ชีวิตของเขาถูกพันธนาการไว้กับความเป็นทาส วันใดหนอจะมีแสงสว่างช่วยให้เขาหลุดพ้นจากวังวน จบสิ้นวาสนากับคนผู้นั้นเสียที
View MoreTrigger warning : เรื่องนี้ไม่เหมาะกับผู้ที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เนื้อเรื่องระหว่างทางมืดมน ดราม่า เตรียมผ้าซับน้ำตาด้วยนะคะ พระเอกธงแดงค่อนไปทางดำ ตัวร้ายที่จับฉลากได้บทพระเอก TW18+ ทั้งเรื่องนะคะ
มีเนื้อหาเกี่ยวกับการทารุณกรรมเด็ก การใช้อำนาจเหนือกว่าบังคับให้คนทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ การตาย ภาวะซึมเศร้า ความรุนแรง การสังหารหมู่ การทำร้ายร่างกายและจิตใจ การฆ่าตัวตาย การทรมาน ความสัมพันธ์ที่เป็นปัญหา
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สายลมเย็นพัดใบไม้สีเหลืองปลิวไปตามทางเดินที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา สองข้างทางมีเพียงกิ่งก้านต้นไม้สีดำไร้ใบขนาบข้าง บรรยากาศรอบข้างไร้เสียงผู้คน แต่กลับมีเสียงโซ่ตรวนกระทบกันเป็นช่วง ๆ คนกลุ่มหนึ่งเดินมุ่งหน้าเข้าไปยังตอนใต้ของแคว้นซีเป่ย
หลินซินอี๋ หญิงสาวอายุสิบแปดปีต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนมายังแคว้นห่างไกล สายตาของนางเลื่อนลอยไร้จุดหมาย จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ความคิดนึกย้อนไปถึงวันคืนอันสงบสุขกับครอบครัว บัดนี้ไม่มีอีกแล้ว นางเป็นคนเดียวที่รอดจากสงครามระหว่างแคว้น
ยามนี้ โชคชะตากลับซ้ำเติม ผู้แพ้สงครามย่อมต้องตกเป็นเชลย ชาวบ้านหนีตายกันจ้าละหวั่น และนางก็ไม่พ้นถูกพวกค้าทาสจับมา หลินซินอี๋เดินลากโซ่ตรวนอย่างไร้เรี่ยวแรง ร่างกายมีรอยฟกช้ำเพราะโดนคนพวกนั้นทุบตี นางพยายามหนีครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่า ไม่ว่าจะไปทางใดกลับไม่มีแสงสว่างส่องทางให้นาง
ลึก ๆ แล้ว ในใจยังคงมีความหวังว่าวันหนึ่งข้างหน้านี้ ยังคงมีที่แห่งหนึ่งรอคอยนางอยู่ ไม่ต้องมากมายเช่นเดิม กินอิ่ม นอนหลับ และอิสระจากโซ่ล่ามข้อเท้าก็เพียงพอ
ตระกูลหลิน เดิมทีเป็นขุนนางชั้นกลาง ชีวิตของพวกเขาอยู่อย่างเรียบง่ายและสุขสบายมาโดยตลอด จู่ ๆ สงครามระหว่างแคว้นเริ่มต้นขึ้น พี่ชายทั้งสองของนางจำต้องเข้าร่วมกองทัพเพื่อปกป้องบ้านเมือง ผ่านไปสองสามปี สงครามกลับทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น นอกจากจะไม่ได้ข่าวคราวของพี่ชายทั้งสอง น้องชายคนเล็กและผู้เป็นพ่อยังต้องเข้าร่วมกองทัพเป็นกำลังสำรองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เวลานั้น นางต้องคอยปลอบประโลมผู้เป็นมารดาและน้องสาวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของนาง สงครามพรากจากผู้คนที่รัก ก่อเกิดความหิวโหยและอดอยาก เสบียงอาหารร่อยหรอ มิหนำซ้ำ แผ่นดินยังแห้งแล้ง ฝนไม่ตกตามฤดูกาล ทำให้เก็บเกี่ยวผลผลิตไม่ได้มาหลายเดือน
