ในอีกด้านหนึ่ง เหวิ่นจือหยูยังคงรู้สึกกังวลกับพระบรมราชโองการที่ทรงมีคำสั่งให้จัดงานแต่งงานอย่างเร่งด่วน นางพยายามหาทางออกจากสถานการณ์ที่ตึงเครียดนี้ แต่ยิ่งพยายามมากเท่าไหร่ ทางเลือกของนางก็ยิ่งแคบลง
เหวิ่นจือหยูต้องเผชิญกับความกดดันจากองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อ พระคู่หมั้นที่ประกาศออกมาชัดเจนว่าไม่ปรารถนาที่จะแต่งงานกับนาง แต่เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธรับสั่งของฮ่องเต้ได้ ในขณะที่ทั้งคู่ต่างต้องทรมานจากการแต่งงานที่ไม่เต็มใจ และทุกข์ทรมานจากการแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก ตัวเหวิ่นจือหยูไม่เท่าไหร่เพราะวาดรวีรู้ว่าจือหยูคนเดิมแอบชอบพอองค์ชายอยู่ แต่องค์ชายนี่ซินอกจากจะไม่ได้ชอบพอกับจือหยูคนเดิมเเล้วยังบอกว่าเกลียดคนนิสัยเช่นนางด้วยซ้ำ เหวิ่นจือหยูถอนหายใจยาว ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะ นางหยิบกระดาษและพู่กันขึ้นมา เขียนสิ่งที่อยู่ในใจออกมาเป็นตัวอักษรจีนที่สง่างาม ราวกับกำลังใช้การเขียนเป็นวิธีการระบายความเครียดและความกังวลที่ทับถมอยู่ในใจ “ข้าควรทำอย่างไรต่อไป” นางพูดกับตัวเองเบาๆ ขณะที่มองตัวอักษรที่เขียนเสร็จแล้ว ในขณะที่เหวิ่นจือหยูครุ่นคิด เสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้น สาวใช้ส่วนตัวของนางเข้ามาอย่างเงียบๆ “คุณหนูเจ้าคะ นายท่านต้องการพบคุณหนูที่ห้องทำงานเจ้าค่ะ ” สาวใช้รายงานด้วยท่าทางสุภาพ เหวิ่นจือหยูรีบลุกขึ้น นางไม่เคยปฏิเสธการเข้าพบของบิดา และในเวลานี้นางก็รู้สึกว่าต้องการคำแนะนำจากท่านพ่อมากที่สุด นางเดินออกจากห้องตรงไปยังห้องทำงานของบิดา ใจที่หนักอึ้งเริ่มรู้สึกเบาลงเมื่อคิดถึงความอบอุ่นจากคำปลอบโยนที่นางมักได้รับจากท่านพ่อเสมอมา ขณะที่เหวิ่นจือหยูเดินทางมาที่ห้องรับรอง นางรู้สึกได้ถึงสายตาของน้องสาวเหวิ่นลี่หยาที่มองนางอยู่จากที่ไกลๆ ราวกับจับจ้องนางด้วยความโกรธ นางรู้ดีว่าเหวิ่นลี่หยาไม่เคยพอใจกับการที่นางได้หมั้นหมายและได้แต่งงานกับองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อ แต่กำหนดการรวมถึงพระบรมราชโองการออกมาแล้วไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ก็ยังไม่สามารถทำให้น้องสาวเลิกชิงชังได้ เหวิ่นลี่หยาเดินเข้ามาใกล้พี่สาวก่อนจะยิ้มบางๆ ที่ดูเหมือนจะซ่อนความหมายบางอย่างแฝงไว้ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูห่วงใยแต่แฝงด้วยความเยาะเย้ย “พี่จือหยู พี่จะไปไหน คงไม่ใช่ไปอ้อนให้ท่านพ่ออีกหรอกนะ” เหวิ่นจือหยูรู้ดีว่าน้องสาวพูดเช่นนี้เพียงเพื่อยั่วให้นางโกรธ แต่ในครั้งนี้ นางกลับเลือกที่จะยิ้มและตอบกลับด้วยน้ำเสียงสงบ “ไม่จำเป็น เจ้าก็รู้ว่าท่านพ่อรักข้ามากกว่าลูกอนุอย่างเจ้ามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว” คำตอบที่นิ่งสงบของเหวิ่นจือหยูทำให้เหวิ่นลี่หยารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย นางหวังว่าพี่สาวจะโต้กลับหรือตอบสนองด้วยอารมณ์ แต่กลับพบกับความเยือกเย็นที่ไม่คุ้นเคย พร้อมกับการย้ำให้รู้สึกเจ็บจากการพูดถึงตำแหน่งแม่ของนาง “เราจะได้เห็นกัน” เหวิ่นลี่หยาพูดก่อนจะเดินจากไปด้วยความไม่พอใจ เหวิ่นจือหยูมองตามน้องสาวไป นางรู้ว่าการต่อสู้ระหว่างนางกับเหวิ่นลี่หยานั้นยังไม่จบ นางจะต้องพยายามเอาชนะทั้งในสายตาขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อและเอาชนะความอิจฉาของเหวิ่นลี่หยาให้ได้ เมื่อเหวิ่นจือหยูเข้าไปในห้องของบิดา ขุนนางเหวิ่นจวิ้นอี้นั่งอยู่บนเก้าอี้รับรอง ใบหน้าที่เคยเคร่งขรึมและเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวกลับดูอ่อนโยนขึ้นเมื่อเห็นบุตรสาวคนโตเดินเข้ามา