วันที่เหวิ่นจือหยูต้องเตรียมตัวสำหรับพิธีแต่งงานมาถึงแล้ว ทั่วทั้งจวนเต็มไปด้วยบรรยากาศของการเฉลิมฉลอง ทุกคนล้วนตื่นเต้นและยินดีกับคุณหนูใหญ่ คนรับใช้ต่างเร่งรีบเตรียมข้าวของและจัดเตรียมทุกอย่างอย่างลุล่วง ถึงแม้ว่าหลายคนยังคงหวั่นกลัวกับความโมโหร้ายที่เคยได้ยินเกี่ยวกับคุณหนูจือหยู แต่ในช่วงหลังพวกเขาก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนและความนุ่มนวลที่เธอแสดงออกมา ทำให้บรรยากาศในจวนดูอบอุ่นและเป็นมิตรขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนต่างยินดีที่ได้เข้ามารับใช้คุณหนูใหญ่ของจวน
ในห้องแต่งตัว เหวิ่นจือหยูนั่งอยู่หน้ากระจกขนาดใหญ่ สาวใช้สามคนช่วยกันจัดแต่งเส้นผมของนางอย่างพิถีพิถัน พวกนางตกแต่งเครื่องประดับทองคำและหยกบนศีรษะของคุณหนูอย่างประณีต ชุดแต่งงานที่นางสวมเป็นชุดฮั่นฝูสีแดงสดที่งดงามยิ่งนัก ลวดลายหงส์ที่ปักด้วยด้ายทองเปล่งประกายสะท้อนแสง ทุกอย่างล้วนบ่งบอกถึงความสูงส่งของฐานะว่าที่พระชายา เหวิ่นจือหยูมองตัวเองในกระจก เธอแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงนั้นคือเหวิ่นจือหยูที่เคยมีชื่อเสียงเลวร้ายเมื่อไม่นานมานี้จริงหรือ นางยิ้มเบาๆ ให้กับตัวเอง ความรู้สึกหลากหลายปะทุขึ้นในใจ ทั้งความกลัวและความหวังที่ปะปนกัน “คุณหนู” เสียงของอี้เหมยสาวใช้คนสนิท ดังขึ้นเบาๆ “วันนี้ท่านงดงามมากจริงๆ เจ้าคะ เหมือนองค์หญิงในฝันเลย” เหวิ่นจือหยูยิ้มรับ ถึงแม้จะรู้สึกดีที่ได้รับคำชม แต่ความงามภายนอกอาจไม่สำคัญเท่ากับการพิสูจน์ตัวเองในวันข้างหน้า การทำให้องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อยอมรับในตัวนางได้นั้นย่อมเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าใดๆ ชีวิตหลังแต่งงานยังไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นใด ขณะที่นางนั่งครุ่นคิด เสียงฝีเท้าของผู้มาใหม่ดังขึ้น นางเหลือบมองผ่านกระจก ก็พบว่าเป็นน้องสาวต่างมารดา เดินเข้ามาในห้อง ใบหน้าของเหวิ่นลี่หยาดูสวยงามเช่นเคย นางสวมใส่ชุดผ้าไหมเนื้อดีสีชมพูอ่อน แต่อย่างที่เคยเป็นมา เหวิ่นลี่หยาไม่ได้มาพร้อมกับคำอวยพรใดๆ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยอิจฉาและความขุ่นเคืองที่เก็บซ่อนเอาไว้ “พี่จือหยู” เหวิ่นลี่หยากล่าวเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่มีแต่ความเสแสร้ง “ข้าต้องยอมรับว่าวันนี้พี่งดงามมากจริงๆ” คำชมของเหวิ่นลี่หยาแม้จะฟังดูจริงใจ แต่วาดรวีรู้ดีว่าเบื้องหลังคำพูดเหล่านั้นมีนัยที่เจ็บปวดไม่ต้องการให้นางมีความสุข เหวิ่นลี่หยานั้นแอบชอบองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อมานาน การที่เหวิ่นจือหยูได้กลายเป็นพระชายาขององค์ชาย ทำให้เหวิ่นลี่หยาไม่สามารถปิดบังความอิจฉาริษยาได้ เหวิ่นจือหยูมองหน้าน้องสาวอย่างใจเย็น แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ขอบใจเจ้ามาก ลี่หยา” เหวิ่นลี่หยาจ้องมองใบหน้างดงามของคนเป็นพี่อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะก้าวเข้ามาใกล้มากขึ้น สาวใช้ที่อยู่ในห้องเงียบกริบไปหมด ขณะที่คุณหนูคนเล็กก้มลงมาพูดกับพี่สาวด้วยเสียงที่เบาลง “แม้ว่าพี่จะได้แต่งงานกับองค์ชาย แต่ข้าเชื่อว่าความรู้สึกของพระองค์ไม่ได้เปลี่ยนไป พี่เองก็รู้ดีว่าเขายังไม่ยอมรับพี่ ข้าสงสัยว่าพี่จะรักษาสถานะพระชายาไว้ได้อย่างไร ถ้าเขายังไม่รักพี่” คำพูดของน้องสาวที่ไม่เคยประสงค์ดีมันช่างเจ็บแสบเหมือนเข็มทิ่มแทง แต่เหวิ่นจือหยูก็ยังคงเก็บอารมณ์ของตัวเองไว้ นางรู้ดีว่าไม่ควรตอบโต้ เพื่อไม่ให้สถานการณ์แย่ลง นางสูดหายใจลึกและตอบกลับอย่างสงบ “เจ้าพูดถูก น้องข้า” เหวิ่นจือหยูยอมรับอย่างเปิดเผย “เขายังไม่รักข้า และข้าเองก็ไม่คาดหวังว่าจะได้รับความรักในทันที