เมื่อวิศวะกรสาวข้ามภพสู่ยุคจีนโบราณกลายเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทผู้เย็นชาเธอต้องเผชิญทั้งอำนาจเกมการเมืองในวังศัตรูที่มุ่งร้ายความรักระหว่างเธอกับองค์รัชทายาทเธอจะเอาตัวรอดในโลกที่ไม่รู้จักได้อย่างไร
Lihat lebih banyak“คุณหนู คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”
เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นข้างๆ วาดรวี เธอรู้สึกเจ็บแปลบที่หัว ราวกับว่าเธอเพิ่งฟื้นจากการบาดเจ็บครั้งใหญ่ “ที่นี่ที่ไหน” วาดรวีถามอย่างตระหนก เธอพยายามจะลุกขึ้นแต่มือของหญิงสาวในชุดจีนโบราณรีบจับเธอไว้ “คุณหนูเหวิ่นจือหยู ท่านอย่าเพิ่งลุกขึ้นนะคะ ท่านเพิ่งฟื้นจากอาการบาดเจ็บ” หญิงสาวพูดพลางเอื้อมมือไปพยุงวาดรวีให้นั่งลงอย่างระมัดระวัง “คุณหนูเหวิ่นจือหยู ” วาดรวีพึมพำกับตัวเอง ไม่ใช่ว่าเธอหลุดมาอยู่ในยุคจีนโบราณแล้วเหรอ หญิงสาวนั่งนึกถึงตัวเอง ในวันที่ฟ้าครึ้มฝน หนทางยาวเหยียดในเมืองหลวงปักกิ่งสว่างไสวด้วยแสงไฟจากรถที่สัญจรไปมา วาดรวีวิศวกรสาวผู้เต็มไปด้วยความฉลาดและความมุ่งมั่นรีบขับรถออกจากที่ทำงานหลังจากการประชุมครั้งสำคัญที่กินเวลานานเกินกว่าที่คาดไว้ เธอต้องเร่งรีบเพื่อกลับไปเช็คเอ้าท์ที่โรงแรมเพราะจะกลับประเทศไทย เธอมาเป็นตัวแทนบริษัทมานำเสนอผลงานที่ปักกิ่ง หัวใจของเธอกระวนกระวาย รถที่ขับออกไปด้วยความเร็วสูงแล่นผ่านถนนที่เริ่มชื้นจากหยาดฝนที่ตกลงมาอย่างรวดเร็ว แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อจู่ๆ รถบรรทุกคันหนึ่งก็พุ่งข้ามเลนเข้ามาหาเธอ วาดรวีพยายามหักพวงมาลัยหลบ แต่ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป เสียงเบรกดังสนั่นก้อง รถของเธอเสียการควบคุม และวินาทีต่อมาเสียงชนอันดังสนั่นก็ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นความมืด ลมหนาวพัดผ่านเนื้อตัวของวาดรวี จนเธออดสั่นไม่ได้ เธอยืนมองออกไปในหุบเขาอย่างสับสน “ที่นี่...ที่ไหนกัน” วาดรวีพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะยกมือขึ้นแตะศีรษะ รู้สึกถึงความเจ็บแปลบที่แผลจากอุบัติเหตุแต่เมื่อมองรอบตัว เธอไม่อยู่ที่โรงพยาบาล เมื่อเธอฟื้นขึ้นมากลับพบว่าตัวเองอยู่ในยุคจีนโบราณ และเธอได้พบกับหญิงสาวแต่งชุดจีนโบราณ ยืนร้องไห้อยู่ข้างๆ เธอ ที่สำคัญหน้าตาของหญิงสาวในชุดจีนโบราณนั้นเหมือนกับวาดรวียังกับฝาแฝด พอสอบถามได้ความว่า เธอชื่อ เหวิ่นจือหยู เป็นบุตรีของแม่ทัพใหญ่ผู้เป็นคู่หมั้นขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อ องค์ชายที่หล่อเหลา เยือกเย็น และเป็นที่หมายปองของสาวๆ ทั่วแคว้น โดยเฉพาะ "เหวิ่นลี่หยา" น้องสาวต่างมารดาของเธอที่ไม่เคยถูกชะตากับเธอตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และตอนนี้ก็กำลังทำทุกวิถีทางเพื่อชิงองค์ชายมาเป็นของตน และเธอก็ถูกน้องสาวต่างมารดาทำร้ายร่างกายจนตาย เธอถูกดึงมาให้อยู่ที่นี่เพื่อเจอกับวาดรวี ซึ่งคือเธอในยุคปัจจุบัน และให้วาดรวีที่เคยเป็นเธอในอดีตกลับไปแก้แค้นให้เธอด้วย ก่อนที่ทั้งคู่จะถูกลมหมุนแยกจากกัน ที่แคว้นฉิน ในอีกยุคหนึ่ง เวลานี้คุณหนูเหวิ่นจือหยูกำลังอยู่ในช่วงชีวิตที่ลำบาก นางถูกสังคมวิจารณ์ว่าไม่คู่ควรกับองค์รัชทายาทหลี่หยวนเจ๋อ ไม่ว่าทำอะไรดูเหมือนจะถูกน้องสาวของตน เหวิ่นลี่หยา หาทางทำลายชื่อเสียงตลอดเวลา เย็นวันนั้น ขณะที่เหวิ่นจือหยู กำลังเดินผ่านสวนในตำหนัก จู่ๆ นางก็รู้สึกเวียนหัวอย่างรุนแรง ก่อนที่จะรู้สึกเหมือนว่าโดนผลักจนล้มศีรษะฟาดกับก้อนหิน ก่อนที่ภาพรอบตัวจะค่อยๆ หมุนเคว้ง เสียงลมพัดผ่านหูอย่างแผ่วเบา และนางก็ล้มลงกับพื้น หัวกระแทกกับก้อนหินจนหมดสติ “คุณหนูเหวิ่นจือหยู ” วาดรวีพึมพำกับตัวเอง ไม่ใช่ว่าเธอหลุดมาอยู่ในยุคจีนโบราณแล้วเหรอ หญิงสาวนั่งนึกถึงตัวเองที่เจอกับเหวิ่นจือหยูเมื่อก่อนหน้าและสิ่งที่เธอบอก วาดรวีงุนงง แต่เมื่อมองไปยังเงาสะท้อนในกระจก เธอก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติ ตอนนี้หญิงสาวอยู่ในชุดจีนโบราณ สวมอาภรณ์สีแดงงดงาม ใบหน้าของนางมีความอ่อนช้อยงดงามแต่งแต้มไปด้วยความเศร้า เธอยกมือขึ้นแตะใบหน้าตัวเองอย่างช้าๆ “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน…นี่ฉันไม่ได้อยู่ในร่างของตัวเองใช่ไหม” วาดรวี หรือในตอนนี้คือเหวิ่นจือหยู ได้แต่มองภาพสะท้อนนั้นด้วยความรู้สึกที่ทั้งสับสนและหวาดกลัว เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และทำไมเธอถึงได้มาอยู่ในร่างของเหวิ่นจือหยู ในยุคจีนโบราณเช่นนี้ ถึงตอนนั้นเหวิ่นจือหยูที่เคยเจอจะบอกว่าเป็นเธอก็เถอะ เธอไม่อยากอยู่ที่นี่ ไม่อยากแก้แค้นอะไรนั่นเสียหน่อย แต่เธอก็ยังกลายเป็นเหวิ่นจือหยู บุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ผู้เป็นคู่หมั้นขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อ องค์ชายที่โด่งดังทั้งในด้านความสามารถและความเย็นชาใส่เธอ วาดรวีในร่างเหวิ่นจือหยูเริ่มเข้าใจสถานการณ์มากขึ้น เธอต้องใช้ชีวิตในร่างนี้และทำให้ทุกอย่างดูเป็นปกติ แต่สิ่งที่ยากที่สุดคือการเผชิญหน้ากับเหวิ่นลี่หยาน้องสาวต่างมารดาที่ดูเหมือนจะเกลียดเธอมาตั้งแต่เด็ก