ยามมองสัตว์ผู้โชคร้ายนอนแน่นิ่ง ร่างกายเล็กเกิดสั่นเทาเล็กน้อยเพราะตนไม่ถูกกับเลือด อีเลนกลั้นใจก่อนเดินเข้าไปสำรวจอาการว่ามันมีโอกาสรอดหรือไม่
หนูแฮมสเตอร์ตัวกลมสีขาวลายด่างน้ำตาลร้องจี๊ด ๆ สายตาพลันสบกับดวงตาสีส้มเฉดเหลืองคล้ายอ้อนวอนขอชีวิต อีเลนรู้สึกผิดขึ้นมาในทันที คิดว่าตนไม่น่าทดลองกับสิ่งมีชีวิตเลย ทั้งที่มันก็เจ็บเป็นและมีหัวใจเหมือนกัน
“ขอโทษนะ ที่ฉันไม่ช่วยแกให้เร็วกว่านี้”
กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยพลันรู้สึกกระวนกระวาย เมื่อเห็นว่ามันอยู่ในสภาพใกล้หมดแรงเต็มที
อีเลนสีหน้าไม่สู้ดี ยืนคิดอยู่สักพักว่าควรทำยังไงก่อนตัดสินใจรีบพุ่งตัวเข้าไปในบ้าน หยิบผ้าผืนเล็กสีขาวสะอาดเข้ามาโอบอุ้มเจ้าหนูลายด่างไว้ในอุ้มมือ
เขามองเลือดที่ซึมไปกับผืนผ้าสีขาวเล็กน้อย ในใจหวาดผวาเกิดอาการมือสั่น ยังดีที่หนูแฮมสเตอร์เลือดออกไม่มาก ถ้าเกิดเยอะกว่านี้คงกลั้นใจอุ้มมันขึ้นมาไม่ได้แน่ ๆ
“ดีละ!!”
คนตัวเล็กตัดสินใจเดินไปยังคลินิกสัตวแพทย์ซึ่งอยู่แถวบ้าน เขาคิดว่าถ้ามัวแต่นั่งรอจนกว่าแม่จะกลับเหยื่อผู้น่าสงสารคงได้ขึ้นสวรรค์ไปก่อนแน่นอน
ระหว่างทางอุ้มหนูตัวอ้วนพาไปหาหมอ สองเท้าน้อยเดินผ่านถนนหน้าสวนสาธารณะที่อยู่ไม่ไกลบ้าน เขาเห็นรถยนต์หรูสไตล์ผู้ดีอังกฤษสีดำขลับกำลังวิ่งสวนเลนมาทางฝั่งตรงข้ามพอดี
นัยน์ตาสีส้มมองตัวรถยนต์ตาเป็นประกาย ตั้งแต่เกิดมาพึ่งเคยเห็นรถหรูขนาดนี้เป็นครั้งแรก สายตาพลันเหลือบมองไปยังกระจกที่นั่งด้านหลังซึ่งถูกเปิดแง้มไว้เพียงน้อยนิด
เขาเผลอสบตาเข้ากับเด็กชายผู้มีดวงตาสีน้ำเงินเข้มหยั่งลึกแค่เพียงไม่กี่วินาที เวลานั้นชายหนุ่มคิดเพียงแค่ว่าดวงตาของเด็กคนนี้สีสวยดี เหมือนกับอัญมณีบลูแซฟไฟร์ที่เคยเห็นตามร้านขายเครื่องประดับชื่อดัง ก่อนจะเลิกสนใจรีบมุ่งหน้าตรงไปยังจุดมุ่งหมายต่อ
ในขณะนั้นรถหรูที่ค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกห่างไป เจ้าของดวงตาสีน้ำเงินดั่งน้ำทะเลลึกมองไล่หลังเด็กหนุ่มซึ่งอุ้มแฮมสเตอร์ไว้ในอุ้มมือ ในหัวครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนจะละสายตากลับมาวางไว้ที่เดิม…..
ร่างน้อยเดินไปตามเส้นทางภายในความทรงจำ เขาก้าวเท้าเล็กเข้าไปในซอยหนึ่ง ซึ่งทะลุผ่านทางนี้แล้วเลี้ยวขวาก็พบคลินิกสัตวแพทย์แล้ว
ประตูกระจกใสถูกผลักออก คุณหมอหนุ่มท่าทางใจดีมองผู้มาเยือนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ด้วยความสับสนมึนงง ก่อนจะปรับเปลี่ยนสีหน้าเป็นปกติ เผยรอยยิ้มมุมปากน้อย ๆ ให้เด็กชายที่พึ่งมาใหม่อย่างอ่อนโยน
“สวัสดีครับเจ้าตัวน้อย มีอะไรให้พี่หมอช่วยเหลือครับ”
คุณหมอไม่พูดเปล่า เดินเข้ามาก้มตัวเอามือชันเข่าคุยกับเด็กตรงหน้า สายตาเหลือบมองหนูแฮมสเตอร์ที่นอนคดอยู่ในมือเล็กด้วยความแปลกใจ
“ผมเอาเจ้าหนูนี่มาให้รักษาครับ”
อีเลนยื่นผ้าที่ห่อหุ้มสัตว์ตัวจ้อยให้คุณหมอท่าทางใจดีดู คุณหมอยื่นมือมารับไป สีหน้ายังคงไม่ลดความสงสัย
“มันโดนอะไรมาเหรอครับ” คุณหมอถามด้วยความเป็นมิตร
“มันโดนแมวตะปบเอาครับ คุณหมอช่วยรักษาให้ก่อนได้ไหมครับ เดี๋ยวผมให้แม่มาจ่ายเงินทีหลัง”
“แล้วคุณแม่เราไปไหนครับ”
“แม่ผมไปทำธุระครับ คุณหมอไม่ต้องห่วงเรื่องเงินนะครับผมไม่เบี้ยวแน่นอน แต่ถ้าคุณหมอไม่เชื่อเอาเบอร์แม่ผมไว้ก่อนก็ได้ครับ”
อีเลนเป็นคนความจำดี เขามักจำรายละเอียดสำคัญ ๆ ไว้เสมอ ไม่ว่าชาติก่อนจะเป็นเบอร์ที่ทำงานหรือรายละเอียดลูกค้า ไม่ว่าเรื่องอะไรเขามักจำเอาไว้หมด
ยิ่งเบอร์คนเป็นแม่ยิ่งมีความสำคัญไม่แปลกที่จะไปขอมาจำไว้ เผื่อเกิดเรื่องอะไรจะได้ขอความช่วยเหลือได้ทัน
คุณหมอมองเด็กน้อยหน้าตาหล่อเหลา สายตาแน่วแน่ไม่เหมือนเด็กทั่วไป ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังคุยกับคนโตแล้ว ในใจคิดว่าเด็กคนนี้เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมากจริง ๆ
ตั้งแต่อีเลนเปิดประตูเข้ามาเขาก็จำเด็กชายได้ทันที ดวงตาสีส้มอมเหลือง ผมสีขาวปอยเหลืองเด่นสะดุดตายังคงชัดเจนในความทรงจำ
เมื่อสองปีก่อนมีคุณผู้หญิงอุ้มสุนัขพันธุ์โกลเด้นตัวเล็กเข้ามาในคลินิก เธอมาพร้อมกับลูกชายหน้านิ่งดวงตาว่างเปล่าไม่เหมือนคนมีชีวิต ผิดกับผู้เป็นแม่ซึ่งมีสีหน้าเคร่งเครียดกระวนกระวายที่ลูกสุนัขล้มป่วย
คุณหมอนำสุนัขมาตรวจโรค อุ้มชั่งน้ำหนัก เอกซเรย์ปอดและช่องท้อง ก่อนเจาะเข็มฉีดยาดูดเลือดออกเพื่อมาตรวจวินิจฉัย เขายังจำสายตาที่จับจ้องมายังเข็มฉีดยาได้
เด็กชายไร้ชีวิตกำลังยืนมองหลอดเลือดตัวนิ่งไม่ขยับ นัยน์ตาคล้ายมีประกายดาวระยับจนน่าขนลุก
ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน
คุณหมอมองไปยังดวงตาคู่นั้นที่เคยเห็นของเด็กตรงหน้า ตอนนี้ให้ความรู้สึกถึงประกายชีวิตไม่เหมือนแต่ก่อนที่เคยสัมผัส
เขาคิดว่าเด็กคนนี้คงโตมาด้วยความรักและความเอาใจใส่มากมาย รู้สึกนับถือคุณผู้หญิงที่สั่งสอนลูกให้โตมาดีกว่าเดิมมากขนาดนี้
เมื่อย้อนเรื่องราวสมัยก่อน คุณหมอพลันนึกถึงเจ้าลูกหมาโกลเด้นขึ้นมาจึงถามออกไป
“ตอนนี้ลูกหมาตัวน้อยเป็นไงบ้างครับ”
“ครับ?”
ชายหนุ่มสตั๊นกับคำถาม เขาเกิดข้อสงสัยว่าอีเลนคนเก่าเคยเลี้ยงหมาด้วยเหรอ ก่อนจะลองหลับตานึกย้อนความทรงจำดี ๆ ภาพเศษเสี้ยวบางอย่างคล้ายค่อย ๆ ผุดขึ้นมาทีละนิด เหมือนอีเลนจะเคยเลี้ยงลูกสุนัขตัวหนึ่ง เพราะทางบ้านไม่ค่อยมีเวลาสนใจมันจึงส่งต่อให้ญาติทางบ้านไป “ตอนนี้ให้ญาติรับไปดูแลแล้วครับ”
เด็กชายตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม สายตาเหลือบมองแฮมสเตอร์ ในมือของคุณหมออย่างเป็นห่วง
“งั้นเหรอครับ นี่คงเป็นสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของเราสินะ เดี๋ยวพี่หมอตรวจดูอาการให้เสร็จแล้วจะออกมาบอกให้เราฟังนะครับ รอพี่หมออยู่ตรงนี้ก่อนนะ”
“ครับ”
อีเลนรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง เขาเดินไปนั่งรอบนที่นั่งอย่างเรียบร้อย คุณหมอมองมาที่เด็กชายรู้สึกชื่นชมในความสงบและเชื่อฟังของเจ้าตัว ก่อนจะเดินเข้าไปทำหน้าที่ของตัวเองในห้องหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ ๆ
เวลาล่วงเลยไปสักพัก ชายสวมชุดขาวก้าวออกมาพร้อมบอกอาการของแฮมสเตอร์ด้วยสีหน้าไร้กังวลใด ๆ
“เจ้าหนูน้อยไม่เป็นไรมากครับ พี่หมอทำความสะอาดแผลและฉีดวัคซีนให้แล้ว ที่เหลือต้องรอดูอาการไปอีกสักระยะ ไว้เราค่อยกลับมาดูเจ้าตัวเล็กใหม่พร้อมคุณแม่สักตอนห้าโมงเย็นดีไหมครับ”
คนตัวเล็กพยักหน้า ถึงอยู่ไปก็คงได้แต่นั่งรอเฉย ๆ ตอนนี้กลับไปรอที่บ้านก่อนดีกว่า ในขณะคิดพลันเหลือบมองนาฬิกาติดผนัง
ตั้งแต่ออกจากบ้านมาอยู่ที่นี่ตอนนี้ก็ปาไปบ่ายโมงแล้ว อีเลนกลัวว่าถ้าแม่กลับมาไวไม่เห็นตัวเข้าจะเป็นเรื่องใหญ่ ยิ่งเธอมีนิสัยให้ความสำคัญกับลูกชายมากเกินไปอีกด้วย
ใจจริงเขาอยากลองเดินสำรวจสถานที่รอบ ๆ เพราะตั้งแต่เข้ามาในนิยายก็ได้อยู่แต่ในบ้าน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ออกมาโลกภายนอกแบบนี้
แม้ใจจะอยากออกไปมากเพียงไรแต่สุดท้ายก็เลือกที่จะตัดใจ เขาไม่อยากทำให้หญิงซึ่งดูแลตัวเองนั้นเป็นห่วง
สองขาเล็กย้ำเท้ากลับทางเดิมด้วยความรู้สึกอดเสียดายไม่ได้ เขาก้าวผ่านทางสวนสาธารณะ พอเดินไปอีกนิดพึ่งสังเกตเห็นว่าใกล้ ๆ บ้านตนมีสนามเด็กเล่นด้วย
