เมื่อครั้งแรกที่ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ ฉันรู้สึกเหมือนถูกพาเข้าไปในห้องภาพที่มีมิติของแสงและเงา นักวิจารณ์หลายคนมักยกภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นตัวอย่างของ
สุนทรียภาพที่ไม่ใช่แค่องค์ประกอบสวยงามเท่านั้น แต่เป็นการจัดวางองค์ประกอบภาพเป็นภาษาหนึ่ง: การจัดเฟรมที่บีบให้ตัวละครพูดด้วยท่าทางแทนคำพูด สีที่เลือกใช้เป็นเสมือนตัวบอกน้ำเสียง และการเคลื่อนไหวกล้องที่แผ่วเบาแต่หนักแน่น ทำให้ช่วงเวลาธรรมดากลายเป็นเรื่องมีน้ำหนัก
ในบทวิจารณ์เชิงเปรียบเทียบ ฉันเห็นนักวิจารณ์เชื่อมโยงงานชิ้นนี้กับความละเอียดในการออกแบบภาพแบบเดียวกับ 'Blade Runner 2049' แต่ใช้โทนอารมณ์ที่ต่างออกไป—ไม่ใช่เพียงไซไฟยิ่งใหญ่ แต่เป็นไซไฟที่อิงกับความเปราะบางของมนุษย์ พวกเขาพูดถึงการใช้เสียงประกอบที่เป็นช่องว่าง เวลาที่ถูกยืดและหดอย่างมีเจตนา รวมถึงการให้ความสำคัญกับสิ่งเล็กๆ เช่นเงาของต้นไม้บนผนังหรือการหายใจของตัวละคร ซึ่งทั้งหมดรวมกันเป็นสุนทรียภาพที่ทำให้ผู้ชมต้องคิดและรู้สึกไปพร้อมกัน
สรุปภาพรวมในแบบของฉันคือ นักวิจารณ์มองว่าสุนทรียภาพของหนังนี้คือการผสมระหว่างการบรรยายด้วยภาพ การจัดเสียงที่เป็นองค์ประกอบเชิงพื้นที่ และจังหวะการเล่าเรื่องที่กลั่นกรองมาแล้วจนแต่ละเฟรมรู้สึกมีความหมาย — นี่ไม่ใช่หนังที่แค่ดูจบแล้วลืมได้ง่ายๆ มันทิ้งร่องรอยของการมองโลกไว้ในหัวใจมากกว่าแค่ความประทับใจชั่วคราว