และตอนนี้น้องสาวคนนี้ก็กำลังทำทุกวิถีทางเพื่อแย่งชิงองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อจากเธอ ก่อนที่ความคิดจะฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ จู่ๆ มีหญิงมีอายุในชุดจีนโบราณยาวกรอมเท้า วิ่งเข้ามาหาเธออย่างเร่งรีบอีกคน “คุณหนู คุณหนูฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ” หญิงผู้นั้นตะโกนเสียงดัง น้ำตาไหลพราก เธอก้มกราบลงอย่างนอบน้อม “บ่าวดีใจนักที่คุณหนูฟื้นขึ้นมาได้” “คุณหนูของนมเจ็บตรงไหนหรือไม่เจ้าคะ” ผู้หญิงมีอายุคนนั้นยังพูดต่อ คงเป็นแม่นมของเธอซินะ “ปวด ตรงนั้นนิดหน่อยค่ะแม่นม ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ” หลังจากนั้นเธอก็ถูกแม่นมดูแลให้ดื่มสมุนไพรนั่นนี่ตามประสาคนเป็นห่วง ในวังหลวง องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อผู้ที่มีนิสัยเย็นชาและคาดหวังความสมบูรณ์แบบในทุกด้านของชีวิต รู้ดีว่าการหมั้นหมายกับเหวิ่นจือหยูเป็นเพียงการเมือง เขาไม่เคยสนใจนางมาก่อน ทั้งยังรู้ดีว่าน้องสาวของนางอย่างเหวิ่นลี่หยานั้นพยายามเข้าหาเขาอย่างมากมาย ด้วยการแสดงความอ่อนโยน หลี่หยวนเจ๋อไม่ได้เกลียดชัง แต่ก็ไม่ได้สนใจใยดี ทั้งหมดนี้สำหรับเขาเป็นเพียงเกมการเมืองเพื่อรักษาอำนาจของราชวงศ์เท่านั้น จนกระทั่งวันที่เขาได้พบกับเหวิ่นจือหยูอีกครั้งหลังจากที่นางฟื้นจากอาการบาดเจ็บ วันนี้ที่วังหยวนเหอ วาดรวีในร่างเหวิ่นจือหยูถูกเชิญมาเข้าเฝ้าองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อ หลังจากที่ทั้งสองไม่ได้พบกันมาเป็นเวลานาน เธอรู้สึกตื่นเต้นและหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน แต่ทันทีที่เธอได้พบกับเขา สายตาที่เย็นเยียบและเคร่งขรึมของเขากลับทำให้เธอรู้สึกหนาวสะท้านไปถึงกระดูก “เหวิ่นจือหยู” เขาเอ่ยเรียบๆ แต่คำพูดของเขาเต็มไปด้วยอำนาจและความกดดัน “เจ้าฟื้นแล้วหรือ” “เพคะองค์ชาย ข้า... ข้าไม่ค่อยสบายมากนัก แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว”วาดรวีพยายามตอบด้วยความสุภาพที่สุด แม้จะยังคงตกตะลึงกับความหล่อเหลาของเจ้าชายผู้เย็นชา องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อยืนนิ่ง เขาสังเกตเห็นแววตาของนางเปลี่ยนไปจากที่เคยเห็น ดูมีความเฉลียวฉลาดและไม่ใช่หญิงสาวที่โง่เง่าแต่เย่อหยิ่งนิสัยร้ายกาจอย่างแต่ก่อน “เช่นนั้นดีแล้ว” เขาตอบสั้นๆ “ข้าไม่มีเวลาสำหรับความอ่อนแอของเจ้า” "องค์ชายเพคะ ข้าได้นำผ้าชิ้นนี้มาถวายท่าน ข้าทอด้วยมือของข้าเอง" เหวิ่นลี่หยาถือกล่องผ้าไหมสวยงาม นางเดินเข้ามาหาองค์ชายหลี่หยวนเจ๋ออย่างอ่อนหวาน สายตาอ่อนโยนจ้องมองเขา หลี่หยวนเจ๋อเหลือบตามองผ้า แต่ไม่ตอบอะไร ใบหน้าของเขาเรียบเฉย เหวิ่นลี่หยากัดริมฝีปากด้วยความรู้สึกเสียหน้า แต่ยังคงพยายามพูดต่อ “หากท่านต้องการ ข้าจะทอผ้าให้ท่านทุกวัน นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ข้าได้ถวายงานให้ท่าน” แต่อย่างไรก็ตาม หลี่หยวนเจ๋อยังคงเย็นชา “ไม่จำเป็น” "แต่..." ก่อนที่เหวิ่นลี่หยาจะพูดจบ เหวิ่นจือหยูที่ยืนฟังอยู่ก็เดินเข้ามาใกล้ นางยิ้มอย่างแผ่วเบาและพูดอย่างเฉียบขาด "น้องลี่หยา ข้าคิดว่าองค์ชายคงไม่มีเวลามากนักในการสนใจผ้าทอของเจ้า เขามีราชกิจสำคัญมากกว่านั้น" เหวิ่นลี่หยามองหน้าพี่สาวของเธอด้วยความโกรธ เธอไม่คิดว่าเหวิ่นจือหยูจะกล้าท้าทายเธอแบบนี้เวลาผ่านไปความสัมพันธ์ระหว่างฮองเฮากับเหวิ่นจือหยูยิ่งแน่นแฟ้นขึ้น ฮองเฮาค่อยๆ สอนเหวิ่นจือหยูในทุกๆเรื่อง ตั้งแต่การปักผ้า การทำอาหาร การบ้านการเมือง ไปจนถึงการปฏิบัติตัวในฐานะพระชายาที่ดี เหวิ่นจือหยูซึมซับบทเรียนเหล่านี้อย่างตั้งใจ แม้บางครั้งจะรู้สึกกดดันแต่หัวใจของนางกลับอบอุ่นขึ้น นางไม่เคยได้รับความรักและคำแนะนำเช่นนี้จากใครมาก่อนในช่วงเวลาที่นั่งเรียนรู้ข้างๆ ฮองเฮา บางครั้งผู้เป็นหวงโฮ่วก็จะตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ข้ามีเจ้าก็เหมือนมีลูกสาวเพิ่มอีกคน ข้าดีใจที่ได้เจ้ามาเป็นไท่จื่อเฟย”คำพูดนั้นทำให้เหวิ่นจือหยูรู้สึกอบอุ่น นางโค้งศีรษะลงแล้วกล่าวด้วยความจริงใจ“ขอบพระทัยเพคะเสด็จแม่ หม่อมฉันจะพยายามให้มากกว่านี้เพคะ”ฮองเฮามองนางด้วยสายตาเอ็นดู นางเอื้อมมือจับมือของเหวิ่นจือหยูเบาๆ ก่อนพูดต่อ“ไม่ต้องกังวลไป เจ้าทำได้ดีแล้ว และเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบทุกอย่าง สิ่งสำคัญคือความอดทนและความตั้งใจ”คำพูดนั้นกระทบใจเหวิ่นจือหยู นางไม่เคยคิดว่าผู้สง่างามและสมบูรณ์แบบเช่นฮองเฮาเคยผ่านความยากลำบากและช่วงเวลาที่ต้องเรียนรู้เช่นนี้มาก่อน นางรู้สึกถึงความหวังและกำลังใจที่ฮองเฮามอ
ในเช้าวันรุ่งขึ้น เหวิ่นจือหยูยังคงหมกตัวอยู่ในห้องอักษร นางอ่านตำรา ขีดเขียนจดบันทึกถึงสิ่งที่นางได้ศึกษาจากตำราด้วยความตั้งใจ แม้ดวงตาจะเริ่มล้า แต่หัวใจกลับเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง ก่อนที่นางกำนัลประจำตำหนักเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ พร้อมกับค้อมตัวโค้งคำนับ“พระชายาเพคะ ฮองเฮามีรับสั่งให้ท่านไปพบที่ตำหนักหลินเฟยเพคะ”เหวิ่นจือหยูเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างแปลกใจ แม้จะอดสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดจึงถูกเรียกตัวแต่เช้า แต่ก็มิได้แสดงท่าทีกระวนกระวาย นางรวบรวมตำราให้เป็นระเบียบก่อนจะพยักหน้าให้สาวใช้เตรียมชุดให้เรียบร้อยตำหนักหลินเฟยของฮองเฮา ภายในตำหนักหลวงโอ่อ่า สง่างาม แต่แฝงไปด้วยบรรยากาศที่กดดันเพียงเล็กน้อย เหวิ่นจือหยูสูดลมหายใจเข้า พยายามรักษาท่าทีสงบ ขณะเดินตามนางกำนัลไปยังห้องรับรองที่ฮองเฮารออยู่ฮองเฮาประทับอยู่บนตั่ง ในท่วงท่าสง่างาม ดวงเนตรคมกริบทอดมองมายังเหวิ่นจือหยู แต่ภายในกลับเต็มไว้ด้วยความอ่อนโยน รอยแย้มสรวลเล็กน้อยปรากฏบนพระพักตร์“มาเถิด พระชายา มานั่งกับข้านี่มา” เสียงตรัสอ่อนโยนที่ส่งมาทำให้เหวิ
“ข้าไม่เคยถามเจ้ามาก่อน แต่ข้าอยากรู้ เจ้ารู้สึกอย่างไรกับการที่พี่สาวของเจ้ากลายมาเป็นพระชายาของข้า”เสียงขององค์รัชทายาทดังขึ้นอย่างสงบนิ่ง แต่ก็ลึกซึ้งแฝงไปด้วยความหมาย คำถามที่เหมือนจะแค่ไถ่ถามทั่วไป แต่แท้จริงแล้วมันคืออะไรเหวิ่นลี่หยาเผลอเบิกตากว้างไปชั่วขณะ แต่ก็รีบก้มหน้าลงเพื่อซ่อนความรู้สึกที่ตื่นตระหนกของตน นางบังคับตัวเองให้ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมององค์รัชทายาทด้วยแววตาอ่อนหวาน“หม่อมฉันยินดีกับพี่จือหยู เพคะ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ปั้นให้จริงใจ และเต็มไปด้วยความยินดีนางทอดถอนใจเบา ๆ ก่อนจะกล่าวต่อ “พี่จือหยูนั้น ถึงแม้นางจะนิสัยร้ายกาจ ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ แต่นางก็สมควรได้รับมันอยู่แล้วเพคะ เพราะนางเป็นบุตรสาวของฮูหยินใหญ่ ต่างจากหม่อมฉัน ที่เป็นเพียงลูกอนุภรรยา”คำพูดของนางเต็มไปด้วยความน้อยใจ รู้สึกว่าโชคชะตาไม่ยุติธรรมกับตนเอง หลี่หยวนเจ๋อจ้องมองนางนิ่งไม่พูดแทรกแม้แต่น้อยเหวิ่นลี่หยาเห็นเขาเงียบไป นางเข้าใจว่าเขากำลังครุ่นและคิดตามที่ตนต้องการ จึงก้าวเข้าไปใกล้ น้ำเสียงของนางอ่อนหวานลง“องค์รัชทายาทเพคะ ท่านเองก็ทรงทราบดีมิใช่หรือเพคะ ว่าพี่จือหย
ยามบ่ายนั้นเงียบสงบ มีเพียงเสียงขนนกกระเรียนขีดเขียนลงบนกระดาษ เหวิ่นจือหยูยังคงหมกตัวอยู่ในห้องอักษร ท่ามกลางตำราโบราณที่เปิดกางอยู่เต็มโต๊ะ นางก้มหน้าจดจ่อกับตัวอักษรจีนโบราณที่เรียงรายอยู่บนกระดาษ ขณะวาดแบบแผนของสถาปัตยกรรมจีนยุคโบราณอย่างพิถีพิถันแม้การออกแบบและคำนวณเชิงโครงสร้างจะเป็นสิ่งที่คุ้นเคยสำหรับตอนเป็นวาดรวี