Search
Library
Home / รักโบราณ / จารใจทุรยศ / Chapter 9. สวินเย่ว์        

Chapter 9. สวินเย่ว์        

2025-03-03 21:38:06

                         

            "ไฉนไม่ยื่นมือช่วยเหลือกันบ้าง” เสียงบ่นพลางเหนี่ยวตัวขึ้นไปนั่งบนกิ่งไม้

            สวินเย่ว์ขยับกายนั่งห้อยเท้าทั้งสองข้าง ใบหน้ายังคงเรียบเฉยไร้ความรู้สึกแต่แววตามีรอยขบขันที่เห็นผู้ที่มาเยือนสวมชุดขันที

            “เป็นถึงรัชทายาทต้องใช้ชีวิตหลบซ่อนเช่นนี้เชียวหรือ”

            “หากเลือกได้ ข้าขอเกิดเป็นสามัญชนเช่นเจ้าดีกว่า” บุรุษหนุ่มเอ่ยแล้วสูดลมหายใจลึกๆ อากาศนอกรั้ววังหลวงนี้ช่างสดชื่นดีแท้

            “ท่านคงมิได้ลอบออกจากตำหนักบูรพาเพื่อสูดอากาศเท่านั้นหรอก”

สวินเย่ว์คุ้นชินกับนิสัยของรัชทายาทฝูหรงเป็นอย่างดี ยามนี้เขาสวมชุดขันทีเช่นนี้ เขาจึงเอ่ยปากสนทนาด้วยถ้อยคำธรรมดาสามัญ

            “เจ้าไม่ไปเยี่ยมเยือนข้าเลยนี่ ข้าจึงยอมลดตัวมาหาเจ้า”

            “ตำหนักบูรพาน่าเข้าไปนักหรือ?” เขาเบ้ปากเล็กน้อย “ได้พบท่านครั้งแรก ท่านก็สวมชุดขันทีเช่นนี้”

            รัชทายาทฝูหรงหัวเราะออกมา มีแต่เวลานี้เท่านั้นที่เขาสามารถหัวเราะได้อย่างเต็มเสียงและปลอดโปร่ง หากสบโอกาสเขามักลอบออกจากตำหนักเพื่อติดตามหาข่าวใครคนหนึ่งเสมอ และนั่นทำให้เมื่อสามปีก่อนบังเอิญได้พบสวินเย่ว์ ครานั้นเขายังไม่รู้ว่า ‘สวินเย่ว์’ เป็นใคร เพียงแต่เห็นว่าเขาเป็นทหารระดับล่างที่มีฝีมือดี  สวินเย่ว์เคยช่วยเขาเมื่อครั้งที่ลอบออกจากตำหนักสองหรือสามครั้ง ใบหน้าเรียบนิ่งและท่าทีหยิ่งยโสนั้นรบกวนจิตใจเขา คนผู้นี้ไม่เปิดโปงเขาและไม่ปากมาก เดิมทีคิดจะลากสวินเย่ว์มาเป็นองครักษ์ข้างกาย  แต่อีกฝ่ายปฏิเสธอย่างไม่อนาทรร้อนใจ  เขาจึงรู้สึกว่าทหารผู้นี้ไม่ธรรมดา  จึงคบหาอย่างสหาย แม้ไม่ได้พบเจอกันบ่อยนัก แต่ทุกครั้งที่ได้พบกลับรู้สึกราวกับคนคุ้นเคย เมื่อรู้ความจริงว่าสวินเย่ว์เป็นบุตรชายคนโตสกุลสวิน ตระกูลนักรบหลายชั่วอายุคน เขาจึงไม่รู้สึกประหลาดใจนัก

            สวินเย่ว์เองรู้ดีมาตั้งแต่พบหน้าฝูหรงครั้งแรกว่าเขาเป็นองค์รัชทายาท แม้ตัวเขาใช้ชีวิตนอกจวน แต่ข่าวคราวความเคลื่อนไหวในวังหลวงและการทหารย่อมอยู่ในสายตาของเขาตลอด มิเช่นนั้นเขาจะยังสามารถใช้ชีวิตรอดพ้นคมกระบี่มาถึงเวลานี้ได้หรือ? แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่ต้องการให้เขารู้ เขาจึงแสร้งไม่รู้ กระทั่งยามที่ได้พบกันในท้องพระโรง เขาไม่เห็นแววตาแตกตื่นหรือประหลาดใจของฝูหรงแม้แต่น้อย ตามจริงแล้ว เมื่อฐานะที่แท้จริงของเขาเปิดเผย ฝูหรงไม่จำเป็นต้องแต่งกายชุดขันทีลอบมาพบเขาเช่นนี้

            หรือว่าชายผู้นี้ชอบชุดขันทีจริงๆ

            ฝูหรงเห็นแววตาวูบหนึ่งของสวินเย่ว์มีคำถามแล้วก็กลบเกลื่อนด้วยการมองไปทางอื่น  

            “ดูเหมือนเจ้าไม่ชอบอยู่จวนเท่าไหร่นี่” ฝูหรงไม่ใส่ใจสายตาแปลกๆ วูบนั้น

            “แค่ไม่คุ้น มิใช่ไม่ชอบ” สวินเย่ว์ไหวไหล่เล็กน้อย “อีกอย่างการที่ข้าเลื่อนมารับตำแหน่งแม่ทัพในครั้งนี้ทั้งที่เหตุการณ์ไม่คลี่คลายดีนัก ข้าอยากกลับไปสะสางให้แล้วเสร็จ”

            “อ้อ...เจ้าได้เลื่อนขึ้นเป็นแม่ทัพมีความดีความชอบเพราะสังหารแม่ทัพที่คิดก่อกบฏ” ฝูหรงแสร้งพูดเหมือนเพิ่งนึกได้ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ แสดงว่าคนในสกุลสวินนั้นระแคะระคายเรื่องเหล่านี้มาตลอดจึงยอมส่งบุตรชายคนโตเข้ากองทัพโดยไม่เปิดเผยตัวจริงออกไป “ข้าได้ยินว่าฮ่องเต้จะทรงพระราชทานงานสมรสให้เจ้าด้วยนี่ เจ้าจะได้เป็นถึงราชบุตรเขยเลยทีเดียว”

            คิ้วกระบี่เลิกขึ้นแล้วปรายตามองอีกฝ่าย เรื่องนี้เขาได้ยินมาบ้างและแจ้งกับบิดาให้ช่วยยับยั้งไว้ก่อน หรือจะให้ดีก็ทำให้ฮ่องเต้เลิกคิดเรื่องไร้สาระพวกนี้เสีย

            “บ้านเมืองยังไม่สงบ อย่าได้เสียเวลากับเรื่องไร้สาระเช่นนี้”

            “ฟังเหตุของเจ้าแล้วดูดีนัก หรือเจ้ามีนางในดวงใจ อย่างไรให้ข้าช่วยออกหน้าให้ดีหรือไม่”  ฝูหรงอดกระเซ้าสหายมิได้ นอกจากสวินเย่ว์

แล้ว เขาไม่ค่อยได้พูดจาเช่นนี้กับผู้ใด

            “ข้าไม่ได้มีเวลาว่างคิดเรื่องพรรค์นั้น”

            “หรือเจ้าชอบบุรุษ” 

            คราวนี้เห็นเส้นเลือดที่ขมับของสวินเย่ว์เต้นตุบๆ ขึ้น ฝูหรงจึงยอมรามือ

            “สรุปว่าเจ้ามีเรื่องที่อยากทำแต่ยังออกไปไม่ได้สินะ”

            “ท่านเองก็คงไม่ต่างจากข้า” เขาปรายตามองชุดขันทีอีกครั้ง

            “ข้าแค่อยากหาเด็กคนนั้นให้พบ” ฝูหรงระบายลมหายใจเบาๆ

            “ผ่านมาห้าปีแล้ว ถ้ายังมีชีวิตอยู่คงเติบโตอายุสิบสี่สิบห้าแล้ว” สวินเย่ว์รู้เหตุผลที่องค์รัชทายาท ลอบออกจากตำหนักบูรพา มิใช่เที่ยวเล่น แต่เพื่อตามหาใครคนหนึ่ง ฝูหรงไม่ได้เล่ารายละเอียดอะไรมาก บอกเล่าแค่ว่าเมื่อห้าปีก่อนมีเด็กหญิงคนหนึ่งช่วยเขาไว้ให้รอดพ้นการลอบสังหาร

“หรือนางอาจตายไปนานแล้วก็เป็นได้”

            ฝูหรงพยักหน้ายอมรับ “ไม่พบศพนาง ข้าไม่อาจทำใจได้ว่านางตายแล้ว”

            “หรือเพราะเจ้ารู้สึกติดค้าง จึงไม่ยอมรับว่านางตายไปแล้ว”

            ฝูหรงหัวเราะเสียงปร่าเหมือนเย้ยหยันตนเอง หลายปีมานี่เขาพยายามตามหา ‘เด็กหญิง’ ที่ไม่รู้ชื่อคนหนึ่ง แววตาของนางประทับในหัวใจของเขา นางเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ยินดีสวมเสื้อคลุมปลอมตัวเป็นเขา เพื่อให้เขาได้หลบหนีจากการถูกลอบสังหาร นางควรหวาดกลัว แต่แววตาของนางยังเป็นประกายงดงาม รอยยิ้มไร้เดียงสา ราวกับไม่รู้ว่านี่เป็นการเดินไปสู่ความตาย

            เขารู้เพียงแค่ว่านางเป็นบุตรสาวคนเดียวขององครักษ์เสิ่น

            “เอาเถอะ อย่างไรข้าจะช่วยสืบข่าวให้อีกทาง” สวินเย่ว์เอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ เขาเห็นฝูหรงตื่นจากภวังค์และหันมามองทางเขา ชายหนุ่มก็ยกมุมปากขึ้น

            แต่รอยยิ้มของสวินเย่ว์ทำให้ฝูหรงขมวดคิ้ว

            “ข้าจำเป็นต้องออกไปจากที่นี่” เขายิ้มเย็นแล้วขยับข้อมือซ้ายขวาสลับไปมา เหมือนชั่งใจว่าจะใช้มือข้างไหนดี

            “แล้ว?”

            “ตามจริงแล้ว ทุกคนใช้เหตุผลที่ว่า ข้าเพิ่งเสร็จศึกให้อยู่แต่ในจวนเพื่อพักผ่อน แต่ข้าอยากออกไปสืบข่าวบางเรื่อง” เขาเชื่อว่าเบื้องหลังอดีตแม่ทัพใหญ่ต้องมีคนหนุนอย่างแน่นอน  อีกอย่างตอนที่ประมือกับอดีตท่านแม่ทัพ มีชายลึกลับมาช่วย ปกติแล้วชาวยุทธ์ไม่ยุ่งกับทางการ น้อยนักที่จะเห็นคนของพรรคใดมาก้าวก่ายในเรื่องราชสำนักอย่างเปิดเผย 

            โดยเฉพาะ คนผู้นั้นใช่ ‘ฝ่ามืออัคคี’

            ฝ่ามืออัคคีร้ายกาจนัก มิมีผู้ใดรอดพ้นความตาย แต่เด็กหญิงคนนั้นรอด...

            สวินเย่ว์เผลอคิดถึงเด็กหญิงคนนั้น ร่างกายของนางชุ่มโชกไปด้วยโลหิตและกลิ่นเนื้อไหม้ ใครจะรู้ว่านางรอดพ้นจากความตาย หากเป็นผู้อื่นคงสติฟั่นเฟือน ใช้ชีวิตอย่างหวาดผวา แต่นาง...กลับส่งยิ้มและเรียกเขาว่า ‘ผู้มีพระคุณ’

Continue to read this book for free
Scan code to download App
Locked Chapter
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP