ไม่มีอะไรทำให้หัวใจเต้นแรงเท่าการได้ตามดูเส้นทางคนที่ถูกความแค้นเผาไหม้จนต้องเลือกทางเดินใหม่—ในกรณีของ 'Vinland Saga' นี่คือสิ่งที่ทำให้เรื่องราวมีมิติและหนักแน่นมากกว่าแค่การล้างแค้นแบบพื้นๆ
Thorfinn เป็นตัวอย่างที่ทำให้ฉันคิดอยู่หลายวันหลังดูจบ เด็กชายที่เติบโตมาในความรุนแรง กลายเป็นนักรบที่เอาแต่ตามล่าคนที่ฆ่าพ่อของเขา แต่สิ่งที่ทำให้เขาซับซ้อนไม่ใช่แค่มิติของความเกลียด
ชังเท่านั้น แต่มันคือช่องว่างหลังจากที่ความแค้นตอบสนองแล้ว—ความว่างเปล่า ความไม่รู้ว่าจะมีชีวิตต่อไปยังไง ฉะนั้นฉันจึงไม่เพียงแต่เห็นเขาเป็นคนโกรธ แต่ยังเห็นการค้นหาตัวตนและความหมายของการมีชีวิตอยู่ด้วย
อีกมุมที่ทำให้ฉันประทับใจคือการจัดการกับผลกระทบของการแก้แค้นต่อคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ที่พังทลายกับคนที่เคยไว้ใจ หรือการถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นเงาของความเกลียดชังเอง ฉากเมื่อ Thorfinn ได้พบกับวิถีชีวิตใหม่และช้าๆ เรียนรู้คำว่าให้อภัยมันไม่หวือหวา แต่มันหนักแน่นและสมจริง ฉันรู้สึกถึงน้ำหนักของการตัดสินใจในแต่ละฉาก การแสดงออกทางหน้า การเงียบ—ทั้งหมดทำให้การแก้แค้นมีมิติทั้งด้านจิตใจและสังคม
สุดท้ายแล้ว นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของการชำระแค้น แต่เป็นเรื่องการเติบโต การเรียนรู้ว่าการแก้แค้นอาจนำมาซึ่งความบรรเทาทุกข์ชั่วคราว แต่ไม่ใช่การเยียวยาที่แท้จริง เหตุผลนี้แหละที่ทำให้ฉันยังคงพูดถึง 'Vinland Saga' เมื่อคิดถึงตัวละครที่ถูกเงาของความแค้นตามหลอกหลอน ความซับซ้อนของ Thorfinn ทำให้บทแก้แค้นมีรสชาติของมนุษยศาสตร์มากกว่าความรุนแรงเพียงอย่างเดียว