แต่สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจคือ นางสามารถอ่านและเขียนภาษาจีนโบราณได้อย่างคล่องแคล่ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้ นางไม่มีพื้นฐานความรู้นี้เลยแม้แต่น้อย“หรือว่านี่จะเป็นพรจากการที่ข้ามาอยู่ในร่างนี้” เหวิ่นจือหยูพึมพำกับตัวเอง ขณะที่ลากเส้นบาง ๆ ลงบนกระดาษอย่างไตร่ตรอง ในขณะเดียวกัน นางก็ใช้ภาษาที่คุ้นเคยที่สุด ภาษาอังกฤษ จารึกตัวอักษรเล็ก ๆ กำกับลงไปในจุดสำคัญของแผนผัง เพื่อให้มั่นใจว่าความคิดของตนจะปลอดภัยจากสายตาผู้อื่นความปรารถนาที่จะใช้ความรู้ด้านวิศวกรรมและการออกแบบของตนเพื่อปรับปรุงตำหนักหรืออาคารบางแห่งในวังให้ดีขึ้น ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นภายในใจ นี่อาจเป็นสิ่งเดียวที่เชื่อมโยงนางเข้ากับโลกเดิม และอาจเป็นก้าวแรกที่ทำให้นางสามารถยืนหยัดอยู่ในโลกใบใหม่นี้ได้โดยไม่สูญเสีย
“แล้วเจ้าได้เรียนรู้เรื่องการทำอาหารหรือการบ้านการเรือนไปบ้างหรือไม่”คำถามของฮองเฮาทำให้เหวิ่นจือหยูนิ่งไปชั่วขณะ ในนามของวาดรวี นางเป็นวิศวกรที่เคยชินกับการใช้ชีวิตสมัยใหม่ ไม่เคยสนใจเรื่องงานบ้านหรือการทำอาหารมาก่อน แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ ในสถานะพระชายาในราชสำนักทำให้นางรู้ดีว่านี่เป็นคุณสมบัติสำคัญของสตรีในราชวงศ์“เอ่อ หม่อมฉันยังคงเรียนรู้เรื่องเหล่านั้นอยู่เพคะ” เหวิ่นจือหยูตอบอย่างระมัดระวัง พยายามควบคุมน้ำเสียงให้นิ่งที่สุดฮองเฮาทรงยิ้มบาง รอยยิ้มของพระนางเต็มไปด้วยความเมตตา “ไม่ต้องกังวลไป การเป็นพระชายาเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาเรียนรู้ หากเจ้าต้องการ ข้าก็ยินดีจะช่วยสอน”คำพูดนั้นทำให้เหวิ่นจือหยูยิ้มออกมาเล็กน้อย แม้ภายในใจยังรู้สึกประหม่าก็ตาม “ขอบพระทัย ที่เมตตาหม่อมฉันเพคะ”ฮองเฮาทรงยิ้มก่อนที่จะหันไปทางข้าหลวงและสั่งให้จัดเตรียมวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร “ข้าคิดว่าเรามาเริ่มเรียนรู้จากสิ่งเล็ก ๆ ก่อนแล้วกัน วันนี้เราจะทำอาหารกัน ข้าจะสอนเจ้าเกี่ยวกับวิธีการทำอาหารบางอย่างที่ง่าย ๆ แต่เหมาะสมสำหรับการเป็นแม่ศรีเรือน อาจช่วยให้เจ้าเข้าใจความสำคัญของการดูแลบ้านเรือนยิ่งข
