หลับอยู่ดีๆตื่นมาอีกทีทะลุมิติมาอยู่ในเกี้ยวเจ้าสาว เมื่อไม่มีทางไปจึงจำใจต้องแต่งงานเป็นภรรยาเจ้าของร้านขายของชำที่แทบไม่มีลูกค้า งานนี้เห็นทีเจ้าแม่การตลาดต้องออกโรง ทำให้ร้านขายของชำทรุดโทรม เป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านให้ได้
Lihat lebih banyakเปลือกตาสีไข่กะพริบเบาๆ เพื่อปรับตาให้เข้ากับแสงที่กำลังส่องมากระทบที่ใบหน้า หญิงสาวรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวของรถที่กำลังนั่งอยู่ และศีรษะก็โขกกับข้างรถเล็กน้อยจึงลืมตาขึ้นแล้วเอามือคลำที่ศีรษะ
“ถึงไหนแล้วเนี่ย” เธออุทานออกมาเบาๆ จากนั้นก็พบว่าไม่ได้อยู่ในรถแท็กซี่ที่ตนกำลังนั่งอยู่
แต่กลับกลายเป็นเกี้ยวไม้แบบโบราณ จึงสองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นคนเดินอยู่ข้างเกี้ยว มองดูคล้ายขบวนเกี้ยวเจ้าสาว
สภาพบ้านเรือนระหว่างทางนั้นค่อนข้างที่จะ แปลกตา ยังคงเป็นบ้านแบบดั้งเดิมราวกับยุคที่กำลังพัฒนา บางทีเธออาจถูกจับตัวมาแล้วอยู่ในชนบทที่ไหนสักที่
“เจ้าสาวอย่าโผล่หน้าออกมาสิ” เสียงตำหนินั้นทำให้หญิงสาวงุนงง หากแต่ไม่ได้โวยวายออกมา
เธอหดตัวกลับเข้าไปนั่ง มองสำรวจตัวเองที่อยู่ในชุดสีแดงมงคล “โดนวางยานอนหลับบนแท็กซี่ แล้วถูกลักพาตัวมาแต่งงานที่บ้านนอกอย่างนั้นหรือ” เธอนึกถึงสิ่งที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด
มือเรียวควานหากระเป๋าและโทรศัพท์มือถือของตนแต่ก็ไม่พบ ด้วยความกลัวจึงไม่กล้าที่จะโวยวายออกไป เพราะผู้คนนับสิบเหล่านี้เธอไม่รู้ว่าต้องเจอกับสถานการณ์อะไรบ้าง
สักพักการเดินทางนั้นก็สิ้นสุดลง เธอถูกนำตัวออกจากเกี้ยวเจ้าสาวแล้วเดินเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง
“อดทนเอาหน่อยเถิด สกุลเฉินชอบพิธีการแบบดั้งเดิม อึดอัดหน่อยก็อดทนนะ” คนที่พูดคือหญิงวัยประมาณห้าสิบต้นๆ ดูแล้วน่าจะทำหน้าที่เป็นแม่สื่อของงานนี้
“นี่เกิดอะไรขึ้นคะ ทำไมฉันถึงต้องแต่งงาน ฉันอยากจะกลับบ้าน” เธอพูดกับแม่สื่อที่กำลังประคองเดินลงมาจากเกี้ยว
“ถามอะไรของเธอน่ะหลี่หยุนฟาง เธอหมั้นหมายกับเจ้าบ่าวตั้งแต่เด็ก เมื่อถึงเวลาก็ต้องแต่งงานมันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว”
“หลี่หยุนฟางหรือคะ คุณจับมาผิดคนแล้วล่ะคะ ฉันไม่ใช่หลี่หยุนฟาง” หญิงสาวพยายามจะปฏิเสธ
เธอเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออก สิ่งที่ทำให้ตกใจยิ่งกว่าเดิมนั่นก็คือการแต่งกายของผู้คนในงาน ดูย้อนยุคไปมาก บ้านก็ดูเป็นทรงเก่าแก่ รถที่จอดอยู่ก็ดูเป็นรถรุ่นเก่าในสมัยเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว
“นี่ห้ามเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวนะ” แม่สื่อบอกแล้วจะคลุมผ้าให้เธอ
หญิงสาววิ่งตรงไปที่รถ ตั้งใจจะเข้าไปในรถแล้วขับออกไปเพื่อหลบหนี แต่เมื่อเห็นหน้าตัวเองที่สะท้อนออกมาผ่านกระจกก็ต้องตกใจเป็นอย่างมาก
เคยแต่ดูละครที่มีการทะลุมิติย้อนเวลาไปอยู่ในร่างคนอื่น แต่มันดันเกิดขึ้นกับเธอจริงๆ ในตอนนี้ หญิงสาวแทบจะไม่อยากเชื่อ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่อยู่ในขณะนี้เป็นนวนิยายเรื่องไหน หรือว่าเป็นเรื่องจริงที่เกิดในโลกคู่ขนาน
“จะมาต่อต้านอะไรเอาตอนนี้ รีบเข้าไปเถอะ” แม่สื่อวัยกลางคนเอาผ้าคลุมมาปิดให้ แล้วดึงแขนเจ้าสาวให้เข้าไปในบ้านเพื่อที่จะทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินให้งานนี้จบลงโดยเร็ว
หลี่หยุนฟางเดินตามไปด้วยหัวใจที่สั่นระรัว ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่าตอนนี้เธอทะลุมิติ ย้อนเวลามาในยุคที่ไม่ใช่ยุคของตน
หากจะต่อต้านหรือว่าโวยวาย เธออาจจะถูกมองว่าสติไม่ดี และไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้ ดังนั้นคงต้องตามน้ำเป็นหลี่หยุนฟางต่อไป
หญิงสาวอยู่ภายใต้ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว มองเห็นเพียงเงาเลือนรางผ่านผ้าสีแดงที่บางเบานั้น แต่ก็ไม่ได้ชัดเจนพอที่จะรู้ว่าใครเป็นใคร ถึงจะเห็นชัดเธอก็ไม่รู้จักใครที่นี่อยู่ดี
ชีวิตของเธอก่อนหน้านี้เป็นพนักงานขายในทีมการตลาดของบริษัทขายอาหารแปรรูป วันนี้เธอทำงานล่วงเวลาและเลิกดึก รถประจำทางหมดจึงต้องเรียกแท็กซี่และเผลอหลับไป
พอตื่นมาอีกทีก็มาอยู่ในเกี้ยวเจ้าสาวที่กำลังจะเข้าพิธีแต่งงาน ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น แต่หญิงสาวก็ต้องใจเย็นและเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่น่าเหลือเชื่อนี้
ขั้นตอนการกราบไหว้ฟ้าดินได้เสร็จสิ้นลง ตามด้วยขั้นตอนอื่นๆ จนครบ ตอนนี้เธอเป็นฮูหยินน้อยของบ้านสกุลถังเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
จากนั้นเจ้าสาวก็ถูกพาตัวไปยังห้องหอเพื่อรอให้เจ้าบ่าวมาเปิดผ้าคลุมหน้า ตามธรรมเนียมโบราณที่บ้านหลังนี้ยึดถือสืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น
