นางจีฟังการสนทนาระหว่างสองแม่ลูกอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดว่า "คราวนี้ที่ให้เจ้ากลับมาไม่ใช่คุยเรื่องเหล่านั้น ตอนนั้นเจ้าสิบเอ็ดเสียชีวิต ทางตระกูลฝางได้ให้จดหมายปล่อยตัวเจ้า เจ้ากลับบ้านพ่อแม่เป็นเรื่องปกติ เพราะพวกเจ้าไม่มีลูก และตระกูลฝางไม่ยอมให้เจ้าเป็นแม่หม้ายตลอดชีวิต ก่อนที่เจ้ากลับมา เจ้าก็ร้องห่มร้องไห้ที่ตระกูลฝางว่าจะไม่แต่งงานใหม่เด็ดขาด ทางตระกูลฝางถึงยอมมอบเงินทำขวัญของเจ้าสิบเอ็ดและร้านค้าสองแห่งแก่เจ้า บัดนี้เจ้าแต่งงานใหม่แล้ว ข้าว่าเราไม่ควรเอาเปรียบพวกเขา เงินทำขวัญเราจะคืนให้พวกเขา ส่วนร้านค้าสองแห่งนั้นจะคิดเป็นเงินให้พวกเขา เจ้าว่ายังไง"สมองของหวังชิงหลูยังคงมึนงง หลังจากได้ยินสิ่งที่พี่สะใภ้ใหญ่พูดนั้น นางก็ส่ายหัวด้วยจิตใต้สำนึก "ไม่ ทำไมต้องคืนล่ะ? ข้าไม่ได้ทำผิด และเขาก็ไม่ตาย ทำไมไม่ส่งข่าวมาบอก แม้ว่าข้าจะกลับบ้านพ่อแม่ แต่ข้าก็เป็นแม่หม้ายมาหลายปีถึงแต่งงานใหม่""ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าออกเงินหรอก ข้ากับท่านแม่จะช่วยจ่ายแทนให้เจ้า" นางจีขึ้นเสียง "แต่เจ้าต้องแสดงทัศนคติด้วย เรื่องนี้จะให้ท่านแม่กับข้าออกหน้าเป็นสองคนไม่ได้""ให้ข้าออกหน้ายังไง ข้าเป็นลูกสะใภ้
ความคิดเห็นทั้งลูกสะใภ้และแม่สามีสามคนตรงกัน ส่วนหวังชิงหลูเห็นว่าไม่ต้องให้นางออกเงินเอง ทางครอบครัวออกเงินให้ หลังจากยืนกรานอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบตกลงแล้วนางจีไม่ได้ให้นางออกหน้า เพราะตอนนี้นางเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลจ้านแล้ว ดังนั้นเพียงให้นางเขียนจดหมายถึงนางลู่ และลงท้ายด้วยนางหวังจ้านนางหวังจ้าน หมายความว่านางเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลจ้าน ดังนั้นมาคืนเงินทำขวัญให้หลังจากที่หวังชิงหลูเขียนจดหมายเสร็จก็มอบให้นางจี และพูดอย่างไม่เต็มใจว่า "จริงๆ แล้วทำไมต้องทำอะไรไร้สาระล่ะ? ทำเหมือนกับที่ข้าแต่งงานใหม่มันทำผิดไปอย่างไรอย่างนั้น"นางจีกล่าวว่า "ตอนที่เจ้าแต่งงานกับจ้านเป่ยว่าง เจ้าเป็นคุณหนูสามจากจวนป๋อผิงซี ไม่มีใครว่าเจ้าเรื่องแต่งงานใหม่ ข้าขอบอกตรงๆ กับเจ้า ที่ข้าทำแบบนี้เพราะอยากให้เจ้าอยากคิดอะไรไม่ควรคิด"หวังชิงหลูโกรธมากจนหัวเราะ "ข้าจะคิดอะไรได้อีกล่ะ หรือว่าเจ้าคิดว่าข้าจะหย่ากับจ้านเป่ยว่างและกลับไปคบกับเจ้าสิบเอ็ดหรือ เจ้าคิดว่าข้า หวังชิงหลูเป็นคนแบบไหนกัน?""เป็นการดีที่สุดที่เจ้าไม่คิดอย่างนั้น เจ้าเป็นคนแบบไหนข้ารู้ดี"หวังชิงหลูหงุดหงิดมาก "พี่สะใภ้ใหญ่ คนเราเป็นมนุ
นางจีไม่สนใจว่าแม่จะคิดอย่างไร แต่ต้องทำสิ่งนี้ให้เรียบร้อยก่อนตอนนี้เจ้าสิบเอ็ดฝางไม่ได้ตาย งั้นทางตระกูลฝางจะคืนเงินทำขวัญให้กับราชสำนักอย่างแน่นอน อย่างมากฮ่องเต้จะมอบเงินก้อนนี้ให้เขาในนามอื่น แต่มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่มีคนที่ยังมีชีวิตอยู่จะรับเงินทำขวัญเสียชีวิตไว้ มันไม่ดีนางจีรีบพานางหลานไปที่ ชตระกูลฝาง เมื่อพบกับนางลู่ หลังจากที่นางรู้ข่าวดีนี้ ก็ดีใจจนเป็นลมไปครั้งหนึ่ง บัดนี้ได้นอนพักฟื้นอยู่บนเตียงเมื่อได้ยินว่านางจีต้องการคืนเงินทำขวัญและยังเอาร้านคิดเป็นจำนวนเงินคืนให้ด้วย ทางตระกูลฝางก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ถึงยังไงพวกเขาก็ไม่คิดที่จะขอพวกนั้นคืนนางจีพูดด้วยรอยยิ้ม "เราดีใจมากที่ได้ยินว่าเจ้าสิบเอ็ดยังมีชีวิตอยู่ ในเมื่อเขาไม่ตาย เงินทำขวัญนี้จึงต้องคืนให้กับทางทางราชสำนัก เป็นเพราะตระกูลฝางของพวกเจ้าเมตตาให้เงินก้อนนี้แก่คุณหนูสามของเรา ตอนนี้นางแต่งงานใหม่แล้ว ย่อมรับมันไว้ไม่ได้ และเป็นความต้องการของนาง นางยังเขียนจดหมายมาฉบับหนึ่งเพื่อทักทายท่านฮูหยินผู้เฒ่ารองด้วย"นางจีหยิบจดหมายออกมาแล้วมอบให้ฮูหยินของฝางเทียนสวี ตอนนี้ฝางฮูหยินรับผิดชอบเรื่องฝ่ายในขอ
จ้านเป่ยว่างรู้ว่าเจ้าสิบเอ็ดฝางยังมีชีวิตอยู่ รวมถึงหวังชิงหลูคืนเงินทำขวัญและร้านค้าของเจ้าสิบเอ็ดฝางด้วยอย่างไรก็ตาม เขาไม่รู้ว่าเป็นทางจวนป๋อผิงซีจ่ายเงินคืนให้นางนับตั้งแต่เหตุการณ์การลอบสังหารและหวังชิงหลูถามจี้เขาว่าได้รักนางบ้างไหม พวกเขาแทบไม่ได้คุยกันอีกเลยตอนนี้เมื่อรู้ว่าเจ้าสิบเอ็ดฝางยังมีชีวิตอยู่ จ้านเป่ยว่างลังเลอยู่นานก่อนจะเข้าไปในเรือนเหวินซีหวังชิงหลูนั่งอยู่บนที่นั่งผ้านุ่มด้วยจิตใจว่างเปล่า เมื่อเห็นเขาเข้ามาพร้อมกับแสงไฟ นางก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและเกือบจะโพล่งชื่ออีกคนหนึ่งออกมา ซึ่งเป็นชื่อที่นางคิดอยู่ในใจในเมื่อกี้ตลอดเมื่อเห็นชัดเจนว่าเป็นจ้านเป่ยว่าง ใบหน้านางก็นิ่งลง "ข้ายังคิดว่าเจ้าจำประตูเรือนเหวินซีเปิดไปทางไหนไม่ได้แล้ว เห็นยากจริงๆ สินะ"จ้านเป่ยว่างให้สาวใช้ออกไปหมด และนั่งลง "ข้าได้ยินเรื่องของเจ้าสิบเอ็ดแล้ว"หวังชิงหลูพูดอย่างเย็นชา "แล้วไงล่ะ?"จ้านเป่ยว่างกล่าวว่า "ข้ารู้ว่าเจ้าผิดหวังในตัวข้า และไม่พอใจกับจวนแม่ทัพ ตอนนี้เจ้าสิบเอ็ดกลับมาแล้ว ถ้าเขาไม่รังเกียจที่เจ้าได้แต่งงานใหม่ ส่วนเจ้าก็มีใจให้เขา ข้ายอมเติมเต็มความต้องการของพ
คืนนั้น จ้านเป่ยว่างไม่ได้ออกจากเรือนเหวินซี เขายังค้างคืนที่ที่พักของหวังชิงหลูเป็นเวลาหลายคืนติดต่อกันยี่ฝางเริ่มตกแต่งลานบ้านของนาง แน่นอนว่าทางจวนจะไม่มีเงินให้นาง ดังนั้นนางจึงใช้เงินส่วนตัวในการตกแต่งมันประตูและหน้าต่างทั้งหมดทำจากไม้ที่แข็งแรงที่สุด ไม้เหล็กไม่มีจำหน่ายชั่วคราว นางจึงขอให้พ่อค้าไม้ช่วยหามันให้ ถ้าได้พบมัน นางยอมซื้อมันในราคาที่สูงนางยังเปลี่ยนชื่อเรือนเป็นเรืองมงคล ซึ่งแปลว่าทุกอย่างจะโชคดีเนื่องจากนางออกจากกองทัพแล้ว และไม่มีชุดเกราะ นางจึงแอบขอให้พ่อค้าทำเกราะป้องกันหน้าอกและสวมมันทั้งกลางวันและกลางคืน เพราะกลัวว่ามือสังหารจะบุกเข้ามาอีกสำหรับความสนิทสนมระหว่างจ้านเป่ยว่างและหวังชิงหลูในทุกวันนี้ นางไม่สนใจเลย ชายที่เปลี่ยนใจแล้ว นางไม่สนนางเคยบอกว่าจะไม่ติดอยู่กับการแย่งชิงฝ่ายใน และนางจะไม่มีวันใช้ชีวิตในแบบที่ตนเองเกลียดที่สุดแล้วจ้านเป่ยว่างมีใจให้หวังชิงหลูจริงๆหรือ? นางไม่เชื่อ ไม่เชื่อแม้แต่น้อยเลยสายตาที่จ้านเป่ยว่างมองนาง ไม่มีแววบ่งบอกความรักเลยแม้แต่น้อย เขาถึงขนาดไม่ถนัดเรื่องเสแส้รงด้วย มันมองออกอย่างง่ายดาย มีแต่หวังชิงหลูที่โง่ขน
ซ่งซีซีรู้ว่านางได้รับความโปรดปรานมาก แต่รู้สึกว่าไม่ใช่เพียงเพราะความโปรดปรานเท่านั้นตระกูลเสิ่นเป็นตระกูลที่ใหญ่โตในเมืองเจียงหนาน เป็นพ่อค้าของจักรพรรดิ และยังมีธุรกิจอื่นๆ อาจกล่าวได้ว่าไม่มีใครในแคว้นซางจะไม่รู้ตระกูลเสิ่นพวกเขาเป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวยที่สุดในแคว้นซาง แต่เป็นจุดโดดเด่นก็มักมีอันตรายอยู่รอบตัวด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่พวกเขาเลี้ยงม้าศึกและปลอมแปลงชุดเกราะและอาวุธให้กับทางราชสำนัก กระทรวงกลาโหมจับตาดูพวกเขาอยู่สายตาของฮ่องเต้อย่างน้อยมีครึ่งหนึ่งจับจ้องไปที่ตระกูลเสิ่นหัวหน้าตระกูลเสิ่นคนปัจจุบันคือท่านปู่ของเสิ่นว่านจือ แต่คนที่รับผิดชอบจริงๆ คือท่านพ่อของนาง ถึงยังไงท่านปู่ของนางแก่แล้ว และไม่สามารถดูแลอะไรได้มากมายขนาดนี้"แล้วการแต่งงานของเจ้าล่ะ? เคนคิดบ้างไหม?" ซ่งซีซีถามเสิ่นว่านจือพูดอย่างเกียจคร้าน "ไม่ได้คิด จะแต่งกับคนมีฐานะก็ไม่ได้แต่งกับคนมีฐานะต่ำกว่าก็ไม่ได้ คนที่พวกเขาแนะนำข้าไม่ชอบเลย ทำไมต้องแต่งงานด้วย อยู่คนเดียวจะไม่อิสระกว่าหรือ ข้าอยากไปไหนก็ไป อยากทำอะไรก็ทำ"ซ่งซีซีคิดว่านางเป็นคนประเภทนี้จริงๆ เป็นคนชอบอิสระ จะให้ขังนางอยู่ในจวนทำง