แต่เชื่อเถอะหญิงชายอยู่ด้วยกันในฐานะสามีภรรยากัน สักวันความใกล้ชิดนั้นก็จะทำให้รักกันจนได้ ยิ่งอยู่กับหญิงที่งดงามอย่างข้าแล้ว บุรุษอย่างองค์ชายต่อให้ใจเเข็งแค่ก็คงไม่อาจรอดพ้นได้ เจ้าว่าไหม” เหวิ่นลี่หยาฟังคำตอบของพี่สาวด้วยความไม่พอใจ นางไม่คาดคิดว่าเหวิ่นจือหยูจะสงบและมั่นคงเช่นนี้ ยิ่งนางเห็นพี่สาวที่นางเคยดูถูกเปลี่ยนไป นางก็ยิ่งหงุดหงิด “เราจะได้เห็นกัน” เหวิ่นลี่หยากล่าวด้วยความหงุดหงิด ก่อนที่จะหมุนตัวออกจากห้องไป เหวิ่นจือหยูมองตามหลังน้องสาวด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย นางรู้ว่าความอิจฉาของเหวิ่นลี่หยาจะเป็นอีกหนึ่งอุปสรรคที่นางต้องเผชิญ แต่สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการเตรียมตัวสำหรับพิธีแต่งงานที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เมื่อเหล่าสาวใช้จัดเตรียมเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับเสร็จแล้ว เหวิ่นจือหยูก็มองตัวเองในกระจกอีกครั้ง นางหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกความมั่นใจกลับคืนมา วันนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ นางสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ปล่อยให้ใครหรือสิ่งใดมาขัดขวางการเริ่มต้นใหม่นี้ได้ ในขณะเดียวกันที่ห้องบรรทมขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อ บรรยากาศภายในเงียบสงบ แม้จะเป็นวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา แต่องค์ชายกลับรู้สึกไร้ความตื่นเต้นใดๆ “ข้าจะต้องแต่งงานกับนางจริงๆ หรือนี่”เขาพึมพำกับตัวเอง หลี่หยวนเจ๋อยืนอยู่ที่ริมหน้าต่างห้องบรรทมของตน เขามองออกไปยังท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง สายลมอ่อนๆ พัดผ่านเข้ามาทำให้ม่านบางเบาโบกสะบัดเล็กน้อย บรรยากาศรอบตัวเงียบสงบ ขัดกับความวุ่นวายภายนอกที่เกิดขึ้นจากการเตรียมงานแต่งงาน ร่างสูงสง่ายืนทอดถอนใจ ความรู้สึกอึดอัดที่เกิดขึ้นจากการต้องทำตามรับสั่งของฮ่องเต้โดยที่ไม่สามารถขัดขืนได้แม้ว่าจะไม่เต็มใจ “ข้าต้องแต่งงานกับเหวิ่นจือหยู ผู้หญิงที่เอาแต่ใจและร้ายกาจ ข้าไม่อยากจะเชื่อว่าโชคชะตาจะเล่นตลกกับข้าถึงเพียงนี้” หลี่หยวนเจ๋อคิดในใจขณะที่คิ้วขมวดแน่น แต่ถึงแม้เขาจะรู้สึกเช่นนั้น หลี่หยวนเจ๋อก็รู้ดีว่าตนไม่สามารถหลีกเลี่ยงการแต่งงานครั้งนี้ได้ คำสั่งของฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักร การปฏิเสธไม่ใช่ทางเลือก เขาต้องเดินไปตามเส้นทางที่ถูกกำหนดให้ แม้จะเป็นเส้นทางที่เขาไม่ต้องการก็ตาม “องค์ชาย ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว” เสียงกงกงดังขึ้นจากด้านนอกประตู “อีกไม่นานท่านจะต้องไปที่ท้องพระโรงเพื่อเริ่มพิธี” องค์ชายเพียงแต่พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกจากห้องบรรทมไป พร้อมกับความหนักอึดในใจที่ยังคงมี ที่จวนของตระกูลเหวิ่น เหวิ่นจือหยูยืนอยู่หน้ากระจกอีกครั้ง สายตาของนางจับจ้องไปที่ตัวเองในชุดแต่งงานสีแดงอันงดงาม ท่ามกลางความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด นางพยายามสูดหายใจลึก เพื่อให้ใจสงบ พยายามมองตัวเองเป็นสตรีที่สามารถรับมือกับทุกสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น วันนี้นางไม่ได้เป็นเพียงคุณหนูเหวิ่นจือหยูธรรมดาอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นพระชายาขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อ หัวใจของนางเต็มไปด้วยความกดดัน “คุณหนู เหลือเวลาอีกไม่นานนะเจ้าคะ” อี้เหมยพูดพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนและชื่นชม เหวิ่นจือหยูพยักหน้า ก่อนจะค่อยๆ เดินออกจากห้อง พร้อมกับอี้เหมยสาวใช้ส่วนตัวที่ติดตามเธอไป ทุกย่างก้าวของนางเต็มไปด้วยความหนักอึ้ง