ทั้งหมดจึงถูกจัดการเช่นนี้ ซ่งซีซีจึงมีอิสระที่จะจัดการกับคนที่ก่อความวุ่นวายเจ้าสิบเอ็ดฝางเรียกคนเหล่านั้นมาแค่ตอนแต่งงานเท่านั้น ไม่ได้ใช้การลงโทษ ซ่งซีซีก็ไม่ทำ ต่างก็ทำงานโดนยคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวมนางให้ลู่เจินนำคนทั้งหมดกลับมา ลงโทษพวกเขาที่แพร่ข่าวลือและสร้างปัญหาถ้าไม่จ่ายค่าปรับก็ต้องถูกโบย ไม่ว่าใครที่มีชื่อปรากฏในรายชื่อของอาจารย์หยู ไม่มีใครสามารถหนีรอดได้แม้แต่คนเดียวสำหรับตระกูลฉีก็ยังส่งคนไปเบี่ยงเบนความสนใจด้วย มีความสงสัยว่าจงใจทำร้ายหยานหรูอวี้ ดังนั้นซ่งซีซีจึงมอบหลักฐานทั้งหมดที่รวบรวมได้ให้กับองค์หญิงใหญ่หมิ่นชิง องค์หญิงใหญ่หมิ่นชิงก็ส่งมอบให้ผู้ตรวจการกงเตีย ก่อนเลิกประชุม ยังฟ้องร้องตระกูลฉีด้วยแม้ว่าเจ้ากรมฉีจะบอกว่าเขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่จักรพรรดิซูชิงยังคงปรับเงินเดือนเขาครึ่งปี แถมยังไม่ได้ให้ประทานรางวัลสิ้นปีให้เขาด้วยซ้ำ เนื่องจากการควบคุมที่หละหลวมเมื่ออู๋ต้าปั้นส่งรางวัลไปที่จวนเป่ยหมิงอ๋อง ซ่งซีซีก็มาต้อนรับเขาด้วยตัวเอง และเชิญเขาไปดื่มชารุ่ยเอ๋อร์รับไว้แล้ว ซ่งซีซีก็ดึงเขาออกมาคำนับอู๋ต้าปั้นในปีนี้รุ่ยเอ๋อร์เติบโตขึ้นมา
หลังจากส่งอู๋ต้าปั้นแล้ว ซ่งซีซีก็ไปคุยกับอาจารย์หยูสองสามคำ จากนั้นก็ไปร่วมกับเสิ่นว่านจือและศิษย์พี่ห้าที่ย่างมันเทศรอบกองไฟกิจการของหอหนานเฟิงจะถูกปล่อยให้เป็นของอาจารย์หยู ซึ่งอาจารย์หยูจะส่งคนไปจับตาดูพวกเขาทั้งสองกำลังพูดเรื่องอาจารย์ฉีกันอยู่เสิ่นว่านจือ รู้สึกว่าถ้าไม่ได้เห็นมันด้วยตาของตัวเอง คงจะไม่มีทางเชื่อมันหวังเยว่จางบอกว่าเขาเดินทางไปทั่วแคว้น ได้เห็นทุกอย่าง แต่เรื่องเช่นนี้...เขาไม่เคยเห็นมาก่อน อายุจนปูนนี้แล้ว สถานะก็ยังได้รับความเคารพมากมาย ทำไมถึงไปสถานที่แบบนั้น?จากการสังเกตของพวกเขา ตอนที่อาจารย์ฉีไปที่หอหนานเฟิง ก็ไม่ได้ทำอะไรที่อุจาดสายตา แค่เรียกบริกรสองสามคนยกอาหารเข้าไปให้ ดื่มสุรา ฟังบทเพลง และสัมผัสมือเล็กๆ อาจารย์ฉีเป็นอาจารย์ของอดีตฮ่องเต้ และอดีตฮ่องเต้ไม่ชอบชายรักชายมากที่สุด ถึงขั้นเกลียดชังด้วยซ้ำในฐานะอาจารย์ของอดีตฮ่องเต้ เขาได้ช่วยเหลืออดีตฮ่องเต้ในการปกครองบ้านเมืองหลังจากที่เขาขึ้นครองบัลลังก์ โดยปกติแล้ว เมื่อพิจารณาจากความระมัดระวังและความอ่อนน้อมถ่อมตนของตระกูลฉี ในช่วงปีแรกๆ เขาควรจะเกลียดกระแสเช่นนี้อย่างสุดซึ้งถึงจะถูกเป็น
เสิ่นว่านจือที่อยู่ข้างๆ พูดแทรกขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว ข้าคิดว่าเจ้าได้ทั้งผู้ชายผู้หญิง""ขอบคุณที่ให้เกียรติ ถึงได้ทั้งชายทั้งหญิงก็ไม่ดี ขอบคุณ" หวังเยว่จางยืดเส้นยืดสาย "พวกเจ้าค่อยๆ กินไปนะ สองพี่น้องค่อยๆ คุยกันเถอะ"เขาลุกขึ้นยืนและเดินจากไป เดิมทีเขาเดินด้วยฝีเท้าสบายๆ บางครั้งก็แกว่งไปแกว่งมาตามสายลม บางครั้งก็ก้าวไปข้างหน้า ตอนนี้เขารู้สึกว่ามีดวงตาสองข้างจ้องมองเขาจากด้านหลัง"จริงสิ หมั่นโถวกับเฉินเฉินอาจะมาเฉลิมฉลองปีใหม่ด้วย ที่เขียนจดหมายส่งมาก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้ยังไม่เคยเห็นใครเลย คิดว่าคงไม่มาแล้ว" เสิ่นว่านจือจึงนึกถึงเรื่องนี้ได้ พูดกับซ่งซีซี“ช่วงฉลองวันปีใหม่ อาจารย์พวกเขาปล่อยคนหรือ?” ซ่งซีซีถาม“ถ้าไม่มา คิดว่าคงไม่ถูกปล่อยตัวให้มา บางทีอาจจะกลับมาอีกครั้งหลังปีใหม่” เสิ่นว่านจือเพิ่มถ่านจำนวนหนึ่ง มองดูถ่านสีแดงที่ถูกปกคลุมไปด้วยถ่านเงินที่เพิ่งเพิ่มเข้ามา ด้านข้างค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงอีกครั้ง “เดิมทีเจ้าบอกว่าเรามีคนไม่เพียงพอ ข้าก็เลยเขียนจดหมายไปบอกพวกเขา”“ถ้าเฉินเฉินมาได้ก็คงจะดีไม่น้อย” ซ่งซีซีพิงไหล่ของเสิ่นว่านจือด้วยสีหน้าที่เหนื่อยล้า “ปีนี้ข้ารู
ในวันก่อนตรุษจีน รุ่ยเอ๋อร์สวมใส่เสื้อกันหนาวบุนวมผ้าไหมสีแดง สวมหมวกใบหนา รอบๆ หมวกมีขนสุนัขจิ้งจอกแซมอยู่รอบใบ ท่าทางร่าเริงสดใส รอคอยรถมาของตระกูลขงอย่างตื่นเต้นอาจารย์หยูได้เตรียมของขวัญไว้มากมายแล้ว ของส่วนใหญ่เป็นรุ่ยเอ๋อร์เลือกมาด้วยตัวเองเมื่อคืนลุงฟูส่งบัญชีจากจวนเสนาบดีกั๋วกงมาให้ เขาอดหลับอดนอนทั้งคืนตั้งใจตรวจสอบบัญชีนั้น อาจารย์หยูบอกแล้วว่าไม่รีบเร่ง ยังไปขอซ่งซีซีเมตตา ซ่งซีซียังบอกอีกว่าให้เขาเรียนรู้การจัดการบัญชีเร็วหน่อยก็ดี จวนเสนาบดีกั๋วกงนี้สุดท้ายเขาก็ต้องขึ้นมาเป็นคนดูแลอยู่ดีเขาดูบัญชี เฉินเสี่ยวเหนียนเด็กรับใช้อยู่เป็นเพื่อนเขาข้างๆ ทว่าวันนี้ เฉินเสี่ยวเหนียนก็จะกลับบ้านไปฉลองวันปีใหม่แล้ว ไม่สามารถไปตระกูลขงกับเขาได้เรื่องที่ซ่งซีซีดีใจมากที่สุดคือรุ่ยเอ๋อร์นั้นมีความคิดละเอียดรอบคอบมาก หนักแน่นมั่นคง แต่ก็ยังไม่สูญเสียความใสซื่อของวัยเยาว์ บางทีอาจเป็นเพราะแสร้งทำ เพราะเขาผ่านความลำบากมามาก แต่ต่อให้เป็นการแสร้งทำ ก็ดีเหมือนกัน เกิดเป็นคน บางทีก็ต้องแสร้งทำ ต้องอยู่ให้เป็นแม้ว่ารุ่ยเอ๋ฮร์จะอยากไปฉลองวันปีใหม่กับตระกูลขง แต่วันนี้ท่านอาเขยไม่อยู่
ก่อนงานเลี้ยงในวัง ไปนั่งที่ไทเฮาครู่หนึ่ง ไปนั่งที่ที่พระสนมเต๋อเฟยครู่หนึ่ง ไปนั่งที่พระสนมกงเฟยครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเล่นในดอกไม้กับเซียนหนิง หมินชิง และองค์หญิงใหญ่คนอื่นๆองค์หญิงใหญ่หมินชิงวันนี้สวมชุดฉิงหลวนปักสีแดงและใบหน้าของนางดูสง่างามยิ่งขึ้น นางถือพัดกลมๆ ไว้เพื่อปกปิดใบหน้าของนางแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม "หลังจากได้ยินว่าตระกูลฉีถูกรายงานแล้ว อาจารย์ฉีเรียกสมาชิกในตระกูลมาในคืนนั้นและลงโทษเรือนสี่อย่างรุนแรงโดยบอกว่าปัญหานี้ทั้งหมดเกิดจากเรือนสี่”องค์หญิงใหญ่หมินชิงถือกำเนิดมาจากไทเฮา และองค์หญิงสายตรงย่อมมีเกียรติกว่าเสมอ และองค์หญิงคนอื่นๆ ก็เดินตามนางไป นางพูดเรื่องตระกูลฉี คนอื่นๆ เห็นพ้องตาม แม้แต่องค์หญิงฮุ่ยเจิงก็ยังหัวเราะตามด้วยองค์หญิงใหญ่ฮุ่ยเจิงเป็นองค์หญิงของฉีกุ้ยไทเฟยซึ่งเป็นหลานสาวของตระกูลฉี องค์หญิงใหญ่ฮุ่ยเจิงไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับตระกูลฉีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเพราะองค์ชายมเหสีหลี่โย ในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นองค์หญิงหรือองค์ชายส่วนใหญ่แต่งงานกับตระกูลฉี ตระกูลฉีมีอำนาจมากเกินไป ไม่ว่าอะไรก็ตามเมื่อถึงจุดสูงสุดก็จะตกลงมาสู่จุดต่ำสุด ดังนั้นจึงเป็นการดีที่จะ
โดยที่ไม่รู้เลยว่าตลอดเวลาหลังจากนั้น ถงเจี๋ยหยูจะยังคงพูดคุยกับนาง บางครั้งในขณะที่พูดก็หัวเราะเขินๆ ทั้งยังใช้มือผลักซ่งซีซี ทำท่าทางอ้อนๆ อย่างน่ารัก ราวกับว่านางคุ้นเคยกับซ่งซีซีมากปฏิสัมพันธ์ระหว่างพวกนางทั้งสอง ยังดึงดูดความสนใจของบรรดาสนมที่อยู่ใกล้เคียง บางคนก็มองดูพวกนางหลายครั้งถ้าจะบอกว่าเป็นปฏิสัมพันธ์ แต่จริงๆ แล้วซ่งซีซีก็แค่คล้อยตามหรือพยักหน้าเป็นครั้งคราว และยิ้มเพื่อไว้หน้าเท่านั้นแต่คนอื่นๆ ก็ไม่ได้คิดอย่างนั้น แม้แต่องค์หญิงใหญ่หมิ่นชิงและองค์หญิงเซียนหนิงที่หลังจากดูละครจบ ก็ถามซ่งซีซีเป็นการส่วนตัวว่า “ที่แท้เจ้ากับถงเจี๋ยหยูรู้จักกันมาก่อนหรือ?”ซ่งซีซีสั่นศีรษะ “ไม่รู้จัก เพิ่งเจอกันครั้งแรก”“พบกันครั้งแรกก็ดูสนิทกันขนาดนี้เชียวหรือ?” เซียนหนิงดูตกตะลึงกลับเป็นองค์หญิงหมิ่นชิงที่สังเกตเห็นเค้าลางบางอย่าง ขมวดคิ้ว “ต่อไปอย่าติดต่อกับนางอีก แรงจูงใจไม่บริสุทธิ์”อันที่จริงซ่งซีซีก็รู้เรื่องนี้ แต่เวลานั้นทุกคนกำลังดูละคร หากนางลุกขึ้นจากไปอย่างกะทันหัน จะทำลายอารมณ์สุนทรีย์ของไทเฮาและไทเฟยแต่ซ่งซีซีรู้สึกว่าถงเจี๋ยหยูคนนี้ ก็ไม่ได้ฉลาดมากนักหลังจาก
เขาตกตะลึงเล็กน้อย หันกลับมามองซ่งซีซีด้วยสีหน้าไม่คาดคิด “พระชายาคิดว่าข้าพูดไม่ถูกต้องกระนั้นหรือ? หรือพระชายาคิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติที่จะสั่งสอนได้?”สนมฮุ่ยไทเฟยเอื้อมมือออกไปดึงซ่งซีซี บอกเป็นนัยว่าอย่าทะเลาะกับอาจารย์สนมฮุ่ยไทเฟยรักอดีตฮ่องเต้ จึงเคารพอาจารย์ฉีเป็นอย่างมาก ถึงขั้นที่อยากให้เซี่ยหลูโม่แต่งงานกับบุตรีตระกูลฉี และสุดท้ายเซียนหนิงบุตรีของตนก็ได้แต่งงานกับฉีลิ่ว ซึ่งถือว่าสมความปรารถนายิ่งไปกว่านั้นนางรู้สึกว่าแม้ว่าอาจารย์จะพูดกับซ่งซีซีด้วยน้ำเสียงในเชิงสั่งสอน นั่นก็เป็นเพียงคำตักเตือนจากผู้ใหญ่ถึงผู้เยาว์ ซ่งซีซีควรยอมรับอย่างถ่อมตนแม้ว่าในใจของนางจะรู้สึกไม่สบายใจบ้าง เพราะน้ำเสียงของอาจารย์ฉีเจือไปด้วยความประชดประชัน แถมยังบอกว่าลูกสะใภ้ของนางไร้อารยธรรมอีก แต่ความรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยตรงนี้ก็สามารถมองข้ามไปได้เพราะสถานะของอีกฝ่ายให้เกียรติผู้สูงอายุอย่างไรล่ะซ่งซีซีเงยหน้าขึ้นแล้วมองตรงไปที่เขา “อาจารย์พูดผิดไปแล้ว แม้ว่าข้าจะไม่สามารถอบรมสั่งสอนและให้ความรู้แก่ผู้คนนั้น แต่มีความมุ่งมั่นที่จะปกป้องสถาบันการศึกษาหย่าจวิน ข้ามีความผิด ผิดที่ไม่รู้ว่
เมื่อซ่งซีซีกลับมาถึงบ้าน อาจารย์หยูยื่นจดหมายของเซี่ยหลูโม่ให้นาง แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ท่านเพิ่งออกไปข้างนอก จดหมายของท่านอ๋องก็ส่งมาถึง”ดวงตาของซ่งซีซีเป็นประกาย เอื้อมมือไปรับ ยังไม่รีบร้อนที่จะอ่าน ถามขึ้นว่า “ทำไมอาจารย์ไม่กลับบ้านไปฉลองปีใหม่กับครอบครัวล่ะ?”“ใกล้จะกลับไปเฝ้าปีกับพวกเขาแล้ว นี่ไง กำลังรอส่งจดหมายให้พระชายาด้วยมือตัวเองอยู่” อาจารย์หยูหรี่ตาลง “อยากเห็นพระชายามีความสุข และอยากรู้ว่านอกจากเรื่องส่วนตัวแล้ว ท่านอ๋องยังได้พูดถึงเรื่องอีกหรือไม่”ซ่งซีซีไม่ได้ปิดบังความสุขเลย “นี่เป็นจดหมายฉบับแรกจากเขา ข้าอ่านก่อน”นางรู้ว่าในจดหมายจะต้องมีข้อมูลของสถานการณ์ ฉะนั้นจึงต้องส่งจดหมายฉบับนี้ให้อาจารย์หยูดูเหมือนกันทว่าหลังจากที่นางเปิดจดหมายก็พบว่าจดหมายนั้นแบ่งออกเป็นสามแผ่น สองแผ่นแรกเขียนถึงนาง และอีกแผ่นหนึ่งเป็นคำอธิบายสถานการณ์หลังจากกวาดตาตูคร่าวๆ สักพัก นางก็ยื่นส่วนที่อธิบายสถานการณ์ให้อาจารย์หยู แล้วเก็บจดหมายสองแผ่นที่เขียนถึงนางไว้อ่านค่อยๆ บรรจงอ่านอาจารย์หยูพูดด้วยรอยยิ้ม “เขียนถึงพระชายาสองหน้าเต็มๆ ส่วนการตรวจสอบมีเพียงหน้าเดียว การไปทำงาน
สนมฮุ่ยไทเฟยย่อมมีฐานะมั่นคงเช่นนี้ หลายปีมานี้ไม่ค่อยมีค่าใช้จ่าย รายรับกลับมากไม่น้อยเบี้ยหวัดจากในวัง ของกำนัลจากทุกบ้าน อีกทั้งบรรดาลูกหลานที่โตแล้วต่างก็สามารถตัดสินใจเองได้ บรรดาผู้ที่กตัญญูต่อท่านมีไม่น้อย โดยเฉพาะเสิ่นว่านจื่อ ยิ่งกตัญญูไม่ยั้งมือสำหรับหลานสาวคนเดียวนี้ ท่านไม่มีสิ่งใดที่เสียดายเลย คำพูดที่มักติดปากคือ เมื่อท่านสิ้นไป สมบัติทั้งปวงย่อมตกเป็นของหลานสาวบัดนี้เมื่อแม่ลูกสองคนไปถึงที่อยู่ของท่าน ท่านก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถึงเรื่องที่เซี่ยเจิงจะไปภูเขาเหม่ยชานฝึกวรยุทธ์อีกครา"ไม่ใช่ว่าข้าไม่เห็นดีเห็นงาม เพียงแต่การไปนานถึงเพียงนั้น ปีหนึ่งกลับมาได้ไม่กี่ครั้ง อนาคตยังบอกว่าจะออกไปผจญภัยอีก เด็กหญิงน้อยๆ เช่นนี้ จะไปฝ่าโลกภายนอกได้อย่างไร? ข้าขัดท่านพ่อของเจ้าไม่ไหว เขาเป็นคนไม่เข้าใจโลก พูดอะไรก็ไม่เคยพูดให้เข้าใจได้ ข้าก็ไม่มีทาง""ท่านยาย หลานไม่ใช่เด็กสาวบอบบางหรอกเจ้าค่ะ ท่านลองดูหมัดของหลานเถิด" เซี่ยเจิงชูหมัดขึ้น โบกไปมาอยู่ตรงหน้าสนมฮุ่ยไทเฟย กล่าวอย่างภาคภูมิว่า "หมัดนี้ของหลาน แม้แต่หมูป่ายังต้องสลบเหมือด"สนมฮุ่ยไทเฟยทอดถอนใจ "บุตรีบ้านอื่น มือเอา
สองสามีภรรยาเอ่ยถึงเรื่องราวในอดีต ยิ่งพูดยิ่งรู้สึกอบอุ่นในใจ โดยเฉพาะซ่งซีซี ที่แต่เดิมรู้สึกว่าการแต่งงานครั้งนั้นเป็นการถูกบังคับ แต่ใครจะคาดคิดว่าจะได้พบกับความสุขเช่นวันนี้ช่างเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดานักทันใดนั้นก็มีคนวิ่งพรวดพราดเข้ามาทางประตู ยังไม่ทันเห็นหน้าชัด ก็โผเข้ากอดเซี่ยหลูโม่แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นยินดี "ท่านพ่อ ของขวัญพิธีปักปิ่นที่ท่านมอบให้ข้านั้น ข้าชอบมากนัก ขอบคุณท่านพ่อ ข้ารักท่านพ่อที่สุดเลยเจ้าค่ะ"เซี่ยหลูโม่กล่าวว่า "ยังคงซุกซนเช่นเดิมหรือ? โตเป็นสาวแล้ว ต้องสุขุมให้มากหน่อย"แม้ว่าจะเอ่ยเช่นนั้น ทว่าดวงตากลับเปี่ยมด้วยความเอ็นดู มือช่วยจัดปิ่นที่นางสวมในพิธีปักปิ่นให้เรียบร้อย แล้วเอ่ยต่อว่า "เครื่องประดับหัวทับทิมแดงนั่นเจ้าไม่ชอบหรือ? ท่านแม่ของเจ้าตั้งใจเลือกให้นัก""ชอบเจ้าค่ะ ชอบทุกอย่างเลย" เซี่ยเจิงยิ้มจนตาหยี รักทุกสิ่งที่พ่อแม่มอบให้เซี่ยหลูโม่มองรอยยิ้มของบุตรสาวแล้วพลันรู้สึกเคลิ้มใจบุตรสาวยิ่งโต ยิ่งเหมือนซ่งซีซี ในวันแรกที่พบซ่งซีซีที่ภูเขาเหม่ยชาน นางก็ยิ้มเช่นนี้แต่หลังจากนั้น นางก็แทบไม่เคยยิ้มแบบนี้อีก ต่อ
สายหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมยอด ดอกเหมยเบ่งบานหลายคราเซี่ยเจิงมีพรสวรรค์ทางวรยุทธ์สูงส่งนัก เรื่องนี้เรียกได้ว่าเก็บข้อดีของเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาไว้ทั้งหมดเหรินหยางอวิ๋นสามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิใจว่า เซี่ยเจิงคือลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของภูเขาเหม่ยชานอูโซเว่ยเองก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เมื่อนางถูกเซี่ยเจิงถามว่าใครเก่งกว่ากัน ระหว่างนางกับท่านพ่อ อูโซเว่ยได้แต่ตอบอย่างเลี่ยงๆ ว่า "พอๆ กัน ต่างก็มีข้อดี"วรยุทธ์ของเซี่ยเจิงที่ฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ หาได้มาจากเพียงหมื่นสำนักเท่านั้นนางได้ร่ำเรียนจากทุกฝ่ายในภูเขาเหม่ยชานเมื่อนางมาถึงภูเขาเหม่ยชาน ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ผิวขาวเนียนราวหยก รอยยิ้มหวานละมุน ผู้ใดเห็นก็ต้องเอ็นดูนางช่างพูด ช่างคุ้นเคยเร็ว อีกทั้งปากหวานนัก หลอกล่อให้บรรดาหัวหน้าสำนักต่างถ่ายทอดวิชาให้หมดเปลือกเดิมทีนางมีนิสัยซุกซน แต่ด้วยการมุ่งมั่นฝึกวรยุทธ์ และฝึกฝนวิชาเนื้อใน จิตใจก็สงบนิ่งขึ้นมากครั้นถึงปีที่สิบห้า นางได้เข้าพิธีเก็บปิ่นพิธีเก็บปิ่นจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ของขวัญย่อมหลั่งไหลมาดังสายน้ำ ส่งเข้ามาไม่ขาดสายซ่งซีซีได้มอบ
แสงแดดสาดลงบนกิ่งไม้ ใต้พุ่มใบหนาแน่น เผยให้เห็นขาเล็กๆ คู่หนึ่งแกว่งไปมา ดูแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจนักนางมีนามเดิมว่าเซี่ยเจิง ชื่อนี้จารึกอยู่ในหยกพงศ์ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นชื่อเล่นว่าจิ้งเหยียนว่ากันว่าเพราะมารดาของนางรังเกียจที่นางพูดมาก จึงตั้งชื่อนี้เพื่อกดทับให้นางสงบลงเซี่ยเจิงเองเห็นว่าตั้งชื่อนี้ก็เปล่าประโยชน์ อีกทั้งฟังดูไม่น่าฟัง จิ้งเหยียนก็คือการเงียบงัน เช่นนั้นแล้วนางมีปากไว้ทำไม หากไม่ได้พูด เอาแต่กินหรือ?เช่นนั้นไม่ต้องกินจนอ้วนกลมไปหรอกหรือ?“ท่านหญิงของข้า ท่านอยู่ที่นี่เอง หาเสียจนข้าเหนื่อย” เป่าจูเงยหน้าขึ้นจากใต้ต้นไม้ ทั้งโกรธทั้งขบขัน “รีบลงมาเถิด ท่านอ๋องกับพระชายากำลังตามหาท่านอยู่”“ท่านอาเป่าจู พวกเขาเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน?” เสียงใสๆ ดังลงมาจากบนต้นไม้ แฝงด้วยความสบายใจและอิ่มหนำ“พระชายาจะไปภูเขาเหม่ยชาน บอกว่าจะพาท่านไปด้วย ท่านอยากไปหรือไม่?” เป่าจูเอ่ยเซี่ยเจิงได้ยินดังนั้น ก็รีบลื่นไถลลงจากลำต้นไม้ สองข้างไหล่มีเจ้าสุนัขจิ้งจอกสีขาวสองตัวเกาะอยู่ นางยิ้มดีใจกล่าวว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นรีบไปเถิด”สองสุนัขจิ้งจอกนั้น ตัวหนึ่งชื่อเซวียนเช
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร