาน
“ปรายฝนค่ะ เรียกปรายเฉยๆ ก็ได้ค่ะ” ปรายฝนยิ้มๆ
“ยินดีที่ได้รู้จัก ว่าแต่จะอยู่นานเท่าไรล่ะ” จันจิราถาม
“คุณจันจิราถามแปลกๆ”
“เรียกจันเฉยๆ ก็ได้ เราน่าจะรุ่นเดียวกันนะ” จันจิราบอก
“คุณจันคิดว่า ปรายจะอยู่ไม่นานหรือคะ” ปรายฝนถาม
“เด็กรุ่นเราควรจะได้เห็นแสงสี ไม่ใช่หรือ”
“แต่ปรายว่าที่นี่มีเสน่ห์นะคะ มีอะไรให้เรียนรู้ตั้งหลายอย่าง”
“อยู่นานๆ ก็จะเบื่อไปเอง ไม่น่าเกินสามเดือน” จันจิราหัวเราะ
“กลัวอยู่เหมือนกัน” ปรายฝนหัวเราะเล็กๆ ที่ว่าเหมือนกันไม่ใช่ว่าจะเบื่อ แต่กลัวว่าจะโดนไล่ออกมากกว่า
“พี่ไตรไปไหนเสียล่ะ ถึงไม่ขับรถให้น้าเดียว”
“พี่ไตรโดนปลดไปแล้วค่ะ ว่าแต่ว่าแม่นายใจเดียว ชื่อเล่นว่า เดียว หรือคะ” ปรายฝนถาม แต่ก็ยิ้มๆ กับการพูดถึงไตรออกไปอย่างนั้น
“ก็เฉพาะคนที่สนิท ส่วนใหญ่เรียกแม่นายใจเดียว แต่แม่ของจันกับน้าเดียวสนิทกันมาตั้งแต่สาวๆ แล้วล่ะ สนิทก่อนพ่อจันอีก” จันจิราพูดยิ้มๆ มองดูมารดาที่เดินตามใจเดียวหายไปทางด้านข้างตัวบ้าน
“อ้อได้เฉพาะคนที่ได้รับอนุญาต” ปรายฝนยิ้มจางๆ แต่เมื่อหันไปไม่เห็นแม่นายใจเดียวจึงรีบมองดูไปรอบๆ
“ขอตัวก่อนนะจ๊ะ คุณผู้ช่วยปรายฝน เพื่อนจันมาแล้ว” จันจิรารีบไปทักทายเพื่อนที่เพิ่งมาถึง ปรายฝนจึงเริ่มออกตามหาแม่นายใจเดียวเพราะรับปากเอาไว้ว่าจะอยู่เคียงข้าง แต่มัวมาหลงใหลอยู่กับอาหารและพูดคุยกับลูกสาวเจ้าของไร่เลยไม่รู้ว่าเจ้านายหายไปไหน
“โดนแน่ ปรายเอ๊ย” ปรายฝนรำพึงออกมาเบาๆ ขณะเดินตามหาแม่นายใจเดียว
แพรพรรณขยับเข้าใกล้ใจเดียวที่พยายามขยับถอยหนี แต่เบี่ยงตัวออกไปไม่ได้ เพราะแพรพรรณเบียดตัวเข้าแนบชิดจนแทบขยับตัวไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
“ถ้าไม่มีงานเลี้ยง แพรคงไม่ได้เจอเดียว” แพรพรรณจ้องเขม็ง
“แพรอยากเจอเดียวด้วยหรือ” ใจเดียวถาม
“มาก แต่เดียวคงไม่เชื่อ”
“เดียวเชื่อแพรเสมอ เชื่อทุกเรื่อง เชื่อเสมอมา”
“ถ้าอย่างนั้น เชื่อใจอีกสักครั้งได้ไหม” แพรพรรณพูดเสียงอ่อยๆ และกำลังจะก้มลงจูบใจเดียวที่เหลือบไปเห็นปรายฝนมองมาพอดี จึงพยายามดันตัวแพรพรรณให้ขยับถอยห่างออกไป