ไม่ใช่เพราะชุดที่สวมใส่ แต่มาจากภาระในใจที่นางต้องแบกรับ นางรู้ดีว่าตนเองยังไม่ได้รับความเชื่อถือจากหลี่หยวนเจ๋อ และอาจจะไม่ได้รับความรักเช่นกัน แต่เหวิ่นจือหยูก็ตัดสินใจว่าจะไม่ยอมแพ้แสงตะวันอ่อนยามเช้าทอประกายผ่านม่านผ้าไหมที่พาดยาวในท้องพระโรง ขบวนขันหมากจากตระกูลเหวิ่นเรียงรายเป็นระเบียบ บรรยากาศเคร่งขรึมแต่แฝงความสง่างาม เหวิ่นจือหยูค่อยๆ ก้าวเดินเข้ามาในท้องพระโรงอย่างช้าๆ องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อเงยหน้าขึ้นเมื่อเสียงขันทีประกาศถึงการมาถึงของเจ้าสาว ในนาทีนั้นเองที่เขาเห็นเหวิ่นจือหยูในชุดแต่งงานสีแดงเพลิงปักลายหงส์ทองงดงาม เครื่องประดับบนศีรษะสะท้อนแสงจนวิบวับ ทุกอิริยาบถของนางแสดงถึงความสงบและสง่างาม หลี่หยวนเจ๋ออดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะดุดตา เขาเคยได้ยินชื่อเสียงของเหวิ่นจือหยูมามากมาย ในแง่ร้ายเสียส่วนใหญ่ แต่ในวันนี้ ภาพที่ปรากฏตรงหน้าเขาแตกต่างไปจากที่เคยรับรู้ “คิดไม่ถึงเลยว่านางจะดูเป็นผู้ใหญ่ถึงเพียงนี้”ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจของหลี่หยวนเจ๋อ แต่ทันใดนั้น ความไม่พอใจที่ถูกบังคับให้แต่งงานกับสตรีที่เขาไม่ได้รักก็กลับมาท่วมท้นในจิตใจ เมื่อถึงเวลาพิธี เสียงขลุ่ยและฆ้องดังขึ้นก้องไปทั่วท้องพระโรง เป็นสัญญาณเริ่มพิธีแต่งงานขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อและคุณหนูเหวิ่นจือหยู เหล่าข้าราชบริพารต่างพากันเฝ้ามองด้วยความชื่นชมในความขลังและความ
หลังจากที่องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อก้าวออกจากห้องหอ เหวิ่นจือหยูนั่งอยู่เพียงลำพังในความเงียบงัน แสงเทียนริบหรี่ในห้องที่เต็มไปด้วยการตกแต่งสีแดงชวนให้นึกถึงพิธีมงคลสมรสที่เพิ่งผ่านพ้นไป แต่นางกลับรู้สึกเหมือนถูกทิ้งไว้ในโลกที่เย็นเยียบและว่างเปล่า มือเรียวยกขึ้นแตะที่แก้ม รอยสัมผัสจากวันนี้ยังคงหลงเหลืออยู่ แต่หัวใจกลับหนักอึ้งไปด้วยความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ“ข้าต้องอดทนแค่ไหนกัน ถึงจะพิสูจน์ให้เขาเห็นได้ว่าข้ามิใช่คนเดิมอีกต่อไป” นางพึมพำกับตัวเองเบาๆ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เหวิ่นจือหยูลุกขึ้นเรียกนางกำนัลเข้ามาเพื่อเตรียมน้ำอุ่นในห้องอาบน้ำตามธรรมเนียมการแต่งงาน “อี้เหมย ช่วยเตรียมน้ำอุ่นให้ข้าด้วย ข้าต้องการอาบน้ำผ่อนคลายเสียหน่อย”“คุณหนูเจ้าคะ เอ่อ ขอประทานอภัยเพคะพระชายา น้ำอุ่นเตรียมพร้อมแล้ว เชิญพระชายาอาบน้ำได้เลยเพคะ” อี้เหมยที่ตอนนี้ได้กลายมาเป็นนางกำนัลคนสนิทพูดพร้อมกับก้มหน้าลงด้วยความเคารพ เหวิ่นจือหยูพยักหน้ารับเบา ๆ ก่อนจะเดินตามนางไปยังห้องอาบน้ำที่ตกแต่งด้วยโทนสีอ่อนละมุนเมื่อเดินเข้าสู่ห้องอาบน้ำ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสมุนไพรและดอกไม้ลอย
ในค่ำคืนต่อมาควรเป็นคืนที่อบอุ่นของคู่สมรสใหม่ ทว่าในห้องหอแห่งนี้กลับมีเพียงความเย็นชา หลี่หยวนเจ๋อและเหวิ่นจือหยูต่างฝ่ายต่างเงียบ ไม่ค่อยพูดจากันมากนัก แม้ทั้งคู่จะต้องใช้ห้องนอนเดียวกันตามธรรมเนียม แต่บรรยากาศระหว่างพวกเขากลับเต็มไปด้วยความตึงเครียดที่หลี่หยวนเจ๋อก่อขึ้นหลี่หยวนเจ๋อรักษาท่าทีเย็นชาของเขา บนใบหน้าหล่อเหลาไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ นัยน์ตาคมกริบมองผ่านพระชายาไป ราวกับว่านางไม่ได้อยู่ตรงนั้น แม้จะอยู่ใกล้กันขนาดนี้ แต่เขาทำเหมือนมีม่านบางๆ กั้น ที่ทำให้มองไม่เห็นเหวิ่นจือหยู มือข้างหนึ่งของเขาปลดชุดคลุมออกอย่างไม่รีบร้อน “พักผ่อนเสียเถิด” น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่งจนแทบจะไร้ความรู้สึก ก่อนจะหันเดินไปยังมุมเตียงที่เขาจัดไว้สำหรับตนเองแล้วเอนกายลงนอนหันหลัง ในความมืดเขาหลับตาลงอย่างสงบนิ่ง ไม่ได้สนทนาหรือถามไถ่ใด ๆ กับพระชายาต่อ หรือไม่แม้แต่จะหันกลับมามองนางว่าทำอะไรอยู่ ราวกับประกาศอย่างชัดเจนว่า แม้พวกเขาจะเป็นคู่สมรสกันแล้ว แต่ในความรู้สึกของเขา นางยังไม่มีตัวตน ยังเป็นเพียงคนนอก เหวิ่นจือหยูมองแผ่นหลังขององค์ชายผู้เป็นคู่สมรส เขานอนนิ่งสนิทอยู่ในความมืดมีเพียงเสีย