เจ้าสาวในชุดสีแดงนั่งบิดมือบนตักด้วยความกระวนกระวาย เธอไม่ได้กังวลเรื่องการร่วมหอเพราะเธอก็มีแฟนมาแล้วสองคนที่เลิกรากันไป แต่สิ่งที่กังวลก็คือการที่จะต้องร่วมหอกับคนแปลกหน้า ไม่รู้ว่าเธอควรจะทำตัวอย่างไร
เสียงประตูห้องเปิดออกพร้อมกับเสียงปิดที่ตามมา เจ้าบ่าวลงกลอนแล้วเดินไปหาเจ้าสาวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความยินดี
เสียงฝีเท้าของคนที่เดินตรงเข้ามาหา ทำให้หลี่หยุนฟางรู้สึกประหม่า ไม่รู้ว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไร จะอัปลักษณ์หรือว่าเป็นพวกหื่นกามไหมก็ไม่อาจรู้ได้
เจ้าบ่าวใช้ไม้คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออก ทันทีที่หญิงสาวเห็นใบหน้าของเจ้าบ่าวของตนก็รู้สึกว่าโชคดี อย่างน้อยสามีของตนก็รูปงามใช่ย่อย
“อาฟาง ในที่สุดเราก็มีวันนี้กันเสียที เราไปแลกสุรามงคลกันเถิด”
เขาประคองเธอให้ลุกขึ้นยืนแล้วพาเดินไปนั่งยังเก้าอี้ที่อยู่มุมห้อง จากนั้นก็เทสุรามงคลใส่จอกให้แล้วคล้องแขนแลกสุรากันดื่ม ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักจนเธอขนลุกเกรียวด้วยความตื่นเต้น
เห็นทีว่าเจ้าบ่าวคนนี้ คงรักหลี่หยุนฟางไม่ใช่น้อย แค่เขามองมาเขาก็ทำให้เธอประหม่าและสั่นสะท้านได้ขนาดนี้แล้ว
พอเหล้าเข้าปากก็เหมือนว่าความทรงจำต่างๆ ของหลี่หยุนฟางจะค่อยๆ หลั่งไหลเข้ามาในหัว
เธอกุมศีรษะเอาไว้แล้วนิ่วหน้าลง จนเขามองด้วยสายตาที่ห่วงใย
“เป็นอะไรไปอาฟาง” เขาถามอย่างร้อนใจ
หลี่หยุนฟางค่อยๆ จำได้ว่าเธอคือลูกสาวที่ครอบครัวไม่ต้องการ พออายุเหมาะแก่การออกเรือนจึงได้ให้ผลักไสให้รีบแต่งงานกับเฉินเซียน ลูกชายที่รับสืบทอดร้านขายของชำต่อจากบิดาที่เสียชีวิตไป
เธอมีคนที่รักอยู่แล้ว ไม่ได้รักเขาแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เฉินเซียนผู้นี้รักเธอมาตั้งแต่ไหนแต่ไร การแต่งงานครั้งนี้คนที่ยินดีก็คือเขา ส่วนเธอนั้น...
‘หลี่หยุนฟาง คนอ่อนแอ นี่เธอดื่มยาพิษตอนขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวหรือ’ เธอนึกตำหนิเจ้าของร่างเดิม
เธอนัดหมายกับคนรักให้มาพาตัวหนีไปจากงานแต่งงาน แต่สุดท้ายกลับพบว่าเขาทอดทิ้งเธอ ไม่มารับยังไม่พอ เธอเพิ่งรู้ในเมื่อเช้านี้เองว่าเขากำลังจะแต่งงานกับหญิงสาวที่อยู่อีกหมู่บ้านในอีกไม่กี่วันนี้
ดังนั้นหญิงสาวจึงตัดสินใจปลิดชีวิตด้วยการดื่มยาพิษ ‘ช่างเป็นวิธีที่โง่เขลาเสียจริง’ หลี่หยุนฟางคิดและตำหนิเจ้าของร่างเดิมด้วยความโกรธอีกครั้ง
“ฉันไม่เป็นไรอาเซียน แค่ตื่นเช้าแล้วยังไม่ได้กินอะไรน่ะ พอดื่มเหล้าจึงรู้สึกไม่ค่อยดี”
“งั้นเธอเปลี่ยนชุดที่ใส่สบายรอเลยนะ ฉันจะไปหาอะไรมาให้รองท้อง” เขาพูดอย่างกระตือรือร้น ใบหน้ายิ้มแย้มด้วยความเต็มใจ
“ไม่ต้องหรอก กินขนมและผลไม้พวกนี้ก็ได้” เธอบอกเขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกว่าทุกครั้ง
เจ้าบ่าวเผยรอยยิ้มออกมา เขากังวลว่าเธอจะเสียใจและตีโพยตีพายที่ได้แต่งงานกับเขาเสียอีก แต่เมื่อเธอเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว
************************
ปี 1985 มินิมาร์ทต้าเฉินได้ย้ายไปขายชั่วคราวในที่ดินที่ซื้อใหม่ ในส่วนของร้านขายเฟอร์นิเจอร์ไม้ของเฉินเซียนที่ดินแปลงข้างๆ ยาวลงไปเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านหน้าจะทำเป็นร้านขายเครื่องเรือน แต่ตอนนี้ย้ายของที่มินิมาร์ทมาขายชั่วคราวในระหว่างที่กำลังก่อสร้าง ‘ต้าเฉินซูเปอร์มาร์เก็ต’ด้านหลังของที่ดินเป็นส่วนของโรงงานและโกดังเก็บสินค้า ที่ตอนนี้มีช่างไม้จำนวนสิบคน ยังไม่เปิดขายหน้าร้านอย่างเป็นทางการ เพราะตลอดห้าปีที่ผ่านมารับทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ตามสั่งจนไม่มีเวลาผลิตขายการก่อสร้างต้าเฉินซูเปอร์มาร์เก็ตน่าจะใช้เวลาอีกสี่เดือนจึงจะแล้วเสร็จ ในระหว่างนี้หลี่หยุนฟางดูแลที่ร้านเต็มตัวและคอยอบรมความรู้ใหม่ๆ ให้พนักงานอยู่เสมอยิ่งร้านพัฒนามาเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ เธอก็อดภูมิใจในตัวเองไม่ได้ มองย้อนไปเมื่อเก้าปีที่แล้วเธอยังนั่งปัดฝุ่นสินค้าในร้านชำอยู่เลยสามปีก่อนพวกตนกลับไปที่หมู่บ้านเดิมในเมืองซีหยวนเขตฝั่งผู่ซี เพื่อร่วมงานแต่งงานของเจียงหมิง ที่นั่นยังไม่ได้รับการพัฒนาเทียบเท่าเขตที่ตนอยู่ด้วยซ้ำรถยี่ห้อหรูที่นั่งกลับไปพร้อมกับเสื้อผ้าที่ทันสมัยและเครื่องประดับราคาแพง ทำให้ชาวบ้านที
โรงงานไม้ของเฉินเซียนมีคนในเมืองนั้นมาสมัครงานช่างไม้ หยวนคังพอมีฝีมืออยู่บ้างเฉินเซียนจึงรับมาช่วยงานดูก่อนเฉินเซียนและลูกมือของเขาช่วยกันทำชุดโต๊ะและเก้าอี้เอาไว้เตรียมขาย ขณะที่หน้าร้านยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง โดยใช้ไม้ของตนที่ตัดเอาไว้ตอนปรับปรุงพื้นที่ และขอซื้อต่อจากเจ้าของที่ดินที่กำลังปรับปรุงที่ดินบริเวณใกล้เคียงในราคาถูก เพราะดีกว่าขนเอาไปทิ้งที่อื่นโต๊ะไม้ที่หลี่หยุนฟางช่วยออกแบบดูแปลกตาและทันสมัย โต๊ะอาหารแบบมีแป้นหมุนตรงกลางแปลกใหม่สำหรับผู้คนแถบนี้มาก เพียงทำตัวอย่างออกมาชุดเดียวยังไม่ทันขัดไม้และลงเงาด้วยซ้ำ คนที่มาซื้อของที่มินิมาร์ทเดินผ่านไปเห็นก็ถึงกับสั่งจองทันทีเฉินเซียนจึงได้โอกาส เสนอลิ้นชักไม้ ชั้นวางของ เตียง และตู้เสื้อผ้าแบบเข้าชุด ทำให้ลูกค้าเศรษฐีที่กำลังวางแผนสร้างบ้านพักในแถบนี้ตัดสินใจที่จะให้เขาทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ให้แก่บ้านทั้งหลัง เพราะนิยมงานไม้มากกว่างานของต่างชาติกิจการมินิมาร์ทก็ทำกำไรเป็นกอบเป็นกำ จนต้องสั่งสินค้าให้มาส่งที่ร้านทุกๆ สามวันเพราะสินค้าแทบไม่พอต่อความต้องการจากเงินเก็บที่มีหลักหมื่น เพิ่มเป็นหลักแสนเพียงระยะเวลาไม่ถึงสองเดือน
กระเป๋าเสื้อผ้าและของใช้เด็กถูกมัดไว้บนหลังคารถ เจียงหมิงและยายของเขายืนรอส่งครอบครัวสกุลเฉินอยู่ที่หน้าบ้านด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์และซาบซึ้งในบุญคุณที่มอบให้“ผมจะดูแลบ้านสกุลเฉินให้ดี และจะทำให้ร้านขายงานไม้ของผมเจริญรุ่งเรือง หาเงินจ่ายค่าเช่าให้เถ้าแก่ตรงตามเวลาอย่างแน่นอน”“เอาเงินส่วนนั้นใจให้แม่ยายฉันเถอะ ถ้าเธอมาถามนายก็ให้เธอได้เลยไม่ต้องส่งให้ฉัน แต่หากเธอไม่กล้ามาเอานายก็เก็บเอาไว้ ถ้าตอนไหนได้ผ่านมาเมืองนี้ฉันจะแวะมาหา”“ครับเถ้าแก่” เจียงหมิงรับปากด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือคล้ายจะร้องไห้ เฉินอ้ายเฟยเดินเข้าไปกอดขา แล้วดึงชายเสื้อให้เจียงหมิงอุ้มขึ้นไปเขาอุ้มเด็กชายตัวน้อยที่ช่วยเลี้ยงมาตั้งแต่แบเบาะ มือน้อยๆ นั้นวางที่แก้มแล้วเช็ดน้ำตาให้“ไม่ร้องนะอาหมิง” เสียงเล็กๆ ที่พูดไม่ค่อยชัดนั้นพยายามปลอบใจชายหน้าดุจนเขายิ้มออกมา“แล้วพบกันใหม่นะครับนายน้อย” เจียงหมิงวางเด็กชายลง จากนั้นก็เปิดประตูรถส่งคุณชายตัวน้อยขึ้นรถไป ในขณะที่หลี่หยุนฟางอุ้มลูกน้อยวัยสี่เดือนเอาไว้แล้วยิ้มลาเขากับยายจางจินเองก็เดินมาส่งโจวชิงหลิน พร้อมกับขนมให้เอาไว้กินระหว่างทาง“คุณนายเฉินขอ
ข้าวของในร้านของร้านขายของชำสกุลเฉินเริ่มร่อยหรอลงไป แต่ก็ไม่มีการซื้อเข้ามาเพิ่ม หลายคนต่างพูดถึงเรื่องนี้ในวงกว้างแม้โจวชิงหลินจะพยายามบอกว่าขายของเพื่อเตรียมจะย้ายบ้านแต่ก็ไม่มีใครเชื่อ และคิดว่าบ้านสกุลเฉินนั้นกำลังตกอับไม่มีเงินซื้อของเข้ามาขายในร้านบ้างก็เชื่อว่าอีกฝ่ายจะย้ายเพื่อหนีหนี้ หากมีเงินเก็บจริง ทำไมบ้านหลังเก่าทรุดโทรมแห่งนี้ถึงไม่ได้รับการต่อเติมให้ดูดี ยิ่งคำพูดออกมาจากปากแม่หม้ายกู่สองแม่ลูก ก็ยิ่งทำให้ชาวบ้านเริ่มพูดถึงเรื่องนี้อย่างหนาหูเฉินเซียนและเจียงหมิง ในช่วงนี้พวกเขาก็ไม่รับทำงานไม้ เดินทางออกไปตั้งแต่เช้าและกลับมาตอนเย็นแทบจะทุกวันเพื่อดูแลงานก่อสร้าง แต่ชาวบ้านกลับมองว่าทั้งสองออกไปหางานทำที่อื่นเพราะว่างานไม้นั้นไม่สามารถขายออกได้แล้ว“อยากรีบไปแล้ว เมื่อไหร่เราจะได้ไปจากที่นี่เสียที” โจชิงหมิงพูดด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความอึดอัด เธอยังใจไม่แข็งพอที่จะรับฟังคำนินทาจากพวกเพื่อนบ้านเหล่านั้นแม้ลูกสะใภ้และลูกชายจะปลอบใจอยู่บ่อยครั้งว่าที่ใหม่นั้นจะดีกว่าที่เดิม แต่เธอยังไม่เห็นกับตา มันจะจริงเท็จแค่ไหนก็ไม่รู้รู้แต่ว่าเงินในบัญชีของบ้านนั้นถูกใช้
ในฤดูหนาว ปลายปี ค.ศ. 1978 เฉินอ้ายเฟยในวัยขวบเศษกำลังจ้องมองน้องสาวที่กำลังหัดพลิกคว่ำอยู่บนเบาะนิ้วน้อยๆ เลื่อนเข้าไปจิ้มแก้มป่องๆ นั้นด้วยความมันเขี้ยว แต่ก็ทำได้เพียงแค่แตะเบาๆ เพราะกลัวว่าน้องสาวจะเจ็บหลี่หยุนฟางมองภาพที่น่าเอ็นดูนั้น ทั้งสองนอนเล่นอยู่กลางเตียงโดยมีเธอและสามีนอนกั้นขอบเตียงเอาไว้“อากาศหนาวแบบนี้ไม่อยากเปิดร้านขายของเลย อยากนอนขี้เกียจอยู่ในผ้าห่มเสียมากกว่า”หลี่หยุนฟางบ่นแล้วอ้าปากหาวนอน เธอต้องตื่นมาให้นมเฉินเยว่อิงทั้งคืน ตอนนี้จึงไม่อยากลุกตื่นขึ้นไปไหน“แม่บอกว่าไม่ต้องให้คุณออกไปช่วยที่ร้าน ท่านเข้าใจว่าคุณเลี้ยงเด็กๆ เหนื่อยแค่ไหน ไม่ต้องไปฟังเสียงชาวบ้านหรอก ขอแค่เราเข้าใจกันเท่านั้นก็พอ” เฉินเซียนบอกภรรยาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มปากของสองแม่ลูกสกุลกู่ที่เป็นม่ายทั้งสอง หม้ายกู่เล็ก หม้ายกู่ใหญ่ เป็นปากที่ช่างไม่เคยอยู่สุขรู้ทั้งรู้ว่าภรรยาของเขากำลังเลี้ยงลูกน้อยทั้งสองคนจนไม่มีเวลาพักผ่อน มารดาของเขาจึงออกไปช่วยขายของที่ร้านชำ แต่กลับนินทาว่าเธอขี้เกียจไม่ทำงานปล่อยให้แม่สามีและสามีทำงานกันอยู่ลำพัง โดยที่ตัวเองนั่งสุขสบายไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูเหมือนว่าหลี
เฉินอ้ายเฟย ทารกวัยหกเดือนกำลังนั่งบนรถหัดเดินที่เลียนแบบรถหัดเดินในยุคปัจจุบัน ถูกทำขึ้นโดยฝีมือของเฉินเซียนและการออกแบบของหลี่หยุนฟางบริเวณที่นั่งถูกเจาะรูตรงกลางแล้วใส่ผ้าผูกเอาไว้สำหรับนั่ง ความสูงอยู่ในระดับที่ขาแตะพื้นพอดีทำให้เจ้าตัวน้อยสามารถใช้เท้าไถไปมาวิ่งเล่นได้อย่างอิสระในพื้นที่คับแคบอย่างในร้านขายของชำ ตอนนี้จึงได้แต่นั่งนิ่งไม่สามารถขยับไปไหนได้ แต่เท้าก็ยังแตะพื้นโยกไปมาพร้อมทั้งหัวเราะเอิ๊กอ๊ากด้วยความชอบใจ อารมณ์ดีทั้งวันเป็นที่รักและเอ็นดูแก่ผู้พบเห็นรถหัดเดินสำหรับเด็กจึงถูกถามหาเป็นจำนวนมาก มีบางคนบอกว่าเคยเห็นเก้าอี้แบบนี้วางขายในเมืองเป็นสินค้าจากต่างประเทศ ทำให้หลี่หยุนฟางรู้ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ของแปลกใหม่สำหรับยุคนี้ เพียงแค่ที่นี่เป็นชนบทของสิ่งนี้จึงยังมาไม่ถึงเท่านั้นเองแต่ถึงอย่างนั้นก็ได้รับความสนใจของบ้านที่มีเด็กวัยไล่เลี่ยกันกับลูกชายของเธอ ดังนั้นจึงมีคนสั่งทำอยู่จำนวนหนึ่งเพื่อที่จะให้เด็กน้อยได้นั่งและหัดเดิน ในยามที่ผู้ใหญ่กำลังกินข้าวหรือว่าทำงานบ้านจะได้ไม่ต้องคอยอุ้มอยู่ตลอดโจวชิงหลินที่ตอนนี้สามารถเดินได้อย่างคล่องแคล่วราวกับคนที่ไม่เคยเจ็บป่
เมื่อฤดูหนาวพ้นไปอากาศก็เริ่มอบอุ่นขึ้น ครรภ์ของหลี่หยุนฟางก็เริ่มขยายใหญ่โตพร้อมที่จะคลอดภายในไม่กี่สัปดาห์นี้แล้วโจวชิงหลินเห่อหลานคนแรกเป็นอย่างมาก ไม่ยอมให้ลูกสะใภ้หยิบจับอะไร แม้กระทั่งยืนขายของที่ร้านก็ยังไม่อยากให้ทำตอนนี้กลายเป็นว่าแม่สามีมาช่วยขายของอย่างเต็มตัว ทั้งจัดของบนชั้น ปัดกวาดฝุ่นที่ติดอยู่ตามสินค้า เดินไปขายซาลาเปาหมั่นโถวหยิบใส่ถุงกระดาษให้ลูกค้า ทำทุกอย่างและให้หลี่หยุนฟางทำหน้าที่เพียงแค่นั่งเฉยๆ บนโต๊ะคิดเงินและลงบัญชีเท่านั้นชุดโต๊ะรับประทานอาหารรูปแบบกลมและเก้าอี้แบบมีพนักพิงของเฉินเซียน ได้ถูกจัดทำขึ้นมาจำนวนเดือนละหนึ่งชุด และขายได้ทันทีหลังจากที่นำมาวางขายที่หน้าร้านตอนนี้กำไรจากการทำงานไม้นั้นยังมากอยู่ เพราะไม่มีต้นทุนอื่นนอกจากค่าแรงของเจียงหมิงและค่าฝีมือกับค่าเสียเวลาของคนทำแต่ในอนาคตป่าไม้จะถูกรัฐบาลสั่งให้ห้ามตัด การตัดไม้จะกลายเป็นเรื่องที่ต้องขออนุญาตอย่างถูกกฎหมาย แน่นอนว่าเมื่อย้ายไปเขตผู่ตงแล้ว หากจะทำเครื่องเรือนพวกนี้จะต้องซื้อไม้มาทำ ต้นทุนก็ย่อมสูงขึ้นแน่นอนหลี่หยุนฟางคุยกับสามีเอาไว้ ว่าในอนาคตกำไรอาจจะน้อยลงเพราะมีต้นทุนเหล่านี้เพิ่
ในยามดึกสงัดของคืนเทศกาลโคมไฟ ที่ร้านขายของชำที่ปิดแล้วคนลึกลับคนหนึ่งกำลังด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าร้าน ภายใต้ความมืดคือใบหน้าที่เต็มไปด้วยความมุ่งร้าย ในมือถือโคมไฟ สายตามองที่ร้านขายของชำสกุลเฉินด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความแค้นโคมไฟในมือถูกวางลงที่หน้าร้านชำ พร้อมกับกระดาษจำนวนหนึ่งที่ฉีกออกมาจากตำราเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง จากนั้นคนลึกลับนั่นก็หย่อนกระดาษลงไปในโคมไฟให้เกิดการเผาไหม้ มองไฟที่ลุกจากโคมไฟยังกระดาษที่ตนเองวางไว้ก่อนจะรีบหนีออกไป“ไฟไหม้ ไฟไหม้” เสียงของคนที่เห็นเปลวเพลิงลุกโชนร้องขึ้นมาเฉินเซียนอยู่ในบ้านกำลังนอนหลับได้ยินเสียงนั้นก็รีบลุกขึ้นออกไปดู เห็นประตูร้านขายของชำมีไฟกำลังลุกไหม้จึงรีบไปหาน้ำมาเพื่อที่จะดับไฟโชคดีที่ไฟลุกแค่ตรงประตูยังไม่ลามเข้าไปในร้าน ทำให้เขาสกัดต้นเพลิงไว้ได้ทันเวลา รวมถึงเพื่อนบ้านที่ผ่านมาเห็นเหตุการณ์ก็ช่วยสกัดไฟไว้ตั้งแต่แรก“ขอบคุณท่านน้าอี้ที่ช่วยเหลือ” เขาบอกแก่เพื่อนบ้านที่ใจดีหลี่หยุนฟางได้ยินเสียงเอะอะโวยวายและสามีไม่อยู่ที่เตียงจึงเดินออกมาดู เธอเห็นที่หน้าประตูร้านชำมีควันขึ้นเป็นจากไฟที่ดับมอดลงไป และเห็นสามีกับเพื่อนบ้านฝั่งตรงข้า
ร้านขายของชำสกุลเฉิน นอกจากจะจัดรายการสินค้าราคาหนึ่งหยวนประจำสัปดาห์ ที่สับเปลี่ยนกันไปมาให้ได้เลือกซื้อกันแล้วยังมีซาลาเปาและหมั่นโถวขายที่หน้าร้าน เผือกทอดเค็มหวานที่ก่อนหน้านี้หลายบ้านพยายามทำเลียนแบบ แต่ก็สู้ต้นทุนน้ำมันในการทอดไม่ได้อีกทั้งรสชาติที่ออกมาก็ไม่ใกล้เคียงกับที่หลี่หยุนฟางทำ ทุกคนจึงคิดว่าซื้อกินเองน่าจะคุ้มกว่าค่ากว่าในราคาเพียงสามเหมานอกจากนี้ในช่วงฤดูหนาว สินค้าที่ได้รับความนิยมได้แก่ ชุดโลชั่นบำรุงผิวรูปแบบใหม่ที่ร้านนำมาวางขาย เนื้อหมักเครื่องเทศที่เสียบไม้พร้อมย่างขายเป็นชุดละสิบไม้ในราคาหนึ่งหยวนและเพราะอากาศที่หนาวหนาวเย็นทำให้รักษาอุณหภูมิสินค้าสดได้ดี หลี่หยุนฟางจึงได้ทำชุดอาหารกึ่งสำเร็จขายสำหรับรับประทานหนึ่งคนชุดแกงจืดหมูสับทรงเครื่อง ชุดหมูทอดราดซอสเปรี้ยวหวาน และชุดไก่หมักเครื่องเทศ ที่ใครซื้อแล้วก็นำไปปรุงสุกก็สามารถรับประทานได้เลยอาหารกึ่งสำเร็จเป็นที่นิยมแก่คนที่ไม่อยากฝ่าลมหนาวไปตลาด ร้านขายของชำสกุลเฉินจึงเป็นร้านค้าที่ได้รับความนิยมในระดับตำบล หมู่บ้านใกล้เคียงก็ยังมาซื้อของจับจ่ายที่นี่ในส่วนงานไม้ของเฉินเซียนนั้น ตอนนี้เขาเริ่มรับงานน้อย
Komen