แต่ระหว่างทางกลับ มีไข่ตุ๋นสีดำมากมาย แต่ละคนก็ดำบี๊บี๋ ทุกครั้งมีเรื่องอะไรก็มาหาเขา ทำให้เขาไม่ค่อยมีเวลาอยู่ตามลำพังกับซีซีมากเลยแม้แต่ตอนกลางคืนก็ไม่ได้ เพราะซีซีต้องอาศัยอยู่ในห้องเดียวกันกับเสิ่นว่านจือ และเขาอยู่ในห้องเดียวกันกับจางต้าจ้วง เขาทนไม่ได้กับเสียงกวน เพราะจางต้าจ้วงเสียงการกรนของเขาดังมากเลย เขาจะเตะเตียงในกลางดึกของเขา แต่เขาแค่พลิกตัวแล้วนอนต่อไปเขารอคอยที่จะให้พวกคนนี้กลับเมืองหลวงโดยเร็วเมื่อหลุ่มคนมาถึงตงโจว รถม้าคันหนึ่งปรากฏขึ้นบนถนนหลวง รถม้าพลิกคว่ำกีดขวางถนนหลวงไปส่วนใหญ่ สามารถขี่ม้าผ่านไปได้ แต่รถม้าของจางเลี่ยเหวินไม่สามารถผ่านได้จางต้าจ้วงเดินไปข้างหน้าทันทีและเห็นคนสองคนกำลังช่วยยกรถม้าอยู่ ม้านอนอยู่ข้างๆ ราวกับเป็นลมไปมีผู้หญิงคนหนึ่งสวมหมวกม่านยืนอยู่ที่ส่วนข้างในสุดของถนนหลวง โดยมีสาวใช้คนหนึ่งยืนอยู่ข้างกายกำลังพัดให้นางรูปร่างหน้าตาของสตรีคนนั้นมองเห็นไม่ชัดเจนเนื่องจากนางสวมหมวกอยู่ เห็นแต่นางสวมกระโปรงสีแดงดอกทอ และเอวก็บางมาก นางน่าจะล้มลงจากม้า บนร่างกายเต็มไปด้วยโคลน มีสภาพน่าอเนจอนาถ แต่น่าสงสารมากกว่าจางต้าจ้วงก้าวไปข้างหน้าแ
กู้ชิงหลาน?ซ่งซีซีนึกถึงเยียนหลิวของเหลียงเส้า ซึ่งเป็นบุตรีอนุขององค์หญิงใหญ่เช่นกัน เยียนหลิวชื่อกู้ชิงหวู่นางเหลือบมองอย่างรวดเร็ว และพบว่าสาวใช้ของนางไม่ได้ให้ความเคารพแก่นางมากนัก แต่ดูเหมือนเป็นคนมีวรยุทธ์ส่วนองครักษ์และคนขับนั้น มักจะมองกวาดกู้ชิงหลานอยู่บ้าง อย่างน้อย มองจากภายนอกก็รู้สึกว่ากู้ชิงหลานโดนพวกเขาจับตาดูเอาไว้ซ่งซีซีมองไปที่กู้ชิงหลานอีกครั้ง นางดูประหม่าเล็กน้อย กำผ้าเช็ดหน้าไว้แน่นด้วยมือทั้งสองข้าง เหงื่อหยดจากหมวกม่านจากนั้นนางถึงนึกขึ้นเอาผ้าเช็ดหน้าไปปาดเหงื่อจากนั้น จู่ๆ เห็นร่างกายของนางแข็งทื่อราวกับว่านางกำลังเจ็บปวดอยู่ ซ่งซีซีถึงสังเกตเห็นว่ามือของสาวใช้ดูเหมือนกำลังทำอะไรอยู่ด้างหลังนางเนื่องจากหันหลังมห้ แน่นอนว่ามองไม่เห็นเลยซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือต่างก็สวมหมวกที่มีม่านทั้งคู่ ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของพวกนางจากภายนอกได้ แต่พวกนางกลับมองเห็นด้านนอกจากด้านในได้ ดังนั้นเสิ่นว่านจือและซ่งซีซีดูเหมือนกำลังมองไปที่รถม้า แต่จริงๆ แล้วพวกนางมองดูกู้ชิงหลานและสาวใช้อยู่มองได้จากปฏิกิริยาบางอย่างระหว่างกู้ชิงหลานและสาวใช้ สาวใช้คงต้องการบีบบังคั
สนมฮุ่ยไทเฟยย่อมมีฐานะมั่นคงเช่นนี้ หลายปีมานี้ไม่ค่อยมีค่าใช้จ่าย รายรับกลับมากไม่น้อยเบี้ยหวัดจากในวัง ของกำนัลจากทุกบ้าน อีกทั้งบรรดาลูกหลานที่โตแล้วต่างก็สามารถตัดสินใจเองได้ บรรดาผู้ที่กตัญญูต่อท่านมีไม่น้อย โดยเฉพาะเสิ่นว่านจื่อ ยิ่งกตัญญูไม่ยั้งมือสำหรับหลานสาวคนเดียวนี้ ท่านไม่มีสิ่งใดที่เสียดายเลย คำพูดที่มักติดปากคือ เมื่อท่านสิ้นไป สมบัติทั้งปวงย่อมตกเป็นของหลานสาวบัดนี้เมื่อแม่ลูกสองคนไปถึงที่อยู่ของท่าน ท่านก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถึงเรื่องที่เซี่ยเจิงจะไปภูเขาเหม่ยชานฝึกวรยุทธ์อีกครา"ไม่ใช่ว่าข้าไม่เห็นดีเห็นงาม เพียงแต่การไปนานถึงเพียงนั้น ปีหนึ่งกลับมาได้ไม่กี่ครั้ง อนาคตยังบอกว่าจะออกไปผจญภัยอีก เด็กหญิงน้อยๆ เช่นนี้ จะไปฝ่าโลกภายนอกได้อย่างไร? ข้าขัดท่านพ่อของเจ้าไม่ไหว เขาเป็นคนไม่เข้าใจโลก พูดอะไรก็ไม่เคยพูดให้เข้าใจได้ ข้าก็ไม่มีทาง""ท่านยาย หลานไม่ใช่เด็กสาวบอบบางหรอกเจ้าค่ะ ท่านลองดูหมัดของหลานเถิด" เซี่ยเจิงชูหมัดขึ้น โบกไปมาอยู่ตรงหน้าสนมฮุ่ยไทเฟย กล่าวอย่างภาคภูมิว่า "หมัดนี้ของหลาน แม้แต่หมูป่ายังต้องสลบเหมือด"สนมฮุ่ยไทเฟยทอดถอนใจ "บุตรีบ้านอื่น มือเอา
สองสามีภรรยาเอ่ยถึงเรื่องราวในอดีต ยิ่งพูดยิ่งรู้สึกอบอุ่นในใจ โดยเฉพาะซ่งซีซี ที่แต่เดิมรู้สึกว่าการแต่งงานครั้งนั้นเป็นการถูกบังคับ แต่ใครจะคาดคิดว่าจะได้พบกับความสุขเช่นวันนี้ช่างเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดานักทันใดนั้นก็มีคนวิ่งพรวดพราดเข้ามาทางประตู ยังไม่ทันเห็นหน้าชัด ก็โผเข้ากอดเซี่ยหลูโม่แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นยินดี "ท่านพ่อ ของขวัญพิธีปักปิ่นที่ท่านมอบให้ข้านั้น ข้าชอบมากนัก ขอบคุณท่านพ่อ ข้ารักท่านพ่อที่สุดเลยเจ้าค่ะ"เซี่ยหลูโม่กล่าวว่า "ยังคงซุกซนเช่นเดิมหรือ? โตเป็นสาวแล้ว ต้องสุขุมให้มากหน่อย"แม้ว่าจะเอ่ยเช่นนั้น ทว่าดวงตากลับเปี่ยมด้วยความเอ็นดู มือช่วยจัดปิ่นที่นางสวมในพิธีปักปิ่นให้เรียบร้อย แล้วเอ่ยต่อว่า "เครื่องประดับหัวทับทิมแดงนั่นเจ้าไม่ชอบหรือ? ท่านแม่ของเจ้าตั้งใจเลือกให้นัก""ชอบเจ้าค่ะ ชอบทุกอย่างเลย" เซี่ยเจิงยิ้มจนตาหยี รักทุกสิ่งที่พ่อแม่มอบให้เซี่ยหลูโม่มองรอยยิ้มของบุตรสาวแล้วพลันรู้สึกเคลิ้มใจบุตรสาวยิ่งโต ยิ่งเหมือนซ่งซีซี ในวันแรกที่พบซ่งซีซีที่ภูเขาเหม่ยชาน นางก็ยิ้มเช่นนี้แต่หลังจากนั้น นางก็แทบไม่เคยยิ้มแบบนี้อีก ต่อ
สายหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมยอด ดอกเหมยเบ่งบานหลายคราเซี่ยเจิงมีพรสวรรค์ทางวรยุทธ์สูงส่งนัก เรื่องนี้เรียกได้ว่าเก็บข้อดีของเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาไว้ทั้งหมดเหรินหยางอวิ๋นสามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิใจว่า เซี่ยเจิงคือลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของภูเขาเหม่ยชานอูโซเว่ยเองก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เมื่อนางถูกเซี่ยเจิงถามว่าใครเก่งกว่ากัน ระหว่างนางกับท่านพ่อ อูโซเว่ยได้แต่ตอบอย่างเลี่ยงๆ ว่า "พอๆ กัน ต่างก็มีข้อดี"วรยุทธ์ของเซี่ยเจิงที่ฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ หาได้มาจากเพียงหมื่นสำนักเท่านั้นนางได้ร่ำเรียนจากทุกฝ่ายในภูเขาเหม่ยชานเมื่อนางมาถึงภูเขาเหม่ยชาน ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ผิวขาวเนียนราวหยก รอยยิ้มหวานละมุน ผู้ใดเห็นก็ต้องเอ็นดูนางช่างพูด ช่างคุ้นเคยเร็ว อีกทั้งปากหวานนัก หลอกล่อให้บรรดาหัวหน้าสำนักต่างถ่ายทอดวิชาให้หมดเปลือกเดิมทีนางมีนิสัยซุกซน แต่ด้วยการมุ่งมั่นฝึกวรยุทธ์ และฝึกฝนวิชาเนื้อใน จิตใจก็สงบนิ่งขึ้นมากครั้นถึงปีที่สิบห้า นางได้เข้าพิธีเก็บปิ่นพิธีเก็บปิ่นจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ของขวัญย่อมหลั่งไหลมาดังสายน้ำ ส่งเข้ามาไม่ขาดสายซ่งซีซีได้มอบ
แสงแดดสาดลงบนกิ่งไม้ ใต้พุ่มใบหนาแน่น เผยให้เห็นขาเล็กๆ คู่หนึ่งแกว่งไปมา ดูแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจนักนางมีนามเดิมว่าเซี่ยเจิง ชื่อนี้จารึกอยู่ในหยกพงศ์ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นชื่อเล่นว่าจิ้งเหยียนว่ากันว่าเพราะมารดาของนางรังเกียจที่นางพูดมาก จึงตั้งชื่อนี้เพื่อกดทับให้นางสงบลงเซี่ยเจิงเองเห็นว่าตั้งชื่อนี้ก็เปล่าประโยชน์ อีกทั้งฟังดูไม่น่าฟัง จิ้งเหยียนก็คือการเงียบงัน เช่นนั้นแล้วนางมีปากไว้ทำไม หากไม่ได้พูด เอาแต่กินหรือ?เช่นนั้นไม่ต้องกินจนอ้วนกลมไปหรอกหรือ?“ท่านหญิงของข้า ท่านอยู่ที่นี่เอง หาเสียจนข้าเหนื่อย” เป่าจูเงยหน้าขึ้นจากใต้ต้นไม้ ทั้งโกรธทั้งขบขัน “รีบลงมาเถิด ท่านอ๋องกับพระชายากำลังตามหาท่านอยู่”“ท่านอาเป่าจู พวกเขาเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน?” เสียงใสๆ ดังลงมาจากบนต้นไม้ แฝงด้วยความสบายใจและอิ่มหนำ“พระชายาจะไปภูเขาเหม่ยชาน บอกว่าจะพาท่านไปด้วย ท่านอยากไปหรือไม่?” เป่าจูเอ่ยเซี่ยเจิงได้ยินดังนั้น ก็รีบลื่นไถลลงจากลำต้นไม้ สองข้างไหล่มีเจ้าสุนัขจิ้งจอกสีขาวสองตัวเกาะอยู่ นางยิ้มดีใจกล่าวว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นรีบไปเถิด”สองสุนัขจิ้งจอกนั้น ตัวหนึ่งชื่อเซวียนเช
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร