หลี่ถิง บุตรสาวคนรองของราชครูหลี่ ผู้ซึ่งคนในเมืองหลวงต่างขนานนามนางว่าเป็นหญิงงามล่มเมือง ทั่วทั้งเมืองหลวงนี้มิมีสตรีใดเทียบได้ น้อยครั้งมากที่คุณหนูผู้นี้จะย่างเท้าออกนอกจวน ถือตัวเป็นแบบอย่างสตรีสูงศักดิ์ที่มีความประพฤติตนเรียบร้อย
บัดนี้ความอดทนทั้งหมดของนางได้ขาดลงไปแล้ว ด้วยน้ำมือของพี่สาวต่างมารดาที่เพิ่งได้พบหน้ากันเพียงไม่นาน ในความทรงจำของนางเมื่อครั้งยังเยาว์นั้น หลี่เจียวเป็นผู้ที่หยิ่งผยองในตนเอง ด้วยว่านางเกิดมาเป็นคุณหนูใหญ่ของจวนราชครู ได้รับความรักจากบิดาและท่านย่าเป็นอย่างดี
แต่แล้วอย่างไรเล่า ในเมื่อมารดาไม่รักดี ประพฤติตัวไม่เหมาะสม ลอบทำความผิดที่ยากจะให้อภัย ไม่ถูกขังที่เดียวกับสุกร แล้วแห่รอบเมืองหลวงก็นับว่าท่านพ่อนั้นเมตตามากแล้ว
เมื่อไม่ต้องทนปั้นหน้าเป็นบุตรสาวผู้กตัญญูต่อบิดา ไม่ต้องนอบน้อมต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่า โทสะที่อดกลั้นมาก็ถูกปลดปล่อยออกราวเขื่อนแตก ข้าวของเครื่องใช้บนโต๊ะแตกกระจายไม่มีชิ้นดี แต่ถึงกระนั้นไฟโทสะก็มิได้ลดลงเลยแม้เพียงน้อย กลับยิ่งสุมไฟในใจให้ลุกโชนขึ้นอย่างแรงกล้า
สาวใช้น้อยใหญ่มิมีผู้ใดกล้าเอ่ยปาก กระทั่งถอนหายใจยังต้อง กลั้นเอาไว้ ด้วยเกรงว่าลมหายใจนั้น จะไปกระทบผิวที่แบบบางของคุณหนูผู้งดงามนี้ให้ขุ่นเคือง
“เกิดอะไรขึ้น ถิงเอ๋อร์ลูกระงับโทสะเอาไว้บ้างเถิด” จางซื่อรีบตามบุตรสาวมาที่เรือนหลัง ยังไม่ทันจะเข้ามาในเรือน กลับได้ยินเสียงข้าวของมากมายหล่นแตก ไม่เดาก็พอจะทราบได้ว่าเป็นฝีมือผู้ใด
หากบุตรสาวทำเช่นนี้แล้ว สามารถคลายโทสะลงได้ นางยินดีที่จะให้บุตรสาวทำตามใจชอบ เพียงแต่ในเวลานี้ยังไม่สามารถตัดสินได้ว่าพวกนางแพ้ มันเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น ตราบใดที่บุตรเลี้ยงที่นางมิเต็มใจแม้จะชายตามอง ยังไม่ได้ขึ้นเกี้ยวเข้าห้องหอ ก็ยังถือว่าพอมีหนทาง
“ท่านแม่ จะให้ข้าระงับได้อย่างไรไหว หลายปีมานี้ข้าพยายาม ทุกอย่าง ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย กระทั่งในยามหลับตา กฎระเบียบทุกอย่างยังตามไปหลอกหลอนข้า” หลี่ถิงเมื่อเห็นหน้ามารดาในเวลานี้น้ำตาที่นางอดกลั้นเอาไว้ ก็ไหลลงมาราวสายฝน เจิ่งนองใบหน้าขาวเนียนเป็นสาย คล้ายว่ามันกำลังไหลไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หากผู้ใดพบเห็นคงรู้สึกใจสลายสงสารบุปผาดอกนี้จับใจ