หวิ่นจือหยูใช้เวลาหมกตัวอยู่ในห้องอักษรแทบทุกวัน นางจมอยู่กับตำราจีนโบราณที่กองสูงเต็มโต๊ะ เสียงแผ่วเบาของกระดาษที่ถูกพลิก และเสียงพู่กันลากไปบนกระดาษคือเพียงสิ่งเดียวที่ขับกล่อมห้องที่เงียบสงบนี้“ถ้าจะอยู่ที่นี่ เราต้องเข้าใจมันให้มากที่สุด” นางพึมพำกับตัวเอง พลางจรดพู่กันลงบันทึกข้อสังเกตเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้ไม่มีใครอ่านออก นางไม่ได้ศึกษาเพียงเพื่อความรู้ แต่กำลังวิเคราะห์กลไกสังคมยุคนี้ เพื่อหาทางเอาตัวรอดและอาจพลิกสถานการณ์ให้เป็นประโยชน์ในอนาคตแม้จะมีหน้าที่ในฐานะพระชายาที่ต้องรับผิดชอบ แต่ในแต่ละวันเหวิ่นจือหยูกลับเลือกที่จะอยู่เงียบๆ ในห้องอักษร มากกว่าจะไปปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นหลี่หยวนเจ๋อหรือเหล่าข้ารับใช้คนอื่นๆหลี่หยวนเจ๋อเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของพระชายา นางไม่เอาแต่ติดตามเขาเหมือนแต่ก่อน ไม่พยายามเรียกร้องความสนใจ และไม่แม้แต่จะปรากฏตัวในช่วงเวลาที่นางสมควรอยู่เคียงข้างเขา“แปลกจริง นางกำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่” เขาครุ่นคิดในใจ แม้ภายนอกจะดูสงบนิ่ง แต่นัยน์ตาของเขาแฝงความระแวงอยู่เสมอ แม้จะไม่เชื่อว่านางจะเปลี่ยนไปโดยไม่มีเหตุผล แต่เขาก็เลือกที่จะเ
ภาพของ เหวิ่นจือหยู ที่นั่งสงบนิ่งอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือด้วยความตั้งใจ ช่างขัดแย้งกับสิ่งที่เหวิ่นลี่หยาเคยบอกเขาไว้โดยสิ้นเชิง นางไม่ได้ดูเป็นคนที่ใส่ใจแต่เรื่องการแต่งกายหรือหลงใหลในความหรูหราอย่างที่เขาเคยได้ยินมาเลยหลี่หยวนเจ๋อ นึกถึงคำพูดของเหวิ่นลี่หยาที่เคยบอกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า“พี่จือหยูของข้า นิสัยหยิ่งยโส สนใจแต่ความงามของตนเอง ไม่เคยสนใจการบ้านการเรือน องค์ชายคงไม่ชอบหรอก หากต้องอยู่กับนาง”เหวิ่นลี่หยาพูดเหมือนรู้จักพี่สาวของนางดี แต่สิ่งที่เขาเห็นในตอนนี้กลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิงเหวิ่นจือหยูที่นั่งตรงหน้าดูสงบนิ่ง เรียบง่าย และเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น นางไม่ได้หยิ่งผยอง เกรี้ยวกราด หรือสนใจแต่เปลือกนอกอย่างที่เหวิ่นลี่หยาเล่าให้ฟัง ความสงสัยเริ่มก่อตัวขึ้นในใจเขาหรือเขาอาจเข้าใจนางผิดไปโดยสิ้นเชิง“เจ้าชอบอ่านตำราหรือ” น้ำเสียงของเขาเปี่ยมด้วยความสงสัยเหวิ่นจือหยูเงยหน้าขึ้นจากตำรา ดวงตาคู่นั้นมองตรงมาราวกับท้าทายให้เขาคิดให้ถี่ถ้วน“ท่านคิดว่าอย่างไรเพคะ ได้ยินอะไรมาล่ะ”คำถามกลับยิ่งทำให้หลี่หยวนเจ๋อรู้สึกสะอึกเล็กน้อย เขาพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา “ข้าไม่ค
ในช่วงเวลาที่ เหวิ่นจือหยู เริ่มปรับตัวเข้ากับชีวิตในตำหนักรัชทายาท ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับหลี่หยวนเจ๋อ ยังคงเต็มไปด้วยความเย็นชาและห่างเหิน รัชทายาทหนุ่มยังสร้างระยะห่างโดยมักจะใช้ข้ออ้างเรื่องงานเพื่อหลบหน้านาง ทั้งทำงานจนดึก หรือบางครั้งกลับมาตำหนักก็หลับไปโดยไม่สนใจถามไถ่พระชายาเลย เหวิ่นจือหยูกลายเป็นเพียงเงาในชีวิตของเขา ความเฉยเมยนั้นค่อย ๆ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ห่างไกลออกไปเรื่อย ๆแม้ไม่มีความอบอุ่นจากสามี แต่เหวิ่นจือหยูก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ของพระชายาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง นางพยายามทำตัวให้เป็นที่ยอมรับในราชสำนัก โดยการเข้าร่วมงานพิธีตามหน้าที่ โดยเฉพาะเมื่อเข้าเฝ้าฮองเฮา หยางซูเจิน ผู้ซึ่งเป็นพระมารดาขององค์รัชทายาทหลี่หยวนเจ๋อผู้เป็นพระสวามีฮองเฮาหยางซูเจินเป็นสตรีที่เฉลียวฉลาดและมีอำนาจและบทบาทสำคัญในราชสำนัก แม้ในตอนแรกนางจะจับตามองเหวิ่นจือหยูด้วยความสงสัย เพราะรู้ว่าหลี่หยวนเจ๋อไม่พอใจพระชายา แต่เมื่อได้พบปะพูดคุย ฮองเฮากลับพบความจริงที่แตกต่างออกไป นางสังเกตเห็นถึงความสงบเสงี่ยม ความอดทน และความอ่อนโยนในตัวลูกสะใภ้ ซึ่งไม่เหมือนกับคำกล่าวหาที่เคยได้ยิน
งานเลี้ยงต้อนรับพระชายาจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ณ ท้องพระโรงหลวง แขกเหรื่อมากมายจากทั่วทุกสารทิศต่างเดินทางมาร่วมเป็นสักขีพยานต่อจากการเข้าพิธีสมรสขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อและพระชายาเหวิ่นจือหยู บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงดนตรีขับกล่อมและเสียงสนทนาเจือจางเมื่อร่างสูงขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อก้าวเข้าสู่ท้องพระโรงพร้อมพระชายา ทุกสายตาต่างจับจ้องมายังทั้งคู่ทันที ความสง่างามของหลี่หยวนเจ๋อที่แผ่รัศมีความเยือกเย็น น่าเกรงขามดุจเพทพเจ้า ในขณะที่พระชายาเหวิ่นจือหยูก็ไม่ได้น้อยหน้า นางสวมอาภรณ์สีอ่อนปักลวดลายอย่างวิจิตร บ่งบอกถึงฐานะอันสูงส่ง ทุกย่างก้าวของนางเปี่ยมไปด้วยความสง่างามราวกับเทพธิดาท่ามกลางสายตาของแขกผู้ใหญ่และข้าราชบริพารที่มองมายังทั้งคู่ด้วยความชื่นชม โดยเฉพาะเหวิ่นจือหยูที่เป็นที่จับจ้องมากกว่าตาราวกับทุกสายกำลังประเมินพระชายาขององค์ชาย เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นเป็นระลอก“พระชายาช่างงามล่มเมืองจริง ๆ”“ดูเถิด นางงามสมฐานะองค์ชายยิ่งนัก”เหวิ่นจือหยูยิ้มรับทุกคำชมอย่างสงบนิ่ง นางรู้ดีว่าคำพูดเหล่านี้เป็นเพียงคำกล่าวต้อนรับ มิใช่สิ่งที่จริงใจเสมอไป อย่างไรก็ตาม นางก็ยังต้องรักษาท่า
Komen