หลังจากเตรียมตัวเสร็จสิ้น เหวิ่นจือหยูเดินไปยังลานกลางของตำหนัก เพื่อรอไปที่งานพิธีรับพระชายา นางรู้สึกตึงเครียดและกังวลเล็กน้อย เพราะต้องเผชิญหน้ากับเหล่าเชื้อพระวงศ์เครือญาติของหลี่หยวนเจ๋อ แขกต่างแคว้น รวมถึงผู้คนมากมายที่มาร่วมงาน นางต้องพยายามวางเหมาะสมกับตำแหน่งพระชายาท่ามกลางลานกว้างหน้าตำหนัก บรรยากาศเงียบสงัด มีเพียงสายลมอ่อน ๆ พัดผ่าน หลี่หยวนเจ๋อยืนรออยู่ที่นั่น สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉย แม้ในใจจะรู้สึกไม่สบอารมณ์นักที่ต้องเสียเวลารอพระชายา แต่เมื่อเขาได้ยินเสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง ร่างสูงสง่าก็หันไปมองโดยไม่คิดอะไรดวงตาคมกริบที่เคยเย็นชาเผลอไหววูบไปชั่วขณะ เมื่อภาพตรงหน้าปรากฏขึ้นเหวิ่นจือหยูในอาภรณ์สีอ่อนเรียบง่าย ทว่ากลับขับเน้นความงามอ่อนหวานของนางจนไม่อาจละสายตา เส้นผมยาวดำขลับถูกรวบเกล้าและปักด้วยปิ่นอย่างประณีต ใบหน้านวลผ่องยามต้องแสงแดด ทำให้ดูงดงามราวกับเทพธิดาที่ก้าวลงมาจากภาพวาดเขาเผลอชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะรีบเก็บอาการ ใบหน้ากลับมานิ่งเฉยอีกครั้งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหวิ่นจือหยูสังเกตเห็นสายตาของเขา นางไม่แน่ใจว่านั่นเป็นเพียงภาพลวงตาหร
งานเลี้ยงต้อนรับพระชายาจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ณ ท้องพระโรงหลวง แขกเหรื่อมากมายจากทั่วทุกสารทิศต่างเดินทางมาร่วมเป็นสักขีพยานต่อจากการเข้าพิธีสมรสขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อและพระชายาเหวิ่นจือหยู บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงดนตรีขับกล่อมและเสียงสนทนาเจือจางเมื่อร่างสูงขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อก้าวเข้าสู่ท้องพระโรงพร้อมพระชายา ทุกสายตาต่างจับจ้องมายังทั้งคู่ทันที ความสง่างามของหลี่หยวนเจ๋อที่แผ่รัศมีความเยือกเย็น น่าเกรงขามดุจเพทพเจ้า ในขณะที่พระชายาเหวิ่นจือหยูก็ไม่ได้น้อยหน้า นางสวมอาภรณ์สีอ่อนปักลวดลายอย่างวิจิตร บ่งบอกถึงฐานะอันสูงส่ง ทุกย่างก้าวของนางเปี่ยมไปด้วยความสง่างามราวกับเทพธิดาท่ามกลางสายตาของแขกผู้ใหญ่และข้าราชบริพารที่มองมายังทั้งคู่ด้วยความชื่นชม โดยเฉพาะเหวิ่นจือหยูที่เป็นที่จับจ้องมากกว่าตาราวกับทุกสายกำลังประเมินพระชายาขององค์ชาย เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นเป็นระลอก“พระชายาช่างงามล่มเมืองจริง ๆ”“ดูเถิด นางงามสมฐานะองค์ชายยิ่งนัก”เหวิ่นจือหยูยิ้มรับทุกคำชมอย่างสงบนิ่ง นางรู้ดีว่าคำพูดเหล่านี้เป็นเพียงคำกล่าวต้อนรับ มิใช่สิ่งที่จริงใจเสมอไป อย่างไรก็ตาม นางก็ยังต้องรักษาท่า
ในช่วงเวลาที่ เหวิ่นจือหยู เริ่มปรับตัวเข้ากับชีวิตในตำหนักรัชทายาท ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับหลี่หยวนเจ๋อ ยังคงเต็มไปด้วยความเย็นชาและห่างเหิน รัชทายาทหนุ่มยังสร้างระยะห่างโดยมักจะใช้ข้ออ้างเรื่องงานเพื่อหลบหน้านาง ทั้งทำงานจนดึก หรือบางครั้งกลับมาตำหนักก็หลับไปโดยไม่สนใจถามไถ่พระชายาเลย เหวิ่นจือหยูกลายเป็นเพียงเงาในชีวิตของเขา ความเฉยเมยนั้นค่อย ๆ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ห่างไกลออกไปเรื่อย ๆแม้ไม่มีความอบอุ่นจากสามี แต่เหวิ่นจือหยูก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ของพระชายาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง นางพยายามทำตัวให้เป็นที่ยอมรับในราชสำนัก โดยการเข้าร่วมงานพิธีตามหน้าที่ โดยเฉพาะเมื่อเข้าเฝ้าฮองเฮา หยางซูเจิน ผู้ซึ่งเป็นพระมารดาขององค์รัชทายาทหลี่หยวนเจ๋อผู้เป็นพระสวามีฮองเฮาหยางซูเจินเป็นสตรีที่เฉลียวฉลาดและมีอำนาจและบทบาทสำคัญในราชสำนัก แม้ในตอนแรกนางจะจับตามองเหวิ่นจือหยูด้วยความสงสัย เพราะรู้ว่าหลี่หยวนเจ๋อไม่พอใจพระชายา แต่เมื่อได้พบปะพูดคุย ฮองเฮากลับพบความจริงที่แตกต่างออกไป นางสังเกตเห็นถึงความสงบเสงี่ยม ความอดทน และความอ่อนโยนในตัวลูกสะใภ้ ซึ่งไม่เหมือนกับคำกล่าวหาที่เคยได้ยิน
ภาพของ เหวิ่นจือหยู ที่นั่งสงบนิ่งอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือด้วยความตั้งใจ ช่างขัดแย้งกับสิ่งที่เหวิ่นลี่หยาเคยบอกเขาไว้โดยสิ้นเชิง นางไม่ได้ดูเป็นคนที่ใส่ใจแต่เรื่องการแต่งกายหรือหลงใหลในความหรูหราอย่างที่เขาเคยได้ยินมาเลยหลี่หยวนเจ๋อ นึกถึงคำพูดของเหวิ่นลี่หยาที่เคยบอกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า“พี่จือหยูของข้า นิสัยหยิ่งยโส สนใจแต่ความงามของตนเอง ไม่เคยสนใจการบ้านการเรือน องค์ชายคงไม่ชอบหรอก หากต้องอยู่กับนาง”เหวิ่นลี่หยาพูดเหมือนรู้จักพี่สาวของนางดี แต่สิ่งที่เขาเห็นในตอนนี้กลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิงเหวิ่นจือหยูที่นั่งตรงหน้าดูสงบนิ่ง เรียบง่าย และเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น นางไม่ได้หยิ่งผยอง เกรี้ยวกราด หรือสนใจแต่เปลือกนอกอย่างที่เหวิ่นลี่หยาเล่าให้ฟัง ความสงสัยเริ่มก่อตัวขึ้นในใจเขาหรือเขาอาจเข้าใจนางผิดไปโดยสิ้นเชิง“เจ้าชอบอ่านตำราหรือ” น้ำเสียงของเขาเปี่ยมด้วยความสงสัยเหวิ่นจือหยูเงยหน้าขึ้นจากตำรา ดวงตาคู่นั้นมองตรงมาราวกับท้าทายให้เขาคิดให้ถี่ถ้วน“ท่านคิดว่าอย่างไรเพคะ ได้ยินอะไรมาล่ะ”คำถามกลับยิ่งทำให้หลี่หยวนเจ๋อรู้สึกสะอึกเล็กน้อย เขาพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา “ข้าไม่ค
หวิ่นจือหยูใช้เวลาหมกตัวอยู่ในห้องอักษรแทบทุกวัน นางจมอยู่กับตำราจีนโบราณที่กองสูงเต็มโต๊ะ เสียงแผ่วเบาของกระดาษที่ถูกพลิก และเสียงพู่กันลากไปบนกระดาษคือเพียงสิ่งเดียวที่ขับกล่อมห้องที่เงียบสงบนี้“ถ้าจะอยู่ที่นี่ เราต้องเข้าใจมันให้มากที่สุด” นางพึมพำกับตัวเอง พลางจรดพู่กันลงบันทึกข้อสังเกตเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้ไม่มีใครอ่านออก นางไม่ได้ศึกษาเพียงเพื่อความรู้ แต่กำลังวิเคราะห์กลไกสังคมยุคนี้ เพื่อหาทางเอาตัวรอดและอาจพลิกสถานการณ์ให้เป็นประโยชน์ในอนาคตแม้จะมีหน้าที่ในฐานะพระชายาที่ต้องรับผิดชอบ แต่ในแต่ละวันเหวิ่นจือหยูกลับเลือกที่จะอยู่เงียบๆ ในห้องอักษร มากกว่าจะไปปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นหลี่หยวนเจ๋อหรือเหล่าข้ารับใช้คนอื่นๆหลี่หยวนเจ๋อเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของพระชายา นางไม่เอาแต่ติดตามเขาเหมือนแต่ก่อน ไม่พยายามเรียกร้องความสนใจ และไม่แม้แต่จะปรากฏตัวในช่วงเวลาที่นางสมควรอยู่เคียงข้างเขา“แปลกจริง นางกำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่” เขาครุ่นคิดในใจ แม้ภายนอกจะดูสงบนิ่ง แต่นัยน์ตาของเขาแฝงความระแวงอยู่เสมอ แม้จะไม่เชื่อว่านางจะเปลี่ยนไปโดยไม่มีเหตุผล แต่เขาก็เลือกที่จะเ
