นับตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมา เซี่ยฟานก็มักจะเจอเรื่องราวแบบเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในแต่ละวัน เขาขังตัวเองไว้ในมุมมืดของเรือนใบไผ่ ตัวสั่นระริกทุกครั้งที่ได้ยินเสียงฝีเท้าเข้าใกล้ หัวใจดวงน้อยแทบจะแบกรับไว้ไม่ไหว
หวังเยี่ยนหลงไม่ได้สังเกตเลยว่าร่างกายของเซี่ยฟานมีสัญลักษณ์อะไรเกิดขึ้น เดิมทีไม่ใส่ใจเซี่ยฟานอย่างไรก็ยังคงทำเช่นเดิม ที่แปลกไปจากเดิมคือเริ่มยอมรับตัวเองแล้วว่าขาดเซี่ยฟานไปไม่ได้ เพราะคิดทึกทักไปว่าเซี่ยฟานคือที่ระบายปราณมารของเขา หลังจากเสร็จกิจทุกครั้ง เขาจะสามารถกดปราณมารไม่ให้กัดกินตนเองได้
นอกจากเหอชิงหยางแล้วยังมีคนผู้หนึ่งที่รู้สึกได้ว่าเซี่ยฟานหายไป เขามักจะง่วนอยู่ในเรือนต้นสนเพื่อกลั่นโอสถตามที่บิดาสั่งเอาไว้ ครั้นจะหาเรื่องออกมา
หลายวันต่อมา “เหลียนเฟิน ข้าขอจับมือเจ้าได้หรือไม่” หวังเยี่ยนหลงมาหาเขาที่เรือนต้นสนแต่เช้าตรู่ อ้างว่าปราณมารในตัวผิดปกติจนต้องมาขอความช่วยเหลือ “ข้าไม่อยากรบกวนเจ้า แต่ว่า...” เหลียนเฟินส่ายหน้าแต่ก็ยื่นมือให้เขาจับโดยดี เพราะกลัวว่าถ้าปล่อยปราณมารควบคุมร่างหวังเยี่ยนหลงได้เมื่อใด คงจะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นเหมือนครานั้น หวังเยี่ยนหลงกุมมือเหลียนเฟินเอาไว้อย่างรวดเร็วพลางลูบสร้อยข้อมือที่ซื้อให้อย่างแผ่วเบา
เรือนบุปผาของจ้งซูหนี่ว์ ซือหยางนำสำรับอาหารและยามาให้นางเพื่อรักษาบาดแผลที่เกิดจากโลหิตมาร หลายวันที่ผ่านมา จ้งซูหนี่ว์สังเกตได้ว่านิสัยใจคอของคนผู้นี้เปลี่ยนไปมากนัก เดิมทีเขาเป็นคนของจ้งซูเม่ยที่ถูกส่งมาให้จับตาดูนาง จึงไม่เคยแสดงอาการใด ๆ ให้นางเห็นนอกจากสีหน้าเย็นชา แววตาเหี้ยมโหด ยามอยู่กับเขาต้องคิดระแวงอยู่ร่ำไป นั่นก็เป็นเพราะจ้งซูเม่ยกำชับเขามาเช่นนั้น แต่เวลานี้ ซือหยางคอยดูแลนางเป็นอย่างดี สีหน้าแววตาต่างไปจากเดิมจนนางอดแปลกใจไม่ได้ว่าช่วงเวลาที่เขาหายไป เขาพบเจอกับสิ่งใดมา
หวังเยี่ยนหลงได้ยินเหลียนเฟินเรียกเขาเช่นนั้นจึงหยุดทุกสิ่งทุกอย่างใจร้อนรนเมื่อครู่กำลังสงบลงช้า ๆ เขาจึงหันมาหาเหลียนเฟินอยากจะกอดร่างบางไว้ ทว่า เหลียนเฟินถอยหลังห่างไม่ยอมให้เขาแตะต้อง ไม่ว่าหวังเยี่ยนหลงจะพยายามก้าวไปหาเท่าใด อีกคนก็ยิ่งรักษาระยะห่างของเขาไว้ “เหลียนเฟิน มาหาข้า... ได้หรือไม่” เขายื่นมือออกไปหา น้ำเสียงบีบบังคับกลายเป็นขอร้อง “...” เหลียนเฟินไม่พูดสิ่งใด ส่ายหน้าปฏิเสธ
กลางดึกคืนนั้น ขณะที่เหลียนเฟินกำลังนอนหลับใหลในอ้อมกอดของหวังเยี่ยนหลง เขาได้ยินเพลงบางอย่างกล่อมขับขาน จังหวะเอื่อยล่องลอยมาพร้อมกับสายลมยามค่ำคืน เขาจมลงสู่ภวังค์ที่ถูกใครบางคนปิดบังเอาไว้ ภาพในวัยเด็กของเหลียนเฟินในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ไหนสักแห่ง วันหนึ่งมีสตรีในชุดสีขาวน้ำเงินเดินเข้ามาลูบเรือนผมของเขา รอยยิ้มนางทำให้รู้สึกราวกับได้เห็นเซียนสวรรค์ จากนั้นภาพก็เปลี่ยนไปเป็นยามที่เขาได้วิ่งเล่นกับใครหลายคนบนลานน้ำแข็ง ความสุขที่ได้อยู่ใกล้คนเหล่านั้นทำให้เหลียนเฟินเผลออมยิ้มออกมาทั้งที่ยังหลับสนิท
หลายวันต่อมา สตรีที่อยู่ในเรือนดอกโบตั๋นเรียกชายลึกลับเข้าพบเป็นการส่วนตัว นางรู้สึกเสียใจอยู่บ้างที่จะไม่ได้เห็นเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยสองตาของนาง แต่หากมันทำให้เขาเจ็บปวดได้มากเท่าใดก็พอจะหยวน ๆ ไปได้บ้าง “ขอรับ” ชายลึกลับโค้งคำนับเตรียมตัวออกเดินทาง “อื้ม” รอยยิ้มมีเลศนัยผุดขึ้น ริมฝีปากแดงแสยะยิ้มรอให้ถึงวันนั้นไม่ไหว หลังจากรอจนเหลียนเฟินหายดีแล้ว หวังเยี่ยนหลงตัดสินใจพาเขากลับมาอยู่ที่สำนักตระกูลหวังตามเดิม อย่างน้อยที่แห่งนั้นก็ห่างไกลจากพรรคมารและสำนักเซียนอื่น ๆ
สองสามวันต่อมา หวังเยี่ยนหลงเริ่มจัดการงานทุกอย่างด้วยตัวเองเขาสั่งให้ซวงและหลุนคอยเฝ้าเหลียนเฟินที่เรือน ห้ามให้ผู้ใดเข้ามาก้าวก่าย ส่วนตัวเขาออกไปสะสางพยัคฆ์ดำที่รอดชีวิต แม้ว่าจะสั่งการลูกน้องไปทำเรื่องแทนตัวเองได้ แต่คงไม่อาจดับความโกรธแค้นที่ทำให้เขาควบคุมปราณมารไม่ได้จนคนของเขาหลายคนต้องบาดเจ็บล้มตาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเหลียนเฟิน กระนั้นก็กลัวว่าเหลียนเฟินจะรู้ว่าเขาแอบไปทำเรื่องไม่ดีอีกจึงสั่งให้ลูกน้องทั้งสองคนช่วยปิดบังไว้