“ใจแพรไม่เหมือนเดิม แพรอาจจะไม่รู้ตัว” ใจเดียวพูดขึ้นและเบี่ยงตัวเลี่ยงออกมา แพรพรรณหันไปเห็นปรายฝนที่จ้องมองอยู่และใจเดียวเดินไปจับมือเด็กสาวคนนั้นที่หันมาจ้องมองเล็กน้อยก่อนจะเดินตามเจ้านายไป
“ไม่น่าเป็นไปได้” แพรพรรณคิด แล้วมองดูใจเดียวที่ยังคงกุมมือเด็กสาวคนนั้นจนออกจากบ้านไป
“ปล่อยปรายได้แล้วค่ะ ปรายเดินเองได้” ปรายฝนพูดขึ้น
“ขอโทษที อยากให้รีบตามออกมาเลยจับมือแน่นไปหน่อย”
“ไม่เป็นไรค่ะ แม่นายไม่ต้องตกใจหรอกค่ะ ปรายไม่เอาไปพูดให้ใครฟังหรอก” ปรายฝนบอกก่อนจะเปิดประตูรถให้
“ถึงเอาไปพูดก็ไม่เป็นไร เพราะมันไม่มีอะไร” แม่นายใจเดียวยิ้มๆ ให้ปรายฝนที่ขมวดคิ้วจ้องมอง
“ต้องถูกจูบก่อน ถึงจะมี” ปรายฝนถาม
“อาจจะนะ ต้องลองถูกจูบก่อนถึงจะตอบได้” แม่นายใจเดียวบอก
“ถ้าปรายถามอีกนิดก่อนกลับได้ไหมคะ” ปรายฝนพูดเสียงอ่อยๆ
“ว่ามา แต่ถ้าไม่อยากตอบ ฉันไม่ตอบได้ใช่ไหม” แม่นายใจเดียวถามกลับ ปรายฝนพยักหน้า
“แม่นายแพรพรรณเป็นหม้าย ใช่ไหมคะ” ปรายฝนถาม
“ใช่ สามีเสียไปสองสามปีแล้ว” แม่นายใจเดียวตอบ
“งั้นก็แล้วไป ปรายไม่น่าไปยืนตรงนั้นเลยเนอะ” ปรายฝนบ่นพึมพำ
ก่อนจะดันหลังแม่นายใจเดียวให้รีบขึ้นรถ
“แล้วหายไปไหนมา ขอให้อยู่ใกล้ๆ ทำไมไม่ทำ” แม่นายใจเดียวพูดคล้ายต่อว่า
“ก็ไม่รู้นี่นา แต่ยอมให้เข้าใกล้ขนาดนั้น ก็คงรู้สึกดีกับเขาไม่ใช่หรือ” ปรายฝนพูดงึมงำ
“ก็มีบ้าง ออกรถได้แล้ว หิวจะแย่” แม่นายใจเดียวพูดบ่น
“หิวเหมือนกันเลย ได้กินไปนิดเดียวเอง พยาธิประท้วงจนไส้บิดแล้วเนี่ย” ปรายฝนพูดบ่นก่อนจะเคลื่อนรถขับออกไป แม่นายใจเดียวยิ้มน้อยๆมองดูปรายฝนที่ทำหน้าบูดขณะขับรถออกมา
ขนมปังกรอบกับโกโก้ร้อนกลายเป็นอาหารมื้อค่ำที่แสนอร่อยพร้อมด้วยส้มเขียวหวานและฝรั่งที่แม่นายใจเดียวจัดใส่จานมาให้ ปรายฝนอาสาไปช่วยจัดเตรียมแต่ถูกห้าม จึงนั่งรออยู่ด้านหน้าห้องพักของแม่นายใจเดียว ที่มีลมพัดเย็นสบาย ซึ่งต่างจากวันแรกๆ ที่มีฝนตกจนหนาวเหน็บเข้าไปถึงกระดูก
“รังเกียจหรือเปล่ากับสิ่งที่เห็น” แม่นายใจเดียวถาม
“เรื่องผู้หญิงรักกันน่ะหรือคะ” ปรายฝนถาม แม่นายใจเดียวยิ้มและพยักหน้าให้เป็นคำตอบ
“ไม่หรอกค่ะ สมัยนี้แล้ว”
“เห็นจ้องตาไม่กะพริบ” แม่นายใจเดียวพูดขึ้น
“ก็ตกใจ ไม่คิดว่าจะชอบผู้หญิงด้วยกันนี่นา” ปรายฝนบ่นพึมพำ
“ไม่เห็นมีอะไรน่าตกใจเลย”
“แหม แม่นายโตแล้วนี่ แต่ปรายยังเด็กอยู่”
“จะว่าฉันแก่ก็ว่ามา” แม่นายใจเดียวหัวเราะเล็กๆ ปรายฝนจึงหันไปจ้องมองไม่วางตา รอยยิ้มที่ดูสวยสดใสหายไปทันที เมื่อแม่นายใจเดียวเห็นปรายฝนจ้องมอง
“ก็ไม่เท่าไรนะคะ แม่ปรายแก่กว่านิดหน่อย” ปรายฝนหัวเราะ
“ทานผลไม้เยอะๆ ดึกๆ จะได้ไม่หิว” แม่นายใจเดียวบอกทำให้คนที่ได้ยินนั่งอมยิ้ม เพราะน้ำเสียงนั้นอ่อนโยนต่างจากก่อนหน้าที่จะเรียบๆ
“ขอส้มที่เหลือไปไว้ในห้องได้ไหมคะ เผื่อไว้” ปรายฝนหันไปยิ้มให้
“ไปเข้านอนได้แล้ว ขอบใจที่ไปเป็นเพื่อน” แม่นายใจเดียวพูดขึ้น
“เรียกใช้ได้ตลอดเวลาค่ะ ยิ่งงานเลี้ยงที่มีของกินอร่อยๆ เยอะๆ ด้วยล่ะก็ ผู้ช่วยปรายพร้อมเสมอค่ะ” ปรายฝนหัวเราะคิกคัก แม่นายใจเดียวถอนใจแล้วส่ายหน้าไม่คิดว่าสาวน้อยจะออกอาการทะเล้นให้เห็น
“เด็กตะกละ ไปนอนได้แล้วไป ถ้าไม่วุ่นวายและขยันทำงานอีกไม่ กี่วันมีงานวัดจะพาไปเที่ยว” แม่นายใจเดียวพูดจบก็กลับเข้าห้องไปไม่ทันได้เห็นท่าทางดี้ด๊าดีใจของปรายฝนที่ออกอาการกระโดดโลดเต้นแต่ไม่กล้าส่งเสียงดังและเดินยิ้มกลับเข้าห้องของตัวเองไป
พลบค่ำแล้วแต่ฝนคงยังตกหนักและท่าทางคงไม่หยุดตกเอาง่ายๆ แม่นายใจเดียวเลยตัดสินใจเข้าพักในโรงแรมที่ห้องพักเกือบเต็ม โดยเหลือห้องพักเพียงแค่ห้องเดียวเท่านั้น “คงต้องนอนที่นี่ พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับ ขับรถฝ่าฝนไปมีหวังกลับไม่ถึงไร่แน่” แม่นายใจเดียวบอกกับปรายฝน “ยังไงก็ได้ค่ะ แต่คนที่ไร่จะเป็นห่วงเอาสิคะ ปรายโทรฯ ไปแจ้งกับปลาหรือกลอยดีกว่า” ปรายฝนบอก แต่ไม่ได้หยิบโทรศัพท์มือถือมาด้วย “ฉันจัดการเอง” แม่นายใจเดียวหยิบโทรศัพท์ออกมาจากถุงผ้าที่ถืออยู่ ภาพของหญิงสาวจึงปรากฏให้เห็นที่หน้าจอ ปรายฝนเห็นเพียงครู่เดียวแต่มั่นใจว่า ไม่ใช่รูปแม่นายใจเดียว ซึ่งเจ้าตัวรีบขยับมือถือยกขึ้นทันทีเมื่อเห็นปรายฝนมองดูโทรศัพท์ที่ถืออยู่ ปรายฝนเงียบไปตั้งแต่เห็นภาพที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือ กาแฟถูกนำมาให้ หลังจากแม่นายใจเดียวแจ้งกับพนักงานจากชั้นล่างของโรงแรมที่เข้าพัก ปรายฝนยิ้มน้อยๆ และบอกขอบคุณพนักงาน “ขอบคุณค่ะ” “ครับผม” กาแฟกลิ่นหอมกับรอยยิ้มน้อยๆ ของคนที่นั่งเงียบๆ อ่านหนังสืออยู่กำลังถอดแว่นออก เมื่อปรายฝนนำกาแฟมาว
“ปรายเองค่ะ” เป็นข้อความจากปรายฝนส่งถึงผู้อ่าน “จบแบบนี้ไม่ได้สิ ปรายไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นสักหน่อยเนอะ เดี๋ยวจะค่อยๆ เล่าให้ฟังก็แล้วกัน อย่าเพิ่งไปว่าคนเขียนเขาเข้าล่ะ” ปรายฝนหัวเราะคนเขียนก็เช่นกัน “จบแบบที่พิมพ์คำว่า จบ น่ะ ยังไม่สมบูรณ์ต้องอ่านต่อจากตอนพิเศษ ปรายจะเล่าว่ากลับมาอย่างไร แม่นายดีใจขนาดไหนหรือยังคงเฉยๆเหมือนครั้งแรกที่ได้พบกัน พร้อมกันหรือยัง ไปค่ะตามกลับไปที่ไร่ ณ วันหนึ่งที่ฝนตกอากาศเย็นเฉียบเหมือนเดิมยังกับลอกตอนต้นเรื่องกันมาเลย มาๆ ตามมาให้ไวค่ะ” ปรายฝนหัวเราะ เมื่อนึกถึงวันที่นั่งรถสองแถวมาลงที่หน้าไร่เหมือนครั้งแรก แต่ครั้งนี้ความรู้สึกต่างกัน แม้ฝนจะตกจนพื้นชื้นแฉะแต่ไม่มากอะไรเหมือนครั้งก่อนที่เลอะเทอะและเละเทะเรียกว่า พอกดินโคลนเข้าไปพบเจ้านายกันเลยทีเดียว ปรายฝนหยุดยืนอยู่ที่ทางเข้าไร่และมองดูรอบๆ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปมากและแอบนึกถึงเจ้าของไร่ขึ้นมา ไม่รู้จะเปลี่ยนไปมากมายเหมือนสถานที่หรือไม่ ภาพของวันแรกกลับเข้ามาในความรู้สึก แต่ความสบายใจได้เข้ามาแทนที่ความกังวลใจ ปรายฝนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแม่นายใจเดียวหรือไร่ใจเด
ภาพแม่นายใจเดียวที่ปั่นจักรยานไปทำงานตรวจดูไร่รอบๆ เป็นภาพที่เห็นจนเป็นเรื่องปกติยิ่งเวลาเลยผ่านไปเรื่อยๆ ทำให้ภาพในครั้งเก่าที่มีคนปั่นจักรยานให้ซ้อนท้ายจางหายไป แต่แม่นายใจเดียวของทุกคนยังมีรอยยิ้มสดใสอยู่เสมอ “คิดถึงปรายเหมือนกันนะ หายเงียบไปเลย” ปลาพูดขึ้น ขณะยืนมองตามแม่นายใจเดียวที่ขี่จักรยานไปไกลลิบแล้ว “ต่างคนต่างใช้ชีวิต แม่นายมีความสุขก็ไม่เห็นต้องไปถามหาเลย” กลอยพูดยิ้มๆ และยังคิดถึงปรายฝนอยู่เสมอ “เป็นเด็กแท้ๆ ดันใช้การเขียนโปสการ์ดแทนการโทรศัพท์มา ไม่รู้คิดยังไง แต่สิ่งที่รู้ก็คือ แม่นายของพวกเรายังคงสดใสและมีความสุขก็พอแล้ว” ปลายิ้มๆ เพราะแรกๆ แอบเคืองปรายฝนอยู่เหมือนกันที่ไม่มีการติดต่อมา แม่นายใจเดียวยิ้มๆ เมื่อเห็นจันจิราอยู่กับไตรที่ชายไร่ส่วนเชื่อมต่อ เพราะยิ่งนานวันจันจิราได้พิสูจน์ให้เห็นว่า มีความสามารถพอที่จะดูแลไร่ต่อจากบิดาซึ่งเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว หลายสิ่งหลายอย่างในไร่เปลี่ยนแปลงไปในระยะสองสามปีที่ผ่านมา ไตรเป็นที่ปรึกษาให้กับจันจิรา ซึ่งพิสูจน์ตัวเองจนไตรใจอ่อนตกปากรับคำที่จะคบหากันฉันท์คนรักและจะแ
ปรายฝนทำเป็นหลับตาปี๋ เมื่อแม่นายใจเดียวถอดเสื้อผ้าเพื่อให้ช่วยเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ “ทำไม มันเหี่ยวย่นจนถึงกับต้องหลับตาเลยหรือ” แม่นายใจเดียวถามและจ้องมองดูคนที่ยังคงทำเป็นหลับตาอยู่ “ไม่กล้าลืมตา กลัวใจตัวเองต่างหาก” ปรายฝนบอก “ลืมตาได้แล้ว เช็ดตัวให้แต่ไม่ลืมตาจะเช็ดได้ยังไงกัน” เสียงหัวเราะของปรายฝนทำให้แม่นายใจเดียวยิ้มได้ เพราะตั้งแต่ได้ทราบข่าวเรื่องการสูญเสียแม้แต่รอยยิ้มก็แทบจะไม่ได้เห็นเลย ปรายฝนลืมตาขึ้นรู้สึกดีที่เห็นรอยยิ้มทะเล้นของคนที่ไม่มีอาภรณ์ใดๆ ติดกายเลย “ยังรู้สึกดีกับเด็กขี้เหวี่ยงอยู่หรือเปล่าคะ” ปรายฝนถาม ขณะขยับเข้ามาใกล้ๆ “ดีนิดหน่อย” แม่นายใจเดียวยิ้มๆ “นิดเดียวเองเหรอ เสียใจนะเนี่ย” ปรายฝนมองดูแววตาที่กลับมาดูอ่อนโยนและทำให้หัวใจรู้สึกอบอุ่นได้อีกครั้ง “จ้องแบบนี้ท่าจะไม่ดี ถ้าจะเช็ดตัวให้ก็รีบๆ หน่อยและถ้าอยากทำอย่างอื่นก็ต้องยิ่งรีบมากๆ ด้วย” แม่นายใจเดียวอมยิ้มกับจุมพิตเล็กๆ ของปรายฝนที่จูบนิดหนึ่งแล้วรีบเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ ปรายฝนเอามือแตะเบาๆ ไปที
แม่นายใจเดียวออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้ามืด ปรายฝนลงมาจากชั้นบนและแต่งตัวเตรียมไปวัดเห็นแม่บ้านจัดโต๊ะอาหารเอาไว้ที่เดียว “น่าสงสารคุณเขาออกนะคะ ต้องมาอยู่ไกลบ้านมากและเหนื่อยกับคุณปรายทุกวันอีก” แม่บ้านซึ่งอยู่ในเหตุการณ์เมื่อคืนบอกกับปรายฝน “ร่างเด็กเกเรเข้าสิงปราย ขอบคุณค่ะ คุณแม่บ้าน” ปรายฝนบอกก่อนจะถอนใจ เมื่อกลับมานึกถึงความไม่น่ารักของตัวเอง ความเศร้าและเสียใจกับการจากไปของบิดา โดยปรายฝนคิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุทำให้อาการโรคหัวใจกำเริบหนักขึ้นจนถึงแก่ชีวิต เพราะดวงฤทธิ์มาบอกเรื่องของแม่นายใจเดียวให้บิดาทราบ ปรายฝนคิดว่านั่นน่า จะเป็นสาเหตุของการสูญเสีย ภาพของแม่นายใจเดียวที่พูดคุยอยู่กับอาหมอทำให้ปรายฝนถอนใจ เมื่อแม่นายใจเดียวหันมาปรายฝนทำท่าจะยิ้มให้แต่แววตาเรียบนิ่งที่ได้เห็นสัมผัสได้ถึงความเย็นชา ปรายฝนยังคงยิ้มน้อยๆ ให้ก่อนจะหันไปมองตามสายตาของแม่นายใจเดียว ถึงได้รู้ว่าดวงฤทธิ์มายืนอยู่ข้างๆ เยื้องไปทางด้านหลัง ไตรมาช่วยงานในวันสุดท้าย เพราะต้องดูแลไร่ใจเดียว ถึงแม้เพิ่งมาแต่ได้ช่วยงานอย่างขยันขันแข็ง โดยเฉพาะงานที่ต้องใ
ปรายฝนเงียบมาตลอดการเดินทาง นายแพทย์ซึ่งปรายฝนเรียกว่าอาหมอได้ช่วยจัดการเรื่องการจัดเตรียมพิธีศพ โดยมีแม่นายใจเดียวช่วยอีกแรง ซึ่งปรายฝนเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวที่ท่านมี จึงต้องรับหน้าที่ดูแลเรื่องการจัดการให้เรียบร้อย “พ่อเป็นโรคหัวใจหรือคะ อาหมอ” ปรายฝนถาม “พ่อเราไม่ยอมให้บอกใคร อาอยากให้บอกปราย แต่ท่านไม่ยอม” “เพราะปรายหรือเปล่าที่ทำให้อาการทรุดลง” ปรายฝนเริ่มมีน้ำตาไหลรินออกมา “ใช่สิ พ่อรู้เรื่องปรายกับแม่นายเจ้าของไร่อาการเลยทรุด” คำพูดของดวงฤทธิ์ทำให้ปรายฝนกับแม่นายใจเดียวหันไปมองพร้อมๆ กัน “ฤทธิ์ใช่เรื่องที่จะมาโทษกันไหม” อาหมอพูดดุ “ผู้ใหญ่ควรต้องรับผิดชอบ” ดวงฤทธิ์พูดกระทบแม่นายใจเดียว “ฝากดูแลปรายด้วยนะครับ คุณใจเดียว” “ดิฉันจะดูแลอย่างดีเลยค่ะ” นายแพทย์จ้องมองดวงฤทธิ์อย่างไม่ค่อยพอใจนักที่พูดโทษปรายฝนว่าเป็นสาเหตุทำให้บิดาของตัวเองเสียชีวิต “เช็ดน้ำตาก่อน ปรายต้องหยุดร้องไห้แล้วล่ะ เพราะต้องรับแขก” แม่นายใจเดียวพูดขึ้น “อยู่กับปรายนะ ปรายไม่เหลือ