“ข้าไม่เลิกล้มความตั้งใจง่ายๆ แน่” นางตวัดแส้ในมือลงพื้นระบายอารมณ์ แต่ปลายแส้ถูกปลายเท้าของชายหนุ่ม ทำเอาอีกฝ่ายกระโดดหลบแทบไม่ทัน
“ช่างเถอะ คนผู้นั้นต้องพิษของข้าคงไปได้ไม่ไกล พวกเจ้าลองหาอีกสักรอบ ถ้าไม่เจอ เราก็มุ่งหน้าไปตามเป้าหมายเดิม”
“นี่เจ้า!”
“เจ้านี่ก็เกะกะสายตาข้าเสียจริง” หญิงสาวเก็บแส้แล้วเหยียดยิ้มมองด้วยสายตาเวทนา “เอาเถิด เห็นแก่ที่เจ้าเป็นปัญญาอ่อน ข้าจะไม่ถือสา หลีกทาง!”
“ปัญญาอ่อน?” ชายหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเบิกตากว้าง “มารดาเถอะ! เจ้าด่าข้าเรอะ!”
เกาเทียนฉีชี้นิ้วใส่อีกฝ่ายด้วยความโมโห ไม่คิดว่าจะถูกสตรีบอบบางคนหนึ่งด่าว่าเอาเช่นนี้ ด้วยความโมโหจึงพุ่งตัวไปหมายสั่งสอนอีกฝ่าย แต่หญิงสาวพลิ้วกายหลบหลีกได้ไม่ยากเย็น ซ้ำยังอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายรุกอย่างไร้ท่วงท่าจี้สกัดจุดอีกฝ่ายแล้วยกเท้าถีบร่างสูงโปร่งกลิ้งไปบนพื้น
“หญิงบ้า! เจ้ากล้า!”
“ถ้าไม่หุบปาก ข้าจี้จุดใบ้เจ้าแน่” นางใช้ปลายเท้าเขี่ยร่างที่แข็งทื่ออยู่บนพื้นดิน “ทำข้าเสียเวลา อยู่นิ่งๆ สักสองสามชั่วยามเถอะ! ว่าที่สามีของข้าไม่รู้ป่านนี้ไปถึงไหนแล้ว”
“นี่เจ้า!กลับมาก่อน!”
เกาเทียนฉีได้แต่มองแผ่นหลังของสตรีชุดสีม่วงสดกระโจนแผ่วหายวับราวล่องหน เห็นชัดว่าวิทยายุทธ์ของนางสูงกว่าเขาแน่ ชายหนุ่มได้แต่ร้องโอดครวญในอก ร่างกายที่แข็งทื่อนอนนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้
หวังว่าสวรรค์จะเมตตา ไม่ส่งตัวอะไรมาให้เขาต้องลำบากมากยิ่งไปกว่านี้เลย
เสียงเด็กวัยขวบเศษร้องไห้เริ่มสงบลง เด็กสาวอุ้มเด็กน้อยลูบหลังเบาๆ เมื่อมั่นใจว่าเด็กน้อยสงบลงแล้วจึงส่งคืนมารดาให้อุ้มเข้านอน
“ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ”
“พี่ชาย ท่านกล่าวหนักเกินไปแล้ว” เสิ่นฉางซีหัวเราะเบาๆ “ข้าเพียงทำตามที่เรียนรู้มาเจ้าค่ะ ลูกชายท่านร้องไห้งอแง อึดอัด พะอืดพะอม สงสัยว่ามีลมในท้องมากเกินไป ข้าจึงลองอุ้มเจ้าตัวน้อยมาแนบอก ให้คางเกยไหล่ แล้วลูบหลังเบาๆ เพื่อไล่ลม นวดบริเวณจุดกึ่งกลางของช่องท้อง หมุนวนขวาสอง
สามครั้งช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของลำไส้”
“นี่เป็นลูกคนแรกของข้า มารดาของข้าก็เสียไปนานแล้ว พวกเราต่างก็ไร้ความรู้ เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ยังต้องรบกวนเจ้าอีก”
เด็กสาวโบกไม้โบกมือไปมา “พี่สาวพี่ชายทั้งสองอย่าคิดมาก ข้าเองเพียงแค่ติดตามนายท่านรองจึงพอรู้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ หากเด็กน้อยเจ็บป่วยมากกว่านี้ ข้าไม่สามารถรักษาเขาได้”
“ถึงอย่างไรพวกข้าต้องขอบใจเจ้ามาก” หญิงสาวเอ่ยพลางเช็ดน้ำตาที่หางตาแล้วหันไปตบต้นแขนสามีเบาๆ “ท่านพี่ไปส่งแม่นางน้อยที่เรือนสมุนไพรของนายท่านรองเถิด”
“ได้ๆ ข้าก็ลืมไปเสียนี่” ตอนไปรับนางมาแทบจะแบกนางขึ้นหลังมาด้วยซ้ำ แต่พอลูกชายหายดีกลับลืมไปเสียได้
“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ” นางหัวเราะร่า “ข้าเดินในหมู่บ้านนี้ เข้าออกแทบทุกหลังคาแล้ว ระยะทางแค่นี้ข้าเดินกลับเองได้ พี่ชายอยู่ช่วยพี่สาวดูแลลูกเถิดเจ้าค่ะ”
“แต่ว่า...”
“อีกอย่าง ข้าอยากเดินเล่นด้วย พวกท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก”
“หากเป็นเช่นนั้น พวกข้าขอบใจเจ้าอีกครั้ง”
“พี่ชายพี่สาวเรียกข้าฉางซีเถิดเจ้าค่ะ”
“ฉางซี”
เด็กสาวยิ้มรับแล้วขอตัวกลับ สองสามีภรรยาเพิ่งย้ายมาอยู่ใหม่ ทำสวนสมุนไพรของนายท่านรอง เป็นคนที่ท่านหมอหวังข่ายแนะนำมา เสิ่นฉางซีก้าวเท้าออกมาช้าๆ แหงนหน้ามองท้องฟ้า นายท่านรองยังไม่กลับ นางไม่มีงานอื่นใดรออยู่ นางเผยรอยยิ้มซุกซนเดินลากขากะโผลกกะเผลก มุ่งหน้าไปยังสระน้ำบนเขาไม่ไกลนัก เพราะขาของนางไม่สามารถลงน้ำหนักได้เต็มที่ เวลาเดินจึงต้องลากขาเช่นนี้ แต่หากนางได้แหวกว่ายในสายน้ำ ยามเคลื่อนไหวนางจะไม่รู้สึกเจ็บ ตั้งแต่บาดแผลของนางหายดี ทิ้งไว้เพียงร่องรอยแผลเป็นและอาการปวดศีรษะเป็นระยะๆ นั้น นายท่านรองสั่งให้นางฝึกตีขาในน้ำ
เดิมทีเกาเทียนฉีหาบ่าวรับใช้หญิงมาสอนนางว่ายน้ำ แต่ไม่มีสตรีคน
ไหนว่ายน้ำเป็นสักคน เขาจึงต้องสอนนางว่ายน้ำด้วยตนเอง ตอนนั้นนางแค่สิบเอ็ดขวบ แต่ก็พอเข้าใจเรื่องชายหญิงมิควรใกล้ชิดกัน อีกฝ่ายเป็นถึง ‘นายท่านรอง’ แต่เกาเทียนฉีหาได้สนใจเรื่องเหล่านั้น อดทนสอนนางจนนางว่ายน้ำได้คล่องแคล่วดุจมัจฉาตัวน้อย กลายเป็นว่านางมักหลบมาว่ายน้ำคนเดียวบ่อยๆ
ประกายแดดแตะต้องผิวน้ำสะท้อนระยิบระยับ สายลมพัดผ่านพากิ่งไม้เสียดสีคล้ายบทเพลงแห่งป่าเขา นกน้อยโผบินไปมา ใบหน้าหวานระบายยิ้มแล้วเหลียวมองรอบข้าง เมื่อมั่นใจว่าไม่มีผู้อื่นอยู่บริเวณนี้แล้ว นางจึงถอดเสื้อผ้าเนื้อหยาบของตนเองออก เหลือเพียงเอี๊ยมตัวในและกางเกงชั้นในบางเบา ต้นขาขวายังมีรอยแผลเป็นหนานูน แม้จะจางจนกลายเป็นสีชมพูแล้วแต่ก็ยังเห็นชัด ดวงตาของเด็กสาวจ้องมองแล้วคิดถึงวันที่เห็นเลือดเปื้อนเปรอะเต็มชุดที่สวมอยู่ ได้ยินเพียงเสียงคนรอบข้างพูดขึ้น
‘กระดูกหัก’
‘โหดร้ายเกินไปแล้ว’
‘กลายเป็นแผลเป็นแน่ๆ’
มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ ปลายเท้าค่อยๆ ยื่นลงไปในน้ำ นางนั่งอยู่ครู่หนึ่งเพื่อให้ร่างกายปรับอุณหภูมิรับกับสายน้ำ ครู่ต่อมาจึงค่อยๆ เคลื่อนตัวลงไป คราวนั้นศีรษะของนางถูกฝ่ามือร้อนราวเหล็กนาบไฟบีบศีรษะ นางเจ็บปวดจนไม่คิดว่าจะมีชีวิตรอดมาถึงวันนี้ได้ ซ้ำยังถูกกระทืบอีกหลายครั้งจนกระอักโลหิต ฝ่ามือนั้นทำให้เลือดไหลย้อมดวงตานาง สิ่งตรงหน้าจึงพร่าเลือนด้วยน้ำตาและโลหิต ในความเจ็บปวดนั้น นางยังจดจำความรู้สึกยามถูกโอบอุ้มได้อย่างนี้ดี เวลานั้น...ชายคนนั้นอายุสิบสี่ใช่ไหมนะ อายุเพียงสิบสี่แต่ร่างกายแข็งแกร่งเหลือเกิน
ร่างบอบบางที่เริ่มมีส่วนหนานูนตามประสาเด็กสาว ดำผุดดำว่ายในสายน้ำอย่างสบายใจ เส้นผมยาวสยายคล้ายเส้นไหม นางอ้าปากเก็บกักอากาศแล้วกลั้นหายใจแล้วดำดิ่งในสายน้ำ เมื่ออยู่ในน้ำ นางสามารถเคลื่อนไหวได้อิสระ ไม่เจ็บขาข้างขวาเหมือนเวลาเดินที่ต้องลงน้ำหนักลงไป หากเวลาเดินนางไม่เจ็บปวดเหมือนว่ายน้ำเช่นนี้ก็ดีสินะ นางจะได้ไม่ต้องเดินลากขาให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะอีก
เสิ่นฉางซี เจ้ายังไม่ชินอีกหรือ?
“เจ้าอย่าได้เข้าใจผิด ข้าไม่ได้คิดมีอนุหรือรับหญิงใดเข้ามาอีก” เขาสารภาพเสียงเบา “เจ้าก็รู้ ข้าไม่คุ้นเคยกับสตรี เป็นข้าต่างหากที่เกรงจะเอาใจใส่เจ้าไม่เพียงพอ”“ท่านพี่ใส่ใจข้าดียิ่ง” เพราะรู้ว่าอยู่กับเพียงลำพัง นางจึงยื่นมือไปไล้เส้นผมของเขาเบาๆ “หากท่านพี่ไม่ใส่ใจข้า ในครรภ์ของข้าจะมีเด็กอยู่ได้อย่างไร”“เจ้าพูดให้ข้าสบายใจอย่างนั้นหรือ?” เขาถอนหายใจเบาๆ “ข้าใช้ชีวิตอยู่กับทหาร อยู่ในสนามรบ ไม่รู้ว่าควรดูแลเจ้าอย่างไร”“ท่านพี่ดูแลข้าดียิ่งจริงๆ” นางหัวเราะเบาๆ ไม่คิดว่าเขาจะกังวลกับเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ “เมื่อครั้งที่ตั้งครรภ์หยางหยาง ข้าอยู่เพียงลำพัง แต่ครั้งนี้มีท่านพี่อยู่ด้วย กลางดึกข้าอยากถ่ายเบา ท่านพี่ก็ช่วยประคองข้าไม่เคยแสดงท่าทีรังเกียจหรือรำคาญ มือเท้าของข้าก็เป็นท่านที่คอยบีบนวดอย่างไม่สนใจว่าผู้อื่นจะมองท่านพี่เป็นคนเช่นไร”“เรื่องเล็กน้อยทั้งนั้น” เขาทำหน้ายุ่ง เขาหาได้ใส่ใจว่าผู้ใดจะคิดกับเขาเช่นไร นางอุ้มท้องลูกของเขา เขาย่อมต้องดูแลนาง มีอะไรผิดกัน ฮึ!“เล็กน้อยสำหรับท่านพี่แต่สำคัญมากสำหรับข้า” นางเชื่อแล้วว่าเขาไม่คุ้นเคยกับสตรีจริงๆ “มิใช่บุรุษทุกคนจะยอมทำเ
“เอาไปศึกษาดู” สวินเย่ว์ผลักหนังสือเล่มนั้นออก แต่ฝูหรงยัดใส่อกเสื้ออีกฝ่ายซ้ำยังจับสาบเสื้อให้อย่างดีราวกับไม่ได้ซุกซ่อนสิ่งใดไว้ “เรื่องฉลองวันเกิดนาง ข้าย่อมต้องมีส่วนร่วม อย่างไรนางก็เป็นผู้มีคุณของข้าและฝูเจี๋ย” “รู้แล้ว” “เจ้ามาปรึกษาแค่นี้รึ” “อืม” “เช่นนั้นก็ดื่มสุราเป็นเพื่อนข้าสักกาสิ” “ไม่ ข้ามีธุระ” “อ้าว” “ขอตัว” “เฮ้ย!” ฮ่องเต้ฝูหรงได้แต่อ้าปากค้างมองแผ่นหลังของแม่ทัพสวินเย่ว์เดินจ้ำออกไปอย่างรวดเร็วนี่เพราะเป็นสหายใช่ไหม? ถึงได้ทำตัวไร้มารยาทเช่นนี้หลายวันมานี้ เสิ่นฉางซีเห็นท่าทางแปลกๆ ของสวินเย่ว์ จะเรียกว่าแปลกก็ไม่เชิงนัก เพียงแต่มีบางอย่างที่นางรู้สึกว่าเขาปิดบังนางอยู่ หญิงสาวหยุดหน้าห้องหนังสือ นางลังเลอยู่ครู่ก่อนตัดสินใจผลักบานประตูเข้าไป สวินเย่ว์เงยหน้าขึ้นหมายจะตำหนิคนที่เข้ามา แต่พอเห็นว่าเป็นเสิ่นฉางซี เขารีบลุกขึ้นเข้าไปประคองภรรยารัก เป็นเพราะเขาออกคำสั่งไว้ หากนางมาหาเขา สามารถเข้ามาได้ไม่ต้องให้คนรายงาน
