ส่วนอิลฮัมนั่งเล่นเกมในมือถือ ไม่ได้รู้สึกเบื่อหน่ายหรือหงุดหงิดกับการรอ ในใจเขารู้สึกคล้ายกับว่า กำลังรออะไรบางอย่างอยู่ แต่ก็หาคำตอบไม่ได้ว่า บางอย่างที่ว่านั้นคืออะไร
เวลาประมาณ 17.05 น. อนัญญาเดินเข้ามาในซอยบ้าน หล่อนแวะซื้อไอศกรีมตักลุงเจ้าประจำ เดินกินไอศกรีมแบบกรวยอย่างเอร็ดอร่อย ในระยะสายตาก่อนถึงบ้าน หล่อนมองเห็นรถยนต์สองคันจอดอยู่หน้าบ้าน
“รถใครวะมาจอดหน้าบ้าน แม่งโคตรหรูเลย”
อนัญญาไม่คิดว่า เจ้าของรถยนต์สองคนนั้นมาหาตนเป็นเพราะยี่ห้อรถคันนี้ธรรมดาเสียที่ไหน รถโรลส์-รอยซ์ไม่รวยจริงซื้อมาขับไม่ได้ คิดในใจว่าอาจมาหาคนในซอยแต่ไม่มีที่จอดรถจึงมาจอดหน้าบ้านตน หล่อนไม่ได้คิดอะไรมากและไม่คิดโวยวายที่มีรถมาจอดเพราะไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตพอเสร็จธุระเจ้าของรถก็ต้องนำรถออกไปจากหน้าบ้านตน
เจ้าของบ้านมาหยุดยืนหน้าประตูรั้ว มือหนึ่งถือไอศกรีม อีกมือหนึ่งหยิบลูกกุญแจออกมาไขแม่กุญแจที่คล้องไว้
ชีคฟาฎิลก้าวลงจากรถเป็นคนแรกเดินมาหยุดห่างจากร่างงามราวสองก้าว ยศวินรีบลงจากรถมายืนข้างชีคหนุ่ม
“สวัสดีครับ” เสียงยศวินดังขึ้น อนัญญาหันมาตามเสียง วินาทีแรกยามเห็นใบหน้าชาวต่างชาติที่บอกถึงเชื้อชาติได้ในทันใดดวงตาหล่อนนิ่งค้าง มองชายหนุ่มสูงใหญ่ตาไม่กระพริบจะไม่ให้มองตาค้างได้อย่างไร เพราะชายหนุ่มที่อนัญญาเห็นทั้งหล่อ ทั้งมาดเข้ม ดูมีพลังอำนาจและน่าหลงใหล นัยน์ตาเขาคมกริบราวกับตัดตัวคนขาดเป็นสองท่อน แม้ว่าดวงตาเขาดูน่ากลัวทว่าแฝงไว้ซึ่งเสน่ห์อย่างล้นเหลือ
‘คนอะไรวะ หล่อเข้ม มาดดีชิปเป๋ง หล่อวัวตายควายล้มเลย’ อนัญญาพูดในใจ
ความที่สติของหล่อนเตลิดไปไกลความหล่อเข้มของชายตรงหน้า ส่งผลให้ไอศกรีมในมือละลาย เนื้อไอศกรีมที่ละลายไหลมาโดนมือ ทำให้หล่อนใช้ลิ้นเลียไอศกรีมเพื่อไม่ให้มันไหล
ภาพอนัญญาเลียเนื้อไอติมไม่ได้เป็นภาพไม่น่ามอง สำหรับชีคฟาฎิลมองภาพนั้นแล้วเกิดปฏิกิริยาบางอย่างในร่างกาย แก่นกายใหญ่เขาเสียววาบขึ้นมาทันใด ราวกับว่าใจกลางตัวเขากำลังถูกลิ้นของอนัญญาไล้เลีย
โอ้...ฟาฎิลคิดไปไกลมาก
“สวัสดีค่ะ คุณมาหาใครแถวนี้หรือคะ” เสียงของอนัญญาเรียกสติฟาฎิลให้กลับมาดังเดิม เขามองหน้าคนพูดก่อนเป็นคนตอบ
“พวกผมมาหาคุณครับ คุณคือคุณเปรี้ยวใช่ไหมครับ”
ยศวินตอบแทนเจ้านาย และเป็นล่ามในครั้งนี้เพราะคิดว่า อนัญญาพูดภาษาสากลไม่ได้
“ใช่ ฉันชื่อเปรี้ยว แล้วพวกคุณมาหาฉันทำไม” อนัญญาถามกลับ
“ฉันมาหาอานัสกับอานีส”
เสียงภาษาไทยไม่ค่อยแข็งแรงดังจากปากฟาฎิล ชายหนุ่มที่อนัญญาเผลอไผลไปกับความหล่อขั้นเทพ อนัญญาทำหน้าแปลกใจและสงสัยที่อยู่ๆ เขาก็มาหาหลานชายฝาแฝด
“คุณมาหาหลานฉันทำไม”
“ผมว่าเราเข้าไปคุยกันในบ้านดีกว่าครับ เพราะเรื่องมันยาว” ยศวินบอก
“เรื่องอะไรที่ต้องคุย ไหนบอกมาสิ”
“ก่อนที่ผมจะตอบคุณ ผมขอแนะนำให้คุณเปรี้ยวรู้จักกับท่านชีคก่อนครับ” ยศวินพูดกับอนัญญา “ผู้ชายท่านนี้ชื่อท่านชีคฟาฎิล อิสบาฮิม ราซิม สุไลลา ท่านเป็นชีคจากประเทศซาเมียร์ครับ ส่วนท่านนี้ชื่อคุณอิลฮัมเป็นเพื่อนสนิทท่านชีคครับ”
อนัญญาตกใจ ไม่คิดว่าชายหนุ่มตรงหน้ามีสถานะเป็นถึงท่านชีคสูงศักดิ์ เช่นนี้นี่เองยานพาหนะของเขาจึงไม่ธรรมดา แต่ก็สงสัยว่าคนระดับเขาจะมาหาตนทำไม
“แล้วท่านชีคมาหาฉันทำไมคะ” คำตอบนี้เองที่หล่อนอยากรู้มากมาย
“เรื่องคุณส้มครับ คุณส้มเขียนจดหมายไปหาท่านชีคเมื่อเกือบสองเดือนก่อนครับ ในจดหมายเขียนไว้ว่า อานัสกับอานีสเป็นลูกชายของท่านชีคครับ” อนัญญาตกใจมองหน้าชีคหนุ่มนิ่งงัน ไม่อยากเชื่อเลยว่าอภิญญามีความสัมพันธ์กับชีคฟาฎิลเพราะคนละระดับชั้นกัน จะเจอกันได้อย่างไร หล่อนไม่รู้ข้อมูลพ่อของสองหลานรัก รู้เพียงว่าเขามาจากประเทศซาเมียร์ เป็นประเทศเดียวกับที่ชีคฟาฎิลพำนักอยู่
แต่เดี๋ยวๆๆ สติ สติ ตั้งสตินิดนึงก่อน...อนัญญาบอกตัวเอง
มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่อภิญญามีความสัมพันธ์กับชายสูงศักดิ์คนนี้ เพราะคนละระดับชั้นกัน มีผู้หญิงระดับเดียวกันพร้อมพลีกายให้เขาเชยชม จะมาสนใจคนธรรมดาเดินดินอย่างอภิญญาทำไม สถานะต่างกันลิบลับก็ว่าได้ หล่อนไม่เชื่อว่าอานัสกับอานีสเป็นลูกของชีคฟาฎิล ทว่าอีกใจก็คิดว่า คนอย่างเขาจะมาหาตนที่บ้านเพื่อแสดงตัวว่าเป็นพ่อของสองแฝดทำไม ถ้าเขาไม่ได้หลับนอนกับอภิญญาจริง
“ฉันไม่เชื่อหรอกว่า ส้มจะนอนกับท่านชีค” อนัญญาตอบกลับ
“ผมถึงบอกว่าให้เราเข้าไปคุยกันในบ้านไงครับ เพราะต้องคุยกันยาวแน่นอน” เจ้าของบ้านยืนมองหน้าชายหนุ่มทั้งหกคนอย่างใช้ความคิด “คุณไว้ใจพวกเราได้ครับ เราไม่มีเจตนาร้ายแน่นอน”
“ขอดูอะไรให้มั่นใจหน่อยสิว่า ท่านชีคเป็นตัวจริง คุณมาบอกฉันปาวๆ ว่าเขาเป็นท่านชีค ฉันเชื่อก็บ้าแล้ว คนสมัยนี้ไว้ใจได้ที่ไหน หน้าตาดีเป็นคนชั่วมีถมไป”
ยศวินหันมาบอกความต้องการของอนัญญาให้ชีคฟาฎิลรับรู้
“หน้าตาฉันเหมือนคนเลวมากหรือไงถึงได้ต้องขอดูหลักฐาน” ชีฟาฎิลพูดเป็นภาษาอังกฤษกับยศวิน
“หน้าตาคุณไม่เหมือนคนเลวหรอก แต่สมัยนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ ฉันก็ต้องรอบคอบไว้ก่อนสิ แล้วฉันก็ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตที่คุณจะเอาหลักฐานมายืนยันตัวตนของคุณ ถ้าคุณไม่ให้นี่สิน่าสงสัย” อนัญญาสร้างความแปลกใจให้ชีคฟาฎิลในเรื่องการใช้ภาษาอังกฤษ หล่อนพูดอย่างคล่องแคล่วราวกับว่าใช้ภาษานี้มานาน “เอามาสิหลักฐานว่าคุณเป็นท่านชีคจริงๆ ถ้าไม่ให้หลักฐานฉันดูก็ไม่ต้องพูดคุยอะไรทั้งนั้น ทางใครทางมัน”
Chapter 46 ต่างรู้กันว่า สุจิตราเป็นหนึ่งในทีมบอดี้การ์ดของอิลฮัม จึงไม่มีใครรู้ในความสัมพันธ์ลึกๆ ระหว่างอิลฮัมกับสุจิตรา จะมีคนรู้ก็แค่คนในบ้านและทีมบอดี้การ์ด ซึ่งแน่นอนว่า ไม่มีใครรู้ความลับนี้ แม้แต่จรรยาก็คิดว่า สุจิตราเป็นอดีตลูกน้องที่ย้ายไปอยู่กับบาดียะ เพื่อดูแลระหว่างตั้งครรภ์ “ได้ครับ ผมจะหาของขวัญให้มัซนีย์”อิลฮัมไหลไปตามน้ำ เอ่ยเสียงเรียบทว่าในใจกลับเดือดพล่านเมื่อได้ยินว่า มีชายหนุ่มมาจีบสุจิตรา เขาต้องใช้ความพยายามอย่างหนักไม่ให้ความไม่พอใจออกมาทางสีหน้าหรือแววตา อิลฮัมเก็บมันไว้อย่างมิดชิด การสนทนาหยุดลงชั่วขณะเมื่อโมฮัมหมัดกับสุจิตราเดินถือถาดใส่ขนมเค้กมาวางไว้บนโต๊ะ โมฮัมหมัดหยิบจานเค้กส่งให้ญาติอีกสองคนและส่งอีกจานให้อัฟฮัม สุจิตราหยิบจานเค้กส่งให้ฮานีฟา จรรยาที่ส่งยิ้มให้และส่งให้อิลฮัมเป็นคนสุดท้าย ขณะที่ส่งจานขนมเค้กให้อิลฮัม เขามองหน้าสุจิตราและนั่นทำให้หล่อนใจสั่น ความเข้มแข็งที่ตนเองตั้งมั่นไว้ในจิตใจสั่นคลอนจะว่าไปความเข้มแข็งของสุจิตรานั้น เหมือนจะค่อยๆ ทลายลงทีละนิดเมื่อได้เห็นหน้าอิลฮัม อีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นคือ ความเสียใจ ทั
Chapter 45“ค่ะ พี่จะเข้มแข็งค่ะ”“งั้นลงไปกันค่ะ” สุจิตราสูดลมหายใจแรงๆ เข้าไปในปอด ราวกับให้กำลังใจตัวเอง ก่อนก้าวเท้าลงจากรถ ยืนมองประตูบ้านด้วยใจไหวหวั่น “ไปค่ะพี่มัซนีย์”บาดียะยิ้มให้สุจิตรา กุมมืออีกฝ่ายแล้วพากันเดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่อันคุ้นเคย โดยมีคนขับรถถือถุงใบใหญ่สองใบเดินตามไปด้วยภายในห้องโถงใหญ่ของบ้านที่ตกแต่งอย่างหรูหราสมกับฐานะเจ้าของ ชุดโซฟารับแขกชุดใหญ่ที่มีโซฟาสี่ตัว เป็นตัวยาวที่นั่งได้ราวสามถึงสี่คนสองตัว และนั่งได้สองคนอีกสองตัว อัฟฮัมกับฮานีฟานั่งอยู่บนโซฟาตัวเดียวกัน โดยมีสาวสวยนามว่าจรรยานั่งข้างฮานีฟา โซฟาตัวเล็กอีกสองตัวถูกจับจองด้วยญาติของอัฟฮัมที่มาเยี่ยมเยียนตัวละหนึ่งคน ส่วนโซฟาอีกตัวที่หันหลังให้กับประตูบ้านมีชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ลูกชายเจ้าของบ้านนั่งอยู่คู่กับญาติผู้พี่นามว่า โมฮัมหมัดรอยยิ้มของอัฟฮัม ฮานีฟาและจรรยาที่ระบายเต็มใบหน้า และทั้งสามมองไปยังประตูบ้าน ราวกับส่งยิ้มให้คนที่กำลังเดินเข้ามา อิลฮัมที่สังเกตเห็นอยู่จึงหันไปมองทางด้านหลังด้วยความอยากรู้ว่า ทั้งสามยิ้มให้ใครโอ้...อิลฮัมครางในใจและอึ้งเมื่อเห็นสุจิตราเดินคู่มากับบาดี-ยะ เหตุผลขอ
Chapter 44 หลังจากตกลงกันได้ สุจิตราเก็บเสื้อผ้าไปอยู่บ้านบาดียะที่ยอมรับเรื่องราวที่เกิดขึ้น และยอมรับมูฮัมหมัดในฐานะลูกเขย แม้ว่าจะไม่เต็มใจนัก แต่ในเมื่อลูกสาวรักและเรื่องเลยเถิดมาถึงป่านนี้ อีกทั้งมูฮัมหมัดก็ไม่คิดเกาะบาดียะกินอย่างที่เข้าใจ เขาขยันทำงาน หาเงินเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย จาเหม็ดที่รักลูกไม่อยากให้ลูกลำบาก จึงให้มูฮัมหมัดเข้ามาดูแลกิจการเครื่องเพชรของตน ให้เงินเดือนและส่วนแบ่งรายได้ให้สิบเปอร์เซ็นต์ หน้าที่หลักของสุจิตราคือดูแลบาดียะที่เกิดอาการแพ้อย่างหนัก นอกจากคลื่นไส้ยังมีอาการวิงเวียนศีรษะและหน้ามืดบ่อยๆ สุจิตราแทบจะไม่ห่างบาดียะเลย ดูแลดีประหนึ่งน้องสาว การที่สุจิตรามาอยู่บ้านบาดียะ หล่อนได้รับการต้อนรับอย่างดีจากเจ้าของบ้านที่ให้ความเมตตา แม้ว่าจะต่างศาสนาแต่ก็อยู่ร่วมกันได้ บาดียะซื้อชุดแบรนด์หรูให้สุจิตราเกือบยี่สิบชุด ไม่รวมเครื่องประดับอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นต่างหู สร้อยคอและนาฬิกา รวมถึงกระเป๋าราคาหลักแสนให้อีกสองใบ ไม่เพียงแค่นั้นยังขัดสีฉวีวรรณให้ดูเปล่งปลั่งมากขึ้น ดูมีออร่าสาวไฮโซ ทำราวกับว่ากำลังชุบตัวสุจิตราเป็นคนใหม่
Chapter 43สามเดือนต่อมา อนัญญา อานัสกับอานีสเดินทางมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในประเทศซาเมียร์ ประเทศที่อนัญญารู้จักแค่ชื่อ แต่ไม่เคยมาย่ำเยือน พอมาเห็นหล่อนยอมรับว่าตื่นเต้นและทึ่งในสถาปัตยกรรมอันสวยงามและเก่าแก่ โดยเฉพาะวังของฟาฎิลที่มีความยิ่งใหญ่สวยงามมาก เพราะทำจากหินอ่อนทั้งหมด เนื้อที่ก็ใช่ย่อยกว้างขวางถึงห้าสิบไร่ มีสนามหญ้าให้อานัสและอานีสวิ่งเล่น รวมถึงสระว่ายน้ำ สนามเทนนิส สนามบาสเกตบอล ยังไม่หมดยังมีสนามแข่งรถทางด้านข้างของวังอีกด้วย อนัญญากับสองหลานชายได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น นูรีนมารดาของฟาฎิลที่เคยเจอกันแล้วตอนที่นางไปดูหน้าหลานรักที่เมืองไทย นางรู้สึกถูกชะตาและนับถือความแข็งแกร่งของอนัญญาหลังจากรู้ว่า หล่อนดูแลทั้งอภิญญาและหลานชายพร้อมกัน ด้วยการไม่เลือกงาน ขอเพียงเป็นงานสุจริต นูรีนยินดีมากที่อนัญญาก้าวเข้ามาอยู่ในวัง ในฐานะลูกสะใภ้ คนมาอยู่ใหม่นอกจากจะปรับตัวเรื่องเวลาและสถานที่แล้ว ทั้งสามยังต้องเรียนรู้เรื่องภาษาและศาสนา รวมถึงชีวิตความเป็นอยู่ ซึ่งสามป้าหลานก็ค่อยๆ ปรับตัว เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ตอนนี้อนัญญาพูดคุยภาษาถิ่น
Chapter 42 “ยังเจ็บอยู่ไหมคนดี” เขาถามชิดเรียวปากอิ่ม จูบซ้ำๆ ขบเม้มกลีบปากล่างเธอเบาๆ “ว่าไงครับ ยังเจ็บอยู่ไหม”“ไม่เท่าไหร่ค่ะ...แต่อึดอัด” อนัญญาตอบตามตรง มองหน้าชายหนุ่มที่ตนรักด้วยเก้อเขิน“ของฉันมันใหญ่ก็งี้แหละ อึดอัดเป็นเรื่องปกติ” ฟาฎิลยอตัวเอง “แต่รับรองว่า เราจะมีความสุขไปด้วยกัน” ชีคหนุ่มขยับสะโพกอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะต้องการให้อนัญญาคุ้นชินกับความแปลกใหม่ ปรารถนาให้หล่อนซึมซับความสุขเข้าสู่หัวใจ เขาเคลื่อนไหวนุ่มนวลช้าๆ เนิบๆ ต่างกับกิจกรรมทางเพศกับหญิงอื่นที่จะดุเดือดตามประสบการณ์ของคู่นอนคนนั้น ทว่ากับอนัญญา หล่อนคือความบริสุทธิ์ที่เขาอยากให้ซึมซับความมหัศจรรย์ทางเพศ ต้องการให้เธอประทับใจและเก็บไว้ในกล่องความทรงจำ“อา...ท่านชีค” ความเจ็บปวดค่อยๆ ลดเลือน ความกระสันซ่านจากฤทธิ์พิศวาสเข้าครอบงำ หัวใจสาวกำลังโบกโบยบินไปกับทำนองรักทำนองสวาทที่เขากำลังขับกล่อม“โอ้...วิเศษจัง...ลัยลาฮ์”“ท่านชีค...อา...อืม” บทเพลงรักของเขาเปลี่ยนไป จากช้าเริ่มขยับจังหวะเร็วขึ้น เมื่อเขาเร่งความเร็วเสียงครางกระเส่าของอนัญญาดังไม่ขาดปาก ประสานกับเอกบุรุษที่ทะยานเข้าใส่ไม่หยุด ความเสียวซ่า
Chapter 41อนัญญาไม่คิดว่าตัวเองจะรู้สึกคล้ายคนคลั่ง ยิ่งเขาขยับนิ้วเร่งจังหวะ หล่อนยิ่งเสียวกระสัน ร้องครางระบายความร้อนที่สุมในทรวง เพราะตอนนี้ความร้อนมันเพิ่มทุกขณะจิต เพิ่มทุกองศายามเขาขยับนิ้วเข้าและออก“กลิ่นโชยมา หอมยั่วเหลือเกิน” เหมือนเป็นแรงกระตุ้น แรงผลักดันที่ทำให้ฟาฎิลอยากเลื่อนหน้าไปเชยชมความหอมพรรณพฤกษาที่ส่งกลิ่นเย้ายั่วอารมณ์ กลิ่นสาปสาวที่มาพร้อมกับกลิ่นเสน่หา เมื่อสองกลิ่นมารวมกันเปรียบเสมือนหัวน้ำหมอชั้นดี ที่ชายได้ใดสูดดมเข้าไป ร่างกายจะเกิดความร้อนรุ่ม เพลิงพิศวาสถูกปลุกระดมลุกพรึบทันใด แล้วเขาก็ไม่อดทนกับความต้องการของตนเอง ใบหน้าคมเข้มเลื่อนต่ำลงไปยังดอกกุหลาบช่องามที่ตอนนี้เป็นอิสระจากนิ้วมือใหญ่ แต่ก็เพียงแค่ช่วงไม่กี่วินาที ปากและลิ้นของเขาก็ทำงานแทนที่“ท่านชีค...อา...ท่านชีค” อนัญญาไม่ทันตั้งตัว เธอไม่คิดว่าเขาจะหุนหันเลื่อนใบหน้าไปยังจุดนั้น แล้วเวลานี้เขาเริ่มสำรวจดอกไม้งามดั่งภุมรินลิ้มเกสรหวานฉ่ำ จูบไปทั่วดอกผกา ลิ้นสากใหญ่แทรกไปตามกลางกลีบดอกตวัดลิ้นไปมา ก่อนพบเจออัญมณีสีสวยที่ขึ้นรูปอวดตัว แน่นอนว่าเขาต้องจัดการมันด้วยปาก ดูดและเม้ม “อา...ท่านชีค...อ