ผู้เล่นควรจัด Solo Leveling Arise Tier List ให้ตัวละครอย่างไร?

การคิดแบบนักวิเคราะห์ฉันชอบตั้งมุมมองเป็นสองแกน: ประสิทธิภาพต่อทรัพยากรและผลกระทบเชิงกลยุทธ์ ตัวที่คุ้มค่าต้องให้ผลต่อชั่วโมงการเล่นสูงและเปลี่ยนรูปแบบการเล่นของทีมได้

จากมุมมองนี้ ตัวละครที่ควรได้ S หรือ A ไม่ได้แปลว่าต้องมีดาเมจสูงสุดเสมอไป แต่ต้องมีสกิลที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ เช่นการยึดเป้า, การยกเลิกคอมโบฝ่ายตรงข้าม หรือบัฟวงกว้างที่ลดลงของความเสี่ยงในการเล่น ในทางตรงกันข้าม ถ้าตัวละครมีบทบาทซ้ำกับตัวอื่นในทีมมาก ๆ และไม่ได้เพิ่มมิติการเล่นใหม่ ๆ ควรลดชั้นลงเป็น B–C

การปรับ Tier List ของฉันจะเปลี่ยนตามเมต้าและการอัปเดตเสมอ — บางตัวอาจพุ่งขึ้นหลังแพตช์ที่เพิ่มค่าสกิลหลัก หรือหล่นลงเมื่อตัวใหม่เข้ามาเติมช่องว่างที่มันเคยครอบครอง เรื่องนี้ทำให้การจัดลำดับเป็นงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ อย่างสนุก เพราะมองเห็นวิธีการใหม่ ๆ ในการจัดพาร์ที้และสร้างคอมโบที่ไม่เหมือนเดิม ซึ่งเป็นเหตุผลที่ฉันชอบลองเซ็ตต่าง ๆ บ่อย ๆ เพื่อจับว่าตัวไหนจริง ๆ แล้วเปลี่ยนเกมได้

แผนการจัดอันดับต้องเริ่มจากคำถามง่าย ๆ ว่าจะเอาตัวละครไปทำอะไรใน 'Solo Leveling: Arise' — เล่นลงดันฟาร์ม, สู้บอสแบบตายยาก, หรือประลอง PvP แบบน็อกเอาท์ ฉันชอบมองตัวละครเป็นชุดของตัววัดสามอย่าง: ผลลัพธ์สูงสุด (damage ceiling), ความเสถียร (consistency) และความยืดหยุ่นเชิงทีม (utility)

เมื่อตั้งเกณฑ์แบบนี้ การแบ่งชั้นทำได้ชัดเจนขึ้นสำหรับฉัน S-tier เป็นคนที่ทำหน้าที่เปลี่ยนจังหวะการต่อสู้ได้คนเดียว — ระเบิดดาเมจสูง, มีสกิลเปลี่ยนสถานะฝ่ายตรงข้าม หรือมีสกิลล็อคเป้าหมายที่แม่นยำ ตัวอย่างเช่น 'Sung Jinwoo' ในรูปแบบที่เป็นตัวทำดาเมจหลัก จะตกอยู่ในกลุ่มนี้ถ้ามีการเร่งสเตตัสและอัปสกิลครบ ส่วน A-tier คือคนที่ต้องการองค์ประกอบเสริม เช่นบัฟหรือของที่มีคูลดาวน์สั้น ๆ อย่างตัวที่สามารถให้บัฟโจมตีหรือลดเกราะได้ เช่นที่ฉันเห็นกับ 'Cha Hae-In' ในบางเซ็ต ขณะที่ B-tier ควรเป็นตัวที่เล่นได้ดีในสถานการณ์จำเพาะ หรือเป็นตัวรองทีม ส่วน C-tier ก็เป็นตัวที่ใช้เป็นตัวสำรองหรือเอาไว้ฟาร์มเฉย ๆ

การจัดลำดับจริง ๆ ฉันมักคำนึงถึงต้นทุนการอัปเกรดก่อนเสมอ — ถ้าตัวที่แรงมากแต่ต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล อาจจะไม่ได้คุ้มในทีมของฉันเมื่อเทียบกับตัวที่แรงรองลงมาซึ่งต้องการทรัพยากรน้อยกว่า นอกจากนี้อย่าลืมคอนเทนต์เฉพาะกิจ เช่นบอสที่ต้องการดีบัฟหรือการฟื้นพลัง: นั่นคือโอกาสให้ตัวระดับกลางบางตัวโลดแล่นได้ สุดท้ายแล้วการจัด Tier List สำหรับฉันเป็นเรื่องของสมดุลระหว่างความสามารถตัวคนเดียวและผลรวมของทีม—เลือกตัวที่เติมจุดอ่อนในพาร์ที้ของคุณมากกว่าที่จะยึดตามลิสต์คนอื่นอย่างเดียว

มุมมองแนวเพื่อนเล่น: ถ้าจะทำ Tier List แบบเร่งด่วนและให้เล่นสนุก ฉันแบ่งง่าย ๆ เป็นสี่กลุ่มและดูจากการใช้งานจริงในแรงก์ประจำวัน

- S: ตัวทำเกมที่ใส่เข้าไปแล้วรู้สึกต่างทันที — ถ้าทีมไม่มีคนทำดาเมจหลักหรือสลับสกิลได้ดี ต้องยกให้ตัวกลุ่มนี้
- A: ตัวที่คุ้มค่าอัปเกรด ใช้ได้หลากหลายแผน ไม่จำเป็นต้องล็อกเป้าหมายเสมอ
- B: ตัวที่เด่นเฉพาะกิจ เช่นดันที่ต้องเจาะป้องกันสูงหรือบอสที่มีเฟสเปลี่ยน
- C: ตัวรองหรือเอาไว้ฟาร์ม ลงได้แต่ไม่พาเรื่อง

ในชีวิตจริงฉันมักจะมองว่า 'Beru' เป็นตัวที่ทำหน้าที่พิเศษได้บนบางดันเพราะสกิลชุดของมันมีความพิเศษด้านการควบคุม ส่วน 'Thomas Andre' เหมาะกับคนที่ต้องการสไตล์บู๊หนัก ๆ และ 'Go Gun-Hee' เป็นตัวที่ใช้เติมช่องได้ดีเมื่อทีมขาดแนวหนา สิ่งที่สำคัญคืออย่าจัด Tier แยกจากโหมด — ตัวที่ S ใน PvE อาจเป็น B หรือ C ใน PvP ได้ อย่าลืมเปรียบเทียบคูลดาวน์, ระยะการออกสกิล และว่าตัวนั้นพึ่งพาอุปกรณ์ขั้นสูงมากแค่ไหนก่อนจะตัดสินใจเทเงินอัปเกรด