“จิ้นฝานเก่งมากใช่ไหมถึงได้เป็นองครักษ์ของอันอัน” “เจ้าอยากเป็นองครักษ์?” “ข้าอยากปกป้องอันอัน” สวินเย่ว์ตักน้ำราดตัวลูกชาย หยิบผ้ามาซับน้ำให้ ตอนเกิดไม่ได้เลี้ยงดู มาชดเชยเอาตอนนี้แทนก็แล้วกัน “ท่านพ่อ!” เมื่อไม่ได้รับคำตอบ เด็กชายก็ขึ้นเสียง “พ่อเจ้าเก่งกว่าเจ้าองครักษ์นั่นเยอะ” เขาหัวเราะในลำคอ “ไม่ต้องห่วง ข้าจะสอนให้เจ้าแข็งแกร่งกว่าจิ้นฝาน ว่าแต่เจ้าจะทนไหวเรอะ” “ข้าฝึกท่านั่งม้าตั้งแต่ห้าขวบแล้ว” หยางหยางคุยโต เมื่อครั้งที่ติดตามมารดาไปพรรคเงาอสูร ระหว่างมารดาปรุงอาหารอยู่นั้น เขาเล่นสนุกกับคนในพรรคมาร ได้ฝึกท่าพื้นฐานต่างๆ มาบ้าง “เจ้าไม่ค่อยเชื่อฟังคำสั่งข้านี่” เขาจัดการชำระล้างตนเองให้หมดกลิ่นเหงื่อ แต่กระนั้นยังได้ยินเสียงลูกชายบ่นพึมพำ “ท่านยังไม่ค่อยเรียกข้าว่าลูกเลยนี่” “ก็” จะบอกว่าลืมก็กลัวลูกน้อยใจ “ลูกผู้ชายเขาพูดคุยกันเช่นนี้แหละ” “ก็ได้ ข้าเชื่อท่านก็ได้” “หยาง” “อืม” คนเป็นลูกขานรับห้วนๆ เหมือนกับบิดาที่ชอบเ
“เรื่องเอาใจสตรี ถามเสด็จพ่อของข้าก็ได้” อันอันแย้มยิ้มทำตาวิบวับไร้เดียงสา “ฮ่องเต้มีสนมมากมาย เมื่อถึงวันเกิดของผู้ใดก็จัดสรรของกำนัลให้กงกงนำไปมอบให้ทุกครั้ง” ‘ต้องปรึกษาเรื่องนี้กับคนเช่นนั้นนะรึ? จะได้เรื่องหรือไม่เล่า’ “ไปหาแม่บุญธรรมกันเถอะ ข้าหิวมากเลยพี่หยางหยาง” “อืม”หยางหยางพยักหน้ารับ หันไปสบตากับบิดาอีกครั้ง เห็นเพียงอีกฝ่ายโบกมือไล่ก็เข้าใจความหมาย เขาหันหลังย่อตัวลงให้อันอันปีนขึ้นหลังอย่างคุ้นเคย เด็กน้อยก็ทำตัวเป็นลูกลิงเกาะทันที สวินเย่ว์ได้แต่นวดขมับตนเองไม่รู้จะเตือนลูกชายอย่างไรไม่ให้ตามใจองค์ชายน้อยนัก แต่ช่างเถอะ ประเดี๋ยวมี ‘น้อง’ ของตัวเองแล้วก็คงเลิกใส่ใจองค์ชายฝูเจี๋ยไปเอง “ช่วงนี้ในวังเป็นอย่างไร” สวินเย่ว์เอ่ยถามองครักษ์ที่กำลังจะเดินตามองค์ชายฝูเจี๋ยไป จิ้นฝานชะงักเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น “ในวังเรียบร้อยดีขอรับ” “ดี” เขาพยักหน้ารับ “ดูแลเจ้าเด็กนั่นดีๆ อย่าไปตามใจนัก” “ขอรับ” จิ้นฝานได้แต่ลอบโอดครวญในอก เขาเป็นองครักษ์ไม่ต่างจากคนรับใช้ จะมีสิทธิ์อะไรไปห้ามเจ้านา
