ภายในฐานทดลองลับแห่งหนึ่งกำลังเกิดการต่อสู้ที่ดุเดือดขึ้น หรือจะเรียกว่าเป็นการสังหารอยู่ฝ่ายเดียวก็ไม่ผิดนักชายผู้มีรูปลักษณ์แปลกประหลาดกำลังสังหารเหล่านักวิทยาศาสตร์อย่างบ้าคลั่งร่างกายของเขากว่าครึ่งถูกปกคลุมด้วยบางสิ่งที่ดูคล้ายเหล็กดูราวกับว่าเหล็กหลอมเหลวถูกเทลงมาหลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขาส่วนที่ไม่ได้ถูกปกคลุมด้วยเหล็กกลับเป็นผิวหนังที่เน่าเปื่อยและส่งกลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงออกมาแม้ว่าการโจมตีมากมายจะพุ่งเข้าใส่เขา แต่กลับไม่สามารถสร้างบาดแผลร้ายแรงได้เลยแม้แต่น้อยบางครั้งอาวุธที่ทรงพลังพอจะทำให้เกิดโพรงบนร่างของเขาได้ แต่เนื้อเยื่อที่…เอาเป็นว่าเรียกว่ากล้ามเนื้อก็แล้วกัน กลับเริ่มบิดตัวไปมาอย่างรวดเร็วและในชั่วพริบตาก็ฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติเสียงกรีดร้อง เสียงต่อสู้ และกลิ่นคาวเลือดอบอวลไปทั่วห้องทดลองแห่งนี้มีหลายคนที่ทนไม่ไหวจนสติแตกพยายามวิ่งหนีออกไปสุดชีวิตโฮกกก!!ร่างทดลองตัวนี้แหงนหน้าคำรามเสียงแหลมเสียดแทงหูในขณะเดียวกัน ร่างทดลองในห้องอื่น ๆ ที่ถูกขังไว้ในแคปซูลทดลองก็เริ่มคลุ้มคลั่ง พวกมันพุ่งกระแทกกระจกอย่างบ้าคลั่งจนในที่สุดก็แหกออกมาได้ก่อนจะเข้า
อาวุธปืนทั่วไปไม่มีทางทำอะไรเขาได้แม้แต่น้อยคนอื่น ๆ ก็เริ่มเปลี่ยนร่างเช่นกัน แม้ว่าสีของพวกเขาจะเข้มไม่เท่าชายคนแรก แต่พลังของพวกเขาก็แข็งแกร่งพอสมควรเย่ซิวถามพวกเขาว่าต้องการติดตามเขาหรือไม่ทุกคนตอบตกลงอย่างเด็ดขาดโดยไม่ลังเลเย่ซิวคือผู้ที่ให้ชีวิตใหม่สำหรับพวกเขายิ่งไปกว่านั้น พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกไร้ญาติขาดมิตร ไม่มีพันธะผูกพันกับใครต่อให้หนีออกไปตอนนี้ก็ไม่รู้จะไปที่ไหน แถมอาจต้องเผชิญกับการไล่ล่าอย่างไม่รู้จบด้วยหลังจากนั้น เย่ซิวก็เก็บข้าวของที่มีประโยชน์ภายในห้องทดลองก่อนจะจุดไฟเผาที่นี่จนวอดวายเขาใช้วิชาดำดินระดับสูงและพาทุกคนมุ่งหน้าออกจากที่นี่เมื่อเฉินน่ามองเห็นผู้คนหลายร้อยคนปรากฏตัวขึ้นต่อหน้า เธอก็ถึงกับตกใจสุดขีดยังไม่ทันที่เธอจะตั้งตัวได้ เย่ซิวก็คว้าตัวเธอแล้วใช้วิชาดำดินอีกครั้งเขาใช้พลังวิญญาณไปจนเกือบหมด นำทุกคนเคลื่อนย้ายไปไกลนับร้อยกิโลเมตรมายังอาคารร้างที่เคยมาเยือนก่อนหน้านี้เย่ซิวหยิบอาหารจำนวนมากออกมาจากแหวนผนึกของแล้วกำชับพวกเขาว่า“พวกนายพักอยู่ที่นี่สักสองสามวันก่อน จำไว้ว่าห้ามเปิดเผยตัวตน ถ้ามีใครผ่านมาให้รีบซ่อนตัวไว้ อีกไม