ขุนนางเหวิ่นเป็นคนที่เคร่งครัดกับเรื่องการทำงาน แต่กลับมีความเมตตาและความเข้าใจต่อบุตรสาวเป็นพิเศษ “ลูกหยูเอ๋อร์” ท่านพ่อเอ่ยเรียกนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เข้ามานั่งก่อน” เหวิ่นจือหยูนั่งลงข้างๆ ท่านพ่อ สายตาของนางเต็มไปด้วยความกังวลจนเหวิ่นจวิ้นอี้มองออกได้ทันที “พ่อรู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้อาจเป็นเรื่องที่ลูกรู้สึกลำบากใจ” ท่านพ่อพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แต่บางครั้งในชีวิต เราไม่อาจหลีกเลี่ยงชะตากรรมที่ถูกลิขิตมาแล้วได้” เหวิ่นจือหยูพยักหน้าเบาๆ นางรู้ว่าบิดาของนางพูดถูก การแต่งงานกับองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อเป็นรับสั่งจากฮ่องเต้ ไม่มีทางเลือกอื่นที่นางจะปฏิเสธได้ แต่นางยังคงไม่อาจสลัดความรู้สึกวิตกกังวลออกไปได้ “ท่านพ่อ” นางพูดเสียงแผ่ว “ลูกรู้ว่าลูกเคยทำตัวไม่ดี ลูกทำให้หลายคนไม่ชอบ แต่ลูกกลัวว่าลูกจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้พอที่จะทำให้เขายอมรับลูกได้” ขุนนางเหวิ่นฟังคำพูดของลูกสาวอย่างเงียบๆ ก่อนจะยกมือลูบศีรษะนางเบาๆ อย่างอ่อนโยนด้วยความเอ็นดู “ลูกทำได้ดีแล้วนะ หยูเอ๋อร์ พ่อรู้ว่าลูกได้พยายามปรับปรุงตัวเองอย่างมากมาย หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พ่อสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวลูก ลูกกำลังเดินไปในทางที่ถูกต้อง” เหวิ่นจือหยูรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ท่านพ่อส่งผ่านมาถึง นางยิ้มออกเล็กน้อย อย่างมีกำลังใจถึงแม้ในใจก็ยังมีความกังวลอยู่ลึกๆ “แต่เขายังไม่เชื่อใจลูก” นางพูดเบาๆ “ลูกรู้สึกว่าเขายังคงไม่เห็นคุณค่าในตัวลูก” ขุนนางเหวิ่นมองหน้าบุตรสาวอย่างอ่อนโยน “ความไว้วางใจต้องใช้เวลาในการสร้าง อย่าเพิ่งยอมแพ้ ต่อให้ตอนนี้เขายังไม่เชื่อใจลูก แต่หากลูกแสดงให้เห็นถึงความจริงใจและความมุ่งมั่น เขาก็จะเห็นในที่สุด” “หยูเอ๋อร์ ฟังนะลูก เจ้าเป็นลูกสาวของพ่อ และพ่อคนนี้ก็เชื่อมั่นในตัวลูก พ่อรู้ว่าลูกฉลาด แข็งแกร่ง และกล้าหาญ พ่อเห็นศักยภาพในตัวลูกมาโดยตลอด สิ่งสำคัญคือลูกต้องเชื่อมั่นในตัวเอง ไม่ว่าสถานการณ์จะยากลำบากเพียงใด ลูกก็จะสามารถก้าวผ่านมันไปได้” เหวิ่นจือหยูฟังคำพูดของบิดา หัวใจของนางรู้สึกอบอุ่นขึ้น นางเริ่มเชื่อว่าบางทีนางอาจจะสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อได้ ถ้านางตั้งใจและมุ่งมั่นพอ “ท่านพ่อ ลูกจะพยายาม” เหวิ่นจือหยูเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นขึ้น “ลูกจะไม่ยอมแพ้ จือหยูคนนี้จะทำให้เขาเห็นว่าลูกเป็นคนที่เขาสามารถไว้ใจได้” ขุนนางเหวิ่นยิ้มให้กับลูกสาวด้วยความภาคภูมิใจ “นั่นแหละคือคำตอบที่พ่ออยากได้ยิน พ่อรู้ว่าหยูเอ๋อร์ของพ่อทำได้ และพ่อจะอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอลูกรัก” เหวิ่นจือหยูยิ้มอย่างมั่นใจมากขึ้น นางรู้ว่าการเดินทางในเส้นทางนี้จะไม่ง่าย แต่ด้วยความรักและการสนับสนุนจากบิดา นางก็พร้อมที่จะเผชิญกับทุกอุปสรรคที่เข้ามาในชีวิตวันที่เหวิ่นจือหยูต้องเตรียมตัวสำหรับพิธีแต่งงานมาถึงแล้ว ทั่วทั้งจวนเต็มไปด้วยบรรยากาศของการเฉลิมฉลอง ทุกคนล้วนตื่นเต้นและยินดีกับคุณหนูใหญ่ คนรับใช้ต่างเร่งรีบเตรียมข้าวของและจัดเตรียมทุกอย่างอย่างลุล่วง ถึงแม้ว่าหลายคนยังคงหวั่นกลัวกับความโมโหร้ายที่เคยได้ยินเกี่ยวกับคุณหนูจือหยู แต่ในช่วงหลังพวกเขาก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนและความนุ่มนวลที่เธอแสดงออกมา ทำให้บรรยากาศในจวนดูอบอุ่นและเป็นมิตรขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนต่างยินดีที่ได้เข้ามารับใช้คุณหนูใหญ่ของจวน ในห้องแต่งตัว เหวิ่นจือหยูนั่งอยู่หน้ากระจกขนาดใหญ่ สาวใช้สามคนช่วยกันจัดแต่งเส้นผมของนางอย่างพิถีพิถัน พวกนางตกแต่งเครื่องประดับทองคำและหยกบนศีรษะของคุณหนูอย่างประณีต ชุดแต่งงานที่นางสวมเป็นชุดฮั่นฝูสีแดงสดที่งดงามยิ่งนัก ลวดลายหงส์ที่ปักด้วยด้ายทองเปล่งประกายสะท้อนแสง ทุกอย่างล้วนบ่งบอกถึงความสูงส่งของฐานะว่าที่พระชายา เหวิ่นจือหยูมองตัวเองในกระจก เธอแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงนั้นคือเหวิ่นจือหยูที่เคยมีชื่อเสียงเลวร้ายเมื่อไม่นานมานี้จริงหรือ นางยิ้มเบาๆ ให้กับตัวเอง ความรู้สึกหลากหลายป
แสงตะวันอ่อนยามเช้าทอประกายผ่านม่านผ้าไหมที่พาดยาวในท้องพระโรง ขบวนขันหมากจากตระกูลเหวิ่นเรียงรายเป็นระเบียบ บรรยากาศเคร่งขรึมแต่แฝงความสง่างาม เหวิ่นจือหยูค่อยๆ ก้าวเดินเข้ามาในท้องพระโรงอย่างช้าๆ องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อเงยหน้าขึ้นเมื่อเสียงขันทีประกาศถึงการมาถึงของเจ้าสาว ในนาทีนั้นเองที่เขาเห็นเหวิ่นจือหยูในชุดแต่งงานสีแดงเพลิงปักลายหงส์ทองงดงาม เครื่องประดับบนศีรษะสะท้อนแสงจนวิบวับ ทุกอิริยาบถของนางแสดงถึงความสงบและสง่างาม หลี่หยวนเจ๋ออดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะดุดตา เขาเคยได้ยินชื่อเสียงของเหวิ่นจือหยูมามากมาย ในแง่ร้ายเสียส่วนใหญ่ แต่ในวันนี้ ภาพที่ปรากฏตรงหน้าเขาแตกต่างไปจากที่เคยรับรู้ “คิดไม่ถึงเลยว่านางจะดูเป็นผู้ใหญ่ถึงเพียงนี้”ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจของหลี่หยวนเจ๋อ แต่ทันใดนั้น ความไม่พอใจที่ถูกบังคับให้แต่งงานกับสตรีที่เขาไม่ได้รักก็กลับมาท่วมท้นในจิตใจ เมื่อถึงเวลาพิธี เสียงขลุ่ยและฆ้องดังขึ้นก้องไปทั่วท้องพระโรง เป็นสัญญาณเริ่มพิธีแต่งงานขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อและคุณหนูเหวิ่นจือหยู เหล่าข้าราชบริพารต่างพากันเฝ้ามองด้วยความชื่นชมในความขลังและความ
หลังจากที่องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อก้าวออกจากห้องหอ เหวิ่นจือหยูนั่งอยู่เพียงลำพังในความเงียบงัน แสงเทียนริบหรี่ในห้องที่เต็มไปด้วยการตกแต่งสีแดงชวนให้นึกถึงพิธีมงคลสมรสที่เพิ่งผ่านพ้นไป แต่นางกลับรู้สึกเหมือนถูกทิ้งไว้ในโลกที่เย็นเยียบและว่างเปล่า มือเรียวยกขึ้นแตะที่แก้ม รอยสัมผัสจากวันนี้ยังคงหลงเหลืออยู่ แต่หัวใจกลับหนักอึ้งไปด้วยความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ“ข้าต้องอดทนแค่ไหนกัน ถึงจะพิสูจน์ให้เขาเห็นได้ว่าข้ามิใช่คนเดิมอีกต่อไป” นางพึมพำกับตัวเองเบาๆ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เหวิ่นจือหยูลุกขึ้นเรียกนางกำนัลเข้ามาเพื่อเตรียมน้ำอุ่นในห้องอาบน้ำตามธรรมเนียมการแต่งงาน “อี้เหมย ช่วยเตรียมน้ำอุ่นให้ข้าด้วย ข้าต้องการอาบน้ำผ่อนคลายเสียหน่อย”“คุณหนูเจ้าคะ เอ่อ ขอประทานอภัยเพคะพระชายา น้ำอุ่นเตรียมพร้อมแล้ว เชิญพระชายาอาบน้ำได้เลยเพคะ” อี้เหมยที่ตอนนี้ได้กลายมาเป็นนางกำนัลคนสนิทพูดพร้อมกับก้มหน้าลงด้วยความเคารพ เหวิ่นจือหยูพยักหน้ารับเบา ๆ ก่อนจะเดินตามนางไปยังห้องอาบน้ำที่ตกแต่งด้วยโทนสีอ่อนละมุนเมื่อเดินเข้าสู่ห้องอาบน้ำ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสมุนไพรและดอกไม้ลอย
ในค่ำคืนต่อมาควรเป็นคืนที่อบอุ่นของคู่สมรสใหม่ ทว่าในห้องหอแห่งนี้กลับมีเพียงความเย็นชา หลี่หยวนเจ๋อและเหวิ่นจือหยูต่างฝ่ายต่างเงียบ ไม่ค่อยพูดจากันมากนัก แม้ทั้งคู่จะต้องใช้ห้องนอนเดียวกันตามธรรมเนียม แต่บรรยากาศระหว่างพวกเขากลับเต็มไปด้วยความตึงเครียดที่หลี่หยวนเจ๋อก่อขึ้นหลี่หยวนเจ๋อรักษาท่าทีเย็นชาของเขา บนใบหน้าหล่อเหลาไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ นัยน์ตาคมกริบมองผ่านพระชายาไป ราวกับว่านางไม่ได้อยู่ตรงนั้น แม้จะอยู่ใกล้กันขนาดนี้ แต่เขาทำเหมือนมีม่านบางๆ กั้น ที่ทำให้มองไม่เห็นเหวิ่นจือหยู มือข้างหนึ่งของเขาปลดชุดคลุมออกอย่างไม่รีบร้อน “พักผ่อนเสียเถิด” น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่งจนแทบจะไร้ความรู้สึก ก่อนจะหันเดินไปยังมุมเตียงที่เขาจัดไว้สำหรับตนเองแล้วเอนกายลงนอนหันหลัง ในความมืดเขาหลับตาลงอย่างสงบนิ่ง ไม่ได้สนทนาหรือถามไถ่ใด ๆ กับพระชายาต่อ หรือไม่แม้แต่จะหันกลับมามองนางว่าทำอะไรอยู่ ราวกับประกาศอย่างชัดเจนว่า แม้พวกเขาจะเป็นคู่สมรสกันแล้ว แต่ในความรู้สึกของเขา นางยังไม่มีตัวตน ยังเป็นเพียงคนนอก เหวิ่นจือหยูมองแผ่นหลังขององค์ชายผู้เป็นคู่สมรส เขานอนนิ่งสนิทอยู่ในความมืดมีเพียงเสีย
หลังจากเตรียมตัวเสร็จสิ้น เหวิ่นจือหยูเดินไปยังลานกลางของตำหนัก เพื่อรอไปที่งานพิธีรับพระชายา นางรู้สึกตึงเครียดและกังวลเล็กน้อย เพราะต้องเผชิญหน้ากับเหล่าเชื้อพระวงศ์เครือญาติของหลี่หยวนเจ๋อ แขกต่างแคว้น รวมถึงผู้คนมากมายที่มาร่วมงาน นางต้องพยายามวางเหมาะสมกับตำแหน่งพระชายาท่ามกลางลานกว้างหน้าตำหนัก บรรยากาศเงียบสงัด มีเพียงสายลมอ่อน ๆ พัดผ่าน หลี่หยวนเจ๋อยืนรออยู่ที่นั่น สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉย แม้ในใจจะรู้สึกไม่สบอารมณ์นักที่ต้องเสียเวลารอพระชายา แต่เมื่อเขาได้ยินเสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง ร่างสูงสง่าก็หันไปมองโดยไม่คิดอะไรดวงตาคมกริบที่เคยเย็นชาเผลอไหววูบไปชั่วขณะ เมื่อภาพตรงหน้าปรากฏขึ้นเหวิ่นจือหยูในอาภรณ์สีอ่อนเรียบง่าย ทว่ากลับขับเน้นความงามอ่อนหวานของนางจนไม่อาจละสายตา เส้นผมยาวดำขลับถูกรวบเกล้าและปักด้วยปิ่นอย่างประณีต ใบหน้านวลผ่องยามต้องแสงแดด ทำให้ดูงดงามราวกับเทพธิดาที่ก้าวลงมาจากภาพวาดเขาเผลอชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะรีบเก็บอาการ ใบหน้ากลับมานิ่งเฉยอีกครั้งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหวิ่นจือหยูสังเกตเห็นสายตาของเขา นางไม่แน่ใจว่านั่นเป็นเพียงภาพลวงตาหร
งานเลี้ยงต้อนรับพระชายาจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ณ ท้องพระโรงหลวง แขกเหรื่อมากมายจากทั่วทุกสารทิศต่างเดินทางมาร่วมเป็นสักขีพยานต่อจากการเข้าพิธีสมรสขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อและพระชายาเหวิ่นจือหยู บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงดนตรีขับกล่อมและเสียงสนทนาเจือจางเมื่อร่างสูงขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อก้าวเข้าสู่ท้องพระโรงพร้อมพระชายา ทุกสายตาต่างจับจ้องมายังทั้งคู่ทันที ความสง่างามของหลี่หยวนเจ๋อที่แผ่รัศมีความเยือกเย็น น่าเกรงขามดุจเพทพเจ้า ในขณะที่พระชายาเหวิ่นจือหยูก็ไม่ได้น้อยหน้า นางสวมอาภรณ์สีอ่อนปักลวดลายอย่างวิจิตร บ่งบอกถึงฐานะอันสูงส่ง ทุกย่างก้าวของนางเปี่ยมไปด้วยความสง่างามราวกับเทพธิดาท่ามกลางสายตาของแขกผู้ใหญ่และข้าราชบริพารที่มองมายังทั้งคู่ด้วยความชื่นชม โดยเฉพาะเหวิ่นจือหยูที่เป็นที่จับจ้องมากกว่าตาราวกับทุกสายกำลังประเมินพระชายาขององค์ชาย เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นเป็นระลอก“พระชายาช่างงามล่มเมืองจริง ๆ”“ดูเถิด นางงามสมฐานะองค์ชายยิ่งนัก”เหวิ่นจือหยูยิ้มรับทุกคำชมอย่างสงบนิ่ง นางรู้ดีว่าคำพูดเหล่านี้เป็นเพียงคำกล่าวต้อนรับ มิใช่สิ่งที่จริงใจเสมอไป อย่างไรก็ตาม นางก็ยังต้องรักษาท่า
ในช่วงเวลาที่ เหวิ่นจือหยู เริ่มปรับตัวเข้ากับชีวิตในตำหนักรัชทายาท ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับหลี่หยวนเจ๋อ ยังคงเต็มไปด้วยความเย็นชาและห่างเหิน รัชทายาทหนุ่มยังสร้างระยะห่างโดยมักจะใช้ข้ออ้างเรื่องงานเพื่อหลบหน้านาง ทั้งทำงานจนดึก หรือบางครั้งกลับมาตำหนักก็หลับไปโดยไม่สนใจถามไถ่พระชายาเลย เหวิ่นจือหยูกลายเป็นเพียงเงาในชีวิตของเขา ความเฉยเมยนั้นค่อย ๆ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ห่างไกลออกไปเรื่อย ๆแม้ไม่มีความอบอุ่นจากสามี แต่เหวิ่นจือหยูก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ของพระชายาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง นางพยายามทำตัวให้เป็นที่ยอมรับในราชสำนัก โดยการเข้าร่วมงานพิธีตามหน้าที่ โดยเฉพาะเมื่อเข้าเฝ้าฮองเฮา หยางซูเจิน ผู้ซึ่งเป็นพระมารดาขององค์รัชทายาทหลี่หยวนเจ๋อผู้เป็นพระสวามีฮองเฮาหยางซูเจินเป็นสตรีที่เฉลียวฉลาดและมีอำนาจและบทบาทสำคัญในราชสำนัก แม้ในตอนแรกนางจะจับตามองเหวิ่นจือหยูด้วยความสงสัย เพราะรู้ว่าหลี่หยวนเจ๋อไม่พอใจพระชายา แต่เมื่อได้พบปะพูดคุย ฮองเฮากลับพบความจริงที่แตกต่างออกไป นางสังเกตเห็นถึงความสงบเสงี่ยม ความอดทน และความอ่อนโยนในตัวลูกสะใภ้ ซึ่งไม่เหมือนกับคำกล่าวหาที่เคยได้ยิน
ภาพของ เหวิ่นจือหยู ที่นั่งสงบนิ่งอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือด้วยความตั้งใจ ช่างขัดแย้งกับสิ่งที่เหวิ่นลี่หยาเคยบอกเขาไว้โดยสิ้นเชิง นางไม่ได้ดูเป็นคนที่ใส่ใจแต่เรื่องการแต่งกายหรือหลงใหลในความหรูหราอย่างที่เขาเคยได้ยินมาเลยหลี่หยวนเจ๋อ นึกถึงคำพูดของเหวิ่นลี่หยาที่เคยบอกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า“พี่จือหยูของข้า นิสัยหยิ่งยโส สนใจแต่ความงามของตนเอง ไม่เคยสนใจการบ้านการเรือน องค์ชายคงไม่ชอบหรอก หากต้องอยู่กับนาง”เหวิ่นลี่หยาพูดเหมือนรู้จักพี่สาวของนางดี แต่สิ่งที่เขาเห็นในตอนนี้กลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิงเหวิ่นจือหยูที่นั่งตรงหน้าดูสงบนิ่ง เรียบง่าย และเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น นางไม่ได้หยิ่งผยอง เกรี้ยวกราด หรือสนใจแต่เปลือกนอกอย่างที่เหวิ่นลี่หยาเล่าให้ฟัง ความสงสัยเริ่มก่อตัวขึ้นในใจเขาหรือเขาอาจเข้าใจนางผิดไปโดยสิ้นเชิง“เจ้าชอบอ่านตำราหรือ” น้ำเสียงของเขาเปี่ยมด้วยความสงสัยเหวิ่นจือหยูเงยหน้าขึ้นจากตำรา ดวงตาคู่นั้นมองตรงมาราวกับท้าทายให้เขาคิดให้ถี่ถ้วน“ท่านคิดว่าอย่างไรเพคะ ได้ยินอะไรมาล่ะ”คำถามกลับยิ่งทำให้หลี่หยวนเจ๋อรู้สึกสะอึกเล็กน้อย เขาพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา “ข้าไม่ค
เวลาผ่านไปความสัมพันธ์ระหว่างฮองเฮากับเหวิ่นจือหยูยิ่งแน่นแฟ้นขึ้น ฮองเฮาค่อยๆ สอนเหวิ่นจือหยูในทุกๆเรื่อง ตั้งแต่การปักผ้า การทำอาหาร การบ้านการเมือง ไปจนถึงการปฏิบัติตัวในฐานะพระชายาที่ดี เหวิ่นจือหยูซึมซับบทเรียนเหล่านี้อย่างตั้งใจ แม้บางครั้งจะรู้สึกกดดันแต่หัวใจของนางกลับอบอุ่นขึ้น นางไม่เคยได้รับความรักและคำแนะนำเช่นนี้จากใครมาก่อนในช่วงเวลาที่นั่งเรียนรู้ข้างๆ ฮองเฮา บางครั้งผู้เป็นหวงโฮ่วก็จะตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ข้ามีเจ้าก็เหมือนมีลูกสาวเพิ่มอีกคน ข้าดีใจที่ได้เจ้ามาเป็นไท่จื่อเฟย”คำพูดนั้นทำให้เหวิ่นจือหยูรู้สึกอบอุ่น นางโค้งศีรษะลงแล้วกล่าวด้วยความจริงใจ“ขอบพระทัยเพคะเสด็จแม่ หม่อมฉันจะพยายามให้มากกว่านี้เพคะ”ฮองเฮามองนางด้วยสายตาเอ็นดู นางเอื้อมมือจับมือของเหวิ่นจือหยูเบาๆ ก่อนพูดต่อ“ไม่ต้องกังวลไป เจ้าทำได้ดีแล้ว และเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบทุกอย่าง สิ่งสำคัญคือความอดทนและความตั้งใจ”คำพูดนั้นกระทบใจเหวิ่นจือหยู นางไม่เคยคิดว่าผู้สง่างามและสมบูรณ์แบบเช่นฮองเฮาเคยผ่านความยากลำบากและช่วงเวลาที่ต้องเรียนรู้เช่นนี้มาก่อน นางรู้สึกถึงความหวังและกำลังใจที่ฮองเฮามอ
ในเช้าวันรุ่งขึ้น เหวิ่นจือหยูยังคงหมกตัวอยู่ในห้องอักษร นางอ่านตำรา ขีดเขียนจดบันทึกถึงสิ่งที่นางได้ศึกษาจากตำราด้วยความตั้งใจ แม้ดวงตาจะเริ่มล้า แต่หัวใจกลับเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง ก่อนที่นางกำนัลประจำตำหนักเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ พร้อมกับค้อมตัวโค้งคำนับ“พระชายาเพคะ ฮองเฮามีรับสั่งให้ท่านไปพบที่ตำหนักหลินเฟยเพคะ”เหวิ่นจือหยูเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างแปลกใจ แม้จะอดสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดจึงถูกเรียกตัวแต่เช้า แต่ก็มิได้แสดงท่าทีกระวนกระวาย นางรวบรวมตำราให้เป็นระเบียบก่อนจะพยักหน้าให้สาวใช้เตรียมชุดให้เรียบร้อยตำหนักหลินเฟยของฮองเฮา ภายในตำหนักหลวงโอ่อ่า สง่างาม แต่แฝงไปด้วยบรรยากาศที่กดดันเพียงเล็กน้อย เหวิ่นจือหยูสูดลมหายใจเข้า พยายามรักษาท่าทีสงบ ขณะเดินตามนางกำนัลไปยังห้องรับรองที่ฮองเฮารออยู่ฮองเฮาประทับอยู่บนตั่ง ในท่วงท่าสง่างาม ดวงเนตรคมกริบทอดมองมายังเหวิ่นจือหยู แต่ภายในกลับเต็มไว้ด้วยความอ่อนโยน รอยแย้มสรวลเล็กน้อยปรากฏบนพระพักตร์“มาเถิด พระชายา มานั่งกับข้านี่มา” เสียงตรัสอ่อนโยนที่ส่งมาทำให้เหวิ
“ข้าไม่เคยถามเจ้ามาก่อน แต่ข้าอยากรู้ เจ้ารู้สึกอย่างไรกับการที่พี่สาวของเจ้ากลายมาเป็นพระชายาของข้า”เสียงขององค์รัชทายาทดังขึ้นอย่างสงบนิ่ง แต่ก็ลึกซึ้งแฝงไปด้วยความหมาย คำถามที่เหมือนจะแค่ไถ่ถามทั่วไป แต่แท้จริงแล้วมันคืออะไรเหวิ่นลี่หยาเผลอเบิกตากว้างไปชั่วขณะ แต่ก็รีบก้มหน้าลงเพื่อซ่อนความรู้สึกที่ตื่นตระหนกของตน นางบังคับตัวเองให้ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมององค์รัชทายาทด้วยแววตาอ่อนหวาน“หม่อมฉันยินดีกับพี่จือหยู เพคะ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ปั้นให้จริงใจ และเต็มไปด้วยความยินดีนางทอดถอนใจเบา ๆ ก่อนจะกล่าวต่อ “พี่จือหยูนั้น ถึงแม้นางจะนิสัยร้ายกาจ ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ แต่นางก็สมควรได้รับมันอยู่แล้วเพคะ เพราะนางเป็นบุตรสาวของฮูหยินใหญ่ ต่างจากหม่อมฉัน ที่เป็นเพียงลูกอนุภรรยา”คำพูดของนางเต็มไปด้วยความน้อยใจ รู้สึกว่าโชคชะตาไม่ยุติธรรมกับตนเอง หลี่หยวนเจ๋อจ้องมองนางนิ่งไม่พูดแทรกแม้แต่น้อยเหวิ่นลี่หยาเห็นเขาเงียบไป นางเข้าใจว่าเขากำลังครุ่นและคิดตามที่ตนต้องการ จึงก้าวเข้าไปใกล้ น้ำเสียงของนางอ่อนหวานลง“องค์รัชทายาทเพคะ ท่านเองก็ทรงทราบดีมิใช่หรือเพคะ ว่าพี่จือหย
ยามบ่ายนั้นเงียบสงบ มีเพียงเสียงขนนกกระเรียนขีดเขียนลงบนกระดาษ เหวิ่นจือหยูยังคงหมกตัวอยู่ในห้องอักษร ท่ามกลางตำราโบราณที่เปิดกางอยู่เต็มโต๊ะ นางก้มหน้าจดจ่อกับตัวอักษรจีนโบราณที่เรียงรายอยู่บนกระดาษ ขณะวาดแบบแผนของสถาปัตยกรรมจีนยุคโบราณอย่างพิถีพิถันแม้การออกแบบและคำนวณเชิงโครงสร้างจะเป็นสิ่งที่คุ้นเคยสำหรับตอนเป็นวาดรวี แต่สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจคือ นางสามารถอ่านและเขียนภาษาจีนโบราณได้อย่างคล่องแคล่ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้ นางไม่มีพื้นฐานความรู้นี้เลยแม้แต่น้อย“หรือว่านี่จะเป็นพรจากการที่ข้ามาอยู่ในร่างนี้” เหวิ่นจือหยูพึมพำกับตัวเอง