สวินเย่ว์เลิกคิ้วรอถ้อยคำจากริมฝีปากสีชาดของหญิงสาว ไม่น่าเชื่อเลยว่า หัวใจดุจน้ำแข็งของเขาจะถูกหลอมละลายอยู่ในอุ้งมือของนางได้ “ข้าชอบท่านที่สุด” นางยื่นริมฝีปากไปประกบริมฝีปากที่เจือรสสุราชวนมึนเมา วงแขนแข็งแกร่งรวบร่างนางเข้ามากอดแนบแน่น เขาจูบไล้กลีบปากของนางช้าๆ แล้วแทรกเรียวลิ้นเกี่ยวกระหวัดด้วยเสน่หาลึกล้ำ ทำเอาร่างของนางอ่อนระทวยจนต้องเอนกายเข้าหา เขาจึงยอมละริมฝีปากแล้วเลื่อนมาประทับจูบที่รอยแผลเป็นของนางอย่างทะนุถนอม พลางกระซิบเสียงพร่า “ข้าชอบเจ้ามากกว่า” ‘แต่ข้ารักท่าน’ เสิ่นฉางซีไม่ได้พูดในสิ่งที่ใจคิด แต่นางเชื่อว่าเขารับรู้เสียงในหัวใจของนางได้ บางครั้งการกระทำสำคัญกว่าคำพูด เห็นทีว่าประโยคนี้จะใช้กับบุรุษตัวโตเอาแต่ใจได้ดี สวินเย่ว์ก้มมองหญิงสาวที่ช้อนตาขึ้นมองเขาพอดี สิบสามปีก่อน เขาถูกดวงตาสุกใสของนางตราตรึงจนยากจะลืมเลือน หนึ่งครั้งที่เขาช่วยชีวิตนาง หนึ่งครั้งที่นางช่วยชีวิตเขา ชะตานำพาใจสองดวงให้พานพบและผูกพัน เกิดสายใยโยงหัวใจสองดวง แม้ต้องไกลห่างก็นำพาให้หวนคืน ลมหายใจของนาง ไออุ่นจากกายของเขา ทุกส
“ไมต้องเขินอายไป เรื่องแบบนี้ข้ารู้ว่าพูดยาก แต่ข้าเป็นคนคุยง่าย เจ้าอยากแต่งงานใหญ่โตกว่าท่านแม่ทัพสวินเย่ว์ ข้าก็จัดการให้เจ้าได้”“ใครบอกว่าข้าจะแต่งกับเจ้า”“ก็ข้าพูดออกไปเมื่อครู่ไง” นางทำตาปริบๆ “แต่งกับข้าเถอะน่า ข้าอยากได้ยินคนบ่นข้างหูแบบนี้ทุกวัน”“นี่เจ้าชอบข้าเรอะ!” เขาควรรู้สึกยินดีใช่ไหมที่สตรีประหลาดอย่างซูหลี่น่ามาชอบเขา“อืม” นางพยักหน้า “อยู่กับเจ้าก็เหมือนเลี้ยงนกแก้วให้มันส่งเสียงเจื้อยแจ้วข้างหู”“เจ้ากล้าเปรียบเทียบข้ากับนกแก้วเรอะ!”“อืม” นางพยักหน้าขึ้นลง “ไม่ต้องอาย ข้าจะไปสู่ขอเจ้าเอง”ซูหลี่น่านั่งลงบนตักของเกาเทียนฉี สะโพกกลมกลึงบดเบียดเย้ายวนจนส่วนที่หลับใหลตื่นฟื้น นางยิ้มเจ้าเล่ห์ในขณะที่เกาเทียนฉีได้แต่หลับตาโอดครวญอยู่ในอกที่ไม่สามารถบังคับ ‘ส่วนนั้น’ ของร่างกายได้เลยเอาเถอะ! บางทีชีวิตของเขาอาจรอผู้หญิงบ้าๆ อย่างนางอยู่ก็เป็นได้.เด็กชายวัยเจ็ดขวบยืนตาโตมองมารดาของตนในชุดสีแดงงดงามจับตา เสิ่นฉางซีอยู่ในชุดเจ้าสาว แม้มีผ้าคลุมหน้าอยู่ก็รับรู้ได้ว่าถูกลูกชายจ้องมองจนรู้สึกเขินอาย “เลิกมองแม่ได้แล้ว” “ท่านแม่สวยมาก” หยางหยางพูดขึ