เอี๊ยด!รถจอดสนิทแล้ว จากนั้นหยางเฟิงจึงมองไปที่เย่ซิว “เกิดอะไรขึ้น?”เย่ซิวหลับตารับรู้สักพักก่อนจะพูดขึ้นว่า “ห่างจากตรงนี้ไปมีการต่อสู้เกิดขึ้น”หยางเฟิงก็หลับตารับรู้บ้าง แต่ผ่านไปนานก็ยังไม่รู้สึกถึงอะไรเลย เขาลืมตาขึ้นด้วยความแปลกใจ “ทำไมฉันไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย?”เย่ซิวส่ายหน้าแล้วบอกให้เขารออยู่ตรงนี้จากนั้นเขาก็ลงจากรถแล้วเดินไปทางพุ่มหญ้าที่อยู่ไม่ไกลเมื่อเดินไปได้ประมาณหนึ่งพันกว่าเมตร ร่างของเย่ซิวก็ทะลุผ่านม่านพลังที่มองไม่เห็นไปราวกับว่าได้โยนก้อนหินลงไปในผืนน้ำอันสงบนิ่ง ก่อให้เกิดระลอกคลื่นเป็นชั้น ๆทันใดนั้นภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาลมีแวมไพร์ยอดฝีมือนับสิบกำลังรุมโจมตีหญิงสาวร่างอวบอิ่มอยู่เธอพยายามฝ่าออกไปทั้งซ้ายและขวาแต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากวงล้อมได้แต่กลับกลายเป็นว่าการต่อสู้ที่ยืดเยื้อรวมถึงบาดแผลมากมายที่ยังคงมีเลือดไหลไม่หยุดนั้นทำให้ใบหน้าของเธอซีดเผือดจนน่ากลัว และการเคลื่อนไหวของเธอก็ช้าลงไปมาก“เถียนเถียน เธอยังไม่ยอมแพ้อีกเหรอ”“ถ้ายอมจำนนแล้วยอมกลับไปพบราชินีกับพวกเรา เธอก็ยังมีโอกาสรอดชีวิตนะ”“อย่าทำตัวไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
ดูเหมือนมือข้างนั้นจะอบอุ่นราวกับหยก แต่กลับแข็งแกร่งไร้เทียมทานเถียนเถียนค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น ก่อนที่ดวงตาของเธอหดเกร็งด้วยความตกตะลึงหลังจากความตกใจจางหายไป สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือความดีใจอย่างเหลือเชื่อ “นายท่านมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ…ระวัง!”เธอมองไปที่แผ่นหลังของเย่ซิวด้วยความร้อนรน เพราะชายในชุดทักซิโด้อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้วแต่ดูเหมือนความกังวลของเธอจะไม่มีความหมายเลยการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามหยุดลงกะทันหันก่อนจะถึงตัวเย่ซิวเพียงแค่ยี่สิบเซนติเมตรราวกับว่ามีมือขนาดมหึมาที่มองไม่เห็นกำลังควบคุมเอาไว้ ไม่ว่าเขาจะพยายามออกแรงแค่ไหนก็ไม่อาจขยับไปข้างหน้าได้อีกแม้แต่น้อยชายในชุดทักซิโด้แสดงสีหน้าที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง เขารู้ทันทีว่าตัวเองเผชิญหน้ากับบุคคลที่ไม่ธรรมดาอยู่เขาถอยหลังไปเล็กน้อยพร้อมจ้องมองเย่ซิวด้วยความระแวดระวัง “แกเป็นใคร ฉันแนะนำว่าอย่ามายุ่งจะดีกว่า”เย่ซิวไม่สนใจเขาเลยแต่กลับมองไปที่เถียนเถียนซึ่งอยู่ในสภาพย่ำแย่แทน “เกิดอะไรขึ้น?”ขณะพูดเขาก็เอามือแตะลงบนไหล่ของเธอแสงสีขาวส่องสว่างจากฝ่ามือของเขา ก่อนจะแผ่ขยายออกไปโอบล้อมร่างของเธอทั้งหมดบาดแผลทั้งภายในและภ
พลังอันแข็งแกร่งราวกับพายุหมุนได้แผ่กระจายออกมาจากตัวของเถียนเถียนเสื้อผ้าของเธอฉีกขาดกระจัดกระจายเป็นเสี่ยง ๆปีกค้างคาวที่อยู่ด้านหลังค่อย ๆ กางออก จากเดิมที่ยาวเพียงสี่ถึงห้าเมตรก็ยืดยาวขึ้นเป็นหกถึงเจ็ดเมตรแลดูเรียวยาวขึ้นและยังเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งความสูงส่งบนปีกค้างคาวปรากฏอักขระสีเงินทีละตัวแผ่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วกระจายจากปีกทั้งสองข้างลุกลามไปจนทั่วร่างกายเมื่อเห็นเช่นนั้น เย่ซิวจึงหยิบเอาน้ำพุวิญญาณกว่าครึ่งกิโลกรัมออกมาแล้วส่งเข้าไปในร่างของเถียนเถียน ช่วยให้เธอเสร็จสิ้นการวิวัฒนาการขั้นสุดท้ายหากเรียงตามการแบ่งระดับของแวมไพร์ ตอนนี้เถียนเถียนน่าจะอยู่ในระดับดยุคซึ่งเทียบเท่ากับสร้างรากฐานปราณขั้นสมบูรณ์รูปร่างของเธอสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ตอนนี้เธอสูงถึงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตรแล้วเรียวขางดงามตรงได้รูปดูแข็งแรงและทรงพลังพอมองขึ้นไปก็จะเห็นหน้าท้องแบนราบเป็นเงางามเอวคอดกิ่วราวกับกิ่งหลิวดูบอบบางน่าทะนุถนอมส่วนช่วงบนยิ่งไม่ต้องพูดถึงสายเลือดของเถียนเถียนได้รับการยกระดับขึ้นอย่างมหาศาลอีกครั้งแม้ว่ายังมีช่องว่างเมื่อเทียบกับหงอี แต่ก็ไม่ได้ห่างกันจ
เย่ซิวใจเต้นแรง บีบจมูกของเธอแล้วพูดว่า "พอดีเลย ผมกำราบกลุ่มผู้ใช้พลังวิเศษที่แข็งแกร่งมากกลุ่มหนึ่งไว้แล้ว ต่อไปก็ให้คุณเป็นผู้นำพวกเขาก็แล้วกัน"เย่ซิวหมายถึงกลุ่มคนที่ได้รับการช่วยเหลือออกมาจากห้องทดลองแผนเดิมคือจะพาพวกเขาทั้งหมดกลับคืนแต่เนื่องจากทางด้านของเถียนเถียนถูกเปิดโปงแล้ว ก็เลยเก็บพวกเขาไว้ที่นี่เสียเลยด้วยความช่วยเหลือของพวกเขา และความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเถียนเถียน ย่อมสามารถประสบความสำเร็จได้การจะได้ตั้งหลักในประเทศจ้านอิงตี้นั้นไม่ใช่ปัญหา ถึงขั้นสามารถประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นได้ด้วยดวงตาของเถียนเถียนเป็นประกาย กล่าวด้วยความชื่นชม “นายท่าน คุณยอดเยี่ยมมากเลยค่ะ เตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว ทำไมฉันถึงไม่เจอคุณเร็วกว่านี้นะ”เย่ซิวยิ้มบางจริง ๆ แล้วนี่ก็เหมือนโชคช่วยนั่นแหละถ้าเขาไม่ออกไปซื้อรถไฟฟ้าเหล่านั้น ก็คงไม่ได้เจอเฉินน่า แล้วเรื่องทั้งหมดก็คงไม่เกิดขึ้นผู้มีพลังพิเศษกว่าร้อยคนพวกนั้น ถ้าได้รับการฝึกฝนจนเข้าขากันแล้ว อนาคตศักยภาพในการต่อสู้ของพวกเขาจะไม่แพ้กองทัพทันสมัยที่มีทหารห้าพันคนพร้อมอาวุธครบมือแน่นอนเถียนเถียนส่งสายตายั่วยวน "นายท่าน ฉ
ตามสถานที่ที่เถียนเถียนให้ไว้ เย่ซิวก็มาถึงบริเวณนอกปราสาทแห่งหนึ่งปราสาทแห่งนี้ใหญ่โตมาก เพียงพอที่จะรองรับผู้คนได้นับหมื่นคน และจะเรียกว่าเป็นเมืองเล็ก ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยผู้คนในที่นี้ล้วนมีความเย่อหยิ่งเป็นอย่างมาก และล้วนเป็นหนุ่มหล่อสาวสวยกันทั้งสิ้นเย่ซิวสัมผัสได้ถึงตำแหน่งของหงอีอย่างรวดเร็วสำหรับเย่ซิวแล้วนั้น ลมปราณของเธอเปรียบเสมือนไข่มุกราตรีท่ามกลางความมืดมิดที่มองเห็นได้ชัดเจนมากเย่ซิวเดินไปหาเธออย่างใจเย็นฝ่าด่านตรวจที่เข้มงวดตลอดทาง จนมาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของปราสาท และได้พบกับผู้หญิงคนนั้นอีกครั้งผมยาวสยายตกลงถึงกลางเอวดวงตาที่คลอไปด้วยน้ำตาเป็นประกายราวกับจะทำเอาผู้ชายทั้งหลายคลั่งไคล้ใบหน้ารูปไข่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางชั้นบาง ๆอายแชโดว์ที่ถูกทาได้อย่างพอเหมาะพอดีริมฝีปากสีชมพูนั้นทั้งเซ็กซี่และมีเสน่ห์เย้ายวนเมื่อมองลงไปจะเห็นความโดดเด่นออกมาจากฝูงชน จนไม่อาจละสายตาไปได้ชุดสีแดงสดขับเน้นให้ผิวที่ขาวอยู่แล้วของเธอดูขาวและเปล่งปลั่งขึ้น และยังช่วยเน้นเอวเพรียวบางของเธอได้อย่างลงตัวอีกด้วยงดงามดุจดั่งเตียวเสี้ยน เท้าที่สวยงามยืนบนรอ
กระแสพลังและโลหิตเปลี่ยนเป็นกองทัพงูเหลือมสีแดงเลือดส่วนหนึ่งแยกเขี้ยวยิงฟันพุ่งฉกสังหารเย่ซิว ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งพยายามสกัดกั้นกระบี่หงส์โบยบินความแข็งแกร่งที่หงอีแสดงออกมา ก็ทำให้เย่ซิวต้องแปลกใจมันไม่ใช่ระดับจินตานขั้นต้นตามที่เขาคาดการณ์ไว้ในตอนแรก แต่เหมือนกับตัวเขาเอง เธอได้มาถึงขั้นกลางระดับจินตานแล้วแต่เย่ซิวก็เข้าใจในอย่างรวดเร็วเหตุผลที่ความแข็งแกร่งของหงอีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนั้นเกี่ยวข้องกับการผสานยีนของเธอนี่เป็นเพียงความเร็วในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น เมื่อถึงขั้นสูงแล้ว อาจจะพัฒนาขึ้นได้ช้ามากนอกจากนี้ในระหว่างการต่อสู้ เย่ซิวก็รู้สึกว่าความสามารถในการต่อสู้ของหงอีไม่ได้ดีเท่ากับของเขาที่อยู่ในระดับเดียวกันน่าจะเทียบเท่ากับประมาณครึ่งหนึ่งของตัวเองเท่านั้นหงอีมีสีหน้าเคร่งขรึมลง และยังรู้สึกถึงช่องว่างระหว่างทั้งสองฝ่ายด้วยจู่ ๆ เส้นผมของเธอก็งอกขึ้นมา ทิ่มเข้าไปในตัวกวางหมีลู่ที่อยู่ไกลออกไปมันส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ร่างก็หดตัวด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าลมปราณของหงอีเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันเกือบสองเท่า แทบจะสามารถต่อสู้กับเย่ซิ
“รู้…แล้ว...”เฉินเยียนจือตอบเสียงแผ่วเบาอย่างที่ใคร ๆ ว่ากันไว้ คนเลวต้องเจอกับคนที่เลวยิ่งกว่า คนแบบเธอ มีแต่ต้องเจอคนที่โหดเหี้ยมกว่าเท่านั้น ถึงจะถูกกำราบอยู่หมัด“ในเมื่อเข้าใจแล้ว ลองเรียกคำว่านายท่านให้ฉันฟังหน่อยสิ”เย่ซิวไม่ได้หลงเชื่อว่าเธอจะยอมสยบง่าย ๆ สิ่งที่เธอแสดงออกตอนนี้มีแต่จะเป็นการยอมจำนนแบบชั่วคราวเท่านั้นและก็จริงตามคาด สีหน้าของเฉินเยียนจือพลันแข็งกระด้างขึ้นมาอีกครั้ง“หืม ไม่อยากพูดงั้นเหรอ” เย่ซิวแกล้งทำหน้าบึ้ง “แสดงว่าบทเรียนเมื่อกี้ยังเบาเกินไปสินะ”เฉินเยียนจือถึงกับสั่นไปทั้งตัว เรื่องเมื่อกี้ยังคงเป็นฝันร้ายที่เธอไม่อยากเผชิญซ้ำอีก“นาย…ท่าน...”สองคำนั้นหลุดออกจากปากเธอด้วยความรู้สึกอัปยศเกินบรรยายเย่ซิวยิ้ม แล้วบิดแหวนผนึกของจากนิ้วของเธอออกมา “เปิดมันซะ”เฉินเยียนจือรู้ว่าขัดขืนไปก็ไม่มีประโยชน์ จึงทำตามอย่างว่าง่ายเย่ซิวใช้พลังจิตสำรวจภายในทันที ด้านในมีทั้งศิลาวิญญาณจำนวนมาก สมุนไพรหายาก และโอสถล้ำค่า รวมมูลค่าแล้วไม่น่าจะต่ำกว่าสิบล้านศิลาวิญญาณเย่ซิวเก็บทั้งหมดเอาไว้โดยไม่ลังเลเฉินเยียนจือเจ็บใจจนแทบร้องไห้ทรัพยากรจำนวนมหาศา
“ฉัวะ!!”สายฝนสีเลือดโปรยปรายลงมาทั่วฟ้าเย่ซิวฉีกสัตว์วิญญาณของเฉินเยียนจือเป็นชิ้น ๆ อย่างไม่ลังเลจากนั้นเตะเข้าหน้าอกเธอเข้าเต็มรักร่างของเธอลอยละลิ่วไปกระแทกกับเนินเขาอย่างรุนแรงเสียงกระดูกหักดังทั่วร่าง ไม่รู้ว่าหักไปกี่จุดเฉินเยียนจือมองเย่ซิวที่ลอยตัวอยู่ตรงหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บแค้น“ไอ้สารเลว แกตายแน่ แกต้องตาย ฉันไม่มีวันปล่อยแกไปเด็ดขาด!!!”ถึงจะเจ็บปางตาย เธอก็ยังไม่หยุดอาฆาต ใจคิดแต่จะแก้แค้นให้ได้ในภายหลัง“เพียะ ๆ ๆ”เย่ซิวไม่ใช่คนที่จะใจอ่อนให้กับคนอย่างเธอเขาตบซ้ายทีขวาที เพียงพริบตาก็ฟาดไปกว่าร้อยครั้งแรงฝ่ามือแต่ละครั้ง ทำให้ใบหน้าที่เคยสวยงามของเธอบวมช้ำจนดูไม่ได้ความแค้นในใจของเธอระเบิดออกจนแทบปิดไม่อยู่ ดวงตาแดงก่ำราวกับจะสังหารได้ทุกสิ่งเธอไม่เคยถูกปฏิบัติแบบนี้มาก่อน ตั้งแต่เด็กก็เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของพ่อแม่และแฟนหนุ่มถูกตามใจทุกอย่างราวกับแตะต้องไม่ได้ แต่วันนี้กลับโดนกระทืบจนแทบจำหน้าตัวเองไม่ได้เย่ซิวเห็นสภาพเธอก็รู้ทันทีว่าผู้หญิงคนนี้ยังไม่ยอมแพ้ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็ไม่ต้องปรานีอีกต่อไปเขาควักโอสถสองเม็ดออกมา แล้วยัดใส่ปาก
เจ้าสำนักจ้องมองห้าพี่น้องตรงหน้า พยายามทำให้ท่าทางของตัวเองดูเป็นมิตรมากที่สุด “ไม่ต้องกลัวไปนะ พวกเราไม่ได้มาร้าย เคยได้ยินชื่อสำนักอวิ้นหลิงกันบ้างไหม…”ทั้งห้าคนพยักหน้าเบา ๆผ่านไปครึ่งชั่วโมง เหล่าผู้อาวุโสที่ออกไปตรวจสอบหมู่บ้านก็กลับมาจากที่ตรวจสอบข้อมูลแล้ว ไม่พบอะไรผิดปกติ ห้าพี่น้องก็อยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้มาตลอดแต่พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่า คนทั้งหมู่บ้านถูกฝังความทรงจำบางอย่างเพิ่มเติมเข้าไปและเรื่องนี้ แน่นอนว่าเป็นฝีมือของจอมมารโลหิตนั่นเอง ซึ่งเชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะส่วนระดับพลังของห้าร่างแยกในตอนนี้ ก็ถูกถ่ายโอนมาไว้ที่ร่างหลักของเย่ซิวชั่วคราวทั้งหมดดังนั้น พวกเขาจึงดูเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีใครจับพิรุธได้แม้แต่น้อยแนวคิดนี้ เย่ซิวเคยคิดไว้ตั้งแต่ตอนสอบเข้าเป็นศิษย์ใหม่แล้วสายเซียนกระบี่ในลัทธิ เป็นสายที่มีอิทธิพลและมีพลังมากการเผชิญหน้าตรง ๆ ไม่มีทางชนะแน่นอนเย่ซิวจึงวางแผนจะส่งร่างแยกไปแฝงตัวอยู่ฝั่งนั้นเพราะหากเจออัจฉริยะระดับนี้ แน่นอนว่าทางสำนักต้องทุ่มสุดตัวในการฝึกฝนแน่ซึ่งก็หมายความว่าเหล่าศิษย์รุ่นใหม่คนอื่น ๆ จะได้รับทรัพยากรน้อยลงอย่างมาก
เจ้าสำนักนำเหล่ายอดฝีมือมาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในหุบเขาหนึ่งในผู้อาวุโสเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าสำนัก พวกเรามาที่นี่ทำอะไรกันแน่? ตลอดทางที่มาคุณก็ไม่พูดอะไรสักคำ”เจ้าสำนักส่ายหน้า “ก่อนอื่น ไปปิดล้อมหมู่บ้านนี้ไว้ก่อน แล้วลองหาดูว่ามีเด็กชายที่มีหน้าตาเหมือนกันห้าคนไหม”แม้ทุกคนจะไม่เข้าใจนัก แต่ก็เริ่มลงมือทันทีเจ้าสำนักระงับพลังของตัวเองไว้ แล้วเดินเข้าไปในหมู่บ้านอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับปล่อยพลังจิตออกไปตรวจสอบทั่วพื้นที่ที่นี่เป็นเพียงหมู่บ้านธรรมดา ผู้คนภายในก็ล้วนแต่เป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่มีอะไรผิดปกติแต่เมื่อเขาเดินมาถึงกลางหมู่บ้าน กลับพบเด็กหนุ่มที่หน้าตาธรรมดาห้าคน แต่เปล่งพลังวิญญาณออกมาอย่างชัดเจน แต่ละคนกำลังช่วยกันแบกฟืนและตักน้ำอย่างขยันขันแข็งบรรยากาศอบอุ่นและมีความสุขอย่างน่าประหลาดหัวใจของเจ้าสำนักสั่นสะเทือนเบา ๆ ก่อนที่เขาจะไปเคาะประตูบ้านหลังหนึ่งไม่นานก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินมาเปิดประตู “สวัสดีครับ มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”เจ้าสำนักยิ้มอย่างเป็นมิตร “พอดีผ่านมาแถวนี้ รู้สึกคอแห้งนิดหน่อย เลยอยากขอน้ำดื่มสักแก้วน่ะ”เด็กหนุ่มเกาหัวแล้วยิ้มอย่างซื่อ
“แกจะส่งมาดี ๆ หรือจะให้ฉันลงมือเอามาเอง”เย่ซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผมไม่เข้าใจว่าคุณพูดเรื่องอะไร”“แกน่าจะรวยมากเลยสินะ บอกไว้เลยนะ ฉันนี่แหละที่เป็นคนขายปีศาจแมวให้แก”เย่ซิวจึงเข้าใจทันที “ก็แสดงว่านายแอบทำอะไรไว้ในตัวเสี่ยวโหรว เพื่อใช้ติดตามฉัน… ดูท่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่นายทำแบบนี้สินะ”ดูจากท่าทางก็รู้ว่าเป็นมืออาชีพใช้วิธีเอาเสี่ยวโหรวไปขายในตลาดมืด พอมีคนซื้อก็ค่อยตามไปแล้วหาจังหวะชิงตัวกลับมาจากนั้นก็เอาไปขายใหม่ วนลูปแบบนี้ไปเรื่อย ๆถือเป็นวิธีหาเงินที่รวดเร็วจริง ๆแต่น่าเสียดายที่คราวนี้ดันมาเจอของแข็งเข้าแล้ว“ใช่เลย แกน่ะเป็นคนที่อ่อนที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลยนะ อยู่แค่ระดับสร้างรากฐานปราณแท้ ๆ แต่กลับพกศิลาวิญญาณมามากขนาดนั้น อย่างนี้ต้องรวยมากแน่…”พูดยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็ลอบโจมตีทันทีทั้งที่มีพลังระดับวิญญาณก่อกำเนิด แต่ยังเล่นสกปรกด้วยการลอบจู่โจม เรียกได้ว่าทั้งเลวทั้งเจ้าเล่ห์สุด ๆเปรี้ยง!ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าสีม่วงเส้นหนึ่งก็ผ่าลงมากลางหัวอย่างจังชายคนนั้นถูกฟาดจนร่างแหลกละเอียดกลายเป็นเศษธุลีแทบไม่เหลือชิ้นดีเสี่ยวโหรวที่ยืนข้าง ๆ ถึงกับหน้าซีด
“สินค้าชิ้นที่สองของงานประมูล เป็นจิตวิญญาณนักรบระดับถอดจิตขั้นต้นเนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้สภาพจิตวิญญาณจึงยังไม่คงที่เราต้องใช้วิชาเฉพาะตัวเพื่อรักษาสภาพเอาไว้ชั่วคราว ต้องพาไปที่ที่มีพลังหยินหนาแน่น หรือไม่ก็ต้องมีจิตวิญญาณนักรบที่แข็งแกร่งช่วยรักษาให้ ราคาเริ่มต้นที่หนึ่งแสนศิลาวิญญาณ”พูดจบ เธอก็หยิบลูกแก้วคริสตัลออกมา ภายในมีวิญญาณของปีศาจหมาป่าตนหนึ่งถูกผนึกไว้บนร่างมันมีรูโหว่อยู่หลายแห่งมีหลายคนให้ความสนใจ ต่างเริ่มเสนอราคากันเย่ซิวเองก็ถูกจิตวิญญาณนักรบตนนั้นดึงดูดสายตาเข้าแล้วเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าหลังจากให้กระบี่แม่ลูกกับเสี่ยวโหรวไป เธอก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยไม่นานราคาก็ถูกดันขึ้นไปถึงสองล้านกว่าศิลาวิญญาณถ้ามันไม่บาดเจ็บล่ะก็ ต่อให้มีหลายสิบล้านก็อาจจะยังซื้อไม่ได้ด้วยซ้ำจำนวนคนที่ร่วมประมูลค่อย ๆ ลดลงเย่ซิวจึงเสนอราคาไปที่สามล้านศิลาวิญญาณในครั้งเดียว และชนะการประมูลไปอย่างราบรื่นของก็ถูกส่งมาถึงมือเย่ซิวอย่างรวดเร็วเขานำมันเก็บเข้าไปในธงหมื่นวิญญาณแล้วให้จิตวิญญาณนักรบทั้งสามที่อยู่ภายในช่วยรักษาบาดแผลให้แน่นอนว่าจอมมารโลหิตดู
แน่นอนว่าการค้างคืนด้วยกันนั้นไม่ได้ทำให้เย่ซิวเสียสมาธิอะไรหากพูดถึงความเย้ายวน ก็ไม่มีใครจะสู้เสวี่ยเหมยได้อยู่แล้วในตลาดมืดแห่งนี้มีขายเสื้อคลุมแบบเดียวกับที่เย่ซิวสวมอยู่เขาซื้อมาเพิ่มอีกสองชุดเก็บไว้หนึ่งชุด อีกชุดให้เสี่ยวโหรวสวมไม่งั้นสายตาโลมเลียจากรอบข้างจะมากเกินไปหน่อยจากนั้นเขาก็พาเสี่ยวโหรวเดินเล่นในตลาดมืดต่อจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาซื้อของอะไรเดินวนไปหนึ่งรอบก็ไม่เจอของอะไรที่ดูมีค่าเป็นพิเศษแบบที่ในนิยายบางเรื่องชอบเขียนว่าพระเอกเดินผ่านตลาดแป๊บเดียวก็เจอสมบัติล้ำค่าอะไรแบบนั้น เรื่องแบบนั้นไม่มีเกิดขึ้นที่นี่หรอกสุดท้ายเขาก็มาถึงอาคารจัดประมูลของตลาดมืดถึงจะเรียกว่าอาคาร แต่จริง ๆ ก็แค่โรงเรือนที่มีขนาดใหญ่กว่าร้านทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้นเองการเข้าไปข้างในต้องจ่ายค่าผ่านประตูคนละหนึ่งร้อยศิลาวิญญาณเย่ซิวจ่ายไปสองร้อยแล้วก็จับมือเสี่ยวโหรวเดินเข้าไปมือของเธอนุ่มมาก แถมยังเย็นนิด ๆ ชวนให้รู้สึกอยากจับไม่ปล่อยตอนเข้าไป ที่นั่งก็เหลือว่างอยู่ไม่มากแล้วคนอื่น ๆ แค่เหลือบมองเย่ซิวแล้วก็หันหน้ากลับไปทันทีเพราะที่นี่ ถ้าจ้องใครนานเกินไปจะถูก
“วันนี้บังเอิญมีงานประมูลจัดขึ้นพอดี หนึ่งในของประมูลสำคัญคือหุ่นเชิดโบราณตัวหนึ่งมีพลังระดับถอดจิต ถ้าคุณมีฝีมือก็ลองประมูลดูได้”เย่ซิวสะดุดใจขึ้นมาทันที พลังต่อสู้ของหุ่นเชิดระดับถอดจิตนั้นสูงมากถ้าได้มาจะช่วยยกระดับพลังโดยรวมของเขาได้มากทีเดียวเขาพยักหน้าแล้วก็ตรงเข้าสู่เขตตลาดมืดทันทีบรรยากาศภายในตลาดมืดดูไม่ต่างจากตลาดนัดทั่วไปผู้บำเพ็ญตนนั่งเรียงกันสองฝั่งข้างทาง หน้าแต่ละคนมีแผงเล็ก ๆ วางของขายหลากหลาย“แวะมาดูได้เลย ของดีราคาถูก รับประกันไม่มีโกง”“คัมภีร์ประจำตระกูลของแท้ ขอแลกกับหินธาตุไฟ”“หญิงแท้ ขอแลกแต่งงานกับร้อยศิลาวิญญาณ”……ของหลากหลายจนมองตามแทบไม่ทันเย่ซิวเดินผ่านแผงขายของทีละอันของบางอย่างเขาก็สนใจ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีประโยชน์กับเขามากนัก เลยไม่ได้ซื้ออะไรจู่ ๆ เขาก็หยุดที่แผงหนึ่งแผงนี้ไม่ได้มีของวางขายเหมือนแผงอื่น ๆ แต่มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่แทนเธอสวมเสื้อผ้าบางเบา ร่างเล็กบอบบางแต่รูปร่างกลับพอดีสัดส่วน หน้าตาจัดว่าระดับแปดเต็มสิบที่เด่นที่สุดคือดวงตาสีฟ้าราวกับไพลินแค่เห็นแวบเดียวก็ยากจะละสายตามีคนจำนวนไม่น้อยหยุดมองที่แผงนี้
เย่ซิวเก็บร่างแยกทั้งห้าไว้ในจุดตันเถียนจากนั้นเขาก็ขังตัวเองบำเพ็ญตนในถ้ำอยู่อีกหลายวันเมื่อออกมาอีกครั้ง เขาก็ทยอยส่งมอบโอสถให้กับแต่ละคนตามที่สั่งไว้ แลกกับวัตถุดิบล้ำค่าหลายชิ้นหลังจากนั้นเย่ซิวก็ตรงไปหาจางเสี่ยวอวี๋ “ฉันอยากไปตลาดมืด เธอพอมีช่องทางไหม”ตลาดมืดนี่ เย่ซิวเคยได้ยินมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในสำนักอวิ้นหลิงแล้วเขาว่ากันว่าสถานที่ตั้งลึกลับสุด ๆนอกจากคนในสำนัก ก็ยังมีผู้บำเพ็ญจากสำนักอื่น ๆ แอบเข้ามาทำการค้าด้วยเบื้องหลังตลาดมืดเหมือนจะมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังอยู่หลายรายการซื้อขายข้างในถือว่าปลอดภัยมากมีของดี ๆ หลายอย่างที่โลกภายนอกหาไม่ได้แน่นอนว่าถ้ามีสมบัติติดตัวมากเกินไปแล้วโดนรู้เข้าตอนออกจากตลาดมืดอาจถูกตามฆ่าปิดปากหรือโดนปล้นก็ได้“ฉันรู้สิ สถานที่แบบนั้นต้องใช้ชุดพิเศษในการเข้าไปด้วย”จางเสี่ยวอวี๋พูดจบก็ดึงชุดคลุมสีดำออกมาจากแหวนผนึกของ“ในนั้นทุกคนต้องใส่ชุดนี้ ห้ามเปิดเผยตัวตน และต้องจ่ายค่าผ่านประตูสิบศิลาวิญญาณด้วยนะ”เย่ซิวรับเสื้อคลุมมาถือไว้แล้วจางเสี่ยวอวี๋ก็อธิบายเส้นทางไปตลาดมืดให้ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากสำนัก เป็นเมืองเล็ก ๆ แ