เฮือก...เสร็จแน่เรา!ฉันรีบหันไปมองเขาแล้วแสร้งหัวเราะเบา ๆ“คุยกับคุณพ่อเสร็จแล้วเหรอคะ?” เสียงของฉันดูปกติอย่างมืออาชีพ“คือ…ฉันแค่เดินดูบ้านไปเรื่อย ๆ น่ะค่ะ แล้วบังเอิญเห็นห้องนี้เปิดแง้มอยู่เลยลองเข้าไปดูนิดหน่อย...แต่ดันทำต่างหูหล่น เลยก้มหาอยู่น่ะค่ะ”“ต่างหู?” เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย“ค่ะ! นี่ไง เจอแล้ว”ฉันรีบหยิบต่างหูขึ้นมาจากพื้นอย่างแนบเนียน…ของที่เตรียมไว้เผื่อสถานการณ์แบบนี้อยู่แล้วเขาเลิกคิ้วนิด ๆ เดินเข้ามาใกล้ทีละก้าวลมหายใจของฉันสะดุด จังหวะหัวใจเริ่มรัวเหมือนกลองสัญญาณเตือนภัยฉันถอยหนึ่งก้าว แต่หลังดันชนเข้ากับโต๊ะทำงาน ร่างเอนเล็กน้อยจนสุดท้ายก็ต้องนั่งลงบนนั้นอย่างเสียไม่ได้“ถ้าไม่เชื่อ...จะค้นตัวดูก็ได้นะคะ” ฉันเงยหน้ามองเขา ดวงตาสบกันตรง ๆ แบบไม่ยอมแพ้เขายิ้มมุมปาก เจ้าเล่ห์อย่างที่เคยเป็นมือข้างหนึ่งยกขึ้น…ฉันนึกว่าจะลูบผม แต่กลับเลื่อนลงแตะต้นคอเบา ๆสัมผัสอุ่นจากมือแทรกผ่
ชนกันต์ยื่นกล่องเล็ก ๆ สีดำด้านให้ฉันขนาดเท่ากล่องแหวนแต่งงาน แต่เบากว่ามาก“นี่คือรุ่นใหม่ล่าสุด ขนาดเล็ก เสียงคมชัด ติดตั้งแล้วแทบมองไม่เห็น”เขาว่าเสียงเบา ขณะยื่นมาให้ฉันรับมันมา เปิดดูในมือข้างในมีอุปกรณ์ดักฟังขนาดเล็กเพียงปลายนิ้ว กับแผ่นรองแม่เหล็กจิ๋วสำหรับแนบติดฉันปิดกล่อง แล้วเก็บลงกระเป๋า ก่อนจะมองเขานิ่ง ๆ แล้วเอ่ยเสียงชัด“ชนกันต์…ห้ามบอกใครเรื่องตัวตนจริง ๆ ของฉัน…แม้แต่คนในทีมนาย”เขาพยักหน้าโดยไม่ต้องคิดนาน“รู้ครับพี่…เรื่องแบบนี้เชื่อง่ายมากมั้ง”ฉันหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่เราจะแยกย้ายกันคืนนั้น ฉันนั่งมองกล่องอุปกรณ์ที่วางอยู่บนเตียง ในใจมีเพียงความคิดเดียว…“จะติดอุปกรณ์นี้ยังไง?”จากที่เห็น ภารัช...ดูเป็นคนระวังตัวสูง ไหนจะลินา ภรรยาของเขาที่โคตรจะไม่ชอบหน้าฉันอีก การเข้าไปใกล้เขาโดยไม่มีข้ออ้าง จะดูผิดปกติเกินไปฉันทิ้งตัวนอนลงบนเตียง ตามองเพดาน ในหัวครุ่นคิด...แล้วหยุด
สองวันถัดมา ภูริพาฉันออกไปทานข้าว และพูดถึงสิ่งที่เขาสืบเจอคนที่ดักทำร้ายฉันวันนั้น...ตายหมดแล้วถูก ‘เก็บ’ อย่างไร้ร่องรอย ไม่มีใครรอด ไม่มีพยาน ไม่มีคำสารภาพ เหลือแค่ศพในโกดังร้างภูริบอกว่า...สภาพศพบางรายดูเหมือนถูกทรมานก่อนสิ้นใจ วิธีลงมือก็ไม่ใช่ของมือสมัครเล่นมันชัดเจนเกินไป ว่าคนที่ ‘เก็บ’ กลุ่มนั้น...มีฝีมือ และมีเหตุผลบางอย่างฉันไม่ได้พูดอะไรขณะนั่งฟังเขาเล่าเรื่องนั้นฉันยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนอยู่เบื้องหลัง หรือจะสื่ออะไรแต่ที่แน่ ๆ ...ฉันรู้แล้วว่าเรื่องนี้มันใหญ่กว่าที่คาดไว้มากถึงอย่างนั้น…ฉันก็ไม่มีเวลาพอจะมานั่งกลัว หรือวิเคราะห์ให้ครบทุกเสี้ยวยังมีเรื่องสำคัญกว่ารออยู่ข้างหน้าคืนนี้...ฉันมีนัดกับชนกันต์ที่โรงยิม มีบางอย่างที่ต้องถาม และบางอย่างที่ฉันสงสัย เสียงรองเท้ากระทบพื้นยางดังเบา ๆ ในโรงยิมที่เงียบวังเวง มีเพียงแสงไฟฟลูออเรสเซนต์สีขาวจาง ๆ จากเพดานที่ยังติดอยู่บางดวง กับกลิ่นเหงื่อและฝุ่นจาง ๆ จากอุปกรณ์ฝึกที่วางเรียงอยู่ตามมุมห้องสถานที่ที่ชวนให้คิดถึง สมัยที่อลิสามักมาฝึกซ้อมกับสมาชิกในทีมบ่อย ๆฉันยืนรออยู่กลางลานว่างของโรงยิม ใส่เสื้อฮู้ดสีเทาคลุมหัว
เสียงกระดาษพลิกยังไม่ทันจาง ฉันก็เอื้อมมือไปกดสวิตช์ไฟข้างประตูห้องทั้งห้องจมลงสู่ความมืดทันทีชนกันต์ก้าวเข้ามาอย่างเร็วฟึ่บ!หมัดแรกพุ่งมาทางที่เขาคาดว่าฉันอยู่ เขาเร็ว ใช้เสียงในการระบุตำแหน่งอย่างแม่นยำแต่ฉันไวกว่า ฉันเบี่ยงตัวหลบ และใช้สันมือผลักหลังเขาเบา ๆ ให้เสียจังหวะ“ใจร้อนจังเลยนะ…”ฉันพูดเสียงแผ่ว กระซิบจากด้านหลังของเขาโดยไม่ระบุตัวเขาหันขวับ พุ่งตามเสียงอย่างแม่นแต่มือฉันปัดออกอย่างนิ่มนวล พร้อมถอยออกไปอย่างไม่มีเสียงเท้า“คุณเป็นใคร?” เขาเคลื่อนตัวช้า ๆ รอบห้อง พยายามระบุตำแหน่งจากเสียงฉันไม่ตอบแค่ถอยอีกก้าว ให้เขาวิ่งพลาดเป้าไปอีกครั้งเราแลกหมัดกันกลางความมืด...โดยที่ไม่มีใครเห็นหน้าใครเขาเน้นโจมตีฉันเน้นหลบ ควบคุม และกดจังหวะเขาเคลื่อนไหวรวดเร็ว ว่องไว สมกับเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยจู่โจมแต่ฉันรู้จังหวะเขาดีเกินไปเพราะฉันเคยฝึกเขาเองกับมือในที่สุด เขาหยุดเคลื่อนไหว หอบห
ประมาณหกโมงเย็น รถของเขาก็มาจอดเทียบหน้าตึก ฉันเดินลงไปพบเขาในชุดลำลองดูสบาย ๆ ภูริยืนพิงรถอยู่พร้อมรอยยิ้มมุมปากอารมณ์ดีไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า แต่ฉันรู้สึกว่าหลัง ๆ มานี่เขาจะยิ้มเยอะขึ้นนะ“พร้อมหรือยังครับ”“พร้อมแล้วค่ะ”“อืม…”จู่ ๆ คนตัวสูงตรงหน้าก็ยกมือขึ้นปลายนิ้วของเขาแตะลงที่ปอยผมข้างแก้มของฉันเบา ๆ“ผมยาวขึ้นอีกหน่อยหรือเปล่า?” เขาถามเสียงนุ่มขณะสายตายังจับจ้องอยู่ที่เส้นผมฉันฉันแทบหยุดหายใจไปชั่ววินาทีนั้น ตัวแข็งทื่อเหมือนโดนสะกด“เอ่อ...มั้งคะ” ฉันตอบกลับแบบติดขัด รู้สึกถึงอุณหภูมิบนหน้าเริ่มพุ่งสูงภูริหัวเราะเบา ๆ พลางเลื่อนมือกลับ“ขึ้นรถเถอะ” เขาว่าก่อนจะเปิดประตูให้ฉันพยักหน้ารัว ๆ อย่างคนไม่สามารถพูดอะไรได้อีกแล้ว...ให้ตายสิ นี่แค่จับปอยผมเองนะ ทำไมถึงใจสั่นขนาดนี้ก็ไม่รู้...เรามุ่งหน้าไปยังห้างสรรพสินค้าหรูใจกลางเมือง ที่มีร้านของขวัญหรูแบบคัดสรรเฉพาะชิ้นพิเศษ ภายในร้
เสียงดนตรีคลอเบา ๆ ภายในงานเลี้ยงต้อนรับหลังพิธีเปิดตัวผ่านพ้นไปแล้ว แขกผู้ใหญ่บางส่วนแยกย้ายกลับ เหลือเพียงกลุ่มครอบครัว คนสนิท และพันธมิตรทางธุรกิจที่ยังพูดคุยแลกเปลี่ยนกันอย่างออกรสฉันยืนอยู่ไม่ไกลจากบาร์ ยิ้มรับกับแขกที่เข้ามาทักทาย แต่ในหัวกลับเต็มไปด้วยคำถามมากมายโดยเฉพาะคำถามเกี่ยวกับ ‘ชนกันต์’ฉันสูดหายใจเบา ๆ รวบรวมสติให้กลับมา ก่อนจะเดินตรงไปหาชายหนุ่มคนนั้นที่กำลังยืนคุยกับทีมงานของภูริอยู่ใกล้มุมหนึ่งเขาหันมาเห็นฉันพอดี ก่อนจะยิ้มบาง ๆ ให้แบบมืออาชีพ“คุณวราลี”“คุณกวินใช่ไหมคะ?” ฉันยิ้มตอบ “เรียกว่าวีก็ได้ค่ะ ทำงานกับคุณภูรินานแล้วเหรอคะ”“ผมเพิ่งย้ายจากแผนกบริหารความเสี่ยงมาเมื่อสามเดือนก่อน ก่อนจะมาทำงานกับคุณภูริครับ”“ทำงานกับคุณภูคงงานหนักแย่เลยนะคะ” ฉันหลอกถามด้วยท่าทีเป็นกันเอง พลางสังเกตแววตาและน้ำเสียงของเขาอย่างเงียบ ๆชนกันต์ตอบทุกคำถามด้วยท่าทีสุภาพ ตรงประเด็น และไม่เปิดช่องให้ฉันจับพิรุธได้เลย&