“เจ้าเป็นถึงบุตรชายคนโต เป็นแม่ทัพ เจ้าจะออกไปไหนมาไหนก็ไม่เห็นจะ...โอ๊ย!”
ยังไม่ทันพูดจบประโยคดี ใบหน้าหล่อเหลาขององค์รัชทายาทที่อยู่ในชุดขันทีก็ถูกหมัดของแม่ทัพหมาดๆ ซัดเข้าใส่เต็มเบ้าตา! ฝูหรงไม่ทันตั้งตัวและหลบไม่ทันจึงรับหมัดเข้าไปเต็มๆ ซ้ำยังหงายหลังร่วงลงจากต้นไม้
โชคดีที่ไม่สูงนัก
สวินเย่ว์ได้ยินเสียงก่นด่าพลางฉีกยิ้ม
แค่นี้เขาก็ออกจากจวนได้อย่างสบายใจ
….
“เมื่อครู่ท่านลุงว่าอะไรนะเจ้าคะ”
เด็กสาวอ้าปากค้าง นางนั่งฟังท่านลุงวัยหกสิบที่เพิ่งกลับมาจากในเมืองบอกเล่าเรื่องแม่ทัพสวินเย่ว์
“ข้าฟังเขาเล่ากันมา แต่น่าจะเป็นเรื่องจริง ท่านแม่ทัพสวินเย่ว์ชกหน้ารัชทายาท แต่ฮ่องเต้ทรงเมตตาไม่ลงโทษสถานหนักเพียงแค่ให้ท่านแม่ทัพไปประจำที่หน้าด่านแทน”
“เหตุใดท่านแม่ทัพทำเช่นนั้นนะ”
เสิ่นฉางซีโคลงศีรษะไปมา เพิ่งได้กลับเข้าจวนแท้ๆ เหตุใดถึงได้ทำร้ายองค์รัชทายาทจนต้องถูกขับออกมาอีกเล่า นางได้แต่งุนงงไม่อาจหาคำตอบให้ตนเองได้เพราะยามนี้นางไม่ได้อยู่ในสำนักคุ้มภัยราชสีห์คำราม โดยปกตินายท่านใหญ่จะพูดอยู่เสมอเรื่องทำหูตาให้กว้างไกล ข่าวสารทั้งในรั้ววังหรือแม้แต่ในยุทธภพล้วนต้องนำมาประมวลคัดกรองก่อนจะเชื่อว่าจริงหรือเท็จ ด้วยเหตุนี้นางจึงรับรู้ข่าวคราวของสวินเย่ว์เป็นระยะๆ ผิดที่ครั้งนี้นางอยู่ที่เรือนสมุนไพรมิใช่ที่สำนักคุ้มภัย
“ได้ยินว่าใช้ชีวิตนอกจวนมานาน อาจขาดการอบรมที่ดีก็เป็นได้” เสียงหญิงวัยเดียวกับชายวัยหกสิบเอ่ยพลางถือถุงเมล็ดถั่วแดงเดินเข้ามาหา เสิ่นฉางซีรีบลุกขึ้นไปรับทันที นางมาขอปันถั่วแดงนำไปทำอาหาร
“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ นี่เงินเล็กน้อย” นางยื่นเงินให้เป็นการตอบแทนถั่วแดงที่ได้รับมา แต่อีกฝ่ายโบกมือห้ามไม่ยอมรับ
“นายท่านรองดีกับพวกเรามาก ถั่วแดงเล็กน้อย เจ้าเอาไปเถิด”
“ใช่ๆ ตอนที่ข้าปวดข้อ ปวดเข่า ก็ได้นายท่านรองจัดสมุนไพรให้ จะว่าไปคนในสำนักคุ้มภัยราชสีห์คำรามดีกับชาวบ้านแถบนี้เป็นอันมาก”
“แต่นายท่านรองมิให้ข้ารับของโดยไม่จ่ายค่าตอบแทน” เสิ่นฉางซีขมวดคิ้ว
“เช่นนั้นบอกว่าพวกเราฝากมาให้ก็ได้” หญิงวัยกลางคนเอ่ยยิ้มๆ แล้วพิศมองใบหน้าของเด็กสาว นางคุ้นชินกับเด็กคนนี้มานาน หากไม่มีรอยแผลเป็นที่หน้าผากและท่าเดินลากเท้าแล้วละก็... นางก็นับว่าเป็นเด็กสาวที่น่ารักคนหนึ่งทีเดียว
เมื่อเห็นว่าทั้งสองยืนยันไม่รับเงินค่าเมล็ดถั่วแดง นางจึงได้แต่กล่าวขอบคุณซ้ำๆ หลายครั้ง แล้วอุ้มถุงผ้าใส่เมล็ดถั่วแดงกลับที่พัก
สิบวันก่อน นางกับนายท่านรองเกาเทียนฉีเดินทางมาที่เรือนสมุนไพรซึ่งอยู่ห่างจากสำนักคุ้มภัยฯ ประมาณสิบลี้ บริเวณนี้เป็นเชิงเขามีชาวบ้านอยู่ราวๆ ยี่สิบหลังคาเรือน ใช้ชีวิตเรียบง่าย เกาเทียนฉีสนใจเรื่องสมุนไพรมาก แต่บริเวณสำนักคุ้มภัยไม่เหมาะกับการเพาะปลูกจึงมาทำที่บริเวณเชิงเขาแห่งนี้ นอกจากเรื่องพืชพันธุ์สมุนไพรต่างๆ ยังสามารถเข้าไปค้นหาสมุนไพรหายากได้ด้วย เกาเทียนฉีจึงสร้างเรือนขนาดย่อมสำหรับการหลับนอนไว้ที่นี่ มาแต่ละคราวอยู่นานหลายวันหรือบางครั้งก็นานนับเดือน หากไม่มีเรื่องที่สำนักคุ้มภัยก็จะอยู่ที่เรือนสมุนไพรแห่งนี้
เสิ่นฉางซีเดินกลับมาเรือนสมุนไพรของเกาเทียนฉีแล้วจัดการแช่เมล็ดถั่วแดง ตั้งแต่อาการบาดเจ็บของนางเริ่มหายดี นายท่านรองจูงมือนางออกจากสำนักคุ้มภัยมาที่นี่ ในสำนักคุ้มภัยเลี้ยงเด็กกำพร้าและเด็กยากจนที่พอจะมีฝีมือดีไว้หลายคน แน่นอนว่ามีบางคนที่ล้อใบหน้าที่มีแผลเป็นและท่าเดินลากเท้าของนาง นายท่านรองไม่อยากดุด่าเด็กเหล่านั้นจึงเลือกจูงมือนางไปแปลงสมุนไพรแทน หลายปีมานี้นางจึงเดินตามแผ่นหลังของเกาเทียนฉี ทั้งขึ้นเขาเข้าป่าหาสมุนไพรหรืออยู่ที่เรือนสมุนไพรแห่งนี้ เพียงแต่ครั้งนี้นางไม่ได้ติดตามไปด้วย เพราะ...
นางมีระดู
เรื่องนี้ทำเอาเกาเทียนฉีถึงกับทำหน้าไม่ถูก ประหลาดใจ ตื่นเต้น ตื่นตระหนกและดีใจ
สิบวันก่อน เสิ่นฉางซีมาถึงเรือนสมุนไพร นางติดตามเกาเทียนฉีเสมือนบ่าวรับใช้ คอยจัดการเรื่องต่างๆ แต่ในวันนั้นนางมีอาการปวดท้องน้อย นายท่านรองตรวจอาการแล้วขมวดคิ้ว เขารู้เรื่องสมุนไพรแต่ไม่เชี่ยวชาญเรื่องการวินิจฉัยโรค พลันนางมีเลือดออกสร้างความแตกตื่น ประจวบกับท่านป้าบ้านใกล้ๆ ได้ยินว่านายท่านรองมาจึงนำผักผลไม้มาให้ ท่านป้ามาได้จังหวะพอดี เมื่อรู้ว่าเสิ่นฉางซีเป็นอะไรก็ได้แต่ยิ้มน้อยๆ แล้วจูงมือเด็กสาวเข้าไปในห้อง สั่งสอนเรื่องที่สตรีควรรู้ พลางมองเด็กหญิงด้วยสายตาเวทนา ‘เด็กหญิงไร้มารดา’ จึงไม่มีใครแนะนำนางได้ว่าควรจัดการดูแลตนเองอย่างไร
เสิ่นฉางซีรู้ว่าการมีรอบเดือนคืออะไร แต่นางไม่คิดว่าตนเองที่รับรู้มาตลอดว่าไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้จะมีรอบเดือน ก่อนหน้านี้นางเคยมีเลือดออกมาบ้างแต่เล็กน้อยเท่านั้น จึงไม่คิดว่าจะเรียกว่าการมีรอบเดือน แต่ครั้งนี้นางมีเลือดออกมามากอยู่สามวัน เกาเทียนฉีจึงไม่ได้ให้นางติดตามขึ้นเขาหาสมุนไพร ให้นางได้พักผ่อนอยู่แต่ในเรือนสมุนไพร
เลือดรอบเดือนของนางหมดไปเจ็ดแปดวันแล้ว นางไม่รู้จะทำอะไรจึงได้แต่อ่านตำราและฝึกคัดอักษรอยู่ที่เรือนสมุนไพร นายท่านรองให้คนสร้างห้องเล็กให้นางอยู่เป็นการส่วนตัว โดยปกตินางดูแลเรื่องทั่วไปของนายท่านรองรวมถึงอาหารการกิน หากเมื่อได้สมุนไพรชั้นดีมา จึงช่วยคัดแยกตามแต่ที่นาย
ท่านรองสั่งและสอน
“ไม่รู้นายท่านรองจะกลับเมื่อไหร่” เสิ่นฉางซีได้แต่โคลงศีรษะไปมา มองดูเมล็ดถั่วแดง ในตำราว่าไว้ว่าถั่วแดงช่วยบำรุงเลือดและบำบัดอาการมีรอบเดือนไม่ปกติของสตรี นางอยู่ว่างๆ จึงเดินไปขอซื้อเมล็ดถั่วแดง แต่ไม่คิดว่าจะได้มาโดยไม่ต้องจ่ายเงินเช่นนี้
ขณะที่นางกำลังคิดว่าจะนำถั่วแดงมาปรุงเป็นอาหารชนิดไหนดีอยู่นั้น นางเผลอคิดถึงเรื่องที่ได้ยินมา ข่าวลือจากเมืองหลวงกว่าจะมาถึงชนบทอย่างนี้ก็ผ่านมาครึ่งเดือนแล้วกระมัง
‘สวินเย่ว์’ เขากำลังทำอะไรอยู่นะ.
“เจ้าอย่าได้เข้าใจผิด ข้าไม่ได้คิดมีอนุหรือรับหญิงใดเข้ามาอีก” เขาสารภาพเสียงเบา “เจ้าก็รู้ ข้าไม่คุ้นเคยกับสตรี เป็นข้าต่างหากที่เกรงจะเอาใจใส่เจ้าไม่เพียงพอ”“ท่านพี่ใส่ใจข้าดียิ่ง” เพราะรู้ว่าอยู่กับเพียงลำพัง นางจึงยื่นมือไปไล้เส้นผมของเขาเบาๆ “หากท่านพี่ไม่ใส่ใจข้า ในครรภ์ของข้าจะมีเด็กอยู่ได้อย่างไร”“เจ้าพูดให้ข้าสบายใจอย่างนั้นหรือ?” เขาถอนหายใจเบาๆ “ข้าใช้ชีวิตอยู่กับทหาร อยู่ในสนามรบ ไม่รู้ว่าควรดูแลเจ้าอย่างไร”“ท่านพี่ดูแลข้าดียิ่งจริงๆ” นางหัวเราะเบาๆ ไม่คิดว่าเขาจะกังวลกับเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ “เมื่อครั้งที่ตั้งครรภ์หยางหยาง ข้าอยู่เพียงลำพัง แต่ครั้งนี้มีท่านพี่อยู่ด้วย กลางดึกข้าอยากถ่ายเบา ท่านพี่ก็ช่วยประคองข้าไม่เคยแสดงท่าทีรังเกียจหรือรำคาญ มือเท้าของข้าก็เป็นท่านที่คอยบีบนวดอย่างไม่สนใจว่าผู้อื่นจะมองท่านพี่เป็นคนเช่นไร”“เรื่องเล็กน้อยทั้งนั้น” เขาทำหน้ายุ่ง เขาหาได้ใส่ใจว่าผู้ใดจะคิดกับเขาเช่นไร นางอุ้มท้องลูกของเขา เขาย่อมต้องดูแลนาง มีอะไรผิดกัน ฮึ!“เล็กน้อยสำหรับท่านพี่แต่สำคัญมากสำหรับข้า” นางเชื่อแล้วว่าเขาไม่คุ้นเคยกับสตรีจริงๆ “มิใช่บุรุษทุกคนจะยอมทำเ
“เอาไปศึกษาดู” สวินเย่ว์ผลักหนังสือเล่มนั้นออก แต่ฝูหรงยัดใส่อกเสื้ออีกฝ่ายซ้ำยังจับสาบเสื้อให้อย่างดีราวกับไม่ได้ซุกซ่อนสิ่งใดไว้ “เรื่องฉลองวันเกิดนาง ข้าย่อมต้องมีส่วนร่วม อย่างไรนางก็เป็นผู้มีคุณของข้าและฝูเจี๋ย” “รู้แล้ว” “เจ้ามาปรึกษาแค่นี้รึ” “อืม” “เช่นนั้นก็ดื่มสุราเป็นเพื่อนข้าสักกาสิ” “ไม่ ข้ามีธุระ” “อ้าว” “ขอตัว” “เฮ้ย!” ฮ่องเต้ฝูหรงได้แต่อ้าปากค้างมองแผ่นหลังของแม่ทัพสวินเย่ว์เดินจ้ำออกไปอย่างรวดเร็วนี่เพราะเป็นสหายใช่ไหม? ถึงได้ทำตัวไร้มารยาทเช่นนี้หลายวันมานี้ เสิ่นฉางซีเห็นท่าทางแปลกๆ ของสวินเย่ว์ จะเรียกว่าแปลกก็ไม่เชิงนัก เพียงแต่มีบางอย่างที่นางรู้สึกว่าเขาปิดบังนางอยู่ หญิงสาวหยุดหน้าห้องหนังสือ นางลังเลอยู่ครู่ก่อนตัดสินใจผลักบานประตูเข้าไป สวินเย่ว์เงยหน้าขึ้นหมายจะตำหนิคนที่เข้ามา แต่พอเห็นว่าเป็นเสิ่นฉางซี เขารีบลุกขึ้นเข้าไปประคองภรรยารัก เป็นเพราะเขาออกคำสั่งไว้ หากนางมาหาเขา สามารถเข้ามาได้ไม่ต้องให้คนรายงาน
“จิ้นฝานเก่งมากใช่ไหมถึงได้เป็นองครักษ์ของอันอัน” “เจ้าอยากเป็นองครักษ์?” “ข้าอยากปกป้องอันอัน” สวินเย่ว์ตักน้ำราดตัวลูกชาย หยิบผ้ามาซับน้ำให้ ตอนเกิดไม่ได้เลี้ยงดู มาชดเชยเอาตอนนี้แทนก็แล้วกัน “ท่านพ่อ!” เมื่อไม่ได้รับคำตอบ เด็กชายก็ขึ้นเสียง “พ่อเจ้าเก่งกว่าเจ้าองครักษ์นั่นเยอะ” เขาหัวเราะในลำคอ “ไม่ต้องห่วง ข้าจะสอนให้เจ้าแข็งแกร่งกว่าจิ้นฝาน ว่าแต่เจ้าจะทนไหวเรอะ” “ข้าฝึกท่านั่งม้าตั้งแต่ห้าขวบแล้ว” หยางหยางคุยโต เมื่อครั้งที่ติดตามมารดาไปพรรคเงาอสูร ระหว่างมารดาปรุงอาหารอยู่นั้น เขาเล่นสนุกกับคนในพรรคมาร ได้ฝึกท่าพื้นฐานต่างๆ มาบ้าง “เจ้าไม่ค่อยเชื่อฟังคำสั่งข้านี่” เขาจัดการชำระล้างตนเองให้หมดกลิ่นเหงื่อ แต่กระนั้นยังได้ยินเสียงลูกชายบ่นพึมพำ “ท่านยังไม่ค่อยเรียกข้าว่าลูกเลยนี่” “ก็” จะบอกว่าลืมก็กลัวลูกน้อยใจ “ลูกผู้ชายเขาพูดคุยกันเช่นนี้แหละ” “ก็ได้ ข้าเชื่อท่านก็ได้” “หยาง” “อืม” คนเป็นลูกขานรับห้วนๆ เหมือนกับบิดาที่ชอบเ
“เรื่องเอาใจสตรี ถามเสด็จพ่อของข้าก็ได้” อันอันแย้มยิ้มทำตาวิบวับไร้เดียงสา “ฮ่องเต้มีสนมมากมาย เมื่อถึงวันเกิดของผู้ใดก็จัดสรรของกำนัลให้กงกงนำไปมอบให้ทุกครั้ง” ‘ต้องปรึกษาเรื่องนี้กับคนเช่นนั้นนะรึ? จะได้เรื่องหรือไม่เล่า’ “ไปหาแม่บุญธรรมกันเถอะ ข้าหิวมากเลยพี่หยางหยาง” “อืม”หยางหยางพยักหน้ารับ หันไปสบตากับบิดาอีกครั้ง เห็นเพียงอีกฝ่ายโบกมือไล่ก็เข้าใจความหมาย เขาหันหลังย่อตัวลงให้อันอันปีนขึ้นหลังอย่างคุ้นเคย เด็กน้อยก็ทำตัวเป็นลูกลิงเกาะทันที สวินเย่ว์ได้แต่นวดขมับตนเองไม่รู้จะเตือนลูกชายอย่างไรไม่ให้ตามใจองค์ชายน้อยนัก แต่ช่างเถอะ ประเดี๋ยวมี ‘น้อง’ ของตัวเองแล้วก็คงเลิกใส่ใจองค์ชายฝูเจี๋ยไปเอง “ช่วงนี้ในวังเป็นอย่างไร” สวินเย่ว์เอ่ยถามองครักษ์ที่กำลังจะเดินตามองค์ชายฝูเจี๋ยไป จิ้นฝานชะงักเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น “ในวังเรียบร้อยดีขอรับ” “ดี” เขาพยักหน้ารับ “ดูแลเจ้าเด็กนั่นดีๆ อย่าไปตามใจนัก” “ขอรับ” จิ้นฝานได้แต่ลอบโอดครวญในอก เขาเป็นองครักษ์ไม่ต่างจากคนรับใช้ จะมีสิทธิ์อะไรไปห้ามเจ้านา
สวินเย่ว์เลิกคิ้วรอถ้อยคำจากริมฝีปากสีชาดของหญิงสาว ไม่น่าเชื่อเลยว่า หัวใจดุจน้ำแข็งของเขาจะถูกหลอมละลายอยู่ในอุ้งมือของนางได้ “ข้าชอบท่านที่สุด” นางยื่นริมฝีปากไปประกบริมฝีปากที่เจือรสสุราชวนมึนเมา วงแขนแข็งแกร่งรวบร่างนางเข้ามากอดแนบแน่น เขาจูบไล้กลีบปากของนางช้าๆ แล้วแทรกเรียวลิ้นเกี่ยวกระหวัดด้วยเสน่หาลึกล้ำ ทำเอาร่างของนางอ่อนระทวยจนต้องเอนกายเข้าหา เขาจึงยอมละริมฝีปากแล้วเลื่อนมาประทับจูบที่รอยแผลเป็นของนางอย่างทะนุถนอม พลางกระซิบเสียงพร่า “ข้าชอบเจ้ามากกว่า” ‘แต่ข้ารักท่าน’ เสิ่นฉางซีไม่ได้พูดในสิ่งที่ใจคิด แต่นางเชื่อว่าเขารับรู้เสียงในหัวใจของนางได้ บางครั้งการกระทำสำคัญกว่าคำพูด เห็นทีว่าประโยคนี้จะใช้กับบุรุษตัวโตเอาแต่ใจได้ดี สวินเย่ว์ก้มมองหญิงสาวที่ช้อนตาขึ้นมองเขาพอดี สิบสามปีก่อน เขาถูกดวงตาสุกใสของนางตราตรึงจนยากจะลืมเลือน หนึ่งครั้งที่เขาช่วยชีวิตนาง หนึ่งครั้งที่นางช่วยชีวิตเขา ชะตานำพาใจสองดวงให้พานพบและผูกพัน เกิดสายใยโยงหัวใจสองดวง แม้ต้องไกลห่างก็นำพาให้หวนคืน ลมหายใจของนาง ไออุ่นจากกายของเขา ทุกส
“ไมต้องเขินอายไป เรื่องแบบนี้ข้ารู้ว่าพูดยาก แต่ข้าเป็นคนคุยง่าย เจ้าอยากแต่งงานใหญ่โตกว่าท่านแม่ทัพสวินเย่ว์ ข้าก็จัดการให้เจ้าได้”“ใครบอกว่าข้าจะแต่งกับเจ้า”“ก็ข้าพูดออกไปเมื่อครู่ไง” นางทำตาปริบๆ “แต่งกับข้าเถอะน่า ข้าอยากได้ยินคนบ่นข้างหูแบบนี้ทุกวัน”“นี่เจ้าชอบข้าเรอะ!” เขาควรรู้สึกยินดีใช่ไหมที่สตรีประหลาดอย่างซูหลี่น่ามาชอบเขา“อืม” นางพยักหน้า “อยู่กับเจ้าก็เหมือนเลี้ยงนกแก้วให้มันส่งเสียงเจื้อยแจ้วข้างหู”“เจ้ากล้าเปรียบเทียบข้ากับนกแก้วเรอะ!”“อืม” นางพยักหน้าขึ้นลง “ไม่ต้องอาย ข้าจะไปสู่ขอเจ้าเอง”ซูหลี่น่านั่งลงบนตักของเกาเทียนฉี สะโพกกลมกลึงบดเบียดเย้ายวนจนส่วนที่หลับใหลตื่นฟื้น นางยิ้มเจ้าเล่ห์ในขณะที่เกาเทียนฉีได้แต่หลับตาโอดครวญอยู่ในอกที่ไม่สามารถบังคับ ‘ส่วนนั้น’ ของร่างกายได้เลยเอาเถอะ! บางทีชีวิตของเขาอาจรอผู้หญิงบ้าๆ อย่างนางอยู่ก็เป็นได้.เด็กชายวัยเจ็ดขวบยืนตาโตมองมารดาของตนในชุดสีแดงงดงามจับตา เสิ่นฉางซีอยู่ในชุดเจ้าสาว แม้มีผ้าคลุมหน้าอยู่ก็รับรู้ได้ว่าถูกลูกชายจ้องมองจนรู้สึกเขินอาย “เลิกมองแม่ได้แล้ว” “ท่านแม่สวยมาก” หยางหยางพูดขึ