ร่างน้อยเหม่อมองเด็กคนหนึ่งซึ่งตอนนี้นั่งอยู่บนชิงช้าท่ามกลางบรรยากาศยามเย็นไร้ผู้คนเพียงลำพัง พอจ้องมองแล้วก็ทำให้อดนึกถึงเรื่องสมัยวัยเยาว์ ไม่ได้ ก่อนเข้ามาสิงร่างนี้ ตัวจริงเขาเป็นเด็กกำพร้าอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กใกล้ชุมชนหนึ่ง ที่นั่นก็มีสนามเด็กเล่นเหมือนกัน
เขาอยากพาพวกน้อง ๆ ในสถานรับเลี้ยงไปเล่นชิงช้ามาก แต่กลับถูกพวกเด็กในชุมชนขัดขวางกลั่นแกล้งเพียงเพราะพวกเขาไม่มีพ่อแม่คอยดูแลเหมือนเด็กคนอื่นยิ่งคิดยิ่งรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาในทันที อีเลนหยุดยืนมองชิงช้าที่แกว่งไปมานิ่ง ในใจคิดว่าจะลองไปนั่งเล่นดูสักครั้งดีไหม
ยังไงตอนนี้ตนก็อยู่ในร่างเด็ก ไปลองใช้ชีวิตให้สมกับอายุวัยนี้ดูบ้างคงไม่เสียหายอะไร แต่ถึงจะอยากไปนั่งสักเพียงไรเขาก็ต้องกลับไปขออนุญาตแม่ก่อนเพื่อไม่ให้เป็นห่วงอยู่ดี
ในตอนที่กำลังจะหันตัวกลับสายตาพลันสบเข้ากับดวงตาสีแซฟไฟร์อย่างไม่ได้ตั้งใจ โลกทั้งโลกคล้ายหยุดหมุนไปชั่วขณะ
ดวงตาสีน้ำเงินเปล่งประกายท่ามกลางแสงสีส้มทอระยับดูเด่นชัดแม้จะอยู่ที่ห่างไกล
เด็กชายตกตะลึงในความสวยงามของดวงตาคู่นั้นเมื่อมองเห็นได้เต็มสองลูกตา ก่อนตั้งสติได้ว่าตนเผลอใจลอยจ้องคนตรงหน้าไปแล้วไม่รู้กี่วินาทีดั่งต้องมนต์สะกด
'เด็กนั่นเป็นเด็กที่นั่งอยู่ในรถหรูนี่ เขามาทำอะไรที่นี่คนเดียว….'
ขณะคิดหาคำตอบในหัวให้ตัวเองอยู่ กลุ่มเด็กสามคนแลดูอันธพาลอายุรุ่นราวคราวเดียวกันเดินเข้ามาในสนามเด็กเล่น ปรี่ตรงไปหาเจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์ ซึ่งนั่งอยู่บนชิงช้า
“หัวหน้า มีคนมาแย่งที่เราครับ” เด็กอ้วนลูกสมุนตัวน้อยพูดขึ้น
“ออกไปเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นแกโดนเตะร้องเสียงหลงแน่ไอ้น้อง” เด็กตัวเล็กสุดในกลุ่มวางท่าทีอวดเบ่งด้วยน้ำเสียงขึงขัง
“เออ!! ไม่รู้เหรอว่านี่ถิ่นใคร กลับบ้านไปร้องแง ๆ หาแม่ไปชิ่ว ๆ”
เมื่อหัวโจกพูดเสร็จทั้งสามคนก็หัวเราะกันเสียงดัง เด็กอ้วนส่ายก้นไปมาก่อนจะตีแปะๆ ลงที่บั้นท้ายตัวเองเป็นเชิงหยอกล้อ
“ร้องไห้วิ่งไปฟ้องแม่เลยไปไอ้ลูกแหง่”
เจ้าของดวงตาสีน้ำเงินเข้มนิ่งสงบ ก่อนจะค่อยหยันตัวลุกขึ้นคิดเดินจากไปเงียบๆ ยังไม่ทันที่เจ้าตัวจะยืนขึ้นจนสุด พลันรู้สึกหนักอึ้งบริเวณลาดไหล่ทั้งสองข้าง
เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมอง เขาพบกับเด็กชายผมสีขาวปอยเหลือง ดวงตาสีส้มอมเหลืองเปล่งประกายสะท้อนรับแสงอาทิตย์ยามเย็น มันส่องสว่างเหมือนยกทั้งพระอาทิตย์เข้ามาไว้นัยน์ตาคู่นั้น
เจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์ยังไม่ทันตั้งตัวดี ก็ถูกกดให้นั่งลงตามเดิม เสียงโซ่คล้องชิงช้ากระทบกันท่ามกลางความวุ่นวาย
“ทำไรวะ ไอ้เด็กผิดปกตินี่!!” เด็กอ้วนพูดขึ้นอย่างโมโหพลางผลักตัวอีเลนจนเซไปข้างหลังเล็กน้อย
“นั่นมันลูกชายของบ้านทนายนี่หัวหน้า พ่อผมบอกว่าอย่าไปยุ่งกับเด็กบ้านนี้ด้วย!!” เด็กตัวเล็กสุดกระซิบกระซาบให้ผู้นำตนเองฟัง
“ลูกทนายแล้วไง พ่อกูก็เป็นตำรวจเหมือนกัน อย่าไปกลัวมัน!!” หัวหน้าแก๊งตอบกลับไปด้วยความภาคภูมิในอำนาจของพ่อบังเกิดเกล้า
“ใช่หัวหน้า มันเป็นแค่เด็กจิตผิดปกติ วันนี้เห็นแม่ผมคุยกับยายแจนข้างบ้านให้ฟังว่าแม่ไอ้เด็กนี่ไปหาหมอด้วย แม่มันต้องเป็นบ้าตามลูกมันแน่” เด็กอ้วนปากคอเรอะรายพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
อีเลนซึ่งพยายามข่มจิตใจให้นิ่งสงบมาโดยตลอด เขาฟังถ้อยคำถากถางผ่าน ๆ บัดนี้ในใจเกิดเดือดพล่าน
คิดว่าถึงตนจะอยู่ในร่างเด็กแต่จริง ๆ แล้วเขาก็เป็นผู้ใหญ่อายุยี่สิบสองมีวุฒิภาวะมากกว่า ย่อมต้องสงบใจใช้เหตุผลในการหยิบยกมาอธิบายว่าทำแบบนี้มันไม่ดี ใช่เขาต้องเป็นแบบนั้น ใช่แล้ว อดทนไว้!!
ซัดหน้าแม่ง!!
คิดแล้วได้อะไรล่ะ ในเมื่อตอนนี้เขาก็เป็นเด็กอายุสิบสองปีเหมือนเด็กหัวโปกพวกนั้น จะต่อยตีแบบเด็กเขาเล่นกันคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง
กำปั้นเล็กไปเร็วกว่าความคิดง้างสุดไรสุดต่อยหน้าเด็กอ้วนหันจนตัวหมุนล้มก้นกระเเทกพื้นฟันหลุดไปสองซี่
เด็กตัวกลมมองฟันตัวเองที่ร่วงออกมาเริ่มร้องไห้เสียงดังลั่น อีเลนสะบัดมือแก้เมื่อยเบาๆ สองที
ตามจริงเขาไม่อยากจะใช้ความรุงแรงกับเด็กหรอก แต่ถ้าปล่อยไว้ให้ได้ใจคงมีเหยื่อเคราะห์ร้ายเพิ่มขึ้นอีกจากการกลั่นแกล้ง
บางทีคนบางคนก็ควรโดนไม้แข็งมากกว่าไม้อ่อน อีกอย่างเขาไม่ชอบที่มาว่าเจ้าของร่างคนเก่ากับหญิงที่คอยดูแลเขาด้วยความรักเสีย ๆ หาย ๆ ใครจะอยากไม่ปกติกันล่ะ!!
ในขณะเดียวกันที่อีเลนจัดการพวกเด็กเหลือขอ ดวงตาสีแซฟไฟร์นั่งนิ่งมองการกระทำของคนตรงหน้า
ริมฝีปากหยักปรากฏรอยยิ้มแลอ่านออกยากเพียงเสี้ยววินาที
“จะ จ๊างงงง!! เอาป้ายมาสิเชส” โจลี่สั่งให้เพื่อนซี้แน่นปึกยืนหันหลังพร้อมยกป้ายกระดาษหนาเท่าฟิวเจอร์บอร์ดขึ้นสูงเหนือหัว “ดูและฟังให้ดีนะคะน้อง ๆ นิทานที่พวกเราห้อง F ได้ก็คืออออ คือออออ” เด็กสาวลากเสียงยาวให้น้องมอหนึ่งทั้งหลายรู้สึกลุ้นระทึกกันอย่างสนุกสนาน น้ำเสียงร่าเริงดังขึ้น “นิทานที่พวกเราได้คือ….. สโนว์ ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ดค่ะ!! รีบตบมือกันเร็วเข้า!!” สิ้นสุดเสียงโจลี่ เชสทำการกลับป้ายเฉลยชื่อ ทีมซัพพอร์ตมอหกห้อง F ต่างช่วยกันส่งเสียงร้องเชียร์อย่างไม่มีใครยอมใคร บรรยากาศของรุ่นพี่ห้อง F ทำให้เหล่ารุ่นน้องที่น
เมื่อทำการจับฉลากเป็นคู่ในกล่องสุ่มเรียบร้อยแล้ว ครูอันให้นักเรียนที่อาสาตัวช่วยละครจบของรุ่นพี่เข้าไปรวมตัวกันที่หอประชุม แถวในหอประชุมจะถูกแบ่งแยกไปตามห้องที่แต่ละคู่จับสุ่มได้ โดยมีตัวแทนของพวกรุ่นพี่ห้อง S-F ยืนเรียงแถวหน้ากระดานเว้นระยะห่างหนึ่งช่วงแขน ให้พวกน้อง ๆ ที่จับฉลากได้ห้องไหนเข้ามายืนต่อแถวตอนห้องนั้น ใช้เวลาไม่นานนักเรียนอาสาของทุกห้องก็เดินเข้ามาเรียงแถวในหอประชุมกันจนครบ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยประธานนักเรียนชั้นมอห้าเดินขึ้นไปบนเวทียืนตรงแท่นโพเดียมก่อนจะทำการเทสเสียงไมค์แล้วเริ่มพูดเปิด “ฮัลโหล ๆ สวัสดีครับเพื่อน ๆ พี่ ๆ ทั้งหลาย ผมมีชื่อว่า อเล็กซ์ เป็นประธานนักเรียนที่จะเข้ามาช่วยประสานงานให้พวกรุ่นพี่มอหกและน้องมอหนึ่งร่วมใจทำงานกันเป็นหนึ่งเดียวนะครับ อย่างที่ทุกคนรู้กันดีโรงเรียน………” ครั้งอเล็กซ์เริ่มอธิบายเกี่ยวกับงานส่งจบ นักเรียนบางส่วนล้วนฟังบ้างไม่ฟังบ้าง อีเลนซึ่งยืนต่อแถวอยู่ห้อง F รู้สึกลำบากใจกับสายตาของเฮนรี่ ซึ่งมองมาจากแถวข้างหน้าตน “ไง ไม่เจอกันนานเลยนะครับ เคียร์น”
“ไปไหนมา เย็นปานนี้ทำไมไม่รีบกลับบ้าน!!” ผู้เป็นพ่อยืนเท้าเอวใบหน้าเคร่งขรึมน้ำเสียงจริงจังเปี่ยมอำนาจ เอ่ยถามลูกชายของตนที่นาน ๆ ทีจะเจอครั้งหนึ่ง พ่อของอีเลนเป็นทนายความชื่อดังวัน ๆ มีแต่งานสารพัดปัญหาเข้ามารุมล้อมไม่หยุด ทั้งต้องออกไปทำเรื่องว่าการให้พรรคการเมืองชื่อดัง ทั้งต้องขึ้นศาลให้ครอบครัวมหาเศรษฐี วันหนึ่งแทบไม่ได้หยุดพักอยู่บ้านดี ๆ เลยสักหน “พ่อกลับมาบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” เด็กชายเอ่ยถามคนได้ชื่อว่าเป็นพ่อตนตอนนี้ เขารู้สึกเกร็งนิดหน่อยเพราะไม่คุ้นเคยกับคนตรงหน้ามาก่อน แถมอีกฝ่ายยังมีท่าทางน่ากลัวทำให้รู้สึกชวนคุยด้วยลำบาก เขาเผลอบีบมือที่กุมเคียร์นไว้แน่นอย
“เข้ามาสิ ฉันให้ขยะที่ยังไม่ถูกรีไซเคิลอย่างพวกนายเปิดก่อนเลย” เด็กแว่นพูดกวนโมโห ท้าทายอย่างไม่เกรงกลัว ทำให้ชายหน้าโหดฉุนจัดหอบหายใจกระฟัดกระเฟียด โกรธจนหน้าแดงกำหมัดแน่น “เอาเลยลูกพี่ มันท้าทายอำนาจลูกพี่ครับ” “อัดไอ้เด็กไม่เจียมกะลาหัวมันเลยครับลูกพี่!!” “เป็นแค่ไอ้จ้อยอย่าปากดีนักนะไอ้ลูกหมานี่ เดี๋ยวโดนลูกพี่กูอัดยับอย่ากลับบ้านไปร้องไห้ฟ้องแม่นะมึง” เสียงกองเชียร์ดังกระหึ่มไปทั่ว เชาว์ยืนถือแว่นตาเพิร์ซ มองสถานการณ์ตอนนี้ด้วยสีหน้าซีดเผือด ใจเต้นระทึกไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ระแวงว่าเด็กตี๋ของตนจะถูกซ้อมยับ&n
คำเตือน เนื้อเรื่องตอนนี้เป็นเพียงส่วนเสริมอดีตของเพิร์ซ ให้รู้ที่มาที่ไปของตัวละครเท่านั้น มีฉากล่วงละเมิดทางเพศ พรากผู้เยาว์ ความรุงแรง ดราม่า ใครรับไม่ได้โปรดข้ามไปอ่านตอนต่อไป เด็กน้อยวัยใสอายุเพียงหกขวบ เขาถูกเลี้ยงมาด้วยความรักความอบอุ่นจากครอบครัว ถูกประคบประหงมดั่งไข่ในหิน ชีวิตของเด็กชายไม่เคยขาดอะไรเลย ได้ทานอาหารที่ชอบทุกมื้อ มีพ่อแม่ที่รักมากสุดหัวใจและมีพี่ชายแสนดียืนหนึ่งคอยอยู่เคียงข้างดูแลแทบตลอดเวลา ด้วยความขาวตี๋ตัวเล็ก ผมสีดำขลับเรียบตรง ดวงตากลมวาวสดใส แก้มขาวอมชมพูป่องนิด ๆ ทำให้เจ้าตัวดูน่ารักน่าชังรวมกับนิสัยเป็นมิตรของเพิร์ซวัยเด็กแล้ว ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็มักจะมีคนคอยเอ็นดูอยู่เสมอ “เพิร์ซ วันนี้ตอนเย็นอยากแวะที่ไหนไหมครับ” พี่ชายอายุวัยเพียงสิบห้าปีฉีกยิ้มหวาน เดินถือรองเท้านักเรียนสีดำเตรียมใส่ออกไปข้างนอกอยู่หน้าประตูบ้าน ผู้เป็นน้องชายสะพายกระเป๋ารูปกันดั้มสีน้ำเงินซึ่งพี่ชายเป็นคนเลือกให้วิ่งตามหลังมา เด็กชายอมยิ้มตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงร่าเริง “ครับ! ผมอยากไปเล่นที่สนามกับเพื่อ
นักเรียนห้อง S ของโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัด ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้อยู่ห้องนี้ล้วนไม่ใช่เด็กธรรมดา บางคนสอบเข้ามาได้ด้วยคะแนนสูงสุดเกือบเต็มร้อยนับว่าเป็นเด็กอัจฉริยะ บางคนพ่อแม่มีอำนาจทางการเมือง ใช้เงินยัดใต้โต๊ะหวังให้ลูกหลานมีภาพลักษณ์เด็กเก่งเรียนดีมีหน้าตาทางสังคม เด็กนักเรียนส่วนใหญ่เกินครึ่งในห้อง S จึงล้วนเป็นเด็กที่สอบเข้ามาได้ด้วยเงิน มีเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่สอบเข้ามาได้ด้วยความสามารถของตัวเองจริง ๆ เด็กจิ้มลิ้มเขามีชื่อว่า เฮนรี่ เป็นเน็ตไอดอลชื่อดังที่กำลังได้รับความนิยมจากบรรดาวัยรุ่นหนุ่มสาวด้วยหน้าตาสุดน่ารักน่าชัง ภาพลักษณ์ดูเป็นเด็กน้อยใสซื่อบริสุทธิ์อ่อนต่อโลก ทำให้บรรดาชาวเน็ตต่างพากันชื่นชมหลงใหลไปกับความน่ารักไร้เดียงสา