ขณะที่ลากเส้นบาง ๆ ลงบนกระดาษอย่างไตร่ตรอง ในขณะเดียวกัน นางก็ใช้ภาษาที่คุ้นเคยที่สุด ภาษาอังกฤษ จารึกตัวอักษรเล็ก ๆ กำกับลงไปในจุดสำคัญของแผนผัง เพื่อให้มั่นใจว่าความคิดของตนจะปลอดภัยจากสายตาผู้อื่นความปรารถนาที่จะใช้ความรู้ด้านวิศวกรรมและการออกแบบของตนเพื่อปรับปรุงตำหนักหรืออาคารบางแห่งในวังให้ดีขึ้น ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นภายในใจ นี่อาจเป็นสิ่งเดียวที่เชื่อมโยงนางเข้ากับโลกเดิม และอาจเป็นก้าวแรกที่ทำให้นางสามารถยืนหยัดอยู่ในโลกใบใหม่นี้ได้โดยไม่สูญเสีย
“แล้วเจ้าได้เรียนรู้เรื่องการทำอาหารหรือการบ้านการเรือนไปบ้างหรือไม่”คำถามของฮองเฮาทำให้เหวิ่นจือหยูนิ่งไปชั่วขณะ ในนามของวาดรวี นางเป็นวิศวกรที่เคยชินกับการใช้ชีวิตสมัยใหม่ ไม่เคยสนใจเรื่องงานบ้านหรือการทำอาหารมาก่อน แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ ในสถานะพระชายาในราชสำนักทำให้นางรู้ดีว่านี่เป็นคุณสมบัติสำคัญของสตรีในราชวงศ์“เอ่อ หม่อมฉันยังคงเรียนรู้เรื่องเหล่านั้นอยู่เพคะ” เหวิ่นจือหยูตอบอย่างระมัดระวัง พยายามควบคุมน้ำเสียงให้นิ่งที่สุดฮองเฮาทรงยิ้มบาง รอยยิ้มของพระนางเต็มไปด้วยความเมตตา “ไม่ต้องกังวลไป การเป็นพระชายาเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาเรียนรู้ หากเจ้าต้องการ ข้าก็ยินดีจะช่วยสอน”คำพูดนั้นทำให้เหวิ่นจือหยูยิ้มออกมาเล็กน้อย แม้ภายในใจยังรู้สึกประหม่าก็ตาม “ขอบพระทัย ที่เมตตาหม่อมฉันเพคะ”ฮองเฮาทรงยิ้มก่อนที่จะหันไปทางข้าหลวงและสั่งให้จัดเตรียมวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร “ข้าคิดว่าเรามาเริ่มเรียนรู้จากสิ่งเล็ก ๆ ก่อนแล้วกัน วันนี้เราจะทำอาหารกัน ข้าจะสอนเจ้าเกี่ยวกับวิธีการทำอาหารบางอย่างที่ง่าย ๆ แต่เหมาะสมสำหรับการเป็นแม่ศรีเรือน อาจช่วยให้เจ้าเข้าใจความสำคัญของการดูแลบ้านเรือนยิ่งข
หวิ่นจือหยูใช้เวลาหมกตัวอยู่ในห้องอักษรแทบทุกวัน นางจมอยู่กับตำราจีนโบราณที่กองสูงเต็มโต๊ะ เสียงแผ่วเบาของกระดาษที่ถูกพลิก และเสียงพู่กันลากไปบนกระดาษคือเพียงสิ่งเดียวที่ขับกล่อมห้องที่เงียบสงบนี้“ถ้าจะอยู่ที่นี่ เราต้องเข้าใจมันให้มากที่สุด” นางพึมพำกับตัวเอง พลางจรดพู่กันลงบันทึกข้อสังเกตเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้ไม่มีใครอ่านออก นางไม่ได้ศึกษาเพียงเพื่อความรู้ แต่กำลังวิเคราะห์กลไกสังคมยุคนี้ เพื่อหาทางเอาตัวรอดและอาจพลิกสถานการณ์ให้เป็นประโยชน์ในอนาคตแม้จะมีหน้าที่ในฐานะพระชายาที่ต้องรับผิดชอบ แต่ในแต่ละวันเหวิ่นจือหยูกลับเลือกที่จะอยู่เงียบๆ ในห้องอักษร มากกว่าจะไปปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นหลี่หยวนเจ๋อหรือเหล่าข้ารับใช้คนอื่นๆหลี่หยวนเจ๋อเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของพระชายา นางไม่เอาแต่ติดตามเขาเหมือนแต่ก่อน ไม่พยายามเรียกร้องความสนใจ และไม่แม้แต่จะปรากฏตัวในช่วงเวลาที่นางสมควรอยู่เคียงข้างเขา“แปลกจริง นางกำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่” เขาครุ่นคิดในใจ แม้ภายนอกจะดูสงบนิ่ง แต่นัยน์ตาของเขาแฝงความระแวงอยู่เสมอ แม้จะไม่เชื่อว่านางจะเปลี่ยนไปโดยไม่มีเหตุผล แต่เขาก็เลือกที่จะเ
ภาพของ เหวิ่นจือหยู ที่นั่งสงบนิ่งอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือด้วยความตั้งใจ ช่างขัดแย้งกับสิ่งที่เหวิ่นลี่หยาเคยบอกเขาไว้โดยสิ้นเชิง นางไม่ได้ดูเป็นคนที่ใส่ใจแต่เรื่องการแต่งกายหรือหลงใหลในความหรูหราอย่างที่เขาเคยได้ยินมาเลยหลี่หยวนเจ๋อ นึกถึงคำพูดของเหวิ่นลี่หยาที่เคยบอกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า“พี่จือหยูของข้า นิสัยหยิ่งยโส สนใจแต่ความงามของตนเอง ไม่เคยสนใจการบ้านการเรือน องค์ชายคงไม่ชอบหรอก หากต้องอยู่กับนาง”เหวิ่นลี่หยาพูดเหมือนรู้จักพี่สาวของนางดี แต่สิ่งที่เขาเห็นในตอนนี้กลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิงเหวิ่นจือหยูที่นั่งตรงหน้าดูสงบนิ่ง เรียบง่าย และเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น นางไม่ได้หยิ่งผยอง เกรี้ยวกราด หรือสนใจแต่เปลือกนอกอย่างที่เหวิ่นลี่หยาเล่าให้ฟัง ความสงสัยเริ่มก่อตัวขึ้นในใจเขาหรือเขาอาจเข้าใจนางผิดไปโดยสิ้นเชิง“เจ้าชอบอ่านตำราหรือ” น้ำเสียงของเขาเปี่ยมด้วยความสงสัยเหวิ่นจือหยูเงยหน้าขึ้นจากตำรา ดวงตาคู่นั้นมองตรงมาราวกับท้าทายให้เขาคิดให้ถี่ถ้วน“ท่านคิดว่าอย่างไรเพคะ ได้ยินอะไรมาล่ะ”คำถามกลับยิ่งทำให้หลี่หยวนเจ๋อรู้สึกสะอึกเล็กน้อย เขาพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา “ข้าไม่ค
ในช่วงเวลาที่ เหวิ่นจือหยู เริ่มปรับตัวเข้ากับชีวิตในตำหนักรัชทายาท ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับหลี่หยวนเจ๋อ ยังคงเต็มไปด้วยความเย็นชาและห่างเหิน รัชทายาทหนุ่มยังสร้างระยะห่างโดยมักจะใช้ข้ออ้างเรื่องงานเพื่อหลบหน้านาง ทั้งทำงานจนดึก หรือบางครั้งกลับมาตำหนักก็หลับไปโดยไม่สนใจถามไถ่พระชายาเลย เหวิ่นจือหยูกลายเป็นเพียงเงาในชีวิตของเขา ความเฉยเมยนั้นค่อย ๆ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ห่างไกลออกไปเรื่อย ๆแม้ไม่มีความอบอุ่นจากสามี แต่เหวิ่นจือหยูก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ของพระชายาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง นางพยายามทำตัวให้เป็นที่ยอมรับในราชสำนัก โดยการเข้าร่วมงานพิธีตามหน้าที่ โดยเฉพาะเมื่อเข้าเฝ้าฮองเฮา หยางซูเจิน ผู้ซึ่งเป็นพระมารดาขององค์รัชทายาทหลี่หยวนเจ๋อผู้เป็นพระสวามีฮองเฮาหยางซูเจินเป็นสตรีที่เฉลียวฉลาดและมีอำนาจและบทบาทสำคัญในราชสำนัก แม้ในตอนแรกนางจะจับตามองเหวิ่นจือหยูด้วยความสงสัย เพราะรู้ว่าหลี่หยวนเจ๋อไม่พอใจพระชายา แต่เมื่อได้พบปะพูดคุย ฮองเฮากลับพบความจริงที่แตกต่างออกไป นางสังเกตเห็นถึงความสงบเสงี่ยม ความอดทน และความอ่อนโยนในตัวลูกสะใภ้ ซึ่งไม่เหมือนกับคำกล่าวหาที่เคยได้ยิน
งานเลี้ยงต้อนรับพระชายาจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ณ ท้องพระโรงหลวง แขกเหรื่อมากมายจากทั่วทุกสารทิศต่างเดินทางมาร่วมเป็นสักขีพยานต่อจากการเข้าพิธีสมรสขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อและพระชายาเหวิ่นจือหยู บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงดนตรีขับกล่อมและเสียงสนทนาเจือจางเมื่อร่างสูงขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อก้าวเข้าสู่ท้องพระโรงพร้อมพระชายา ทุกสายตาต่างจับจ้องมายังทั้งคู่ทันที ความสง่างามของหลี่หยวนเจ๋อที่แผ่รัศมีความเยือกเย็น น่าเกรงขามดุจเพทพเจ้า ในขณะที่พระชายาเหวิ่นจือหยูก็ไม่ได้น้อยหน้า นางสวมอาภรณ์สีอ่อนปักลวดลายอย่างวิจิตร บ่งบอกถึงฐานะอันสูงส่ง ทุกย่างก้าวของนางเปี่ยมไปด้วยความสง่างามราวกับเทพธิดาท่ามกลางสายตาของแขกผู้ใหญ่และข้าราชบริพารที่มองมายังทั้งคู่ด้วยความชื่นชม โดยเฉพาะเหวิ่นจือหยูที่เป็นที่จับจ้องมากกว่าตาราวกับทุกสายกำลังประเมินพระชายาขององค์ชาย เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นเป็นระลอก“พระชายาช่างงามล่มเมืองจริง ๆ”“ดูเถิด นางงามสมฐานะองค์ชายยิ่งนัก”เหวิ่นจือหยูยิ้มรับทุกคำชมอย่างสงบนิ่ง นางรู้ดีว่าคำพูดเหล่านี้เป็นเพียงคำกล่าวต้อนรับ มิใช่สิ่งที่จริงใจเสมอไป อย่างไรก็ตาม นางก็ยังต้องรักษาท่า