เวลาผ่านไปความสัมพันธ์ระหว่างฮองเฮากับเหวิ่นจือหยูยิ่งแน่นแฟ้นขึ้น ฮองเฮาค่อยๆ สอนเหวิ่นจือหยูในทุกๆเรื่อง ตั้งแต่การปักผ้า การทำอาหาร การบ้านการเมือง ไปจนถึงการปฏิบัติตัวในฐานะพระชายาที่ดี เหวิ่นจือหยูซึมซับบทเรียนเหล่านี้อย่างตั้งใจ แม้บางครั้งจะรู้สึกกดดันแต่หัวใจของนางกลับอบอุ่นขึ้น นางไม่เคยได้รับความรักและคำแนะนำเช่นนี้จากใครมาก่อนในช่วงเวลาที่นั่งเรียนรู้ข้างๆ ฮองเฮา บางครั้งผู้เป็นหวงโฮ่วก็จะตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ข้ามีเจ้าก็เหมือนมีลูกสาวเพิ่มอีกคน ข้าดีใจที่ได้เจ้ามาเป็นไท่จื่อเฟย”คำพูดนั้นทำให้เหวิ่นจือหยูรู้สึกอบอุ่น นางโค้งศีรษะลงแล้วกล่าวด้วยความจริงใจ“ขอบพระทัยเพคะเสด็จแม่ หม่อมฉันจะพยายามให้มากกว่านี้เพคะ”ฮองเฮามองนางด้วยสายตาเอ็นดู นางเอื้อมมือจับมือของเหวิ่นจือหยูเบาๆ ก่อนพูดต่อ“ไม่ต้องกังวลไป เจ้าทำได้ดีแล้ว และเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบทุกอย่าง สิ่งสำคัญคือความอดทนและความตั้งใจ”คำพูดนั้นกระทบใจเหวิ่นจือหยู นางไม่เคยคิดว่าผู้สง่างามและสมบูรณ์แบบเช่นฮองเฮาเคยผ่านความยากลำบากและช่วงเวลาที่ต้องเรียนรู้เช่นนี้มาก่อน นางรู้สึกถึงความหวังและกำลังใจที่ฮองเฮามอ
ในเช้าวันรุ่งขึ้น เหวิ่นจือหยูยังคงหมกตัวอยู่ในห้องอักษร นางอ่านตำรา ขีดเขียนจดบันทึกถึงสิ่งที่นางได้ศึกษาจากตำราด้วยความตั้งใจ แม้ดวงตาจะเริ่มล้า แต่หัวใจกลับเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง ก่อนที่นางกำนัลประจำตำหนักเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ พร้อมกับค้อมตัวโค้งคำนับ“พระชายาเพคะ ฮองเฮามีรับสั่งให้ท่านไปพบที่ตำหนักหลินเฟยเพคะ”เหวิ่นจือหยูเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างแปลกใจ แม้จะอดสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดจึงถูกเรียกตัวแต่เช้า แต่ก็มิได้แสดงท่าทีกระวนกระวาย นางรวบรวมตำราให้เป็นระเบียบก่อนจะพยักหน้าให้สาวใช้เตรียมชุดให้เรียบร้อยตำหนักหลินเฟยของฮองเฮา ภายในตำหนักหลวงโอ่อ่า สง่างาม แต่แฝงไปด้วยบรรยากาศที่กดดันเพียงเล็กน้อย เหวิ่นจือหยูสูดลมหายใจเข้า พยายามรักษาท่าทีสงบ ขณะเดินตามนางกำนัลไปยังห้องรับรองที่ฮองเฮารออยู่ฮองเฮาประทับอยู่บนตั่ง ในท่วงท่าสง่างาม ดวงเนตรคมกริบทอดมองมายังเหวิ่นจือหยู แต่ภายในกลับเต็มไว้ด้วยความอ่อนโยน รอยแย้มสรวลเล็กน้อยปรากฏบนพระพักตร์“มาเถิด พระชายา มานั่งกับข้านี่มา” เสียงตรัสอ่อนโยนที่ส่งมาทำให้เหวิ
“ข้าไม่เคยถามเจ้ามาก่อน แต่ข้าอยากรู้ เจ้ารู้สึกอย่างไรกับการที่พี่สาวของเจ้ากลายมาเป็นพระชายาของข้า”เสียงขององค์รัชทายาทดังขึ้นอย่างสงบนิ่ง แต่ก็ลึกซึ้งแฝงไปด้วยความหมาย คำถามที่เหมือนจะแค่ไถ่ถามทั่วไป แต่แท้จริงแล้วมันคืออะไรเหวิ่นลี่หยาเผลอเบิกตากว้างไปชั่วขณะ แต่ก็รีบก้มหน้าลงเพื่อซ่อนความรู้สึกที่ตื่นตระหนกของตน นางบังคับตัวเองให้ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมององค์รัชทายาทด้วยแววตาอ่อนหวาน“หม่อมฉันยินดีกับพี่จือหยู เพคะ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ปั้นให้จริงใจ และเต็มไปด้วยความยินดีนางทอดถอนใจเบา ๆ ก่อนจะกล่าวต่อ “พี่จือหยูนั้น ถึงแม้นางจะนิสัยร้ายกาจ ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ แต่นางก็สมควรได้รับมันอยู่แล้วเพคะ เพราะนางเป็นบุตรสาวของฮูหยินใหญ่ ต่างจากหม่อมฉัน ที่เป็นเพียงลูกอนุภรรยา”คำพูดของนางเต็มไปด้วยความน้อยใจ รู้สึกว่าโชคชะตาไม่ยุติธรรมกับตนเอง หลี่หยวนเจ๋อจ้องมองนางนิ่งไม่พูดแทรกแม้แต่น้อยเหวิ่นลี่หยาเห็นเขาเงียบไป นางเข้าใจว่าเขากำลังครุ่นและคิดตามที่ตนต้องการ จึงก้าวเข้าไปใกล้ น้ำเสียงของนางอ่อนหวานลง“องค์รัชทายาทเพคะ ท่านเองก็ทรงทราบดีมิใช่หรือเพคะ ว่าพี่จือหย
