ログインเมื่อถึงเวลาเข้านอนเกสรมองดูห้องของตัวเองด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก เธอย้อนกลับมาในปีสองพันห้าร้อยยี่สิบ ปีที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ทุกอย่างยังห่างไกลกับคำว่า ‘เจริญ’ อยู่มาก ภายในห้องเธอจุดเทียนไข มุ้งที่กางอยู่ก็ไม่ได้ดูดีนัก ช่วงนี้เป็นฤดูฝนยุงค่อนข้างชุม คืนนั้นกว่าเธอจะหลับลงได้เวลาก็คงล่วงเข้าวันใหม่แล้ว เพราะมัวแต่คิดเรื่องสามีกับลูก
เช้าวันต่อมาเกสรตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกตื่นเต้น สวมผ้าซิ่นมัดหมี่ที่พี่สาวทอกับเสื้อแขนยาวผ้าฝ้ายสีดำที่พี่สาวตัดให้ เดินลงมาจากบ้านที่เป็นบันไดลิงพาดผ่านตัวบ้านที่เป็นไม้ทั้งหลังใต้ถุนยกสูง ฝั่งซ้ายทำเป็นคอกควาย ฝั่งขวาเป็นกี่ที่พี่สาวกำลังนั่งทอหูก
พ่อกำลังนอนให้แม่รมควันสมุนไพรให้อยู่บนแคร่ที่อยู่ไม่ห่างจากพี่สาวนัก เมื่อวานแสงเทียนไปตามเสถียรที่นาโดยขี่ควายออกไป พอขากลับด้วยความรีบร้อนจึงควบมันเร็วไปหน่อย มันก็พาวิ่งเร็วจนแกพลัดตกจากหลังควาย วันนี้จึงต้องหาสมุนไพรมาสุมไฟย่างให้คลายปวดตามความเชื่อของชาวบ้าน
เกสรเดินเข้าไปหาทั้งสามคน
“เอ็งจะไปไหน” สองปีที่ลูกสาวหนีไปอยู่กับสมชาย เกสรยังไม่เคยกลับมาบ้านเลยสักครั้ง แต่วันนี้เธอทำเหมือนจะออกไปข้างนอก ทั้งที่เพิ่งฟื้นเมื่อวาน
“จะไปบ้านพี่ดำค่ะ” บ้านของเขาเดินไปประมาณเจ็ดร้อยเมตรก็ถึง
“ไปทำไม”
“ฉันอยากเจอลูก”
“บ้านนั้นเขาเกลียดเอ็งกันทั้งตระกูล เอ็งไม่อายเขาหรือไง” พรดีพูดขึ้น เพราะกลัวน้องสาวจะไม่รู้ตัวเพราะไปอยู่กรุงเทพฯ หลายปี อีกอย่างเธอก็ไม่เห็นด้วยที่น้องสาวทำตัวแบบนั้นตั้งแต่แรก ชาวบ้านต่างประณามน้องสาวเธอว่าเป็นหญิงเลวกันทั้งหมู่บ้าน
เกสรนั่งลงบนตั่งไม้ที่พี่สาวเอาไว้นั่งเข็นฝ้ายหันหน้าไปหาทุกคน
“อายจ้ะ แต่ฉันก็ต้องไปเหมือนเดิม” ตอนนี้เธอต้องเดินหน้าอย่างเดียว เธอกลับมาเพราะอยากแก้ไขชะตาโดยที่เธอไม่ต้องตายในวัยยี่สิบห้า เพราะฉะนั้นเธอจะถอยหลังไม่ได้
พ่อกับแม่และพี่สาวต่างแปลกใจที่เกสรยอมอ่อนข้อให้คนอื่นทั้งที่ไม่เคยเป็น ปกติเธอเป็นคนดันทุรัง ใครบอกใครเตือนก็ไม่ฟัง ตั้งแต่คราวที่เธอแอบคบกันกับสมชายแล้ว
“เอ็งคงไม่รู้ว่าไอ้ดำมันพาลูกออกไปอยู่นาตั้งแต่เอ็งหนีไป และมันก็ตัดขาดจากโลกภายนอกไปเลย มันไม่ค่อยคุยกับใครหรอก” แสงเทียนเล่าเรื่องอดีตลูกเขยที่เขากับภรรยาเป็นคนเลือกให้ลูกสาวฟัง
“ไปอยู่นาเหรอ” เกสรมีสีหน้าครุ่นคิด
“อือ อีกอย่างตอนนี้ขามันก็เป็นง่อยข้างนึง มันเดินไม่ได้เหมือนคนปกติหรอกนะ” ที่พรดีบอกน้องเพราะอยากให้น้องตรองดูอีกครั้ง จะได้ไม่ไปทำให้ดำเจ็บอีก
“เป็นง่อย? พี่พรหมายความว่ายังไงคะ” เธอมีสีหน้าตื่นตระหนกกับคำบอกเล่าของพี่สาว
พรดีละมือจากกระสวยแล้วหันหน้าออกมานั่งเหยียดขามองน้องเต็มสองตา ผู้เป็นแม่ก็นั่งอยู่ที่แคร่ตรงปลายเท้าของพ่อ
“ปีที่แล้วเห็นคนเขาลือกันว่าน้าดำนอนขี่เปลอยู่ดี ๆ พอจะลุกขึ้นเปลกลับพลิกกลับด้านเสียก่อน แขนทั้งสองข้างก็ติดอยู่ที่เปล ลำตัวเขาเลยบิดเบี้ยว ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ปวดเอวแล้วก็ร้าวลงไปที่ขาข้างขวา ต่อมาขาข้างขวาก็ชาและอ่อนแรงจนตอนนี้บางครั้งก็ใช้งานไม่ได้เลย เห็นเขาว่าแกนอนปวดอยู่หลายเดือน”
“แล้วพี่ดำไม่ได้ไปหาหมอหรือคะ”
“ไป แต่ไม่ได้ไปโรงพยาบาลหรอกนะ พ่อกับแม่พาขี่เกวียนไปฉีดยาหลายหมู่บ้านที่เขาว่ามีหมอเก่ง ๆ แต่ก็ไม่หาย เขาก็เลยเลิกไปและก็อยู่ไปตามสภาพอย่างนั้น”
“แล้วเขาทำมาหากินยังไง” เขาจะเลี้ยงดูลูกอย่างไรถ้าเขาพิการและเดินไม่ได้
“ไอ้ดินลูกชายคนโตของเอ็งมันก็เก่งมากแล้วนะ ช่วยพ่อได้ทุกอย่าง” ดินลูกชายคนโตที่อายุเพียงเก้าขวบเท่านั้น
นี่เธอแต่งงานตั้งแต่อายุสิบห้าเลยหรือ?
“ปีที่แล้วเห็นชาวบ้านบอกว่ามันทำนาไม่ได้เลย แม่ก็เอาข้าวไปแบ่งมันบ้าง แต่ข้าวเราก็มีไม่มาก” ฝ้ายอยากไปหาหลานบ่อย ๆ แต่ดำไม่อยากให้ใครไปยุ่งกับครอบครัวของเขา จึงไม่มีใครกล้าเข้าไปหา นอกจากญาติทางฝั่งเขา อีกอย่างเขาก็คงรังเกียจครอบครัวของอดีตภรรยาด้วย
“เอ็งก็คิดดูดี ๆ แล้วกัน ว่าจะทำอย่างไรถ้ามันไล่ตะเพิดเอ็งกลับมา” พรดีย้ำน้องสาวอีกครั้งแล้วกลับไปสนใจกับหูกทอผ้าของตัวเองต่อ
หัวใจดวงเล็กรู้สึกหนักอึ้งเมื่อได้ฟังสิ่งที่ทุกคนเล่าให้ฟัง ที่ผ่านมาเขาเจ็บปวดแค่ไหนเธอไม่เคยรับรู้เลย เธอช่างเป็นคนที่เห็นแก่ตัวที่สุด
เดือนต่อมาเล่ก็เริ่มปลูกเรือนให้ลูกชายคนโต เพราะว่างจากไร่นาทั้งหมดแล้ว เกสรทำอาหารเพื่อจะห่อให้สามีเข้าไปทำบ้านใหม่ในหมู่บ้าน ตอนเย็นค่อยกลับมานอนนา วันนี้เกสรต้องรับหน้าที่เลี้ยงควายคนเดียวเพราะลูกทั้งสองต้องไปโรงเรียนด้วย“แม่ทำอะไรกินเหรอคะ”“แกงปลาช่อนใส่ผักติ้วจ้ะ” เมื่อวานดำไปทอดแหได้ปลามามาก ตัวที่ยังไม่ตายเธอก็ขังไว้ทำกินหลายวัน ต้นผักติ้วข้างเถียงนาก็กำลังผลิยอดและออกดอกเต็มต้น ทั้งต้มซุบทั้งแกงใส่ปลาก็ยังไม่หมด เพราะช่วงนี้ผักติ้วมีมาก ไม่ต้องซื้อหากันเหมือนในยุคปัจจุบันที่เธอจากมา“น่ากินจังเลยค่ะ ปลาช่อนตัวใหญ่มาก หนูขอกินแก้มมันนะคะแม่” เด็กสาวบอกแม่ แก้มปลาเป็นส่วนที่เดือนชอบกินมากที่สุด“จ้ะ ไปล้างมือรอเลย แม่ทำเสร็จแล้ว”“ค่ะ” เดือนรับคำอย่างกระตือรือร้น แล้วรีบเดินเร็วไปล้างมือตามคำแม่บอก ดินผูกควายช่วยพ่อเสร็จก็เดินกลับมาล้างมือเช่นกันกินข้าวเสร็จสามพ่อลูกก็เตรียมตัวเดินทาง ลูกทั้งสองไม่ได้ห่อข้าว เพราะต้องกลับไปกินข้าวที่บ้านปู่กับย่า เพราะแม่เตรียมให้พ่อเรียบร้อยแล้วก่อนไปดำเดินเข้ามาจูบหน้าผากเมียด้วยความรัก “อย่าโหมงานมากนัก” ตอนนี้เธอทอเสื่อขายด้วย เขากลัวว่
เช้าวันต่อมาทุกคนนั่งรับประทานอาหารร่วมกันที่บ้านพักของปรีดา“พี่ดำมาที่นี่ได้ยังไงคะ”“นั่งรถไฟมา ได้ตั๋วยืนด้วย ยืนหลับมาทั้งคืน” เข้ากรุงเทพฯ ครั้งแรกก็แสนทรหดแล้ว“ทำไมไม่รออยู่ที่บ้านคะ” “ก็พี่เป็นห่วงเอ็ง ทำไมไม่บอกพี่ว่าเรื่องทุกอย่างมันเป็นยังไง ปล่อยให้พี่เข้าใจผิดอยู่ได้” น้ำเสียงงอแงเชิงตำหนิอยู่ในที“ทีแรกฉันก็ไม่อยากจะรื้อฟื้นหรอกค่ะ แต่เขาไม่อยากจบเอง ฉันก็ต้องทำทุกอย่างให้มันถูกต้อง” ไม่ใช่ว่าเธอไม่ผิดเลยที่หนีมาอยู่กับเขา แต่เขาบิดเบือนการตายของเธอและยังไม่อยากจบง่าย ๆ เธอก็ต้องตามเขามาเพื่อสืบหาความจริง“คนมันร้อนตัวมันจะอยู่เฉยได้ยังไงล่ะเกสร” กุหลาบออกความเห็น“ใช่ มันคงกลัวว่าเกสรจะตามมาฆ่ามันคืนน่ะสิ” ปรีดาเสริมขึ้นอีก “แต่ฉันก็ผิดด้วยแหละค่ะ ที่หนีมากับเขาตั้งแต่แรก เรื่องมันถึงได้เป็นอย่างนี้” ไม่คิดเลยว่าเธอคนเดิมในอดีตจะเห็นผิดเป็นชอบได้ขนาดนี้ “ต่อไปนี้เกสรคงไม่ทำให้เพื่อนพี่อกหักอีกแล้วใช่ไหม” ปรีดาเลิกคิ้วถาม เกสรหันไปมองหน้าสามีแล้วยิ้มหวานให้เขา “ไม่ค่ะ ฉันไม่มีวันทำอย่างนั้นอีกอย่างแน่นอน” กุหลาบแอบอมย
เกสรเปิดประตูออกมาถึงกับผวา เธอจำกลอยใจแทบไม่ได้ ใบหน้าบวมเป่งและเขียวช้ำจนตาแทบปิด“เกสรช่วยฉันด้วย” กลอยใจพูดด้วยท่าทางลำบาก“ใครทำอะไรเธอ” เกสรเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง“พี่ชาย เขาบอกว่าจะเลิกกับฉันเพราะจะเอาเธอมาอยู่ด้วย ถ้าฉันไม่เลิกกับเขาเขาจะฆ่าฉัน เมื่อคืนเขาตบตีฉันแทบตาย ฮือ ๆ” กลอยใจบีบน้ำตาเหมือนสั่งมันได้ไอ้ชาติชั่ว! เกสรสบถในใจ เขาตบตีกลอยใจเหมือนกับที่ตบตีเธอ“แล้วฉันจะช่วยเธอได้ยังไง” เกสรยังไม่วางใจนัก แต่ก็รู้สึกสงสารกลอยใจ กลอยใจอาจจะเป็นเหมือนเธอตอนนั้นก็ได้ ที่สมชายขอเลิกแล้วเธอไม่ยอมและยังยื้อที่จะแย่งเขากลับมา สุดท้ายก็ต้องกลายเป็นศพ ถ้าครั้งนี้กลอยใจไม่ยอมก็อาจจะมีชะตากรรมเหมือนกับเธอ“เธอช่วยไปส่งฉันหน่อยได้ไหม ฉันไม่มีเงินสักบาท ฉันหนีเขามา และฉันก็กลัวว่าเขาจะตามฉันมาด้วย ถ้าเขารู้ว่าฉันมาหาเธอที่นี่เขาต้องฆ่าฉันแน่”“ได้ เธอจะให้ฉันไปส่งที่ไหน”กลอยใจบอกสถานที่ที่จะให้เกสรไปส่งสุดท้ายความมีน้ำใจก็มากกว่าความกลัว เกสรบอกกลอยใจออกไป “ไปรอฉันข้างนอกนะ ฉันขอเปลี่ยนชุดแป๊บเดียว” แต่เธอจะไม่ประมาทเด็ดขาด“ได้จ้ะ”เกสรเขียนสถานที่ลงในกระดาษแล้วเดินออกทางหลังห
กลอยใจกลับมาที่บ้านพักตำรวจ เมื่อเห็นสมชายนอนเอกเขนกอยู่ที่โซฟาเธอก็ทำหน้าประหลาดใจ “ทำไมกลับมาเร็วจังเลยคะ” สมชายไม่ตอบแต่เลือกที่จะพูดอีกอย่างที่สำคัญมากกว่า “เธอรู้ไหมว่าเกสรมันยังไม่ตาย” “ฮะ! พี่พูดบ้าอะไร ก็หมอยืนยันว่ามันตายแล้ว ใคร ๆ ก็เห็น” กลอยใจโวยวายเสียงดังรู้สึกใจหายวาบเมื่อได้ยินประโยคนั้น เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะมาล้อกันเล่น สมชายหันไปมองกลอยใจตาเขียว “เบา ๆ อยากให้คนอื่นมาได้ยินหรือไง ก็ฉันเป็นคนพามันมาที่นี่เอง มันยังไม่ตาย และเราต้องรีบทำให้มันตายเร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นเรานี่แหละจะตายก่อนมัน” สมชายพูดอย่างหัวเสีย นั่งคิดนอนคิดจนปวดหัวว่าจะกำจัดมันอย่างไรดี ไม่รู้ว่าวิธีที่เขาทำไปวันนี้จะได้ผลหรือไม่ กลอยใจอึ้งไปพักใหญ่ เป็นไปได้อย่างไรวันนั้นเธอเป็นคนเตรียมยาพิษใส่น้ำดื่มเองกับมือ “แต่ไม่เป็นไร ฉันจัดการเรียบร้อยแล้ว ไม่เกินเย็นนี้ฉันก็จะได้ฟังข่าวดีจากไอ้ปรีดา ฮ่า ๆ ๆ” เขาหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ แค่เกสรยอมกลับมากับเขาคราวนี้ก็ถือว่าเขามีชัยแล้ว “แล้วตอนนี้มันอยู่ไหน” “
“ให้เกสรไปเถอะ แฟนฉันจะได้มีเพื่อน” ปรีดาพูดออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ กุหลาบชำเลืองมองปรีดาเมื่อได้ยินคำว่าแฟนจากปากเขา เขายิ้มจาง ๆ และยักคิ้วให้เธอหนึ่งที “เออ ๆ อย่างนั้นก็ได้” สมชายมีสีหน้าเซ็งนิด ๆ เช่นนั้นแล้วงานของเขาก็ยากขึ้นไปอีก แต่ก็ดีเหมือนกันถ้ากลอยใจกลับมาเขาจะได้ไม่ต้องอธิบายให้มากความ ทั้งสามแอบส่งยิ้มให้กัน เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผน “อย่างนั้นรอฉันแป๊บนึง ฉันขึ้นไปเอายาดมแก้เวียนหัวมาให้เกสรก่อน” “ได้” สมชายเดินลับสายตาไปแล้วกุหลาบเดินเข้ามาจับมือเพื่อนแล้วบีบเบา ๆ “ดีใจที่เธอไม่เป็นอะไร” “ขอบใจมากนะที่เธอกับพี่ปรีดามาทันเวลาพอดี” “แท็กซี่เหยียบคันเร่งจนหัวเหอฉันฟูไปหมด” กุหลาบพูดติดตลก เพราะแท็กซี่วิ่งเปิดกระจกข้างมา เพิ่งรู้ว่าเมืองหลวงมันเจริญเช่นนี้ ถึงบางพื้นที่จะมีทุ่งนาคล้ายกับบ้านนอกก็ตาม กุหลาบก็เผลอมองจนหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง “ฮ่า ๆ ฟูจริง” เกสรหัวเราะชอบใจ กุหลาบได้แต่มองค้อนเพื่อน ปรีดายืนขำน้อย ๆ ถึงแม้กุหลาบจะหัวฟู หน้าไม่ได้ล้าง ฟันไม่ได้แปรง แต่เธอก
สมชายขับรถมาจอดที่ห้องพักตำรวจ เขาเหลือบมองนาฬิกาตอนนี้เวลาเก้าโมงตรง เกสรค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้น ตอนนี้เธอรู้สึกเวียนหัวจนแทบอยากจะอาเจียน ทั้งที่เธอกินยาแก้เมารถไปแล้วแต่สมชายก็ขับรถน่าเวียนหัวเหลือเกิน เหมือนเขาจงใจให้เธอมีอาการเป็นแบบนี้ เกสรมองบ้านพักตำรวจที่เป็นบ้านไม้ทั้งหลังตรงหน้าด้วยความลังเล เธอคิดถูกแล้วใช่ไหมที่กลับมาที่นี่อีกครั้ง ผู้หญิงคนนั้นคงกลับบ้านในช่วงวันหยุดสินะ เขาถึงพาเธอมาที่นี่ได้ อย่างไรเธอจะต้องมีชีวิตกลับไปหาลูกและสามีของเธอให้ได้ สมชายเปิดประตูให้เกสรเดินลงจากรถ เธอเซเล็กน้อย สมชายจึงเข้าไปประคอง “เมารถเหรอ” สมชายถามทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจ และมันก็เป็นไปตามสิ่งที่เขาอยากให้เป็น “ค่ะ” เกสรแกะมือเขาออกอย่างรวดเร็วและเบี่ยงกายหนีห่าง แม้แต่ปลายขนเธอก็ไม่อยากให้เขาเข้าใกล้ ในอดีตเกสรอาจจะหลงใหลได้ปลื้มผู้ชายคนนี้ แต่ตอนนี้เธอไม่ใช่เกสรคนเดิมอีกต่อไปแล้ว สมชายถึงกับเลิกคิ้ว ทำไมเกสรต้องทำตัวเหมือนรังเกียจเขาด้วย ปกติจะทำตัวออเซาะฉอเลาะกับเขาเสมอ “กินอะไรร้อน ๆ ก่อนไหมค่อยขึ้นไปนอนพัก พี่ไม่







