เพราะสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนตอนเมา ที่ทำให้เธอตกเป็นของเขาแบบไม่รู้ตัว ~เพราะเมา เธอเลยยั่วเขาแบบไม่รู้ตัวเลยสักนิด~ แต่ใครจะคิดละว่าเขาจะเป็นเจ้านายหมาดๆ ในวันรุ่งขึ้น หลังจากสอนบทรักร้อนแรงให้เธอ แล้วเธอจะทำยังไง ในเมื่อเขามีคู่หมั้นแล้วด้วย เธอจะยั่วให้เขาเป็นของเธอ หรือหอบหัวใจหนีไปแบบคนแพ้ดี “ไม่เอากับคนเมา” นั่นคือสิ่งที่เขาทำมาโดยตลอด แต่ทุกสิ่งก็ต้องพังลง เมื่อเจอคนเมาขี้ยั่วแบบเธอ “ยั่วไม่เป็น” นี่คือร่างปกติของเธอที่เขาเห็นอีกครั้งในห้องทำงานของตัวเอง แต่มันไม่จริงสักนิด เธอนะยั่วเขาเก่งจะตาย แต่เป็นยั่วโมโหนะ
View Moreตึกๆ ตึกๆ
เสียงรองเท้าย้ำไปกับพื้นถนน ก่อนที่ร่างบอบบางสวมแว่น จะขึ้นไปยืนบนฟุตบาททันทีที่ข้ามถนนได้ ยืดอกให้ดูผ่าเผยขึ้น มือกำเอกสารสำคัญของตัวเองไว้แน่น สูดลมหายใจลึกๆ จึงก้าวเดินอย่างมาดมั่น เข้าไปในตึกขนาดใหญ่ เพื่อไปสัมภาษณ์งาน
“สวัสดีค่ะ มาตามนัดสัมภาษณ์งานค่ะ”
นิรายกมือไหว้คนที่เคยเจอแล้วตอนมากรอกใบสมัคร
“ตอนนี้ท่านไม่อยู่ มีธุระด่วน เดี๋ยวติดต่อไปใหม่ หรือไม่ก็ไปสมัครที่อื่นเถอะ” คนสวยตรงหน้าพูดด้วยรอยยิ้มเหยียด ใช่ รอยยิ้มเหยียดหยัน! ที่นิรามองเห็นชัดเจน
“แต่พี่คนที่อยู่ข้างๆ เมื่อวานนัดมานะคะ หนูขอรอได้ไหมคะ” เธอเอ่ยขอร้องอีกครั้ง ถ้าเธอกลับไป เธออาจจะพลาดงานนี้ก็ได้ ทั้งที่เมื่อวานพี่คนที่รับเรื่องเธอ พูดเหมือนว่าจะรับเธอเข้าทำงานแล้วด้วยซ้ำ
“ท่านไม่กลับเข้ามาง่ายๆหรอก น่าจะอีกนานอะ” เธอพูดอย่างหงุดหงิด เมื่อยัยเฉิ่มข้างหน้าดูท่าจะเข้าใจอะไรยาก
“งั้นเหรอคะ งั้นหนูลาเลยนะคะ” นิรารีบยกมือไหว้แล้วเดินออกไปทันที เธอเสียเวลามามากแล้ว ไม่ได้ที่นี่ก็ต้องหาที่ใหม่ต่อ แต่ในใจก็นึกโกรธคนเป็นเจ้าของที่นี่ ถ้าไม่พร้อมจะสัมภาษณ์เธอ ไม่รู้จะนัดเธอมาทำไมแต่เช้าแบบนี้
