“ฝ่าบาทข้าตั๋วฟงเกรงว่าเรื่องนี้ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องกระทำด้วยตัวเองคนของเราในทัพเหลี่ยงตอนนี้มีอยู่จำนวนหนึ่ง ความเคลื่อนไหวของทัพเหลี่ยงจึง ส่งมาถึงเราตลอดเวลา”
“อืม ท่านฟงช่างรอบคอบ”
“ฝ่าบาทละทิ้งเรื่องราวเหล่านี้หาความสำราญเสียบ้างจะดีไม่น้อย ตั้งแต่ทรงนั่งบัลลังก์มา กระหม่อมไม่เคยจะเห็นว่าฝ่าบาท จะละมือจากงานในราชสำนักทั้งยามหลับยามตื่น”
“ความสุขของราษฎรแคว้นฉินนับว่าสำคัญกับข้าที่สุด”
“พรุ่งนี้ กระหม่อมเห็นสมควรทูลเชิญเสด็จประภาสป่าล่าสัตว์สร้างความสำราญ”
“เวลาเช่นนี้ข้าจะหาความสำราญได้อย่างไรยามที่ข้าศึกประชิดแนวชายแดน”
“ฝ่าบาทหากตื่นกลัวเกรงว่าแคว้นเหลี่ยงจะได้ใจฮึกเหิมยิ่งขึ้น ฝ่าบาทเห็นควรจะทำเป็นไม่ใส่ใจเรื่องเหล่านี้มากนัก แต่ใช่ว่าจะหละหลวมกระหม่อมได้สั่งให้มีการรับบุรุษหนุ่มเข้ามาในวังหลวง เพื่อเพิ่มกำลังทหารในวังหลวงและกำลังทหารของแคว้นฉิน ระหว่างนี้จึงถือว่าได้คัดเลือกผู้ที่มีฝีมือทั่วแคว้นมาไว้ใช้งาน เช่นนั้นฝ่าบาทจึงจำต้องช่วยเบี่ยงเบนความสนใจในเรื่องการเพิ่มกำลังทหารโดยการทำทีว่ามิได้เดือดเนื้อร้อนใจเรื่องทัพของแคว้นเหลี่ยงประชิดแนวชายแดน”
จางหลงพยักหน้าหงึกหงักตั๋วฟงนับว่าเป็นขุนพลชั้นยอด
“ตั้งแต่เสด็จพ่อจากไป ท่านเป็นเพียงผู้เดียวที่ข้าไว้ใจและช่วยแบ่งเบางานในราชสำนักได้ดีทีเดียว ท่านต้องการสิ่งใดตอบแทนบ้างหรือไม่หลายปีมานี้ข้าไม่เคยแม้สักครั้งที่จะเอ่ยปากถามท่านตามตรง”
โยนหินถามทาง
“กระหม่อมภักดีไม่เปลี่ยนแปลงมีสิ่งเดียวที่ต้องการตอนนี้คืออยากให้ฝ่าบาท ได้รับความสำราญบ้าง อย่าได้หักโหมกับจนเกินไป องค์รัชทายาทเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่อยากจะเป็นก่อนที่จะไร้ลมหายใจ กระหม่อมเองก็แก่เฒ่าแล้ว ฝ่าบาทจึงถือว่าเป็นฮ่องเต้ที่มีคุณธรรมเห็นแก่ราษฎรเป็นหลักจึงไม่ต้องห่วงอะไรอีกแล้วจะห่วงก็แต่ องค์รัชทายาทที่ป่านนี้ยังมีมีวี่แวว”
แววตาจริงใจจางหลงยิ้ม หลายปีมานี้เขาตรากตรำอย่างมากเพื่อแคว้นฉิน จนละเลยเรื่องบ้างเรื่อง สนมบางคนถูกไล่กลับตั้งแต่หัวค่ำบางคนกับถูกปล่อยให้นอนหลับบนแท่นนอนจนสาย จะมีก็เพียงแต่..สนมนางนั้น สนมที่แววตาเศร้าสร้อย นางมีชื่อแซ่ว่าอะไรกันเขาจำได้แต่เพียงแววตาเศร้าสร้อยของนาง ในเปลวไฟไหวระริกก็เท่านั้น
“ฝ่าบาทจะต้องตามหาหญิงคนนั้น”
จางหลงหันมามองใต้เท้าฟงเต็มตา ตกใจกับคำพูดที่คิดว่าใต้เท้าฟงรู้เรื่องของนาง
“หญิงคนที่ฝ่าบาทพร้อมที่จะให้นางเป็นแม่ขององค์รัชทายาท กระหม่อมรู้ดีเรื่องในวังหลังบางอย่างไม่ได้อยู่ในสายตาของฝ่าบาทเป็นฮองเฮาที่จัดการเพียงลำพังเช่นนั้นต่อจากนี้ ฝ่าบาทใส่ใจอีกนิดความหวังเรื่ององค์รัชทายาทคงไม่ไกล”ฮองเฮาจัดการเพียงลำพัง จางหลงสะดุดกับคำนี้ไม่น้อย
จางหลงเดินนำหน้าเสี่ยวซานตามมาไม่ห่าง ในค่ำคืนมืดมิดทางเดินทอดยาวสู่ตัวตำหนักใหญ่สองข้างทางขนาบข้างด้วยกำแพงสูง
“ฝ่าบาท เสี่ยวซานได้ยินเรื่องหนึ่งมา ค้างคาใจอยากจะบอกเล่าให้ฝ่าบาทได้ฟังแต่เกรงว่า...”จางหลงชะงักฝีเท้า
“เรื่องใดกัน”
“สนมนางนั้นที่ถูกโบยถึงร้อยไม่นางยังไม่ตาย และถูกส่งตัวยังตำหนักเย็น”
จางหลงยิ้มบางๆ
“ถูกต้องที่สุดแล้ว เป็นกฎมณเฑียรบาล ว่าด้วยการลงทัณฑ์ในวังหลังเจ้ามีอะไรสงสัยอย่างนั้นหรือ”
“ฝ่าบาทนางถูกโบยถึงร้อยทีแต่ไม่อาจตาย ฝ่าบาทคิดว่าอย่างไรกัน”
จางหลงยังคงยิ้ม
“นางคงจะมีความอดทนเกินหญิงทั่วไปหรือไม่ก็คนที่ลงไม้โบยนางในวันนั้นออมมือเพราะความสงสารที่นางตั้งครรภ์”
“ฝ่าบาทเสี่ยวซานยังได้ยินมาอีกว่า…”
“พอแล้ว ข้าเหนื่อยมาทั้งวันอยากจะพักผ่อนเสียเต็มที เจ้าเร่งฝีเท้าให้ถึงตำหนักโดยเร็ว”
เสี่ยวซานหยุดคำพูดไว้เพียงแค่นั้นใจจริงอยากจะบอกว่าเป็นเรื่องน่าแปลกมากที่ฮองเฮาไม่ทรงไต่สวนองครักษ์ชั้นต่ำผู้นั้น แต่ลงมือประหารด้วยตัวเองเพียงดาบเดียวก่อนที่จะสั่งให้มีการลงทัณฑ์สนมซินเฟย อีกเรื่องที่ฝังใจคืออยากถามจางหลงว่าลืมเลือนนางไปแล้วหรือนางอาจเป็นคนที่ฝ่าบาทพบในคืนนั้น
จางหลงสาวเท้าเร็วรี่ที่มุมกำแพงนั้น ซินเฟยเดินสวนมาพอดีมุ่งหน้ายังตำหนักเย็นภายใต้แสงจันทร์สว่างดุจกลางวัน ใบหน้างามกับอาภรณ์สีขาวรับกับใบหน้างดงามทว่าดวงตาเศร้าสร้อย ซินเฟยเดินเลี้ยวออกประตูไปตามทางที่มุ่งสู่ตำหนักเย็นที่หนาวเหน็บไม่ทันสังเกตเห็นจางหลง จางหลงยืนมองตาค้างเสี่ยวซานวิ่งตามมาพอดี
“เสี่ยวซาน เจ้าเห็นนางหรือไม่”
เสี่ยวซานหันซ้ายหันความมองเห็นแต่ความมืดมิด
“ใครกันฝ่าบาท”
“นาง นางเป็นใคร”พูดเหมือนละเมอ
“เสี่ยวซานไม่ทราบฝ่าบาท ฝ่าบาทเห็นผู้ใดกัน”
“เสี่ยวซาน ประตูนั่นไปที่แห่งใด”
ชี้มือไปยังประตูทางออก
“ทางนั้นไปได้หลายแห่ง ออกไปนอกเขตวังหลวงหรือไม่ก็ ไปตำหนักเหมยฮวาของไทฮองไทเฮา คุกหลวง คอกม้า ห้องซักล้าง และตำหนักร้อน ตำหนักเย็น
“พรุ่งนี้ส่งคนหานางให้ข้า”
“ฝ่าบาททำไมต้องหานาง”
“ข้าอยากรู้ว่านางเป็นใคร”
ซินเฟย ทิ้งตัวลงบนแท่นนอน ความหวานยังซาบซ่านทั่วผิวกาย ลุกขึ้นถอดอาภรณ์หย่อนกายลงแช่น้ำอุ่นให้ซอกซอนเข้าไปในผิวเนื้อสัมผัสอ่อนโยนที่ริมฝีปากยังไม่จางหายไปรอยจุมพิตที่หน้าผาก ฝ่าบาทจะรู้สึกเช่นเดียวกับชินเฟยไหม ยามนี้อยากซุกกายในอ้อมแขนของคนที่นอนกอดก่ายไม่เบื่อ ตอนนี้ไม่ใช่ชินเฟยคนเดิมแล้ว กลายเป็นของเขาผู้นั้นยิ้มด้วยความเขินอายและเป็นสุข ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยลอบมองยามเดินอยู่ห่างเคยคิดว่าหากเป็นของเขาจะรู้สึกเช่นไร บัดนี้ซินเฟยรู้แล้วว่าการที่ได้ นอนร่วมเตียงกับบุรุษที่เคยหลงใหลแล้วเขากลับปรนเปรอสวาทให้มากมายเช่นนั้นเป็นสุขแค่ไหนเวลาล่วงเลยไป เรื่องราวในราชสำนักยัง เป็นจางหลงที่ต้องจัดการอีกทั้งเรื่องของจางเย่าหยางที่ไม่อาจละเลยปล่อยวาง ซินเฟย กินอะไรไม่ได้มาหลายวัส่งเสียงโอ๊กอ๊ากจนผิดสังเกตอีกทั้งร่างกายซุบผอมลงเป็นอันมาก เพียงได้แต่เฝ้ามองจางหลงห่างๆไม่เคยได้เข้าใกล้อีกตั้งแต่นั้นมาไทฮองไทเฮามาถึงพ้องพัก“ตรวจครรถ์ของพระสนมดูว่านางตั้งครรภ์หรือไม่”ไทฮองไทเฮาสั่งนางกำนัลอาวุโสเรื่องนี้ไม่ให้แพร่งพรายจึงไม่เรียกหมอหลวงด้วยหมอหลวงเป็นคนของซูจินนั่นเองนางกำนัลอาวุโสจับตรวจชีพจร ที
จางหลงลูบไล้ใบหน้าเนียนใส นิ้วโป้งกวาดรอบริมฝีปากอวบอิ่มก่อนจะประทับ ริมฝีปากอุ่นไปบนปากนุ่มหอม ราวกับกลีบบุปผา ลิ้นอุ่นซื้นซอกซอนเข้าไปภายใน ควานหาความหวานวุ่นวายเร่งรีบนี่เขาหิวกระหายเพียงนี้เชียวหรือ ทั้งๆที่เหนื่อยกับงานราชสำนักแต่ กลับรู้สึกผ่อนคลายมือใหญ่ปลดดึงอาภรณ์ของซินเฟยออกร่างเล็กขยับหนีด้วยความไม่เคย เขากลับรั้งร่างบางให้แนบชิดลำตัว นางไม่ได้ทำท่าทีหลีกหนีจนเกินงามหรือเสแสร้งจนไม่น่าเชื่อ ทว่าทุกอย่างล้วนออกมาจากส่วนลึก จางหลงแทรกลำตัวลงไปตรงกลางลำตัวของซินเฟยที่บิดหนี ส่งเสียงร้องครางเหมือนจะขอร้องเขาให้หยุดกระทำ เอวหนาขยับเบาๆเหมือนกับการร้องขอของนางได้รับความเห็นใจ ปลายนิ้ว ลูบไล้เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดปากอุ่นขบเม้มอ่อนโยนอีกทั้งดูดกลืน เหมือนกลับร่างบางของอีกคนเป็นของหวานเลิศรส ร่างบางสะท้อนขึ้นลงสอดรับประสานกับร่างใหญ่ที่เบียดแทรกความบีบรัดคับแน่นทำเอาจางหลงแทบหยุดหายใจ สุขสมเพียงนี้เชียวหรือกับหญิงที่เขาพึงใจตั้งแต่แรกพบ วงแขนบางกอดรัดเขาเหมือนกลัวว่าเขาจะหนีไปซินเฟยส่งเสียงร้องครางอีกครั้งเมื่อเขาเร่งจังหวะเร็วรัว จางหลงอมยิ้ม “ฝ่าบาท...ได้โปรด” เพียงประโยคเด
ซินเฟยแหงนหน้ามองกำแพงสูงของวังหลวงด้วยรอยยิ้ม น้อยคนที่จะมีโอกาสเข้ามาใช้ชีวิตในนี้“คุณหนูซินเฟย ไทฮองไทเฮาให้เชิญคุณหนูที่ตำหนักไทฮองไทเฮา”ซินเฟยย่อตัวยิ้มน้อยๆก่อนจะตามนางกำนัลไป ไทฮองไทเฮาที่มีใบหน้าเหมือนจะแย้มยิ้มได้เสมอ แววตาอ่อนโยนจ้องมองซินเฟยที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า“เงยหน้าของเจ้าให้ข้าดูชัดๆ”“เพคะ” ขยับตัวเงยหน้าใ่ห้ไทฮองไทเฮาได้ยลโฉม“งดงามที่สุด ข้ามองเจ้าตั้งแต่ก้าวเข้าประตูวังมา งดงามอ่อนหวานเช่นนี้จึงเหมาะที่จะเป็นผู้ที่อยู่เคียงข้างหลานข้า”“แต่ไทฮองไทเฮานางเป็เพียงผู้คัดตัวนางในที่สอบผ่านเข้ามาหาใช่ลูกขุนนาง ในตระกูลใด”“ข้ามิได้ต้องการลูกขุนนางใหญ่ตระกูลใดมาวางกล้ามในวังหลวง แต่ข้าต้องการใครสักคนที่จะปรนนิบัติฮ่องเต้และ มีโอรสธิดาสำหรับหลานข้า”“ดูแลนางให้ดีต่อจากนี้เจียงซินเฟยต้องคอยมารับใช้ที่ตำหนักไทฮองไทเฮา”ซินเฟยก้มลงคุกเข่ากับพื้นการฝึกในแบบนางในที่เข้มงวดไม่เคยแม้จะได้หลับเต็มตื่นหรือ ทำตัวตามสบาย“ร่างกายของเจ้ายังผุดผ่องในเมื่อข้าให้นางในอาวุโสตรวจภายในของเจ้า เช่นนั้นนับจากนี้ไปอีกสามคืนจึงเหมาะแก่การเข้าเฝ้าฮ่องเต้ หากโชคเป็นของเจ้าสวรรค์เมตตาจึงจะมี
“จางหยวน เคร่งขรึมแต่จริงใจ ไม่เสียทีที่เป็นลูกของข้าเขานับว่าเป็นผู้นำได้ดีไม่น้อย”“แล้วองค์หญิงเล่า“ซินฟางเอาแต่ใจ เจ้าเล่ห์แสนกล ไม่เหมือนเจ้าสักนิดอีกทั้งยังไม่เหมือนใครแต่เขาก็ทำให้เราสองคนยิ้มได้”“นางเหมือนฝ่าบาทไม่น้อยอย่างน้อยเมื่อผิดก็รู้จักขอโทษและทำคุณไถ่โทษ”“เพราะรักข้าจึงรู้สึกผิด และไม่อยากให้เจ้ามองข้าผิดๆ แม้จะต้องแลกมาด้วยทุกอย่างก็ตามขอเพียงมีเจ้าข้างกายได้กอดก่ายเจ้าอย่างนี้ทุกวันคืนก็เพียงพอแล้ว”“พบกันเพียงครั้งเดียวฝ่าบาทจะรักได้อย่างไร”“เจ้าเชื่อในรักแรกพบไหมแววตาเศร้าสร้อยของเจ้า ทำเอาข้าดวงใจสั่นไหวในคืนแรกนั้น”ซินเฟยยิ้มเขินอาย จะกี่วันผ่านจะกี่ปีเคลื่อนคล้อย จางหลงยังคงไม่เปลี่ยนแปลงเชยคางมนขึ้นมาสบตา จุมพิตหวานกว่าที่เคยหวาน อ้อมกอดอบอุ่นเหมือนเดิมแววตาเปลี่ยนไปกลายเป็นแววตาที่แสดงความรักใคร่อย่างที่สุด“ตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ ไม่ว่าเจ้าจะอุ่นเตียงให้ข้ากี่ครั้ง ข้าก็ยังไม่เคยจะเบื่อหน่ายมัน เช่นนั้นคืนนี้ เจ้าต้องทนอดนอนเสียหน่อย”โน้มร่างบางลงบนแท่นนอนช้าๆ จุมพิตที่ปากบาง บดขยี้อ่อนหวานเชิญชวนมืออุ่นซอกซอนเข้าไปใต้ร่มผ้าบีบรัดคลึงเคล้า ริมฝีปากก็ท
เสียงบางอย่างแหวกอากาศมาก่อนที่มีดสั้นของจิวซัวจะทำให้ขวดยาพิษร่วงลง แตกละเอียดกับพื้น กระบี่ในมือจิวซัวฟาดฟันทหารรอบกายจางหลง โยนกระบี่ในมือให้กับจางหลง ที่เอื้อมมือคว้ามันก่อนจะหันคมกระบี่เข้าใส่จางเย่าหยางเสียบเข้ากลางอกทะลุขั้วหัวใจจางเย่าหยางสะอึกแรงๆ เลือดสีแดงสดไหลออกจากปาก ปล่อยซินเฟยจากอ้อมกอด จางหลงคว้าร่างบางมากอดแนบอก เลือดหยดรินออกจากคมกระบี่สีแดงหยดลงพื้น ซินเฟยซบหน้าลงบนอกกว้างของจางหลง เสี่ยวซาน จิวซัวช่วยกันพยุงย่าหนาน“ตามหมอหลวง”เสียงตะโกนของจางหลง หทารของจิวซัวและจางหลงสามารถจัดการกับทหารของ จางเย่าหยางจนสิ้น ซินเฟยปาดน้ำตากุมมือย่าหนานไว้แน่น“ฮองเฮาดูแลตัวเอง ต่อจากนี้ไม่มีย่าหนาน มีเพียงฝ่าบาทที่จะคอยเป็นดังทุกสิ่งทุกอย่างต่อจากนี้”“ไม่ไม่ไม่ ไท่เฟย ท่านต้องไม่เป็นอะไร ”ย่าหนายิ้มเศร้าๆ“ฮ่องเต้ ที่ผ่านมาเป็นข้าเองที่เอาแต่ใจฝ่าบาทไม่ผิด แม้ข้าจะอยากดีกับฝ่าบาทเพียงใดแต่เป็นเพราะความเอาแต่ใจไร้เหตุผลของตัวข้า ที่ทำให้ฝ่าบาทต้องพบกับความเจ็บซ้ำ”“ไท่เฟยท่านหยุดพูดได้แล้วหมอหลวงกำลังมา เมื่อท่านรักษาอาการบาดเจ็บหายดีแล้ว จางหลงจะนั่งฟังท่านบ่นด่าได้ทั้งวัน”ส่า
ซินเฟยในอาภรณ์สีแดงมงคลชายผ้ายาวเหยียด ข้างกายย่าหนานจับมือไว้มั่น รอยยิ้มปลาบปลื้มใจปรากฏที่ริมฝีปากของย่าหนาน“ยิ้มเข้าไว้ยิ้มรับความสุข และสิ่งที่เจ้าสมควรจะได้รับ”เสียงกระซิบข้างหูเมื่อจูงมือซินเฟยเดินตามทางเดินทอดยาวสองข้างทางเหล่าขุนนางและข้าราชบริพารเนืองเเน่นร่วมแสดงความยินดี จางหลงก้าวลงมาจากบันไดขั้นสูงสุดรอรับซินเฟย ย่าหนานส่งมือของซินเฟยวางบนมือของจางหลง“ขอบคุณไท่เฟยที่ดูแลปกป้องนาง จนกระทั่งมีวันนี้ วันที่ท่านส่งมอบนางกลับคืนให้ข้าอีกครั้ง”“ฝ่าบาทจะดูแลนางอย่างดี และปกป้องนางอย่างดีจากนี้ไปใช่ไหม ไม่ให้นางต้องพบกับความขมขื่นเช่นข้า สัญญาได้ไหม”“ข้าสัญญา ไท่เฟยต่อนี้ท่านอย่าได้กังวลข้าจะมีนางคนเดียวตลอดไป” รอยยิ้มปรากฎทั่วทั้งใบหน้าของคนทั้งสามมงกุฎของฮองเฮาถูกสวมลงบนศีรษะของซินเฟยโดยจางหลง ตราหยกประทับของฮองเฮาเป็นใต้เท้าฉีที่ยื่นให้จางหลงมอบให้กับซินเฟย เสียงแซ่ซ้องสรรเสริญดังไปทั่วบริเวณจางหลงหันมาสบตาซินเฟยด้วยความรักเต็มเปี่ยม“ต่อแต่นี้ เจ้าจะเป็นฮองเฮาของข้าคนเดียวไม่ว่าเจ้าจะผ่านทุกข์เข็ญอะไรมาข้าพร้อมชดเชยให้เจ้า”“ขอบพระทัยฝ่าบาท”ซินเฟยย่อตัวลงช้าๆ จางหลงจ