สงครามยืดเยื้อต่อมาได้อีกสองปี นางจึงได้ข่าวว่าทุกคนในครอบครัวที่เข้าร่วมสงครามไม่มีวันกลับมาอีกต่อไปแล้ว ตอนนั้น นางใจสลายทรุดเข่าลงกับพื้น มือทั้งสองข้างปิดหน้าร้องไห้โฮ บิดาสอนให้นางมีความหวังอยู่เสมอ ไม่ว่าจะน้อยนิดสักเพียงใด ขอแค่มีความหวัง นางทำตามคำบอกนั้นเป็นอย่างดี แต่ผลที่ได้รับกลับตรงกันข้าม คนผู้นั้นไม่อยู่แล้ว
กระนั้น วันที่รู้ข่าวร้ายเรื่องที่หนึ่งแล้ว ข่าวร้ายเรื่องที่สองก็ตามมาอย่างกระชั้นชิด กองทัพจากต่างแคว้นบุกเข้าเมือง หลินซินอี๋ไม่รอช้า รีบจัดแจงข้าวของจำเป็นพกติดตัวแล้วพามารดากับน้องสาวหนีไปทางฝั่งตรงข้าม แต่ความชุลมุนวุ่นวายในยามนั้น ทำให้ทุกคนต้องพลัดหลงกัน
หลินซินอี๋ตามหามารดาและน้องสาวอยู่นานหลายเดือน ร่างกายซูบผอมไปมากนักเพราะกินอยู่อย่างอดอยาก ผิวหนังที่เคยมีเนื้อมีนวลผ่ายผอม แห้งกร้าน มอมแมม แต่นั่นก็ทำให้นางรอดพ้นจากพวกค้าทาสมาได้ ในที่สุด นางก็ได้ข่าวคราวของทั้งสองคนจากเพื่อนบ้านที่เคยช่วยเหลือกัน ในใจนั้นกระโดดโลดเต้นที่จะได้พบครอบครัวอีกครั้ง
สองขาของนางก้าวตรงไปยังที่แห่งนั้น แม้จะไม่ได้กินอะไรมาหลายมื้อ แต่ยังคงออกวิ่งด้วยความมุ่งมั่น ไม่รู้ว่าเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน แต่แล้วความหวังของนางกลับพังทลายซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อได้เห็นว่าที่แห่งนั้นมีเพียงหลุมศพและป้ายวิญญาณสลักชื่อของมารดา
นางโอบกอดหลุมของมารดา มือข้างซ้ายลูบดินที่ฝังร่างไว้ไปมา น้ำตารินไหลไม่อาจกั้น ที่พึ่งพิงสุดท้ายไม่เหลือแล้ว นางทิ้งตัวลงนอนข้าง ๆ หลับตาลง ไม่อยากรับรู้อะไร
“ปล่อยข้า ปล่อยข้านะ ปล่อย” เสียงแหลมเล็กที่คุ้นเคยดังแว่วมาแต่ไกล หลินซินอี๋ลืมตาแล้วหันไปทางต้นเสียงนั้น
เด็กสาวตัวเล็กพยายามสะบัดตัวหนีจากเงื้อมมือของชายฉกรรจ์ผู้หนึ่ง เขาจับข้อมือของนางแล้วดึงตัวนางขึ้นอย่างง่ายดาย เด็กสาวผู้นั้นสีหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด แรงบีบมือมหาศาลแทบจะบดกระดูกของนางให้แตกละเอียด
หลินซินอี๋ยันตัวลุกขึ้น สาวเท้าวิ่งไปเร็วจี๋เพื่อจะดูให้ใกล้ ๆ ว่านางใช่คนที่กำลังตามหาหรือไม่ เมื่อได้เห็นผ้าผูกผมที่นางเคยทักทอให้น้องสาว หลินซินอี๋หัวใจเต้นแรง รีบวิ่งเข้าไปหาคนทั้งคู่
“ท่านพี่!” เสียงอันคุ้นเคยเรียกนาง
ชายฉกรรจ์ผู้นี้กลับยิ้มมีเลศนัย พลันต้องหุบยิ้มลงทันที เมื่อนางกระโดดดึงแขนที่จับข้อมือของเด็กสาวลงมา เขาใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่บีบลำคอเรียวแล้วโยนไปข้าง ๆ อย่างเลือดเย็น
“ท่านพี่!” น้องสาวของหลินซินอี๋ตะโกนสุดเสียง พยายามดิ้นให้หลุดเพื่อไปหาพี่สาวของนาง เท้าสองข้างที่ลอยเหนือพื้นเตะเข้าที่ชายโครงของชายฉกรรจ์ ทว่า ไร้ผลใด ๆ
“ปล่อยน้องสาวข้า” นางตะโกนก้อง พร้อมจ้องหน้าอย่างไม่เกรงกลัว คิดในใจว่าจะต้องปกป้องคนในครอบครัวที่เหลืออยู่คนสุดท้ายให้ได้
แต่ชายผู้นี้อารมณ์ด้านชา ไม่หวั่นไหวต่อคำร้องขอจากผู้อ่อนแอ เขาเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง มองดูร่างกายของนางอย่างพินิจพิจารณา แม้จะซูบเซียวไปบ้าง แต่ก็ยังคงขายได้ราคาดีอยู่ เขาไม่รอช้าเดินมาฉุดหลินซินอี๋ให้ลุกขึ้น แล้วดึงกระชากสองพี่น้องมาตลอดทาง
เมื่อมาถึงที่พักของพวกค้าทาส ทั้งสองจึงได้นั่งพูดคุยกันอย่างสงบอีกครั้ง
“หรงเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” หลินซินอี๋ถามนาง พลางตรวจดูร่างกาย เห็นข้อมือและลำตัวมีร่องรอยถูกทำร้ายก็คับแค้นใจคนพวกนั้นยิ่งนัก
“ข้าคิดถึงท่านพี่ ท่านแม่” นางกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล สายตาบ่งบอกทุกอย่างในใจ
หลินซินอี๋เล่าเรื่องราวของมารดาให้นางฟังอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะเกรงจะกระทบกระเทือนจิตใจ คอยเช็ดน้ำตาที่เอ่อล้นอย่างแผ่วเบาและกอดปลอบอยู่ทั้งคืน
รุ่งเช้าวันใหม่
สองพี่น้องถูกขายให้กับจวนเศรษฐี นับแต่นั้นมาจึงทำงานทุกอย่างภายในจวนด้วยความอุตสาหะ เก็บอัฐทีละเล็กทีละน้อยเอาไว้ไถ่ถอนตัวเองในวันข้างหน้า ชีวิตราวกับจะค่อย ๆ กลับมาเป็นผู้เป็นคนอีกครั้ง
ไฉนเลย เคราะห์โศกไม่ยอมรามือ โรคร้ายที่มาในคืนหิมะตกหนักคร่าชีวิตผู้คนที่อยู่ละแวกนั้นไปไม่น้อย รวมถึงน้องสาวของนางด้วยเช่นกัน หลินซินอี๋ ค่อย ๆ นำร่างของคนสุดท้ายในครอบครัว ขึ้นรถเข็นไม้ ไสไปยังสุสานท้ายเมือง ระยะทางไม่น้อย หยิบจอบมาสับลงดินแข็ง ๆ ทีละน้อย พลางปาดน้ำตาที่ไหลเอ่อ
จากนั้น ค่อย ๆ นำดินฝังกลบร่างให้น้องสาวทีละส่วน เหลือบมองใบหน้าที่เคยสดใสและยิ้มให้นางเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะจากลากันตลอดไป
หลินซินอี๋ เดินโซซัดโซเซไปตามทาง คิดในใจว่าไม่เหลืออีกแล้ว ไม่มีอะไรเหลือแล้ว มีแค่ลมหายใจของนางเท่านั้นที่ยังคงอยู่ แสงสว่างที่บิดาของนางเคยพูดถึง มีอยู่จริงหรือไม่ ทำไมถึงปล่อยให้ชีวิตของนางมืดมนได้เพียงนี้
ไม่ทันที่จะได้ทำอะไรต่อ นางกลับรู้สึกได้ถึงความเหี้ยมโหดอยู่เบื้องหลัง พวกพ่อค้าทาสเดินดุ่มเข้ามาหานาง ในเมื่อไม่มีนายคอยปกป้องคุ้มครอง นางจึงกลายเป็นพวกเร่ร่อนทั่วไป พวกเขาจึงคิดจะจับนางไปขายอีกครา หาเงินทองไว้ดื่มสุราเคล้านารีปรนเปรอความสุขของตนเองในวันข้างหน้า
“อีกนานหรือไม่ จะถึงแคว้นซีเป่ย” เสียงของเด็กชายคนหนึ่งถามขึ้น
“ข้าไม่รู้ ข้าไม่เคยไป” หญิงสาวผู้หนึ่งตอบกลับ
การเดินทางไปยังแคว้นซีเป่ยกินเวลาหลายเดือน ต่างคนต่างอยากรู้ว่าหนทางข้างหน้าจะทำให้ชีวิตของตนเองดีขึ้นได้หรือไม่ ข่าวลือแพร่สะพัดว่าแคว้นซีเป่ยนั้น แม้จะผ่านสงครามครั้งใหญ่แต่บ้านเมืองกลับเจริญรุ่งเรืองและต้อนรับผู้คนจากทุกหนแห่ง แม้จะเป็นทาสก็คงไม่ยากลำบากเช่นเดิม
หนึ่งเดียวที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวอันใดแล้ว ปล่อยความคิดของตนเองล่องลอยไปกับสายลม ใจไม่โหยหา ทั้งด้านชาเสียเต็มประดา
ด่านที่สองของการฝึกวิชาคือพลังตัวเบาดุจขนนก หวังซีซวนงัวเงียตื่นขึ้นมาเพราะเซี่ยฟานเข้ามาปลุก พร้อมอาหารเช้าของโปรดของเขา“คุณชาย รีบกินเถิด เดี๋ยวไม่ทันนะขอรับ” เซี่ยฟานจัดแจงนำอาหารมาวางไว้ถึงบนเตียงของเขา แล้วยื่นตะเกียบให้“อื้อ ๆ” หวังซีซวนพูดไม่เป็นคำเพราะอาหารที่อัดแน่นเต็มปากของเขา แก้มทั้งสองข้างนูนออกมาจนหน้าดูประหลาดไป“คุณชาย รีบเกินไปแล้วกระมัง” เซี่ยฟานมองหน้าเขากลั้นหัวเราะเอาไว้หลังจากทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว หวังซีซวนก็เดินเข้าสู่ป่าไผ่เขียว เพื่อรับการฝึกวิชาด่านที่สอง“คุณชาย วันนี้พวกเราหนีไม่พ้นไปนอนที่เล้าหมูแน่ ๆ เลยขอรับ” ศิษย์น้องบอกเขาพลางชี้ไปที่กลางลานฝึกลำต้นใหญ่ของไผ่เขียวนับสิบตั้งอยู่ หากมองดูดี ๆ แล้ว ลำต้นกลับเคลือบไปด้วยน้ำมัน ความสูงของแต่ละต้นไม่อาจนับได้ เพราะเมฆหนาลอยปกคลุมอยู่ด้านบน“สูงเท่าใดหรือ” คุณชายหกถามศิษย์ที่เขาสนิทด้วย
“ใช่แล้วพี่สาม ข้าจะสั่งสอนเขาเอง” หวังซีซวนเน้นยำกับพี่ชายอีกครั้ง แล้วแกล้งทำเสียงตวาดใส่เซี่ยฟาน “กลับมานี่ เจ้าทำให้ข้าขายหน้า” หวังซีซวนรู้ดีว่าหวังเยี่ยนหลงไม่สนใจตนเองเท่าใดนัก คงจะเห็นว่ากำพร้ามารดาเหมือนกันกระมังพอเห็นเซี่ยฟานเดินคอตกไปหาหวังซีซวนที่อ่อนกว่าก็ได้แต่สมเพช เขาเลิกคิ้วมองตามด้วยความสงสัยแล้วเดินจากไปอย่างว่าง่าย“เฮ้อ!” เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่คิดว่าหวังเยี่ยนหลงจะเดินผ่านมาทางนี้ เพราะเรือนใบไผ่ของพี่ชายอยู่อีกทางด้านหนึ่ง “เซี่ยฟาน เจ้าไม่ต้องเศร้าไปหรอก แค่หลบน้ำร้อน คนผู้นั้นทำได้สบายอยู่แล้ว”“คุณชายหมายความว่าอะไร” เซี่ยฟานเงยหน้ามองเขาไม่เข้าใจสิ่งที่พูด เพราะเขาก็เห็นอยู่ว่าชายกางเกงของหวังเยี่ยนหลงเปียกน้ำ“เซี่ยฟาน พี่สามน่ะ ฝีมือเป็นรองแค่พี่ใหญ่กับพี่รองเท่านั้น เรื่องแค่นี้เขาหลบหลีกได้อยู่แล้ว ปกติแล้วเขาไม่ค่อยจะยุ่งกับข้าเท่าใดนัก แต่ทางที่ดี เจ้าระวังเขาเอาไว้ให้มาก ๆ ข้าเห็นเขามานาน การกระทำของ
ผู้ที่หวังซีซวนเรียกเมื่อครู่ หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ หวังเยี่ยนหลง บุตรชายลำดับที่สามของหวังเฉิงเย่ผู้เป็นเจ้าสำนัก บิดาของเขาออกเดินทางฝึกวิชาสำนักตระกูลหวังเพียงลำพังแล้วบังเอิญได้พบมารดาของเขาเป็นครั้งแรกในเวลานั้น ความรักระหว่างคนทั้งสองบังเกิดขึ้น นางรักเขามากจนยอมที่จะบอกวิชาลับของตระกูลให้เขาได้รู้ แม้ว่าบิดาของนางจะห้ามปรามเท่าใดก็ไม่เป็นผล นางไม่ได้รู้เลยว่าเขาจะนำมาใช้กับนางในภายหลังเมื่อแรกรักทุกอย่างดูเป็นไปได้ด้วยดี เขาพานางกลับมาที่สำนักตระกูลหวัง กุมวิชาลับของนางเอาไว้ และมีแผนอยู่เบื้องหลังการกลับมาในครั้งนี้ทันทีที่ก้าวเข้ามา นางกลับได้รับรู้ว่าตนเองเป็นได้เพียงอนุของเขาเท่านั้น แม้จะได้เข้าพิธีตามธรรมเนียมแต่การแก่งแย่งชิงดีภายในตระกูลระหว่างฮูหยินและอนุทั้งหลายต่างดุเดือดไม่แพ้การชิงตำแหน่งเจ้าสำนักตระกูลหวังคนต่อไปถึงจะรักเขามากเพียงใด แต่เขาโกหกนางสารพัดจึงทำให้คิดถึงบ้าน แล้วนางก็เริ่มหาทางหนีออกจากที่แห่งนั้น เพียงแต่ว่า...“โอ๊ย!” หลังจากก้า
คนที่อยู่ในสำนักตระกูลหวังล้วนมีพันธะอย่างหนึ่งที่ใครก็ไม่อาจปฏิเสธ ไม่ว่าจะฐานะคุณชาย ลูกศิษย์หรือแม้แต่คนใช้ ทุกคนเข้ามาที่จวนแห่งนี้ได้ แต่หากจะออกไปย่อมต้องไปอย่างคนไร้วิญญาณเพื่อรักษาความลับของวิชาที่สืบทอดกันมาและหากมีผู้ใดคิดจะหนี ก็คงหนีไปได้ไม่ไกลเพราะพันธะนั้นเป็นเหมือนเชือกที่คอยผูกมัดคอเอาไว้ ยิ่งหนีเชือกเส้นนั้นยิ่งตึงขึ้น จำต้องยอมถอยกลับมาที่เดิม ในอดีตมีคนมากมายพยายามหนีออกไป โดยไม่รู้ตัวว่ามีพันธะอยู่ พวกเขาหนีไปได้ไม่ถึงสิบก้าวก็สิ้นใจลงในทันทีเมื่อไม่มีทางหนีแล้ว ทางเดียวที่จะอยู่รอดคือแข็งแกร่ง การฝึกหฤโหดดำเนินไปในแต่ละวันไม่มีหยุด ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ความคิดของคนเหล่านี้ผิดแผกจากคนทั่วไปแข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะอยู่รอดได้ พี่น้องนั้นนับเป็นศัตรูได้ทุกเมื่อ หวังซีซวนจึงไม่เคยไว้ใจใคร แรกเริ่มที่แกล้งเซี่ยฟานก็เพื่อทดสอบ เมื่อผ่านอะไรมาด้วยกัน จึงได้รู้ว่าเซี่ยฟานไม่เหมือนใคร เขาคนนี้ต่างหากคือพี่ชายที่แท้จริง พี่ชายอย่างที่ควรจะเป็นอย่าว่าแต่ความผูกผันกันในสายเลือดข
นับตั้งแต่วันที่หวังซีซวนได้เจอกับเซี่ยฟาน เขาก็ทดสอบจิตใจและความอดทนของเซี่ยฟานตลอดเวลา เซี่ยฟานนั้นเดิมทีไม่ค่อยมีปากมีเสียงอะไร เวลาโดนหวังซีซวนแกล้ง เขาก็นิ่งเงียบไม่ตอบโต้ ครั้นเจอหวังซีซวนดื้อ เอาแต่ใจ เขาก็ใจเย็นรอคอยและทำหน้าที่ของตนให้สำเร็จ เซี่ยฟานปลอบใจตนเองว่าอย่างน้อยที่นี่ก็ดีกว่ามาก แต่สิ่งที่เขาคิดกลับเป็นแค่เพียงฉากหนึ่งที่ได้เห็นในเวลานั้น สถานที่เงียบสงบเริ่มกลับมาครึกครื้น เซี่ยฟานได้เห็นคนรุ่นเดียวกันมากมายในสำนัก คุณชายทั้งเจ็ด ลูกศิษย์ คนรับใช้ คนงาน ความวุ่นวายก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้รู้ว่า ที่นี่ก็ไม่ต่างจากนรกขุมเดิม แต่ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ เขาก็มีความหวังอยู่เสมอ เซี่ยฟานเรียนรู้จากสองพี่น้องคู่นั้นว่
เวลาผ่านไปสามปีชีวิตของเซี่ยฟานเติบโตขึ้นอย่างทุลักทุเล นับตั้งแต่ที่เห็นว่าสองพี่น้องมีชะตาชีวิตอย่างไร เขาก็ไม่กล้าที่จะดื้อดึงหรือมองหาหนทางเป็นอิสระอีกต่อไป เวลานั้นเขารู้ข่าวจากหานโจวมาว่าคนเป็นน้องไม่รอด ส่วนคนเป็นพี่สาวหายตัวไปอย่างลึกลับ เขาคิดว่าสาเหตุคงจะเป็นเหมือนจางเจียและหลินซินอี๋ด้านเซี่ยเวย แม้เวลาจะล่วงเลยแต่ยังคงประพฤติตัวเช่นเดิม จนเรื่องราวภายในจวนของเขาส่งกลิ่นไปด้านนอก ผู้คนเริ่มระแคะระคายอยากรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในจวนของเขาแม้แต่ฮูหยินเองก็ตามเช็ดทุกเรื่องที่เขาทำไม่ไหว ไหน ๆ ก็ไม่สามารถมีบุตรสืบสกุลได้ นางจึงคิดที่จะฮุบเอาสมบัติทั้งหมดมาเป็นของนางคนเดียววันนั้นเอง คนเป็นพี่สาวที่หนีไปได้เมื่อครั้งนั้น ได้กลับมาพร้อมกับสามีของนาง เขาเป็นคนของทางการ มีอำนาจในการตร
เช้าวันหนึ่งเซี่ยฟานนั่งเล่นอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในเรือนทาส เขามองไปด้านบนเพราะได้ยินเสียงจิ๊บ จิ๊บ ดังระงมอยู่พักหนึ่งแม่นกคาบอาหารบินโฉบลงมาที่รัง แล้วค่อย ๆ ป้อนลูกนกแต่ละตัวอย่างใจเย็น เซี่ยฟานปีนขึ้นไปดูที่รังของพวกมันด้วยความอยากรู้อยากเห็นเขาคอยเฝ้ามองดูนกฝูงนี้ตั้งแต่นั้นมา เห็นความรักที่แม่นกคอยปกป้อง หาอาหาร ให้ความอบอุ่นแก่ลูกนก นับเป็นความสุขเล็ก ๆ ที่ก่อเกิดในใจของเซี่ยฟานจนกระทั่งถึงวันที่ลูกนกต้องหัดบิน แม่นกคอยช่วยให้ลูกนกเหล่านั้นขยับปีก สอนให้ลูกนกโผบิน ในที่สุด ลูกนกในรังก็เริ่มสยายปีกบินขึ้นฟ้าสายตาของเซี่ยฟานมองตามด้วยความตื่นเต้น นกฝูงนี้โผบินอย่างอิสระบนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ ใจของเซี่ยฟานเบิกบาน เขาคอยเฝ้ามองหาทางที่เขาจะเป็นดั่งนกพวกนี้“ท่านลุง ข้าอยากบิน แบบนกพวกนั้น” เซี่ยฟานพูดกับหานโจว พลางชี้ไปบนท้องฟ้า“เจ้าไม่ใช่นกเสียหน่อย ปีกก็ไม่มี” หานโจวคิดว่าเซี่ยฟานพูดไปเรื่อย นึกไม่ถึงว่าสิ่งที่เซี่ยฟานพยายามบอกคือการเป็
“บัดซบ!” เสียงของเซี่ยเวยอุทานขึ้นทันทีที่ลืมตา เขามองร่างของหลินซินอี๋ที่ห้อยอยู่ตรงหน้า แล้วรีบลุกขึ้นปลดผ้าผืนยาวที่พันรอบคอของนางเอาไว้ ก่อนนำตัวลงมา“หลินซินอี๋!” เขาตะโกนเรียกนางซ้ำ ๆ สุดท้ายก็ต้องจับชีพจรของนาง สีหน้าบอกไม่ถูก ในใจสับสนคิดว่าควรจะทำเช่นไร คิ้วสองข้างขมวดเป็นปม“หลินซินอี๋!” เซี่ยเวยเขย่าร่างไร้ลมหายใจของนางอีกครั้ง “เมื่อคืนเจ้าก็สนุกไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงทำเช่นนี้?” เซี่ยเวยดูจะเข้าใจผิดไปมากนัก คนที่สนุกมีเพียงแค่เขาผู้เดียวเท่านั้นจากนั้นเขาก็ยิ้มแล้วหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง อารมณ์สองขั้วที่สลับไปมาทำให้เขาดูเหมือนจะเป็นบ้าไปชั่วขณะ เซี่ยเวยมองหน้าของหลินซินอี๋อีกครั้ง ยื่นมือข้างหนึ่งลูบใบหน้าของนางอย่างที่เคยทำ“เฮอะ บังอาจนัก ใครใช้ให้เจ้าตาย” เขาพึ
เช้าวันรุ่งขึ้นเซี่ยเวยลืมตาตื่นอย่างไม่รู้สึกรู้สาว่าเมื่อคืนนั้น เขากระทำสิ่งใดลงไป เขายันตัวขึ้นนั่งแล้วมองไปรอบ ๆ ห้อง สภาพข้าวของกระจัดกระจาย รอยเลือดละเลงไปทั่วพื้นเรือน พอได้เห็นคนผู้หนึ่งนอนนิ่งอยู่ข้างหน้า ก็เดินเข้ามาดูด้วยความงงงวยครั้นขยับตัวมากกลับรู้สึกเจ็บแผลตรงศีรษะ ยิ่งได้เห็นว่าคนที่นอนตรงนั้นเป็นจางเจียก็ไม่ยี่หระ เดินออกนอกห้องไปดื้อ ๆหลังจากเซี่ยเวยเดินไปไกลแล้ว ทาสในเรือนสองสามคนจึงแอบมาชะเง้อมองดูที่หน้าประตูห้อง ยามปกติจะต้องเห็นจางเจียตื่นแต่เช้า หาน้ำหาข้าวให้อาฟานแล้ว แต่ยามนี้กลับไม่เห็นแม้แต่เงาภาพที่เห็นทำให้พวกเขาอุทานโดยไม่รู้ตัว ค่อย ๆ เดินไปหานาง“นายท่านโหดร้ายเหลือเกิน” เสียงคนที่เกาะขอบประตูอยู่ดังขึ้น
Comments