ยามบ่ายนั้นเงียบสงบ มีเพียงเสียงขนนกกระเรียนขีดเขียนลงบนกระดาษ เหวิ่นจือหยูยังคงหมกตัวอยู่ในห้องอักษร ท่ามกลางตำราโบราณที่เปิดกางอยู่เต็มโต๊ะ นางก้มหน้าจดจ่อกับตัวอักษรจีนโบราณที่เรียงรายอยู่บนกระดาษ ขณะวาดแบบแผนของสถาปัตยกรรมจีนยุคโบราณอย่างพิถีพิถันแม้การออกแบบและคำนวณเชิงโครงสร้างจะเป็นสิ่งที่คุ้นเคยสำหรับตอนเป็นวาดรวี แต่สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจคือ นางสามารถอ่านและเขียนภาษาจีนโบราณได้อย่างคล่องแคล่ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้ นางไม่มีพื้นฐานความรู้นี้เลยแม้แต่น้อย“หรือว่านี่จะเป็นพรจากการที่ข้ามาอยู่ในร่างนี้” เหวิ่นจือหยูพึมพำกับตัวเอง ขณะที่ลากเส้นบาง ๆ ลงบนกระดาษอย่างไตร่ตรอง ในขณะเดียวกัน นางก็ใช้ภาษาที่คุ้นเคยที่สุด ภาษาอังกฤษ จารึกตัวอักษรเล็ก ๆ กำกับลงไปในจุดสำคัญของแผนผัง เพื่อให้มั่นใจว่าความคิดของตนจะปลอดภัยจากสายตาผู้อื่นความปรารถนาที่จะใช้ความรู้ด้านวิศวกรรมและการออกแบบของตนเพื่อปรับปรุงตำหนักหรืออาคารบางแห่งในวังให้ดีขึ้น ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นภายในใจ นี่อาจเป็นสิ่งเดียวที่เชื่อมโยงนางเข้ากับโลกเดิม และอาจเป็นก้าวแรกที่ทำให้นางสามารถยืนหยัดอยู่ในโลกใบใหม่นี้ได้โดยไม่สูญเสีย
“แล้วเจ้าได้เรียนรู้เรื่องการทำอาหารหรือการบ้านการเรือนไปบ้างหรือไม่”คำถามของฮองเฮาทำให้เหวิ่นจือหยูนิ่งไปชั่วขณะ ในนามของวาดรวี นางเป็นวิศวกรที่เคยชินกับการใช้ชีวิตสมัยใหม่ ไม่เคยสนใจเรื่องงานบ้านหรือการทำอาหารมาก่อน แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ ในสถานะพระชายาในราชสำนักทำให้นางรู้ดีว่านี่เป็นคุณสมบัติสำคัญของสตรีในราชวงศ์“เอ่อ หม่อมฉันยังคงเรียนรู้เรื่องเหล่านั้นอยู่เพคะ” เหวิ่นจือหยูตอบอย่างระมัดระวัง พยายามควบคุมน้ำเสียงให้นิ่งที่สุดฮองเฮาทรงยิ้มบาง รอยยิ้มของพระนางเต็มไปด้วยความเมตตา “ไม่ต้องกังวลไป การเป็นพระชายาเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาเรียนรู้ หากเจ้าต้องการ ข้าก็ยินดีจะช่วยสอน”คำพูดนั้นทำให้เหวิ่นจือหยูยิ้มออกมาเล็กน้อย แม้ภายในใจยังรู้สึกประหม่าก็ตาม “ขอบพระทัย ที่เมตตาหม่อมฉันเพคะ”ฮองเฮาทรงยิ้มก่อนที่จะหันไปทางข้าหลวงและสั่งให้จัดเตรียมวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร “ข้าคิดว่าเรามาเริ่มเรียนรู้จากสิ่งเล็ก ๆ ก่อนแล้วกัน วันนี้เราจะทำอาหารกัน ข้าจะสอนเจ้าเกี่ยวกับวิธีการทำอาหารบางอย่างที่ง่าย ๆ แต่เหมาะสมสำหรับการเป็นแม่ศรีเรือน อาจช่วยให้เจ้าเข้าใจความสำคัญของการดูแลบ้านเรือนยิ่งข
หวิ่นจือหยูใช้เวลาหมกตัวอยู่ในห้องอักษรแทบทุกวัน นางจมอยู่กับตำราจีนโบราณที่กองสูงเต็มโต๊ะ เสียงแผ่วเบาของกระดาษที่ถูกพลิก และเสียงพู่กันลากไปบนกระดาษคือเพียงสิ่งเดียวที่ขับกล่อมห้องที่เงียบสงบนี้“ถ้าจะอยู่ที่นี่ เราต้องเข้าใจมันให้มากที่สุด” นางพึมพำกับตัวเอง พลางจรดพู่กันลงบันทึกข้อสังเกตเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้ไม่มีใครอ่านออก นางไม่ได้ศึกษาเพียงเพื่อความรู้ แต่กำลังวิเคราะห์กลไกสังคมยุคนี้ เพื่อหาทางเอาตัวรอดและอาจพลิกสถานการณ์ให้เป็นประโยชน์ในอนาคตแม้จะมีหน้าที่ในฐานะพระชายาที่ต้องรับผิดชอบ แต่ในแต่ละวันเหวิ่นจือหยูกลับเลือกที่จะอยู่เงียบๆ ในห้องอักษร มากกว่าจะไปปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นหลี่หยวนเจ๋อหรือเหล่าข้ารับใช้คนอื่นๆหลี่หยวนเจ๋อเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของพระชายา นางไม่เอาแต่ติดตามเขาเหมือนแต่ก่อน ไม่พยายามเรียกร้องความสนใจ และไม่แม้แต่จะปรากฏตัวในช่วงเวลาที่นางสมควรอยู่เคียงข้างเขา“แปลกจริง นางกำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่” เขาครุ่นคิดในใจ แม้ภายนอกจะดูสงบนิ่ง แต่นัยน์ตาของเขาแฝงความระแวงอยู่เสมอ แม้จะไม่เชื่อว่านางจะเปลี่ยนไปโดยไม่มีเหตุผล แต่เขาก็เลือกที่จะเ