“ถิงเอ๋อร์ลูกแม่ แม่ผิดเองที่ปล่อยให้นังเด็กอัปรีย์นั่นมีชีวิตอยู่ มันน่าจะตรอมใจตายไปพร้อมกับนังแพศยามารดาของมันผู้นั้น อย่าได้เศร้าโศกไปเลย ท่านพ่อของลูกต้องหาทางออกให้กับพวกเราได้แน่” จางซื่อพูดปลอบ พร้อมทั้งลูบแผ่นหลังเหยียดตรงของบุตรสาว ดูเอาเถิดกระทั่งในยามที่ร้องไห้แทบขาดใจ บุตรสาวผู้เพียบพร้อมของนางยังนั่งหลังตรงตามแบบฉบับของสตรีสูงศักดิ์ มิได้เสียกิริยาไปเลยแม้เพียงน้อย
“หึ ท่านพ่อจะทำอันใดได้เล่า ในเมื่อพี่ใหญ่รับราชโองการไปแล้ว อีกไม่นานพวกเขาก็จะแลกเปลี่ยนดวงแปดอักษรกัน ของหมั้นก็จะมาที่นี่ มาเป็นหนามทิ่มแทงใจข้า บัดนี้บ่าวไพร่ในจวนคงจะพากันหัวเราะเยาะ ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ใดได้อีก คงต้องโกนหัวบวช หันหน้าพึ่งทางธรรมไปเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว” หลี่ถิงน้อยใจในวาสนาของตนเอง บัดนี้นางอายุสิบห้าปีแล้ว
ก่อนหน้านี้มิใช่ว่าไม่มีผู้ใดมาทาบทามสู่ขอ แต่ด้วยรู้มาตั้งนานแล้ว ว่าตนเป็นคู่หมายขององค์ชายแปดแทนพี่สาวที่ถูกเนรเทศออกไป
นางมิเคยให้ความสนใจคุณชายจากจวนใด มีเพียงจิตที่ภักดีต่อ คู่หมายตนเพียงผู้เดียวเท่านั้น นี่หรือคือสิ่งตอบแทนที่คนเหล่านั้นมอบให้นาง
ในเมื่อลงแรงไปมาก หลายปีมานี้เสียเวลาไปไม่น้อย เหตุใดนางต้องยอมให้พี่สาวต่างมารดามาชุบมือเปิบแย่งมันไปอย่างหน้าด้านๆ ด้วยเล่า หมั้นได้ก็ถอนได้ คอยดูเอาเถิดว่าระหว่างสตรีที่เพียบพร้อมเช่นนาง กับพี่สาวบ้านนอกผู้นั้น องค์ชายแปดจะชมชอบผู้ใดมากกว่ากัน
ทางด้านหลี่เจียว เมื่อกลับถึงเรือนฝั่งตะวันออก ก็วางราชโองการไว้ยังตำแหน่งที่สูง เหลือเพียงรอทางนั้นมาเอาดวงแปดอักษร ส่งของหมั้นหมายเท่านั้น หากจำไม่ผิดคงใกล้จะถึงเวลาที่คนผู้นั้นจะเดินทางมาถึงแล้วกระมัง ยิ่งได้รู้ว่าจะได้พบหน้าอีกคราหัวใจก็พลันเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง มันมิเคยเกิดขึ้นนานแล้ว ใจที่ตายด้านนี้ มิเคยเต้นแรงเพื่อบุรุษใดเท่านี้มาก่อน
หลังจากนั้นสองวัน ทางวังหลวงก็ส่งข้าหลวงมารับดวงแปดอักษร ส่วนหนึ่งมาเพื่อปรนนิบัติว่าที่พระชายาองค์ชายแปด หรือพูดเป็นนัยคือ มาจับผิดเสียมากกว่า
กิริยามารยาทในวังหลวง ข้อใดเล่าที่นางมิเคยปฏิบัติมาก่อน เมื่อชาติที่แล้วต้องใช้ความพยายามไม่น้อย กว่าจะเรียนรู้กฎระเบียบได้อย่างแตกฉาน
ข่าวลือเรื่องคุณหนูใหญ่จวนสกุลหลี่ ติดตามมารดาที่หันหน้าเข้าทางธรรม โชคร้ายที่มารดาสิ้นใจไปเมื่อสามปีก่อน บัดนี้ครบกำหนดไว้ทุกข์ จึงมีโอกาสได้หวนกลับคืนสู่เมืองหลวงอีกครั้ง
หากไม่มีสัญญาหมั้นหมายของฮ่องเต้กับหมอหลวงอันดับหนึ่ง ซึ่งก็คือท่านตาของหลี่เจียว คาดว่านางก็คงไม่ใช่ตัวเลือกที่อยู่ในสายตาของฮ่องเต้และเสวียนกุ้ยเฟย พระมารดาขององค์ชายแปด
เรื่องราวในวังหลวงนั้นซับซ้อน เต็มไปด้วยปริศนามากมายยากนักจะมีผู้ใดแก้ไขได้ง่าย เหนือสิ่งอื่นใดคือจิตใจของฮ่องเต้ ที่มิมีผู้ใดหยั่งถึงได้ ว่าทรงคิดและต้องการสิ่งใด ในเมื่อออกจากพระโอษฐ์ของพระองค์แล้ว ยากที่จะเรียกกลับคืนไปได้
สาวใช้ในเรือนหลังของหลี่เจียว ต่างเกร็งไปตามๆ กัน เนื่องจากว่าคุณหนูของพวกนาง คล้ายนักโทษที่หลุดจากคุกหลวงก็ไม่ปาน ไม่ว่าจะเป็นการเดินการนั่งจำเป็นต้องสง่างามอยู่ตลอดเวลา
ทว่าสิ่งที่น่าแปลกคือ คุณหนูใหญ่กลับทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ คล้ายกับว่าเป็นกิจวัตรประจำวันที่ทำอยู่ก่อนแล้ว นี่จึงทำให้พวกนางต่างลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ข้าหลวงอยู่เพียงเจ็ดวัน ก็เดินทางกลับวังหลวงด้วยความพอใจ นั่นจึงทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าพอใจอยู่ไม่น้อย ตลอดเจ็ดวันที่ผ่านมานี้ ท่านเองก็เกร็งตามไปด้วย เพราะชาติกำเนิดไม่ได้เกิดมาสูงศักดิ์ดังเช่นคนอื่น เป็นเพียงครอบครัวบัณฑิตที่ไต่เต้าขึ้นมาเท่านั้น แม้ว่าจะเคร่งครัดในกฎระเบียบมากเพียงใด ก็หาได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งและแตกฉานไม่
โชคดีที่มีจางซื่อคอยส่งสัญญาณเตือนอยู่เป็นระยะ เมื่อเหล่าข้าหลวงจากไปแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกเหมือนยกก้อนหินที่กดทับมาเป็นเวลานานออกจากอก ทำให้หายใจโล่งคอยิ่งนัก
“หลายวันที่ผ่านมาเจียวเอ๋อร์ทำได้ดีทีเดียว” ตอนนี้นางกำลังอยู่กับลูกสะใภ้และบรรดาอนุของลูกชายทั้งสอง
ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นหม้ายสามีเสียชีวิต มีบุตรทั้งหมด 3 คน คือ ราชครูหลี่หาน มีฮูหยินใหญ่ ซูซื่อ มีบุตรด้วยกันหนึ่งคน หลี่เจียวอายุย่างสิบหกปี
ฮูหยินรอง จางซื่อ มีบุตรด้วยกันสองคน หลี่ถิง อายุสิบห้าปี และ หลี่จิ่น อายุสิบสี่ปี เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของเขา และเป็นผู้สืบทอดตระกูล
เฟิ่งอี๋เหนียง มีบุตรสาวที่เกิดจากอนุภรรยาอีกหนึ่งคน นั่นก็คือ หลี่เจา อายุสิบปี
ท่านอารองหลี่เฉิง มีตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นห้ามาหลายปีแล้ว มีฮูหยินคนเดียวคือ สวีซื่อ มีบุตรด้วยกันสองคน บุตรชายคนโตชื่อหลี่ หมิง อายุย่างสิบสี่ปี และบุตรสาวหลี่ซูหยา อายุสิบสามปี ยังไม่รับอนุภรรยา
และบุตรสาวเพียงคนเดียวคือ หลี่หง แต่งงานได้หลายปีแล้ว จะกลับบ้านเกิดเฉพาะวันสำคัญเท่านั้น
หากจะกล่าวไปแล้วนั้น ลูกหลานมีมากก็มาก แต่เทียบกับความใหญ่โตของจวนราชครูแล้ว ถือว่ายังน้อย กลับกลายเป็นว่าบ่าวไพร่มีจำนวนมากกว่าลูกหลานของสกุลหลี่เสียด้วยซ้ำ