“โอ้ย! !” นิราเดินออกมาตะโกนหน้าตึกขนาดใหญ่ ไม่สนใจรอบข้างเลยสักนิด ตอนนี้เพิ่งจะ 07.50 น. เธอมาก่อนเวลาตั้งชั่วโมง แต่กลับไม่ได้งาน มันทำให้เธอหงุดหงิดมาก
แต่ก่อนที่จะอารมณ์เสียไปมากกว่านี้ เสียงเครื่องมือสื่อสารของนิราก็ดังขึ้น
Tru Tru Tru
[ยัยนิรา~ มาอยู่กรุงเทพทำไมไม่บอกเพื่อนสักคำ] เสียงตะโกนอย่างดีใจดังลอดออกมา จนนิราแทบไม่ต้องแนบโทรศัพท์ไปกับหูเลย
“ก็เพิ่งมา เลยยังไม่ได้บอก” นิรายืมเจื่อนๆ ให้โทรศัพท์ เธอลืมบอกเพื่อนไปเลย
[แล้วนี่มาอยู่คนเดียวเหรอ ได้งานทำหรือยัง มาทำกับเราไหม มีตำแหน่งว่าง เย็นนี้มาเจอกันหน่อยไหม คิดถึง] ปลายสายพูดอย่างอารมณ์ดี
“นิวอยู่กับพี่ที่เคยทำงานด้วยจ้า คอนโดพี่เขาต้องการคนเช่าพอดี นิวกำลังหางานอยู่ แต่คืนนี้นิวไม่ว่างจ้า” บอกเพื่อนสาวไปเสียงเบา ตอนนี้กำลังก้าวเท้าออกเดิน จากหน้าตึกที่มีเจ้าของเฮงซวยนี้
[งั้นวันไหนที่นิว หางานด้วยตัวเองแล้ว แต่ยังไม่ได้ ติดต่อมานะ เรายินดีช่วยเสมอ] ปลายสายพูดด้วยความหวังดี รู้ดีว่าเพื่อนไม่อยากพึงพาเธอ เพราะเกรงใจเธอมาตลอด แต่เธอกลับอยากช่วยด้วยความเต็มใจเสมอ
“ขอบคุณจ้าทับทิม เดี๋ยวถ้านิวหางานไม่ได้ นิวจะให้ทับทิมช่วยคนแรกเลย” นิรายิ้มแย้มขึ้นมาทันที ทับทิมคือเพื่อนสมัยเด็ก ที่พ่อแม่พาย้ายมาอยู่กรุงเทพตอนเข้ามหาลัย แม้จะเรียนคนละที่ แต่ความรักและหวังดีก็ยังมีให้นิราไม่เปลี่ยนแปรง
[จ้า ว่างๆ เข้ามาหาที่บ้านบ้างนะ คิดถึง พ่อกับแม่ก็บ่นหานิวทุกวันเลย] ทับทิมเจ้าของเสียงหวานๆ ที่เข้ากับใบหน้าพูดอย่างอารมณ์ดี นี่ถ้าเธอไม่อ่านเจอสตอรี่ของนิรา ก็คงไม่มีทางรู้ว่าเพื่อนกำลังลำบากหางานอยู่ในเมืองกรุงคนเดียว
“จ้า โอ้ย!” เพราะมัวแต่คุย นิราเลยสะดุดล้มเพราะพื้นต่างระดับ แว่นตาหลุดกระเด็นไปที่ไหนสักที่ทันที
กร๊อบ!
“อ๊า~ แว่นจ๋า” นิรามองแว่นของตัวเอง อยากจะร้องไห้ออกมาเสียงดัง ให้แว่นสุดรักของตัวเองที่มันไปกองอยู่แทบเท้าของใครสักคน แถมอยู่ในสภาพที่แหลกละเอียดเป็นที่เรียบร้อย
“เป็นอะไรไหมครับ” ชายคนนั้นไม่สนใจแว่นของนิราเลย เพราะเขารีบเข้ามาพยุงร่างของนิราให้ลุกขึ้น ก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมามอง
“คุณ ฮือ แว่นฉัน” เธอไม่ได้ด่าแต่คำพูดเหมือนฟ้องผู้ชายรูปหล่อที่เอาแต่ยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน
“ผมไม่ได้ตั้งใจ แว่นคุณมันวิ่งเข้ามาใต้เท้าผมเองนะ” เขาทอดสายตาลงมองใบหน้าที่ปราศจากแว่นยิ้มๆ ทำไมคนตรงหน้าเขา ถึงเลือกใส่แว่นอันใหญ่บดบังดวงตาสีสวยขนาดนี้ด้วยนะ
“ฉันสะดุดเถอะ ใครมันจะไปตั้งใจให้แว่นวิ่งไปอยู่ใต้เท้าคุณละ” นิรายังคงเถียงใบหน้าที่อยู่ใกล้ๆ ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าถูกร่างสูงประคองไว้ เพราะมัวแต่เถียงกับเขา เรื่องแว่นของเธอที่ถูกเขาเหยียบจนมันแตกละเอียด
“ท่านค่ะ เดี๋ยวต้องเข้าประชุมแทนท่านประธานนะคะ”
ขณะที่นิรากำลังจะเค้นหาคำมาเถียงคนตรงหน้า ก็ได้ยินเสียงหวานๆ เรียกอยู่ไม่ไกลนัก เห็นผู้ชายคนนี้พยักหน้าหงึกหงัก ทั้งยังปล่อยมือออกจากร่างนุ่มนิ่มของเธอ
“มาสมัครงานที่นี่เหรอ” ชายหนุ่มถามเธอนิ่งๆ เห็นเธอกอดเอกสารไว้แน่น เธอไม่ใช่คนในบริษัทเขาแน่ๆ เขาไม่เคยเห็นเธอ เพราะเขาไม่มีทางพลาดจากของสวยๆ งามๆ ตรงหน้านี้แน่
“อืม แต่ไม่ได้งานหรอก คนที่นัดสัมภาษณ์เทฉันไปแล้ว” นิราแค่อยากบ่นให้ใครสักคนฟัง ถึงความไม่ยุติธรรมที่เธอได้รับ และพอดีชายหนุ่มคนนี้ยืนอยู่ตรงนี้ก็แค่นั้น
“งั้นไปกับผม ผมจะสัมภาษณ์เอง ชดเชยที่ทำแว่นคุณพัง”
พูดจบก็จับมือนิรา เดินเข้าไปในตึกใหญ่นี่ทันที ตามด้วยผู้หญิงสวยๆ ที่ทำหน้าเรียบนิ่ง เดินตามคนทั้งคู่ไป
ตลอดทางที่ชายคนนี้กับนิราเดินผ่านจนกระทั่งขึ้นลิฟไปชั้นบนสุด มีแต่คนทักทายและก้มหัวให้ เขาทำแค่พยักหน้ารับ ส่วนนิราตัวลีบตัวหดหมดแล้ว เขาคนนี้เป็นใครกันแน่
“เอ่อ ท่านรองค่ะ จะพาเด็กคนนั้นไปไหน” หญิงสาวที่ยืนอยู่โต๊ะก่อนถึงหน้าห้องที่เขียน ‘ว่ารองประธาน’ พูดขึ้น
ผู้หญิงที่นิราเพิ่งเจอ
“ผมจะสัมภาษณ์เธอเอง หลังจากประชุมเสร็จแล้ว หาน้ำไปให้เธอด้วย อย่าให้คนไล่เธอไปไหน คุณเจน ผมขอเอกสารการประชุมด้วยครับ” ชายหนุ่มสั่งเลขาชั่วคราวของท่านประธาน ก่อนจะหันมายิ้มให้เลขาตัวเอง แล้วรับเอกสารที่เธอยื่นมาให้
“ไปรอผมในห้องนั้น แล้วเตรียมตัวให้ดี หวังว่าผมจะไม่ผิดหวังที่พาคุณมาด้วยตัวเอง” เขาชี้มือบอกนิราไปรอที่ห้องของรองประธาน ก่อนจะยิ้มนิดๆ แล้วเดินจากไปทางห้องประชุมที่เธอกับเขาเพิ่งเดินผ่านมา
“เข้าไปสิ จะยืนเช่อทำไม ยัยบ้านนอก” พูดเสียงดังให้ได้ยิน ก่อนจะเหยียดปากใส่เด็กสาวตรงหน้า ดูยังไงก็บ้านนอกชัดๆ เสื้อผ้าที่ใส่ก็เชยแสนเชย แถมผิวก็คล้ำกว่าเธอมาก
“เห้อ!”
นิราเดินเข้าไปนั่งรอในห้องทันที ไม่หวังน้ำดื่มอย่างที่ชายคนนั้นบอก แค่ไม่โดนไล่ออกไปตอนนี้ก็ดีแล้ว นิรานั่งอยู่เงียบๆ เธอไม่ต้องเตรียมตัวอะไรหรอก เพราะเตรียมมาแล้วนั่นเอง
นิราก้มมองร่างกายตัวเองอีกครั้ง สภาพเธอไม่ได้แย่สักหน่อย เธอใส่เสื้อสีขาวกับกางเกงสีดำ ซึ่งมันก็ดูเหมาะสมกับการสัมภาษณ์งานนี่นา แล้วเธอบ้านนอกตรงไหน หรือเพราะไอ้สีผิวของเธอที่มันโผล่พ้นเสื้อแขนยาวสีขาวนี่เหรอ มันคล้ำกว่าคนอื่นๆที่อยู่ในนี้ เลยดูบ้านนอกเหรอ นิราคิดอย่างสงสัยในคำพูดของผู้หญิงคนนั้น
เธอยอมรับว่าตัวเองมาจากต่างจังหวัด ไม่ได้มีผิวสีขาวเนียนละเอียดเหมือนคนในกรุงเทพ แต่เธอคิดว่าถ้าเธออยู่กรุงเทพนานกว่านี้ เธอต้องขาวขึ้นแน่นอน บางทีเธออาจจะขาว และสวยกว่าผู้หญิงที่ดูถูกเธอด้วยซ้ำ
นิรามองมือตัวเองที่มันคล้ำ เพราะตากแดดช่วยแม่ทำงาน แต่ไม่เคยนึกรังเกียจความดำของมันสักนิด ยิ่งมองดูมัน ยิ่งคิดถึงคนเป็นแม่ ถ้าไม่ใช่เพราะหนี้ก้อนโต เธอคงไม่ต้องทิ้งแม่มาหางานทำในกรุงเทพคนเดียว
“ทำไมไม่กลับบ้านเลยละ” เสือเดินออกมาถามลูกสาว ที่ยังไม่ยอมเข้าไปในบ้าน ข้างๆ เขาคือภรรยาและลูกสาวคนกลาง“ทำไมต้องกลับมาที่นี่ละคะ งานยุ่งจะตาย ตอนนี้คุณพ่อก็มีทุกอย่างครบแล้วนี่คะ จะแคร์ทำไม กับอีแค่ลูกคนเดียวไม่กลับมาบ้าน”ทุกครั้งที่เธอกลับมา เธอจะระเบิดความน้อยใจที่อัดอั้นไว้ทุกครั้งและหนีกลับไป แค่ดูเหมือนครั้งนี้จะแตกต่าง เพราะไอ้ตัวแสบที่กอดเธอไม่ปล่อย จึงไม่สามารถกลับขึ้นรถที่อยู่ห่างออกไปเพียงนิดเดียวได้เลย“นินทำไมพูดกับพ่อแบบนั้นละลูก”“แม่ก็เข้าข้างพ่อตลอด อยากรู้ไหมทำไมหนูถึงไม่อยากกลับ ก็เพราะว่าที่นี่ไม่ต้องการผู้หญิงแบบนินไง”นิรากำลังจะเอื้อมมือไปดึงลูกสาวของเธอที่กำลังร้องไห้น้อยอกน้อยใจอย่างทุกทีที่กลับมาบ้าน แต่คนเป็นสามีกลับเดินไปถึงตัวเธอก่อน แล้วดึงเธอมากอดไว้อย่างหวงแหน“ใครบอกครับว่าพ่อไม่ต้องการนิน พ่อรู้ว่าที่นิน ทำทุกอย่างจนมันเหนื่อย พ่อผิดเองที่ยกทุกอย่างให้นินดูแล แต่เพราะว่านั่นคือสิ่งที่พ่อเชื่อมั่น ว่านินทำได้ พ่อถึงยกให้ นินมีค่านะครับมีค่ากับพ่อและน้องทุกคน และนินมีค่าที่สุดกับแม่”“พ่อขอโทษที่ทำให้เสียใจ เพราะพ่ออยากได้ลูกชายมากจริงๆ แต่ไม่ใช่ว่าพ่อ
“พี่แพท จะไปเที่ยวกับลินินไหมคะ”“ทำไมต้องไป” แพทริคพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะเสมองไปทางอื่นเมื่อยัยเด็กไม่รู้จักโตยื่นหน้ามาใกล้“ก็ลินินกับมิรินเพิ่งเคยมา ไม่รู้จักที่นี่เลย นะคะ” เด็กน้อยให้เหตุผลแกมออดอ้อน ถึงพ่อจะพาไปเที่ยวบ่อยๆ แต่ที่นี่เพิ่งเคยมาจริงๆ“นะก่ะ” มิรินวัยสามขวบแล้วแต่พูดยังไม่ชัด เอ่ยปากพูดตามพี่สาว ก่อนที่เพเทอร์จะหัวเราะ โตแล้วแต่เธอยังพูดไม่ชัดเลย“ฟันหลอรึเปล่า ทำไมพูดไม่ชัด” เพเทอร์เป็นเด็กซนต่างจากพี่ชายที่นิ่งๆ เพเทอร์พูดจบก็จับใบหน้าน้องเล็กที่สุด แล้วเอามือไปดูฟันของน้องจริงๆ“ฮาฮา มิรินฟันหลอ” เพเทอร์หัวเราะสนุกสนาน และเด็กน้อยวัยสามขวบก็หัวเราะตามผู้ใหญ่ที่นั่งคุยกันอยู่ถึงกับส่ายหน้ากับเด็กๆ“พักผ่อนกันก่อนนะครับ พรุ่งนี้ค่อยพาเด็กๆ เที่ยว” อภิวัฒน์ พูดจบก็จับมือภรรยาลุกขึ้น“เด็กๆ ต้องกลับแล้ว น้องจะได้พักผ่อน พรุ่งนี้ค่อยมา” สิ้นเสียงเรียก เด็กชายทั้งสองก็วิ่งมาทางพ่อแม่ ก่อนจะวิ่งออกไปทางประตูโดยไม่รอใครเลย“เราก็ไปพักกันดีกว่า” นิราเดินมานั่งกับลูกสาวทั้งสอง ก่อนจะอุ้มมิรินไว้ในอ้อดกอด ส่วนลินินก็พยายามจะขึ้นมาขี่ที่หลังของนิราด้วยความลำบาก“ลิ
ตลอดเวลาที่อยู่ในห้อง เธอกับเขาทำเพียงแค่นั่งคุยกันถึงเรื่องราวที่ผ่านมา เพราะรู้จักกันไม่นานเธอกับเขาก็มีลูก และใช้เวลาทั้งหมดไปกับการเลี้ยงลูกและดูแลคนในครอบครัว จึงแทบไม่ค่อยได้คุยกันจริงจังแบบนี้เลยสักครั้งและการคุยกันแบบนี้มันช่างสนุก และมีความสุข เหมือนเธอกับเขาเพิ่งจะได้คุยกันเหมือนแฟนเป็นครั้งแรกเสือมองหน้าแดงระเรื่อของภรรยา ส่วนปากเธอก็ขยับคุยเรื่องของเธอให้เขาฟังไม่หยุด เมื่อไหร่จะเมาเนี้ย หมดไปสองขวดแล้วนะ“สนุกไหมครับ” เสือถามคนที่ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม คงจะคอแห้งนั่นแหละ เล่นพูดไม่หยุดแบบนี้“ทั้งๆ ที่แต่งงานกันมา8 ปีแล้ว เพิ่งจะได้มาทำอะไรที่เหมือนแฟนกันครั้งแรก” นิราบอกด้วยรอยยิ้ม วันนี้เธอมีความสุขนะ แม้ตลอดเวลาที่ผ่านมาจะมีความสุขดี แต่การคุยกันแบบนี้ก็ทำให้เธอเข้าใจพี่เสือมากขึ้น“ครับ พี่ก็รู้สึกแบบนั้น”เสือปัดปอยผมออกให้ภรรยา ก่อนจะดึงเธอเข้ามากอด รอไม่ไหวหรอก ถ้ารอให้ยัยนี่เมาเขาต้องหลับก่อนแน่ๆเสือวางเธอลงบนเตียงกว้าง ทั้งยังสบตาคนที่มองเขาอยู่ตลอด เขาจะลองเสี่ยงดวงอีกครั้ง ถ้าครั้งนี้ไม่ท้อง เขาก็จะตัดใจเรื่องลูกชาย จะไปทำหมันแล้วนิราพลิกตัวขึ้นมาคร่อมทับคนที่
3 ปีผ่านไป“คุณพยัคฆ์ค่ะ ช่วยเซ็นอนุมัติการผลิตรถรุ่นใหม่ด้วยค่ะ”เลขาคนสวยที่มากด้วยความสามารถเดินเข้ามาวางเอกสารลงบนโต๊ะของเสือ ก่อนจะส่งสายตายั่วยวนให้เจ้านายสุดหล่อของเธอเธอเพิ่งจะมาทำงานได้เดือนเดียว เพราะคนเก่าของคุณพยัคฆ์ลาออกไป มันจึงเป็นโอกาศเหมาะที่เธอจะได้ทำงานเลขาให้เขาพยัคฆ์ตรงหน้าดูหล่อเหลา และภูมิฐาน แม้จะอายุ 38 ปีแล้ว แต่เขาก็ยังดูดีไปหมดทุกอย่างแก๊ก ปังงงงงงงนิราเปิดและปิดประตูลงเสียงดัง จนเลขาที่กำลังสงสายตาให้พยัคฆ์อยู่สะดุ้งทันที ก่อนเธอจะมองนิราที่เข้ามาใหม่อย่างสำรวจ ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน เธอไม่เคยเห็น ก็สวยอยู่หรอกแต่ดูท่าทางไม่น่าจะใช่สเปคเจ้านายเธอ“บริษัทของพี่ทัศติดต่อมา ให้พี่เสือบินไปต่างประเทศด่วน ไม่ได้อ่านไลน์เหรอคะ”นิราไม่สนใจเลขาคนใหม่ของสามี แต่เดินมาหยุดหน้าโต๊ะ แล้วถามสามีนิ่งๆตอนนี้เธอทำหน้าที่ประสานงานกับบริษัทคู่ค้าทั้งหมดของอัครโยธินกุล และบริหารร้านเบเกอรี่ จึงต้องเข้าออกบริษัทบ่อยครั้ง แต่เลขาคนใหม่ที่เพิ่งเข้ามายังไม่เคยเจอเธอ และคงไม่รู้ว่าสามีเธอแต่งงานแล้ว มีลูกด้วยกันกับเธอถึงสองคน“ครับ พี่ยุ่งอยู่ยังไม่ได้อ่านไลน์ เดี๋ยวเสร็จนี
เสือพานิราอยู่ที่สวิตฯเดือนเดียวจริงๆ แต่ก็ถือว่าเที่ยวได้เยอะพอสมควร เพราะได้ครอบครัวของเมลานีที่อาศัยอยู่บ้านข้างๆ นำเที่ยวตลอด และตอนนี้ครอบครัวของเธอก็ยังอาสามาส่งที่สนามบินอีกด้วย“ถ้าคลอดแล้ว พาลูกสาวมาเที่ยวบ้างนะคะ” เมลานี บอกกับเสือและนิราที่นั่งรอขึ้นเครื่อง“แพทริคอยากไปหาน้องบ้าง” แพทริคที่พูดได้คล่อง บอกเบาๆ พลางวางมือลงบนท้องน้อยๆ ของนิรา“ถ้าน้องคลอดแล้ว จะส่งตั๋วเครื่องบินมาให้แพทริคนะคะ” นิราลูบหัวเด็กชายตัวน้อยอย่างเอ็นดู แพทริคชอบมาหาเธอบ่อยๆ และบ้านของเมลานีก็คอยช่วยเหลือเธอกับเสือมาตลอดหนึ่งเดือน“สัญญานะครับ”“จ้า” นิราเกี่ยวก้อยสัญญากับลูกครึ่งไทย-สวิตฯ ที่โตขึ้นต้องฉายแววความหล่อเหมือนแม่กับพ่อแน่ๆ“เดินทางปลอดภัยนะครับ” สามีของเมลานี ยกมือขึ้นจับเสือเป็นการกล่าวลา ก่อนจะพาเด็กๆ และภรรยาเดินจากไป“กลับบ้านเรากันเถอะครับ”เครื่องบินลำใหญ่ พาเสือกับนิรามาถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ ก่อนคนทั้งคู่จะขึ้นรถที่คุณหญิงส่งไปรับกลับมาที่บ้านของตัวเองเท่านี้ก็ถือว่าเขากับเธอปลอดภัยแล้วที่เหลือก็ใช้ชีวิตปกติ และรอแค่ลูกคลอดเท่านั้น“พี่เสือของขวัญเต็มบ้านเลยค่ะ” ทันทีที่เปิดเข
ก๊อกๆๆเหมือนผีจะหลอกเขากลางวันแสกๆ เพราะเสือไม่เห็นใครเลยแต่เสียงเคาะประตูยังดังอย่างต่อเนื่อง เสือจึงต้องเปิดประตูออกไปดู ว่าผีที่ไหนมาเคาะประตูบ้านกลางวันแสกๆ“Gruetzi”ทันทีที่เสือเปิดประตูออกไป ก็เจอเด็กคนนึงยืนยิ้มกว้าง ก่อนจะพูดอะไรก็ไม่รู้“????” เสือทำหน้างงอย่างหนัก เด็กผีนี่มาจากไหน ทำไมพ่อแม่ปล่อยออกมาเล่นคนเดียวแบบนี้ แถมพูดอะไรที่เขาฟังไม่รู้เรื่อง“Was musst du tun, Kind?” เสียงผู้หญิงที่ออกมาจากบ้านข้างๆ ตะโกนมาทางเขาและเด็กชายตัวน้อยเสือเข้าใจว่าคนสวิตฯส่วนใหญ่ใช้ภาษาเยอรมันในการสื่อสาร แต่เขาไม่มีความรู้เรื่องภาษาเยอรมันเลย เพราะเขาทำธุรกิจอยู่โซนเอเชีย ที่เน้นหลักทางจีน ภาษาจีนกับอังกฤษจึงเป็นภาษาที่เขามั่นใจมากที่สุด“สวัดดีค่ะ” ผู้หญิงที่เพิ่งออกมาจากบ้านข้างๆ เดินมาใกล้ก่อนจะพูดเป็นภาษาไทย เมื่อคนตรงหน้าเธอมีสีหน้างงๆ“ครับ?? คนไทย?”“เปล่าค่ะ แต่สามีฉันเป็นคนไทย” ผู้หญิงที่ดูยังไงก็เป็นชาวต่างชาติ พูดด้วยภาษาไทยที่ไม่ค่อยชัด แต่เสือกลับฟังรู้เรื่องกว่าภาษาที่เธอกับเด็กคนนี้พูดออกมาก่อนหน้านั้น“แพทริค ทำไมไม่สวัสดีละ แล้วการที่มาเคาะบ้านคนอื่น รู้ไหมมันเสียมารย
Comments