ภาพของ เหวิ่นจือหยู ที่นั่งสงบนิ่งอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือด้วยความตั้งใจ ช่างขัดแย้งกับสิ่งที่เหวิ่นลี่หยาเคยบอกเขาไว้โดยสิ้นเชิง นางไม่ได้ดูเป็นคนที่ใส่ใจแต่เรื่องการแต่งกายหรือหลงใหลในความหรูหราอย่างที่เขาเคยได้ยินมาเลยหลี่หยวนเจ๋อ นึกถึงคำพูดของเหวิ่นลี่หยาที่เคยบอกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า“พี่จือหยูของข้า นิสัยหยิ่งยโส สนใจแต่ความงามของตนเอง ไม่เคยสนใจการบ้านการเรือน องค์ชายคงไม่ชอบหรอก หากต้องอยู่กับนาง”เหวิ่นลี่หยาพูดเหมือนรู้จักพี่สาวของนางดี แต่สิ่งที่เขาเห็นในตอนนี้กลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิงเหวิ่นจือหยูที่นั่งตรงหน้าดูสงบนิ่ง เรียบง่าย และเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น นางไม่ได้หยิ่งผยอง เกรี้ยวกราด หรือสนใจแต่เปลือกนอกอย่างที่เหวิ่นลี่หยาเล่าให้ฟัง ความสงสัยเริ่มก่อตัวขึ้นในใจเขาหรือเขาอาจเข้าใจนางผิดไปโดยสิ้นเชิง“เจ้าชอบอ่านตำราหรือ” น้ำเสียงของเขาเปี่ยมด้วยความสงสัยเหวิ่นจือหยูเงยหน้าขึ้นจากตำรา ดวงตาคู่นั้นมองตรงมาราวกับท้าทายให้เขาคิดให้ถี่ถ้วน“ท่านคิดว่าอย่างไรเพคะ ได้ยินอะไรมาล่ะ”คำถามกลับยิ่งทำให้หลี่หยวนเจ๋อรู้สึกสะอึกเล็กน้อย เขาพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา “ข้าไม่ค
ในช่วงเวลาที่ เหวิ่นจือหยู เริ่มปรับตัวเข้ากับชีวิตในตำหนักรัชทายาท ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับหลี่หยวนเจ๋อ ยังคงเต็มไปด้วยความเย็นชาและห่างเหิน รัชทายาทหนุ่มยังสร้างระยะห่างโดยมักจะใช้ข้ออ้างเรื่องงานเพื่อหลบหน้านาง ทั้งทำงานจนดึก หรือบางครั้งกลับมาตำหนักก็หลับไปโดยไม่สนใจถามไถ่พระชายาเลย เหวิ่นจือหยูกลายเป็นเพียงเงาในชีวิตของเขา ความเฉยเมยนั้นค่อย ๆ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ห่างไกลออกไปเรื่อย ๆแม้ไม่มีความอบอุ่นจากสามี แต่เหวิ่นจือหยูก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ของพระชายาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง นางพยายามทำตัวให้เป็นที่ยอมรับในราชสำนัก โดยการเข้าร่วมงานพิธีตามหน้าที่ โดยเฉพาะเมื่อเข้าเฝ้าฮองเฮา หยางซูเจิน ผู้ซึ่งเป็นพระมารดาขององค์รัชทายาทหลี่หยวนเจ๋อผู้เป็นพระสวามีฮองเฮาหยางซูเจินเป็นสตรีที่เฉลียวฉลาดและมีอำนาจและบทบาทสำคัญในราชสำนัก แม้ในตอนแรกนางจะจับตามองเหวิ่นจือหยูด้วยความสงสัย เพราะรู้ว่าหลี่หยวนเจ๋อไม่พอใจพระชายา แต่เมื่อได้พบปะพูดคุย ฮองเฮากลับพบความจริงที่แตกต่างออกไป นางสังเกตเห็นถึงความสงบเสงี่ยม ความอดทน และความอ่อนโยนในตัวลูกสะใภ้ ซึ่งไม่เหมือนกับคำกล่าวหาที่เคยได้ยิน
งานเลี้ยงต้อนรับพระชายาจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ณ ท้องพระโรงหลวง แขกเหรื่อมากมายจากทั่วทุกสารทิศต่างเดินทางมาร่วมเป็นสักขีพยานต่อจากการเข้าพิธีสมรสขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อและพระชายาเหวิ่นจือหยู บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงดนตรีขับกล่อมและเสียงสนทนาเจือจางเมื่อร่างสูงขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อก้าวเข้าสู่ท้องพระโรงพร้อมพระชายา ทุกสายตาต่างจับจ้องมายังทั้งคู่ทันที ความสง่างามของหลี่หยวนเจ๋อที่แผ่รัศมีความเยือกเย็น น่าเกรงขามดุจเพทพเจ้า ในขณะที่พระชายาเหวิ่นจือหยูก็ไม่ได้น้อยหน้า นางสวมอาภรณ์สีอ่อนปักลวดลายอย่างวิจิตร บ่งบอกถึงฐานะอันสูงส่ง ทุกย่างก้าวของนางเปี่ยมไปด้วยความสง่างามราวกับเทพธิดาท่ามกลางสายตาของแขกผู้ใหญ่และข้าราชบริพารที่มองมายังทั้งคู่ด้วยความชื่นชม โดยเฉพาะเหวิ่นจือหยูที่เป็นที่จับจ้องมากกว่าตาราวกับทุกสายกำลังประเมินพระชายาขององค์ชาย เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นเป็นระลอก“พระชายาช่างงามล่มเมืองจริง ๆ”“ดูเถิด นางงามสมฐานะองค์ชายยิ่งนัก”เหวิ่นจือหยูยิ้มรับทุกคำชมอย่างสงบนิ่ง นางรู้ดีว่าคำพูดเหล่านี้เป็นเพียงคำกล่าวต้อนรับ มิใช่สิ่งที่จริงใจเสมอไป อย่างไรก็ตาม นางก็ยังต้องรักษาท่า