หวังชิงหลูไม่รู้ว่าควรจะไปยังไงต่อ จึงคิดว่างั้นก็ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละเพราะถึงยังไงนางเป็นผู้เสนอการหย่าก่อน ส่วนจ้านเป่ยว่างก็ตอบตกลงอย่างหุนหันพลันแล่น หากพวกเขาหย่ากันจริงๆ เขาคงไม่สามารถหาภรรยาได้อีกมีใครอีกที่ชอบเขา? เว้นแต่เขาจะมองหาแม่ค้าหรือไม่ก็หญิงสาวจากครอบครัวธรรมดาๆ ตราบใดที่ครอบครัวมีอำนาจนั้นย่อมคิดว่าเขาไม่คู่ควร"ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องคืนนี้ก่อน" หวังชิงหลูหลับตาอย่างเหนื่อยหน่าย "พรุ่งนี้ไปตามหาหมอมาให้ บอกว่าข้าไม่สบาย และต้องพักรักษาตัวสักสองสามวัน""เจ้าค่ะ!" หงเอ๋อร์เห็นว่าเดี๋ยวนางก็บอกว่าจะหย่าอย่างเด็ดขาด เดี๋ยวก็บอกว่าอย่าพูดถึงมัน นางจึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไรเลยไม่กล้าพูดอะไรอีกจ้านเป่ยว่างไปรออยู่ที่หน้าประตูจวนเป่ยหมิงอ๋องในเช้าวันรุ่งขึ้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไปขอพบเซี่ยหลูโม่ ไม่ใช่ซ่งซีซีเมื่อเซี่ยหลูโม่ออกจากจวนก็เห็นเขาจูงม้าอยู่ที่มุมประตูด้วยใบหน้าซีดเซียว จึงเรียกจางต้าจ้วงเข้าไปถามจ้านเป่ยว่างรีบนำม้าเข้าไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ทำการไหว้ "คารวะท่านอ๋องขอรับ""มีอะไร" เซี่ยหลูโม่มองเขาจ้านเป่ยว่างรวบรวมความกล้าแล้วถามว่า "ท่านอ๋อง
ไม่นานข่าวของยี่ฝางก็แพร่กระจายกลับมายังเมืองหลวงศิษย์พี่ผิงกับคนของร้านอวี๋นยี่ต่างเห็นกับตาตัวเองว่าผู้คนระบายความโกรธออกมายังไง และยี่ฝางตายอย่างอนาถยังไงจดหมายนี้ไม่ได้ถูกส่งกลับโดยนกพิราบบิน แต่ถูกส่งไปที่จวนเป่ยหมิงอ๋องด้วยม้าเร็วของร้านอวี๋นยี่ โดยได้อธิบายไว้อย่างละเอียดนี่ก็ยังเป็นศิษย์พี่ผิงที่ตั้งเขียนให้ละเอียดหน่อย เพื่อให้ซีซีดูผู้กระทำความผิดของคดีฆ่าล้างตระกูลซ่งคือยี่ฝาง ซ่งซีซีเกลียดนางเข้ากระดูก แต่เนื่องจากเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในเมืองลู่เปินเอ่อร์ นางไม่สามารถไปแก้แค้นด้วยตัวเองได้ ดังนั้น ศิษย์พี่ผิงจึงส่งรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ทั้งหมดให้กับนาง ให้นางใจเย็นลงหน่อยซ่งซีซีอ่านแล้วอ่านอีก นางจำลายมือนี้ได้ นี่เป็นลายมือของศิษย์พี่ผิงหลังจากอ่านจบแล้ว นางก็เหม่อลอยอยู่พักใหญ่ นางถอนหายใจยาว ๆ ด้วยความโล่งอก จากนั้นก็ร้องไห้ยกใหญ่ในอ้อมแขนของเซี่ยหลูโม่เซี่ยหลูโม่กอดนางไว้ และตบหลังของนางเบา ๆ ในใจก็รู้สึกสงสารเห็นใจมาก ในที่สุดนางก็สามารถร้องไห้อย่างอิสระเช่นนี้ได้สักทีเพียงแต่ เมื่อคนตายไปแล้วความแค้นก็จะหายไป แต่ความเจ็บปวดจะคงอยู่ตลอดชีวิตเซี
ของขวัญเหล่านั้น ก็วางอยู่ในห้องเก็บของ ซ่งซีซีไม่เคยดูเลยแม้แต่แวบเดียวหลังจากกินอาหารเย็นแล้ว ซ่งซีซีก็ถือตะเกียงเข้าไปตามลำพังเซี่ยหลูโม่บอกว่าจะไปกับนาง แต่นางบอกว่าไม่ต้อง นางอยากจะเปิดของขวัญด้วยตัวเอง แม้แต่ เสิ่นว่านจืออยากจะไปเป็นเพื่อนนางก็ถูกปฏิเสธไว้ข้างนอกเช่นกันเซี่ยหลูโม่ไม่วางใจ ก็เลยยกม้านั่งมานั่งอยู่ด้านนอกประตูเป็นเพื่อนนางจางต้าจ้วงได้กลับมารายงานแล้ว บอกว่าหลังจากจ้านเป่ยว่างรู้เรื่องนี้แล้ว ก็เอาหัวโขกกับผนัง มีเลือดออกมามากมายจางต้าจ้วงตกใจมาก เขาเห็นจ้านเป่ยว่างเข้าไปชนกับผนังกับตา เขาคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเขารุนแรงกับตัวเองเช่นนี้ จางต้าจ้วงรู้สึกเหมือนเขาต้องการวิ่งเข้าไปชนให้ตายจริง ๆโชคดีที่ตอนที่เขาวิ่งออกไปเท้าก็โซเซนิดหนึ่ง ทำให้แรงลดน้อยลง ไม่อย่างนั้นถ้าชนเข้าไปเต็มแรงจริง ๆ เขาจะต้องตายอย่างแน่นอนจางต้าจ้วงถามอาจารย์หยูอย่างไม่เข้าใจ "ทำไมเขาถึงทำเช่นนี้? ถ้าเขาต้องการตายไปกับยี่ฝาง ตอนที่ยี่ฝางถูกจับตัวไป เขาก็ตามนางไปเลย ก็เท่ากับได้สนองความรักของเขาที่มีต่อยี่ฝางไหม่? ทำไมถึงเป็นตอนนี้ ตอนที่ยี่ฝางถูกลงโทษประหารชีวิตแล้ว เขาถึงจะแสวงหาคว
มันเล็กขนาดไหน?มันยาวประมาณนิ้วก้อย แต่บางพอ ๆ กับกระดาษ นางหยิบขึ้นมาเล่มหนึ่งแล้วโยนออกไป มีดบินปักเข้าไปในผนัง และหายไปจนมองไม่เห็นแล้วแน่นอนว่ามีดบินไม่ได้มีความน่ากลัวมากขนาดนี้ แต่เนื่องจากรูปร่างของใบหลิ่วบวกกับความบาง เมื่อใช้กำลังภายในลอยออกไป พลังของมันเลยน่ากลัวมากสิ่งนี้ก็ไม่ได้ทำให้ซ่งซีซีรู้สึกประหลาดใจ เพราะแม้แต่นางเด็ดใบไม่หรือกลีบดอกใบลอยออกไปก็สามารถมีพลังเช่นนี้ แน่นอนว่าความรุนแรงค่อนข้างน้อยกว่า มีดบินก็ใช้ได้ดีกว่าดี สามารถเอาชีวิตคนได้นางก็จำได้ว่าลุงสามกับลุงเจ็ดเคยไปเยี่ยมนางที่ภูเขาเหม่ยชาน ในเวลานั้นท่านอาจารย์กำลังยุ่งอยู่กับการคิดค้นอาวุธลับ และนางในเวลานั้นก็กำลังฝึก จึงบ่นกับลุงสามและลุงเจ็ดว่า ถ้ามีอาวุธลับสักอย่างที่เข้ามือและมีความรุนแรงน่าสะพรึงกลัว ก็จะดีมากเลยทันใดนั้น นางก็นึกอะไรขึ้นได้ สีหน้าของนางเปลี่ยนไปทันที รีบหยิบกำไลและเทเข็มสองสามเล่มจากกระบอกออกมา ใส่ลงไปในรูเล็ก ๆ ของทับทิม และเมื่อปิดลง และขยับไพลินก็ได้ยินเพียงเสียงแกร๊กดังขึ้นสองครั้ง เข็มเหล็กก็ลอยออกมา พลังของมันน่ากลัวมาก เข็มเหล็กสองเล่มปักเข้าไปบนคานในเวลาเดียวกันเน
ซ่งซีซีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็รับมานางนั่งบนหีบไม้ กำจดหมายไว้ครู่หนึ่ง ก่อนจะเปิดออกอ่านลุงเจ็ดไม่ชอบเรียนหนังสือมาตั้งแต่เด็ก แต่เขาชอบทำงานไม้และกลไก ฝึกศิลปะการต่อสู้ก็เป็นคนที่มีพรสวรรค์มาก แต่ท่านตามักจะพูดว่าเขาไม่เอาการเอางาน แม้จะเป็นทหาร ก็ต้องเข้าใจตำราการศึก มีกลยุทธ์ ดังนั้นท่านตาจึงใช้ไม้บังคับให้ตั้งใจเรียนหนังสือไม่ใช่ไม่ตั้งใจเรียน แต่เขาไม่มีพรสวรรค์เลย ในเรื่องของการเรียนสุดท้ายแล้วลุงเจ็ดก็ไม่ประสบความสำเร็จ ลายมือที่เขาเขียนก็ไม่สวยเลย เขาเคยพูดว่า ลายมือของเขาโบยบินเหมือนกับมังกรและหงส์ พู่กันก็กวัดแกว่งเหมือนมังกร ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะชื่นชมได้ซ่งซีซีนึกถึงคำพูดนี้ของเขา และมองตัวอักษรที่ไม่เป็นเส้นเหล่านี้ ก็เห็นด้วยกับเขาโชคดีที่สามารถเข้าใจความหมายโดยประมาณได้ เว้นแต่บางคำที่อ่านไม่ออกแล้ว แค่เข้าใจความหมายก็พอในจดหมายได้ระบุวิธีการใช้อาวุธลับเหล่านั้น ก็เหมือนกับตอนที่พวกเขาใช้เมื่อครู่จริง ๆ จำเป็นต้องเอียงเล็กน้อยถึงจะโจมตีตรงเป้าหมายนี่ใช่ว่าเขาจะตั้งใจทำขึ้น เพียงแต่ตอนที่ทำรีบร้อน เพราะสงครามใกล้เข้ามาแล้ว ไม่มีเวลาปรับปรุงให้ดีขึ้น รอสงครา
การตายของยี่ฝาง อันที่จริงก็ไม่ได้ทำให้ซ่งซีซีรู้สึกสบายใจแต่อย่างใดตอนกลางคืนนางนอนบนเตียง เมื่อหลับตา ลมหายใจก็สม่ำเสมอราวกับว่านางหลับสนิทแต่นางไม่ได้หลับด้วยซ้ำเรื่องราวในอดีตปรากฏขึ้นในหัวของนาง ราวกับผีเสื้อที่บินอยู่บนหน้าผาในหุบเขา นางทำยังไงก็จับมันไว้ไม่ได้เมื่อใกล้สว่าง นางถึงจะสะลึมสะลือหลับไปเซี่ยหลูโม่ลืมตาขึ้น อันที่จริงเขาก็ยังนอนไม่หลับ ตอนที่คนนอนหลับ ก็จะผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์ แต่ร่างกายของซีซีแข็งทื่อ แค่แสร้งทำเป็นหลับเท่านั้นแต่ตอนนี้ นางหลับไปแล้วจริงๆ เขารู้สึกอึดอัดใจมาก ตั้งแต่อภิเษกกับซีซีจนถึงตอนนี้ ระหว่างพวกเขาก็ถือว่ารักกัน แต่เขารู้ซีซี ปิดหัวใจนางไว้เสมอมา เรื่องอื่นจะพูดยังไงก็ได้ เรื่องสำคัญของประเทศพูดกับเขาไม่หยุด มีเพียงเรื่องความรู้สึกของนาง อารมณ์ของนาง ก็มักเก็บซ่อนไว้ในใจเสมอนางฝังบาดแผลไว้ในใจ แสร้งทำเป็นมีความสุข นางถึงขนาดไม่กล้าแสดงความสุขออกมาจากใจด้วยซ้ำ นางคิดว่านางไม่มีคุณสมบัติจะมีความสุขอีกต่อไปแล้วไม่ว่ารอยยิ้มของนางจะสดใสแค่ไหน ในแววตาก็มักจะมีร่องรอยของความเศร้าสุดซึ้งซ่อนอยู่ในดวงตาเสมอ ความเศร้านี้ทำให้นางมีสติเป็
วันต่อมาซ่งซีซีลุกขึ้น ก็เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับนางอย่างนั้น ขี่ม้าออกไปข้างนอกกลับกัน จ้านเป่ยว่างบาดเจ็บหนักและลาราชการ หลังจากจักรพรรดิ์ซูชิงเข้าใจที่ไปที่มาแล้ว ก็ตรัสด่าขึ้นว่า "ถ้ารักเดียวใจเดียวจริงๆ ตอนนั้นคงไม่ทำกับซีซีแบบนั้น ตอนนี้กลับทำร้ายตัวเองเพื่อนักโทษเช่นนี้ แม้แต่หน้าที่ก็ไม่สนใจ ชื่อเสียงของจวนแม่ทัพก็ไม่สนใจ ทั้งไม่ซื่อสัตย์ ทั้งเนรคุณ จะส่งเสริมเขาเพื่ออะไรกัน? คนไม่เอาไหนมันก็ไม่เอาไหนจริงๆ "อู๋ต้าปั้นรู้ว่าฝ่าบาทหลายครั้งที่ยังไม่ยอมตัดใจจากจ้านเป่ยว่าง หนึ่งคือเห็นแก่ท่านแม่ทัพใหญ่จ้าน สองคือต้องการใช้เขามาควบคุมกองทัพซวนเจีย สามคือเพราะชั่วขณะหนึ่งก็ไม่สามารถปลดเขาได้ กลัวว่าจะกระทบต่อนายพลชายแดนเฉิงหลิงตอนนี้ข่าวการถอนกำลังของซีจิงได้แพร่กระจายมาแล้ว ดูเหมือนว่าฝ่าบาทก็น่าจะไม่ตามใจเขาอีกต่อไปและวันนี้ขุนนางในราชสำนักร้องเรียนขึ้น อู๋ต้าปั้นตั้งใจรอผู้ตรวจการสวี่ และพูดเรื่องที่ฝ่าบาททรงพิโรธเพราะเรื่องของจ้านเป่ยว่างออกมาโดยไม่ตั้งใจผู้ตรวจการสวี่ถามถึงสาเหตุ อู๋ต้าปั้นก็ไม่ได้พูดออกมา แต่ผู้ตรวจการสวี่ต้องการสืบก็ไม่ยาก ภายในครึ่งวัน เรื่องร
หวังชิงหลูนั่งอยู่บนเก้าอี้เป็นเวลานาน สุดท้ายก็เลือกที่จะประนีประนอมและถามเขาว่า "สามารถรับปากข้าสองเรื่องได้ไหม ถ้าเจ้ารับปาก ข้าจะไม่หย่า"จ้านเป่ยว่างถอนหายใจเบา ๆ "เจ้าว่ามา"หวังชิงหลูพูดขึ้นว่า "อย่าพูดถึงซ่งซีซีกับยี่ฝางอีก อย่างน้อยต่อหน้าข้าก็อย่าพูดถึงพวกนาง"จ้านเป่ยว่างเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าช้า ๆ "ได้! "หวังชิงหลูกล่าวพูดขึ้นต่อว่า "เรื่องที่สอง เจ้าต้องปลุกใจให้ฮึกเหิมขึ้นมา กลับไปยังองครักษ์ซวนเท่ ทำหน้าที่รองหัวหน้าของเจ้าต่อไป"จ้านเป่ยว่างมองนาง รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย "ข้าถูกถอดจากตำแหน่งแล้ว จะกลับไปยังองครักษ์ซวนเท่ได้ยังไง? "หวังชิงหลูพูดขึ้นว่า "ข้าจะขอให้พี่สะใภ้ช่วยวิ่งเต้นให้เจ้า ขอเพียงเจ้ารับปากกับข้า หลังจากได้ตำแหน่งคืนมาแล้ว เจ้าจะต้องตั้งใจทำหน้าที่ พยายามให้ได้เลื่อนตำแหน่ง และต่อจากนี้เจ้าต้องเชื่อฟังคำพูดของข้า"จ้านเป่ยว่างส่ายหน้า "ข้าไม่ต้องการให้พี่สะใภ้กังวลเรื่องของข้า อีกทั้งข้าก็เป็นคนที่ฝ่าบาททรงรังเกียจทอดทิ้งแล้ว ถ้าพี่สะใภ้ไปวิ่งเต้นให้ข้าอีก มันจะต้องใช้เงินไม่น้อย และต้องสูญเสียเส้นสายไม่น้อย เส้นสายเหล่านี้เจ้าก็เก็
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง
ก่อนจะไปยังหนานเจียง ข้าไม่เคยมีแผนการใดในชีวิต ไม่มีเป้าหมาย ไม่เคยมีสิ่งใดที่อยากทำเป็นพิเศษเมื่อยึดหนานเจียงกลับคืนมาแล้วเดินทางกลับสู่เมืองหลวง เสียงโห่ร้องยินดีจากราษฎรทำให้ข้ารู้สึกว่า หากมนุษย์ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายไปวันๆ เช่นนั้นจะไม่สูญเปล่าหรือ?ข้าจึงเริ่มครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิตจากการติดตามย่างก้าวของซีซี ข้าก็ได้ทำสิ่งต่างๆ มากมาย ตั้งแต่โรงงานช่างไปจนถึงสถาบันการศึกษาหย่าจวินหญิงมากหลายล้วนประสบชะตาน่าเวทนา และข้ามีความสามารถที่จะช่วยพวกนางได้ ข้าคิดว่า นี่คงเป็นหนึ่งในความหมายของชีวิตว่าเป็น “หนึ่ง” ก็หมายความว่ายังอาจมี “สอง” และ “สาม” ตามมาได้มิใช่ข้าจะโอ้อวดตนเอง แต่เนื้อแท้ของข้าคือคนที่ชังความชั่วโดยสันดานดังนั้น เมื่อได้ยินว่ามีฆาตกรฆ่าคนจำนวนมาก แต่กลับลอยนวลเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ ไม่อาจเอาผิดได้ ข้าย่อมโกรธเคืองนัก ข้าเห็นว่า คนฆ่าย่อมต้องชดใช้ด้วยชีวิตแรกเริ่ม ข้าไม่ได้กระทำการอันใดหุนหันพลันแล่น เพียงแต่เดินตามแนวทางของสำนักเขตจิงจ้าว สืบสาวเรื่องราวต่อไป และส่งมอบหลักฐานที่ได้มาให้แก่เจ้ากรมแห่งสำนักเขตจิงจ้าวจนกระทั่งข้าได้พบกับคดีหนึ่งที
ดอกเหมยบนภูเขาเหม่ยชานบานแล้ว ร่วงโรยแล้วเช่นกันในใจข้าย่อมอดเคืองนางไม่ได้ กลับบ้านไปแล้ว ก็จะทอดทิ้งพวกข้าด้วยหรือ? ไม่นึกถึงน้ำใจไมตรีที่มีต่อกันตลอดหลายปีมานี้เลยหรือ?เฉินเฉินก็ด่านางว่าไร้หัวใจ ไปก็แล้วไป ไยจึงไม่แม้แต่จะส่งจดหมายมาสักฉบับ?นานวันเข้าพวกข้าก็เลิกพูดถึงนางเสียเอง ราวกับว่าการไม่เอ่ยชื่อนางเลย คือการแก้แค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อผู้ละทิ้งพวกข้าต่างก็ตกลงกันไว้ว่า หากนางกลับมายังภูเขาเหม่ยชานอีกครั้ง ไม่ว่าใครก็จะไม่ไปพบนาง ไม่พูดกับนางสักคำ แม้นางจะให้คนส่งจดหมายมา ข้าก็จะไม่ตอบกลับ แม้แต่จะอ่านยังไม่อ่านวันเวลาผ่านไปกลางดาบคมและเงาเย็น พวกข้าทุกคนต่างฝึกฝนวิชาให้แกร่งกล้า ราวกับได้ตกลงกันไว้แล้วว่า หากยังไม่ตาย ก็จะฝึกจนสุดกำลังแม้ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา แต่ข้าย่อมรู้ว่าในใจของทุกคนคิดไม่ต่างกัน ย่อมไม่มีวันเป็น ‘นางที่ยิ้มแย้ม’ ได้อีกแล้ว เพราะเจ้าหวังห้าเล่าว่า ตั้งแต่นางจากเขาลงไป ท่านอาจารย์ก็ไม่เคยยิ้มอีกเลย มีแต่สีหน้าเคร่งเครียดทุกเมื่อเชื่อวันพวกข้าไม่รู้ว่านางประสบเรื่องราวใด แต่ข้าก็ฝึกฝนจนกล้าแข็ง เพียงรอวันที่นางต้องการข้า ดาบในมือย่อมพร้อมชักออกจา