ความดีใจกับความเศร้าใจบางครั้งก็มาพร้อมกัน
เกาเทียนฉียกถุงน้ำขึ้นกรอกน้ำลงคอดับกระหายแล้วใช้หลังมือเช็ดริมฝีปากง่ายๆ หากเขารู้ว่าเด็กน้อย เอ่อ ไม่ใช่สินะ เด็กสาวคนนั้นมีระดูคงไม่พานางให้ติดตามเขาออกมาเช่นนี้ หากยังอยู่ที่สำนักคุ้มภัยฯ อย่างน้อยก็มีพี่สะใภ้ช่วยสอนนางเรื่องเหล่านี้ได้ เด็กหญิงที่เติบโตโดยไร้มารดานี่ช่างน่าสงสารนัก แต่ในขณะเดียวกัน ย่อมแสดงให้เห็นว่าร่างกายของนางฟื้นฟูได้ดี
แต่เดิมเกาเทียนฉีสนใจเรื่องสมุนไพรเป็นงานอดิเรก เขาช่วยงานด้านบัญชีในสำนักคุ้มภัย วรยุทธ์ของเขามิอาจเทียบพี่ใหญ่ได้ แต่ไม่นับว่าด้อยนัก ทว่าหากเป็นเรื่องการคิดคำนวณแล้ว พี่ใหญ่สู้เขามิได้ คิดถึงเรื่องนี้เขาก็อดหัวเราะไม่ได้ เป็นพี่น้องที่อายุห่างกันสิบปี แต่กลับเล่นซุกซนเหมือนอายุห่างกันแค่ไม่กี่ปี หลังจากภรรยาของเขาตายจากทั้งที่แต่งงานกันได้เพียงแค่ปีเศษ เขากลับมาทุ่มเทความสนใจในเรื่องสมุนไพรอีกครั้ง
บางที ถ้าเขาจริงจังมากกว่านี้ ภรรยาของเขา...นางอาจจะ... ด้วยเหตุนี้ เมื่อไต้ซือซูและพี่ใหญ่ พาเด็กหญิงตัวน้อยมาทำการรักษา
เขาจึงทุ่มเทแรงกายแรงใจ เพื่อช่วยนาง เขาได้แต่หวังว่านางจะดีขึ้นและดีขึ้น
เกาเทียนฉียกมือทุบไหล่ตัวเองไล่ความเมื่อยขบ แต่ก่อนเขาจูงมือเด็กหญิงออกมาเพราะไม่ต้องการให้เด็กคนอื่นล้อบาดแผลของนาง แต่นางกลับเข้าใจผิดคิดว่าเขาต้องการให้นางเป็นบ่าวรับใช้ข้างกาย ‘นายท่านรอง’ แม้เท้าเล็กๆ ของนางก้าวตามเขาไม่ทัน แต่ไม่เคยได้ยินเสียงบ่นหรือประท้วงใดๆ นางพยายามลากขาข้างที่เจ็บให้เดินเร็วขึ้น เป็นเขาที่รู้ตัวว่าตนเองเดินเร็วเกิน จึงต้องคอยจับมือน้อยๆ ของนางไว้ ยามว่างเขาสอนนางเขียนตัวอักษร อ่านหนังสือ ให้นางรู้จักสมุนไพรต่างๆ เขาไม่แน่ใจว่าที่นางทำเพราะเขาสั่งหรือเพราะนางชอบด้วยใจจริง
“ไม่รู้นังหนูจะเป็นอย่างไรบ้างนะ” เกาเทียนฉีบ่นพึมพำ แต่เด็กสาวคงคุ้นชินแล้ว เขาเป็นเช่นนี้ ขึ้นเขาเข้าป่าหาสมุนไพรเมื่อใด หากไม่มีคนติดตามก็จะใช้เวลานานนับสิบวัน บางคราวก็หายไปนานนับเดือน บริเวณนี้ยังอยู่ในความดูแลของสำนักคุ้มภัยฯ สวนสมุนไพรเป็นของเขา ชาวบ้านที่อยู่เชิงเขาต่างรู้กันดีว่าเสิ่นฉางซีเป็นคนของเขา ย่อมไม่มีใครกล้าทำอะไรนาง
เอาเถิด อย่างไรนางก็ต้องเติบโต อยู่คนเดียวเช่นนี้มิใช่ครั้งแรก อาจสุขสบายกว่าติดตามเขาขึ้นเขาหาสมุนไพรด้วยซ้ำ
บอกตัวเองเช่นนั้นแล้วก็ลุกขึ้นยืนบิดเอวไปมา ด้วยความไม่ระวัง กว่าจะรู้สึกตัวว่ามีตาข่ายผืนหนึ่งคลี่คลุมร่างของเขานั้น ร่างสูงโปร่งก็ถูกรวบมัดราวกับเป็นหมูป่าเสียแล้ว
“เฮ้ย!”
อุตส่าห์ชื่นชมตนเองว่ามีฝีมือยุทธ์เป็นรองแค่พี่ใหญ่ ไฉนจึงถูกจับง่ายดายเพียงนี้! กำลังตกตะลึงว่าตนเองตกอยู่ในตาข่ายนี้ได้อย่างไร พลันหางตาเห็นความเคลื่อนไหว แส้หนังสีดำตวัดรัดรอบเอวของเขาก่อนที่เจ้าของแส้จะมาถึงตัว
ผ้าไหมสีม่วงสดตัดกับสีสันของป่าเขา สตรีนางหนึ่งพลิ้วกายราวเหาะเหินมาหยุดเบื้องหน้า ใบหน้างามปรากฏรอยยิ้ม ทว่าเมื่อก้าวเข้ามาใกล้ แล้วยื่นหน้าจ้องมองชายหนุ่มที่ตะลึงงันอยู่ รอยยิ้มนั้นจางหายกลายเป็นบึ้งตึงไปทันที
“เจ้าเป็นใคร!”
“เจ้าเป็นใคร!”
เกาเทียนฉีได้สติก็รีบตะโกนไปด้วยประโยคเดียวกัน
“ข้าถามก่อน เจ้าตอบซิ” นางเงยหน้าขึ้นยกมือกอดอก ปรายตามองอย่างหยามเหยียดแล้วค่อยกวาดตามองไปรอบๆ เมื่อคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่เป้าหมายจึงเก็บแส้กลับคืน
“หายไปไหนนะ”
“นี่! สนใจข้าก่อน” เขาโวยวายเรียกหญิงสาว หงุดหงิดที่ถูกเมินเฉยใส่ “แล้วจับข้าไว้ทำไม”
“ข้าไม่ได้จะจับเจ้า” นางหันมาตอบแล้วเบ้ปากใส่ “คนที่ข้าตามหาเป็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ใบหน้าหล่อเหลา ไม่ใช่เจ้า!”
“นั่นปากเรอะ!”
วาจาร้ายกาจไม่สมกับใบหน้างดงามเลยสักนิด เกาเทียนฉีถึงกับเลือดลมเดือดพล่าน หยิบมีดสั้นออกมากรีดตาข่ายแล้วลุกขึ้นยืน เมื่อยืนเต็มความสูงแล้ว นางตัวเตี้ยกว่าเขาแค่ครึ่งศีรษะเท่านั้น เขากวาดตามองคนตรงหน้าอย่างไม่ใส่ใจมารยาท เสื้อผ้าเนื้อดีสีม่วงสดสวย เครื่องประดับเงินและหินสีถักเรียงร้อยงดงามเป็นสร้อยรอบเอว เขาอยู่ที่นี่มานานไม่เคยเห็นนางมาก่อน นางคงมิใช่คนแถบนี้และไม่น่าจะเป็นคนชนเผ่าในละแวกนี้ด้วย
หรือจะเป็นชาวยุทธ์
หญิงสาวตวัดสายตาจ้องมอง เพียงเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจที่เห็นตา-
ข่ายของตนถูกตัดออกอย่างง่ายดาย นางยกมือขึ้นกอดอกแล้วกวาดตามองขึ้นลงก่อนจะเบ้ปากใส่
“ท่าทางเหมือนบัณฑิตคงแก่เรียน มิรู้ว่าพอมีฝีมือบ้างเหมือนกัน แต่เจ้าไม่ใช่คนที่ข้าตามหา” นางย่นจมูกใส่ด้วยท่าทีรังเกียจ “จะไปไหนก็ไป อย่าให้ข้าเสียเวลาตามหาคน”
“นี่!” ปกติเขาเป็นคนสุภาพอยู่นะ เอ่อ...เท่าที่จำได้ก็นับได้ว่าสุภาพพอสมควร แต่กับสตรีประหลาดไร้กิริยาผู้นี้มันช่าง...
“อะไร? ข้ามิเอาเรื่องที่เจ้ามาขวางทางข้าตามหาสามีก็นับเป็นบุญของเจ้าแล้ว!” นางตวัดแส้ในมือเล่นไปมาหมายข่มขู่อีกฝ่าย
“เจ้าตามหาสามี! แต่เอาตาข่ายมาจับนี่นะ! มันใช้ได้ที่ไหนกัน!” เกาเทียนฉีตวาดอย่างลืมตัว พลันนึกถึงบุรุษโชคร้ายที่มีภรรยาเช่นนี้
“เจ้าจะไปรู้อะไร บุรุษผู้นั้นข้าหมายตาให้เขาเป็นสามีของข้า แต่เขาไม่ยอมรับ ซ้ำยังหนีข้าอีก หักหน้าข้าเช่นนี้ ข้าไม่หักคอก็นับเป็นบุญแล้ว!”
คราวนี้เป็นเกาเทียนฉีที่ผงะไป ตกลงนี่มันเรื่องอันใดกันแน่ สรุปว่าเป็นสามีแล้วหรือยังไม่ได้เป็นสามี แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับข้า!
“ท่านประมุข”
ท่านประมุข?
ชายหนุ่มมองคนกลุ่มหนึ่งที่กระโจนมายืนขนาบข้างหญิงสาว ดวงตาคมหรี่มองป้ายหยกที่ห้อยข้างเอว จำได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของพรรคเงาอสูร เขาผงะไปเล็กน้อย แต่เก็บซ่อนความรู้สึกของตนเองไว้ สำนักคุ้มภัยราชสีห์คำราม แม้ไม่ใช่สำนักคุ้มภัยอันดับหนึ่ง แต่ก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง คนที่ทำงานในสำนักคุ้มภัยมีหลากหลาย แต่ยึดมั่นในคุณธรรมไม่ยุ่งเกี่ยวกับพรรคมาร
“หายไปได้อย่างไร” หญิงสาวสบถหยาบคายหลายคำ “โดนพิษลับของพรรคเราเข้าไปแล้วแท้ๆ ไม่น่าจะมีเรี่ยวแรงหนีรอดข้าไปได้”
“ท่านประมุข เราออกนอกเส้นทางมานาน เกรงว่า...”